คลังค้นคว้า
บทที่ 37: มาระโก 6


บทที่ 37

มาระโก 6

คำนำ

พระเยซูทรงถูกปฏิเสธในนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงส่งอัครสาวกสิบสองออกไปสั่งสอนพระกิตติคุณ ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาถูกสังหารโดยคำสั่งของเฮโรด อันทีพา พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนมากกว่าห้าพันคนอย่างน่าอัศจรรย์ ทรงเดินบนทะเล ห้ามพายุ และรักษาคนป่วย

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

มาระโก 6:1–29

พระเยซูทรงถูกปฏิเสธในนาซาเร็ธและทรงส่งอัครสาวกสิบสองออกไป มีการเล่าถึงมรณกรรมของยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

เริ่มชั้นเรียนโดยการเชื้อเชิญให้นักเรียนนึกถึงครั้งสุดท้ายที่พวกเขารู้สึกกดดันให้ทำบางสิ่งที่พวกเขารู้ว่าไม่ถูกต้อง

เขียน ข้อความ ต่อไปนี้บนกระดาน (ข้อความเหล่านี้มีใน “Making the Right Choices,” Ensign, พ.ย. 1994, 37)

“บุคคลที่ทำความผิดต้องการให้ท่านร่วมทำผิดกับพวกเขาเนื่องจากพวกเขาจะรู้สึกสบายใจในสิ่งที่พวกเขากำลังทำเมื่อคนอื่นทำด้วย” ( ริชาร์ด จี. สก็อตต์)

  • มีตัวอย่างใดบ้างของวิธีที่คนอื่นอาจพยายามกดดันท่านให้ทำบางสิ่งที่ท่านรู้ว่าผิด

เชื้อเชิญให้นักเรียนมองหาความจริงข้อหนึ่งขณะพวกเขาศึกษา มาระโก 6 ที่จะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการยอมแพ้ต่อแรงกดดันทางลบจากเพื่อนวัยเดียวกัน

สรุป มาระโก 6:1–16 โดยอธิบายว่าพระเยซูทรงสั่งสอนในนาซาเร็ธบ้านเกิดของพระองค์ อย่างไรก็ดี เนื่องจากความไม่เชื่อของผู้คน พระองค์มิได้ทรงทำปาฏิหาริย์มากมายนักในบรรดาพวกเขา ขณะประทับอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงส่งอัครสาวกสิบสองออกไปเป็นคู่ๆ เพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณ ขณะสั่งสอนพระกิตติคุณ พวกเขาขับผีออกและรักษาผู้ป่วยเช่นกัน เมื่อเฮโรดได้ยินเกี่ยวกับปาฏิหาริย์หลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำ เขากลัวว่ายอห์นผู้ถวายบัพติศมาได้ลุกขึ้นมาจากความตายและกำลังทำปาฏิหาริย์เหล่านี้

อธิบายว่า มาระโก 6:17–29 มีบันทึกของสิ่งที่เกิดขึ้นกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มาระโก 6:17–18 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าเฮโรดทำอะไรกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

  • ตามที่กล่าวไว้ในข้อเหล่านี้ เฮโรดทำอะไรกับยอห์นและเพราะเหตุใด

อธิบายว่าเฮโรดที่ถูกกล่าวถึงในข้อเหล่านี้คือเฮโรด อันทีพา ผู้ปกครองแคว้นกาลิลีและแคว้นเพอเรียหลังการสิ้นพระชนม์ของเฮโรดมหาราชบิดาของเขา เฮโรด อันทีพาหย่ากับภรรยาและแต่งงานกับนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิปน้องชายเขา การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎของชาวยิวอย่างโจ่งแจ้ง (ดู เลวีนิติ 18:16) ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาจึงกล่าวประณาม การที่ยอห์นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ทำให้เฮโรเดียสโกรธ ดังนั้นเฮโรดจึงคุมขังยอห์นเพื่อเอาใจเธอ

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มาระโก 6:19–20 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าเฮโรเดียสต้องการทำอะไรกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

  • เฮโรเดียสต้องการทำอะไรกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

  • เหตุใดเธอจึงทำให้ยอห์นถูกสังหารไม่ได้ (เนื่องจากเฮโรดกลัวยอห์นและรู้ว่าเขาเป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า ดูงานแปลของโจเซฟ สมิธ, มาระโก 6:21 เพื่อให้ทราบข้อมูลมากขึ้นว่าเฮโรดรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา)

เชื้อเชิญนักเรียนหลายคนผลัดกันอ่านออกเสียงจาก มาระโก 6:21–29 ให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าเฮโรดทำอะไรกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 26 เฮโรดรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการสังหารยอห์นผู้ถวายบัพติศมา

