พระคัมภีร์
หลักคำสอนและพันธสัญญา 70


ภาค ๗๐

การเปิดเผยที่ประทานผ่านโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์, ที่เคิร์ทแลนด์, รัฐโอไฮโอ, วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๓๑ (History of the Church, 1:235–237). ในประวัติที่ท่านศาสดาพยากรณ์เขียนไว้กล่าวว่ามีการประชุมใหญ่พิเศษสี่ครั้งที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ จนสิ้นสุดวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน. ในการประชุมครั้งสุดท้ายของการประชุมเหล่านี้, ได้พิจารณาถึงความสำคัญยิ่งของ Book of Commandments (หนังสือพระบัญญัติ), ซึ่งต่อมาเรียกว่าหลักคำสอนและพันธสัญญา; และท่านศาสดาพยากรณ์กล่าวถึงพระคัมภีร์เล่มนี้ว่าเป็น “รากฐานของศาสนจักรในวันเวลาสุดท้ายนี้, และเป็นคุณประโยชน์ต่อโลก, ที่แสดงให้เห็นว่า กุญแจทั้งหลายของความลี้ลับแห่งอาณาจักรของพระผู้ช่วยให้รอดของเราฝากฝังไว้อีกครั้งหนึ่งกับมนุษย์” (History of the Church, 1:235).

๑–๕, พระองค์ทรงกำหนดผู้พิทักษ์ให้จัดพิมพ์การเปิดเผยทั้งหลาย; ๖–๑๓, คนเหล่านั้นที่ทำงานในเรื่องทางวิญญาณมีค่าสมกับค่าจ้างของพวกเขา; ๑๔–๑๘, วิสุทธิชนควรเท่าเทียมกันในเรื่องทางโลก.

ดูเถิด, และจงสดับฟัง, โอ้เจ้าผู้อยู่อาศัยของไซอัน, และเจ้าผู้คนทั้งปวงแห่งศาสนจักรของเราผู้อยู่ห่างไกล, และจงฟังพระคำของพระเจ้าซึ่งเราให้แก่ผู้รับใช้ของเรา โจเซฟ สมิธ, จูเนียร์, และแก่ผู้รับใช้ของเรา มาร์ติน แฮร์ริส ด้วย, และแก่ผู้รับใช้ของเรา ออลิเวอร์ คาวเดอรี ด้วย, และแก่ผู้รับใช้ของเรา จอห์น วิตเมอร์ ด้วย, และแก่ผู้รับใช้ของเรา ซิดนีย์ ริกดัน ด้วย, และแก่ผู้รับใช้ของเรา วิลเลียม ดับเบิลยู. เฟลพ์ส ด้วย, ในรูปแบบของบัญญัติต่อพวกเขา.

เพราะเราให้บัญญัติข้อหนึ่งแก่พวกเขา; ดังนั้น จงสดับตรับฟัง, เพราะพระเจ้าตรัสกับพวกเขาดังนี้—

เรา, พระเจ้า, กำหนดพวกเขา, และแต่งตั้งพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ดูแลการเปิดเผยและบัญญัติทั้งหลายซึ่งเราให้พวกเขาไว้, และซึ่งเราจะให้พวกเขาต่อไปในภายหน้า;

และเรื่องราวของสิ่งที่อยู่ในความพิทักษ์นี้เราจะเรียกร้องจากพวกเขาในวันแห่งการพิพากษา.

ดังนั้น, เรากำหนดไว้กับพวกเขา, และนี่คือกิจธุระของพวกเขาในศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่จะจัดการสิ่งเหล่านั้นและเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกัน, แท้จริงแล้ว, ผลประโยชน์ของสิ่งเหล่านั้น.

ดังนั้น, บัญญัติข้อหนึ่งเราให้แก่พวกเขา, ว่าพวกเขาจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้แก่ศาสนจักร, ทั้งไม่ให้แก่โลก;

กระนั้นก็ตาม, ตราบเท่าที่พวกเขาได้รับเกินจำเป็นสำหรับความจำเป็นของพวกเขาและความขาดแคลนของพวกเขา, ก็พึงให้มันเข้าคลังของเรา;

และผลประโยชน์พึงอุทิศถวายแก่ผู้อยู่อาศัยของไซอัน, และแก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปของพวกเขา, ตราบเท่าที่พวกเขากลายเป็นทายาทตามกฎทั้งหลายของอาณาจักร.

ดูเถิด, นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์ทุกคนในสิ่งที่อยู่ในความพิทักษ์ของเขา, แม้ดังที่เรา, พระเจ้า, กำหนดไว้หรือจะกำหนดไว้กับมนุษย์คนใดคนหนึ่งต่อไปในภายหน้า.

๑๐ และดูเถิด, ไม่ยกเว้นผู้ใดจากกฎนี้ผู้ที่เป็นของศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์;

๑๑ แท้จริงแล้ว, ไม่ทั้งอธิการ, ไม่ทั้งตัวแทนซึ่งรักษาคลังของพระเจ้า, ไม่ทั้งคนที่กำหนดไว้ต่อสิ่งที่อยู่ในความพิทักษ์เพื่อดูแลเรื่องทางโลก.

๑๒ คนที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเรื่องทางวิญญาณ, คนคนนั้นมีค่าสมกับค่าจ้างของเขา, แม้ดังคนเหล่านั้นที่กำหนดไว้ต่อสิ่งที่อยู่ในความพิทักษ์เพื่อปฏิบัติเรื่องทางโลก;

๑๓ แท้จริงแล้ว, แม้อเนกอนันต์ยิ่งขึ้น, ซึ่งความอเนกอนันต์นี้ทวีคูณแก่พวกเขาโดยผ่านการแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณ.

๑๔ กระนั้นก็ตาม, ในเรื่องทางโลกของเจ้า เจ้าพึงเท่าเทียมกัน, และนี่มิใช่อย่างไม่เต็มใจ, มิฉะนั้นความอเนกอนันต์ของการแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณจะถูกยับยั้งไว้.

๑๕ บัดนี้, บัญญัตินี้เราให้แก่ผู้รับใช้ของเราเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาขณะที่พวกเขายังอยู่, เพื่อเป็นการแสดงให้ประจักษ์ถึงพรของเราบนศีรษะพวกเขา, และเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความขยันหมั่นเพียรของพวกเขาและเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา;

๑๖ เพื่อเป็นอาหารและเพื่อเป็นเครื่องนุ่งห่ม; เพื่อเป็นมรดก; เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและเพื่อเป็นแผ่นดิน, ในสภาพการณ์ใดก็ตามที่เรา, พระเจ้า, จะวางพวกเขาไว้, และที่ใดก็ตามที่เรา, พระเจ้า, จะส่งพวกเขาไป.

๑๗ เพราะพวกเขาซื่อสัตย์มาแล้วในหลายเรื่อง, และทำดีมาแล้วตราบเท่าที่พวกเขามิได้ทำบาป.

๑๘ ดูเถิด, เรา, พระเจ้า, เมตตาและจะให้พรพวกเขา, และพวกเขาจะเข้าไปในปีติของเรื่องเหล่านี้. แม้เป็นดังนั้น. เอเมน.