คลังค้นคว้า
บทที่ 16: มัทธิว 13:24–58


บทที่ 16

มัทธิว 13:24–58

คำนำ

พระผู้ช่วยให้รอดประทานอุปมาเพื่อสอนเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ การฟื้นฟูและการเติบโตของศาสนจักรของพระองค์ในยุคสุดท้าย การรวมของคนชอบธรรม และการทำลายล้างของคนชั่วร้ายในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

มัทธิว 13:24–30, 36–43

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนและอธิบายอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมาน

ก่อนชั้นเรียน ให้เขียนคำถามต่อไปนี้บน กระดาน

ท่านเคยไม่พอใจหรือร้อนใจเนื่องจากมีความชั่วร้ายมากมายในโลกนี้หรือไม่

เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงขจัดความชั่วร้ายที่อยู่รอบข้างเรา

เหตุใดฉันจึงควรเลือกเป็นคนชอบธรรมเมื่อคนรอบข้างฉันดูเหมือนจะไม่ได้รับผลร้ายจากการเลือกที่ไม่ชอบธรรมของพวกเขาเลย

ตอนเริ่มบทเรียน ขอให้นักเรียนไตร่ตรองคำถามบนกระดาน จากนั้นเชิญพวกเขาแบ่งปันความคิดของพวกเขากับชั้นเรียน ขณะที่นักเรียนศึกษา มัทธิว 13:24–30, 36–43 ให้พวกเขามองหาความจริงที่จะช่วยพวกเขาพบการปลอบประโลมขณะพยายามดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมในโลกที่ชั่วร้าย

ภาพ
ข้าวสาลี ข้าวละมาน

แสดง ภาพ ประกอบของข้าวสาลีและข้าวละมานหรือวาดภาพบนกระดาน อธิบายว่าข้าวละมานเป็นวัชพืชมีพิษชนิดหนึ่ง ข้าวสาลีและข้าละมานหน้าตาเกือบเหมือนกันเมื่อเริ่มงอก แต่เมื่อโตเต็มที่จะสามารถแยกออกได้

อธิบายว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน เชิญนักเรียนสองสามคนให้ผลัดกันอ่านออกเสียงจากมัทธิว 13:24–30 และจากบางส่วนในงานแปลของโจเซฟ สมิธ, มัทธิว 13:29 ซึ่งเปลี่ยนบางส่วนของข้อ 29 เป็น“จงเก็บข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของเราก่อน; และมัดข้าวละมานเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย” ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าวสาลีและข้าวละมาน

  • เกิด อะไร ขึ้นกับข้าวสาลีและข้าวละมาน (มีผู้หว่าน [ปลูก] และปล่อยให้เติบโตไปด้วยกัน จากนั้นพวกเขาเก็บข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉาง ส่วนข้าวละมานถูกมัดเป็นฟ่อนและเผาไฟ)

  • เหตุใดคนที่หว่านเมล็ดพืชดีจึงบอกบรรดาทาสของเขาให้ปล่อยข้าวสาลีกับข้าวละมาน “เติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว” (ถ้าผู้เก็บเกี่ยวพยายามถอนข้าวละมานออกก่อนที่ข้าวสาลีและข้าวละมานโตเต็มที่ พวกเขาจะทำลายข้าวสาลีส่วนใหญ่ไปด้วยเช่นกัน)

  • ตามที่กล่าวไว้ใน งานแปลของโจเซฟ สมิธ, มัทธิว 13:29 อะไรที่ถูกนำไปรวบรวมไว้ก่อน —ข้าวสาลีหรือข้าวละมาน

อธิบายว่าหลังจากพระผู้ช่วยให้รอดประทานอุปมาเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมาน สานุศิษย์ของพระองค์ขอให้พระองค์อธิบายความหมายของอุปมา เชิญนักเรียนสองสามคนผลัดกันอ่านออกเสียงจาก มัทธิว 13:36–43 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาคำอธิบายของพระผู้ช่วยให้รอดเกี่ยวกับอุปมานั้น