  • เหตุใดเฮโรดจึงให้คนตัดศรีษะยอห์นหากเขารู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น (ท่านอาจต้องการแนะนำให้นักเรียนทำเครื่องหมายวลี “เพราะเห็นแก่หน้าแขก” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเฮโรดกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เป็นแขกของเขา)

  • เราสามารถเรียนรู้หลักธรรมอะไรจากการเลือกของเฮโรดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราพยายามทำให้คนอื่นพอใจแทนที่จะทำสิ่งถูกต้อง (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาระบุหลักธรรมต่อไปนี้ การพยายามทำให้คนอื่นพอใจแทนที่จะทำสิ่งที่เรารู้ว่าถูกต้องจะนำไปสู่การเลือกที่ผิด ความโศกเศร้า และความเสียใจ)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจความจริงนี้มากขึ้น จับกลุ่มนักเรียนสองถึงสี่คนและขอให้พวกเขานึกถึงตัวอย่างสถานการณ์หลายๆ เรื่องซึ่งเยาวชนต้องเลือกระหว่างการพยายามทำให้คนอื่นพอใจกับการทำสิ่งที่พวกเขารู้ว่าถูกต้อง หลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว เชื้อเชิญให้แต่ละกลุ่มรายงาน ขณะที่พวกเขารายงาน ให้เขียนตัวอย่างของพวกเขาไว้บนกระดาน

  • ท่านเคยเห็นการยอมแพ้ต่อแรงกดดันเหมือนตัวอย่างเหล่านี้ที่ทำให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจในทางใดบ้าง

  • ท่านเคยเห็นคนบางคนเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องแทนที่จะพยายามเอาใจผู้อื่นเมื่อใด

  • อะไรสามารถช่วยให้เราเลือกทำสิ่งที่เรารู้ว่าถูกต้องแทนที่จะพยายามเอาใจผู้อื่น

เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองในสัปดาห์ที่จะมาถึงและระบุสถานการณ์ซึ่งเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจต้องเลือกระหว่างการเอาใจผู้อื่นกับการทำสิ่งที่ถูกต้อง กระตุ้นให้พวกเขาวางแผนว่าพวกเขาจะตอบสนองต่อแรงกดดันนี้อย่างไรหากพวกเขาประสบด้วยตนเอง

มาระโก 6:30–44

พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคนมากกว่าห้าพันคนอย่างปาฏิหาริย์

เชื้อเชิญให้นักเรียนพิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้ ผู้สอนศาสนาที่เพิ่งได้รับการเรียกรู้สึกกังวลมากที่ต้องออกไปทำงานเผยแผ่ บุคคลนี้ไม่ได้เป็นผู้พูดที่เก่งและมีปัญหาในการเข้าสังคม

  • ท่านจะบอกอะไรผู้สอนศาสนาอายุน้อยคนนี้

เชื้อเชิญให้นักเรียนมองหาหลักธรรมขณะที่พวกเขาศึกษา มาระโก 6:30–44 ที่จะช่วยให้ผู้สอนศาสนาอายุน้อยคนนี้และเราทุกคนเมื่อเรารู้สึกว่าไม่มีความสามารถพอที่จะทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากเรา

สรุป มาระโก 6:30–33 โดยอธิบายว่าอัครสาวกสิบสองกลับจากการสั่งสอนพระกิตติคุณและรายงานต่อพระเยซูถึงสิ่งที่พวกเขาทำและสอน พระเยซูและอัครสาวกสิบสองลงเรือเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งพวกท่านสามารถพักผ่อนตามลำพัง อย่างไรก็ดี ผู้คนจากหลายเมืองใกล้เคียงพากันไปยังที่ซึ่งพระเยซูจะเสด็จขึ้นจากเรือและรอพระองค์อยู่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง

เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มาระโก 6:34 ขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบสนองต่อฝูงชนอย่างไร

  • ท่านคิดว่าประโยคนี้ “พวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” หมายถึงอะไร

อธิบายว่าหลังจากการสอนฝูงชนทั้งวัน พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำปฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจปาฏิหาริย์นี้ จัดกลุ่มพวกเขาเป็นคู่ๆ และแจกสำเนา เอกสารแจก ต่อไปนี้ให้แต่ละคู่ เชื้อเชิญให้แต่ละคู่อ่าน มาระโก 6:35–44 และ มัทธิว 14:18 ด้วยกัน จากนั้นใส่หมายเลขเหตุการณ์ในเอกสารแจกตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ภาพ
เอกสารแจก เลี้ยงอาหารคน 5000 คน

เลี้ยงอาหารคน 5000 คน

คู่มือครูเซมินารี พันธสัญญาใหม่—บทที่ 37

  • ____ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเพิ่มเติมสิ่งที่สานุศิษย์นำมา ตอบสนองและให้เกินสิ่งที่ต้องการ

  • ____ สานุศิษย์บอกว่าพวกเขามีขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว

  • ____ สานุศิษย์เสนอว่าให้ส่งคนไปซื้ออาหาร

  • ____ พระผู้ช่วยให้รอดทรงถามว่าสานุศิษย์มีอะไรให้บ้าง

  • ____ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสบอกสานุศิษย์ให้แจกอาหารแก่ผู้คน

  • ____ ฝูงชนไม่มีอะไรกิน

  • ____ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสขอให้สานุศิษย์ถวายสิ่งที่พวกเขามีกับพระองค์

หลังจากนักเรียนใช้เวลาพอสมควรในการทำกิจกรรมนี้ให้ครบถ้วนแล้ว ให้ทบทวนคำตอบเป็นชั้นเรียน (ลำดับที่ถูกต้องของคำตอบคือ 7, 5, 2, 4, 3, 1, 6.)

  • มีคนกี่คนที่พระองค์ทรงเลี้ยงอาหาร (อธิบายว่าเนื้อความภาษากรีกของ มาระโก 6:44 ชี้แจงว่าวลี “ผู้ชายห้าพันคน” หมายถึงผู้ชายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ห้าพันคน ดังนั้น จำนวนคนที่รับประทานอาหารย่อมมีมากกว่า โดยพิจารณาว่าสตรีและเด็กก็อยู่ที่นั่นด้วย [ดู มัทธิว 14:21 ด้วย])

ชี้ให้เห็นว่าก่อนการทำปาฏิหาริย์นี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงขอให้สานุศิษย์ของพระองค์มอบขนมปังห้าก้อนและปลาสามตัว—ซึ่งเป็นทั้งหมดที่พวกเขามี—ให้พระองค์ก่อน

  • เราเรียนรู้หลักธรรมอะไรจากปฏิหาริย์นี้เกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำได้เมื่อเราถวายทุกสิ่งที่เรามีแด่พระองค์ (นักเรียนควรระบุหลักธรรมทำนองนี้ เมื่อเราถวายทุกสิ่งที่เรามีแด่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์สามารถเพิ่มเติมสิ่งที่เราถวายเพื่อทำให้จุดประสงค์ของพระองค์สำเร็จ เขียนหลักธรรมนี้ไว้ บนกระดาน)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักธรรมดังกล่าว เตือนพวกเขาถึงสถานการณ์ของผู้สอนศาสนาที่เพิ่งได้รับการเรียกซึ่งกังวลใจตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้

  • แม้ชายหนุ่มหรือหญิงสาวคนนี้จะมีความอ่อนแอ แต่พระผู้ช่วยให้รอดอาจทรงขอให้ผู้สอนศาสนาคนนี้นำอะไรมาสู่พระองค์ (พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื้อเชิญทุกคนที่มุ่งทำให้จุดประสงค์ของพระองค์บรรลุผลสำเร็จเพื่อถวายความปรารถนา ความสามารถ พรสวรรค์ ทักษะ พละกำลัง ของประทาน และความพยายามทั้งหมดของพวกเขา [ดู ออมไน 1:26; 2 นีไฟ 25:29])

  • จะเกิดผลอะไรถ้าผู้สอนศาสนาถวายทุกสิ่งที่เขามีแด่พระผู้ช่วยให้รอด

  • มีสถานการณ์อื่นใดบ้างที่สมาชิกวัยเยาว์ของศาสนจักรอาจเผชิญซึ่งการรู้หลักธรรมนี้จะเป็นประโยชน์

เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองและเขียนในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขาถึงวิธีที่พระเจ้าทรงเพิ่มพูนความพยายามของพวกเขาเพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้พวกเขาทำ ท่านอาจเชื้อเชิญให้นักเรียนสองสามคนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเขียนกับชั้นเรียน หากพวกเขาสบายใจที่จะทำเช่นนั้น

แบ่งปันประจักษ์พยานของท่านว่าเมื่อเราถวายทุกสิ่งที่เรามีแด่พระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะทรงขยายสิ่งที่เราถวายพระองค์เพื่อทำให้จุดประสงค์ของพระองค์บรรลุผลสำเร็จ กระตุ้นให้นักเรียนประยุกต์ใช้หลักธรรมนี้ในชีวิตของพวกเขา

มาระโก 6:45–56

พระเยซูทรงดำเนินบนทะเลและทรงรักษาคนป่วย

สรุป มาระโก 6:45–56 โดยอธิบายว่าหลังจากพระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคนห้าพันคน พระองค์รับสั่งให้สานุศิษย์ของพระองค์ลงเรือและแล่นออกไปอีกฟากหนึ่งของทะเลกาลิลี จากนั้นพระองค์ทรงส่งฝูงชนกลับบ้าน มีพายุเกิดขึ้นตอนกลางคืน พระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรจากภูเขาขณะสานุศิษย์ของพระองค์พยายามดีกรรเชียงด้วยความยากลำบากแต่ยังไปไม่ถึงไหน จากนั้นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปหาพวกเขา พายุสงบลง พวกเขาไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลกาลิลีอย่างปลอดภัย

  • ในกรณีนี้ พลังอำนาจของพระเจ้าช่วยให้สานุศิษย์ของพระองค์บรรลุสิ่งที่พระองค์ทรงรับสั่งให้พวกเขาทำอย่างไร

ท่านอาจสรุปบทเรียนโดยการเชื้อเชิญนักเรียนที่เต็มใจแบ่งปันความรู้สึกหรือประจักษ์พยานของพวกเขาเกี่ยวกับความจริงที่ได้สนทนาในวันนี้

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

มาระโก 6:26 “เพราะเห็นแก่หน้าแขก”

เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองให้แนวคิดที่จะช่วยเยาวชนต่อต้านแรงกดดันจากเพื่อน

“ท่านไม่สามารถทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยได้โดยไม่ทำให้ซาตานไม่พอใจ ดังนั้นท่านจะได้รับแรงกดดันจากคนเหล่านั้นที่พวกเขาล่อลวงให้ทำผิด คนที่ทำผิดต้องการให้ท่านเข้าร่วมกับพวกเขาเพราะพวกเขาจะรู้สึกสบายใจในสิ่งที่พวกเขาทำมากกว่าเมื่อคนอื่นก็ทำด้วย พวกเขาอาจต้องการเอาเปรียบท่านด้วย เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องการเป็นที่ยอมรับจากเพื่อน เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม—บางคนเข้าร่วมแก๊งเนื่องจากอยากเป็นส่วนหนึ่ง แต่พวกเขาสูญเสียอิสรภาพ และบางคนสูญเสียชีวิต สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับท่านคือการรู้ว่าแท้จริงแล้วท่านเข้มแข็งอยู่แล้วเพียงใดและคนอื่นเคารพท่านอย่างเงียบๆ มากเพียงใด เรามีความเชื่อมั่นในตัวท่านมาก ท่านไม่จำเป็นต้องลดมาตรฐานของท่านเพื่อให้เพื่อนที่ดียอมรับท่าน ยิ่งท่านเชื่อฟัง ยิ่งท่านยืนหยัดในหลักธรรมที่แท้จริง พระเจ้าจะยิ่งทรงช่วยท่านเอาชนะการล่อลวง ท่านช่วยคนอื่นได้ด้วยเพราะพวกเขาจะรู้สึกถึงความเข้มแข็งของท่าน ให้พวกเขารู้เกี่ยวกับมาตรฐานของท่านโดยการดำเนินชีวิตตามนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน ตอบคำถามเกี่ยวกับหลักการของท่านเมื่อมีผู้ถาม แต่พยายามหลีกเลี่ยงการสั่งสอน ข้าพเจ้ารู้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่าสิ่งนี้ได้ผล

“ไม่มีใครตั้งใจทำผิดพลาดร้ายแรง ความผิดเหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อท่านลดมาตรฐานของท่านเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับ ท่านต้องเป็นคนเข้มแข็ง ท่านต้องเป็นผู้นำ เลือกเพื่อนที่ดีและต่อต้านแรงกดดันจากเพื่อนด้วยกัน” (“Making the Right Choices,” Ensign, พ.ย. 1994, 37)

เอ็ลเดอร์ลินน์ จี. รอบบินส์แห่งสาวกเจ็ดสิบสอนสิ่งต่อไปนี้เกี่ยวกับแรงกดดันจากเพื่อน

“การพยายามทำให้ผู้อื่นพึงพอใจมากกว่าทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเป็นการสลับที่ระหว่าง พระบัญญัติสำคัญข้อแรกกับข้อที่สอง (ดู มัทธิว 22:37–39) นั่นเป็นการลืมว่าเราหันหน้าไปทางใด กระนั้นเราทุกคนเคยทำความผิดพลาดเพราะความกลัวมนุษย์ ในอิสยาห์ พระเจ้าทรงเตือนเราว่า ‘อย่ากลัวการเยาะเย้ยของมนุษย์’ (อิสยาห์ 51:7; ดู 2 นีไฟ 8:7ด้วย) ในความฝันของลีไฮความกลัวนี้เกิดขึ้นโดย การชี้นิ้วเยาะเย้ย จากอาคารใหญ่และกว้าง ทำให้หลายคนลืมไปว่าพวกเขาหันหน้าไปทางใดและผละออกจากต้นไม้ด้วย ‘ความละอาย’ (ดู 1 นีไฟ 8:25–28)

แรงกดดัน จากเพื่อนนี้พยายามเปลี่ยนเจตคติของบุคคลหรือไม่ก็พฤติกรรม โดยทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกผิดจากการที่ไม่เห็นพ้องกับผู้อื่น เราพยายามอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพกับผู้ชี้นิ้ว แต่เมื่อความกลัวมนุษย์ล่อลวงให้เราไม่ถือโทษต่อบาป สิ่งนี้กลายเป็น ‘บ่วง’ ตามที่หนังสือสุภาษิตกล่าว (ดู สุภาษิต 29:25) บ่วงอาจทำให้ดูน่าสนใจอย่างชาญฉลาดโดยทำให้เรารู้สึกสงสารจึงยอมโอนอ่อนผ่อนปรนหรือแม้กระทั่งเห็นชอบกับบางสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกล่าวโทษ เพราะความอ่อนแอของศรัทธา สิ่งนี้จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ ตัวอย่างเช่น ผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวมีความกลัวมนุษย์ในสนามเผยแผ่และไม่ยอมรายงานให้ประธานคณะเผยแผ่ทราบถึงการฝ่าฝืนกฎที่เห็นได้อย่างชัดเจนของคู่ เพราะพวกเขาไม่อยากขัดใจคู่ที่ออกนอกลู่นอกทาง ตัวกำหนดอุปนิสัยดูจากการระลึกถึงลำดับที่ถูกต้องของพระบัญญัติข้อสำคัญข้อหนึ่งและข้อสอง (ดู มัทธิว 22:37–39) เมื่อผู้สอนศาสนาที่สับสนตระหนักว่าพวกเขามีภาระรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่คู่ของพวกเขา พวกเขาพึงกล้าหาญที่จะ หันหน้าไปในทิศทางตรงกันข้าม ” (“ท่านหันหน้าไปทางใด?” เลียโฮนา, พ.ย. 2014, 9)

มาระโก 6:35–44 การเลี้ยงอาหารคนห้าพันคน

ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ แห่งฝ่ายประธานสูงสุดสอนว่าพลังอำนาจของพระผู้ช่วยให้รอดในการเพิ่มจำนวนขนมปังและปลาแสดงว่าพระองค์จะทรงขยายความพยายามอันซื่อสัตย์ของเราในการรับใช้ในศาสนจักรของพระองค์ แม้เมื่อเรารู้สึกว่าความพยายามของเรามีเท่ากับขนมปังสองสามก้อนและปลาสองสามตัวเท่านั้น

“มีบุคคลไม่ปรากฎนามหลายคนที่มีพรสวรรค์เท่าเทียมกับขนมปังห้าก้อนและปลาเล็กๆ สองตัวเท่านั้น แต่เขาขยายการเรียกของเขา [ในศาสนจักร] และรับใช้โดยปราศจากคนมาสนใจหรือให้เกียรติ โดยการเลี้ยงดูคนหลายพันคนจริงๆ … คนเหล่านี้เป็นผู้นำและครูหลายแสนคนในทุกองค์การช่วยและโควรัมฐานะปุโรหิต ผู้สอนประจำบ้าน ผู้เยี่ยมสอนสมาคมสงเคราะห์ คนเหล่านี้เป็นอธิการผู้อ่อนน้อมถ่อมตนหลายคนในศาสนจักร บางคนไม่ได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการ แต่ได้ขยายการเรียกเป็นอย่างมาก เรียนรู้เสมอ ด้วยความปรารถนาที่อ่อนน้อมในการรับใช้พระเจ้าและผู้คนในวอร์ดของพวกเขา …

“สาเหตุหลักที่ศาสนจักรเติบโตขึ้นจากการเริ่มต้นที่ต่ำต้อยไปสู่ความเข้มแข็งในปัจจุบันคือความซื่อสัตย์และอุทิศตนของผู้คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนหลายล้านคนที่มีเพียงขนมปังห้าก้อนและปลาเล็กๆ เพียงสองตัวมาถวายในการรับใช้พระอาจารย์” (“Five Loaves and Two Fishes,” Ensign, พ.ค. 1994, 5, 6)