  • ใครหว่านหรือปลูกเมล็ดพืชดี (พระผู้ช่วยให้รอด)

  • ใครหว่านหรือปลูกข้าวละมาน (มาร)

  • ข้าวสาลีและข้าวละมานหมายถึงสิ่งใด (คนชอบธรรมและคนชั่วร้าย อธิบายว่าคนชั่วร้ายคือคนที่เลือกไม่กลับใจ [ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 29:17])

อธิบายว่างานแปลของโจเซฟ สมิธชี้แจงว่า “ฤดูเกี่ยว” หรือ “เวลาสิ้นยุค” ดังที่กล่าวใน ข้อ 39 หมายถึงการทำลายล้างคนชั่วร้ายในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด งานแปลของโจเซฟ สมิธช่วยให้เราเข้าใจว่าในวันเวลาสุดท้ายพระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์และผู้ส่งสารมาช่วยแยกคนชอบธรรมออกจากคนชั่วร้าย (ดู งานแปลของโจเซฟ สมิธ, มัทธิว 13:39–44 [ใน Bible Dictionary ของพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาอังกฤษฉบับ LDS ])

  • ตามที่กล่าวไว้ในอุปมา จะเกิดอะไรขึ้นกับคนชอบธรรมและคนชั่วร้ายในวันเวลาสุดท้าย (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาระบุความจริงต่อไปนี้ พระเจ้าจะทรงรวมคนชอบธรรมระหว่างวันเวลาสุดท้ายและจากนั้นจะทรงทำลายคนที่ชั่วร้ายในการเสด็จมาของพระองค์ โดยใช้คำพูดของนักเรียน ให้เขียนความจริงนี้บนกระดาน)

  • ความจริงนี้นำการปลอบประโลมมาสู่เราอย่างไรขณะที่เราอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วร้าย (พระเจ้าจะขจัดความชั่วร้ายออกไปจากโลกในท้ายที่สุดและประทานรางวัลแก่คนที่ซื่อสัตย์)

อธิบายกับนักเรียนว่าเนื่องจากสิทธิ์เสรีของเรา เรากำหนดโดยการเลือกของเราว่าเราจะถูกรวมอยู่กับคนชอบธรรมหรือทนทุกข์กับคนชั่วร้าย

  • เราต้องทำอะไรจึงจะถูกรวมอยู่กับคนชอบธรรม

เพื่อช่วยให้นักศึกษาเข้าใจว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้พระเจ้าทรงรวมเราไว้ด้วยกัน เชิญนักศึกษาคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง

ภาพ
เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

“พระเจ้าทรงรวมผู้คนของพระองค์เมื่อพวกเขายอมรับพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ …

“… พระเจ้าทรงรวมผู้คนของพระองค์มานมัสการ มาสร้างศาสนจักร เพื่อปกป้อง และเพื่อรับคำแนะนำและการสอน …

“ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธประกาศว่าในทุกยุคจุดประสงค์อันสูงส่งของการรวมคือเพื่อสร้างพระวิหารเพื่อว่าบุตรธิดาของพระเจ้าจะได้รับศาสนพิธีอันสูงสุดและดังนั้นจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ [ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 416–17]” (The Spirit and Purposes of Gathering [Brigham Young University–Idaho devotional, Oct. 31, 2006], byui.edu)

  • ตามที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์กล่าว เราต้องทำอะไรพระเจ้าจึงจะทรงรวมเรา

  • พรใดเกิดขึ้นในชีวิตท่านเมื่อพระเจ้าทรงรวมท่าน

ภาพ
ผู้สอนศาสนา: เอ็ลเดอร์
ภาพ
ผู้สอนศาสนา: ซิสเตอร์
ภาพ
พระวิหารซอลท์เลค

แสดง ภาพ ผู้สอนศาสนา: เอ็ลเดอร์; ผู้สอนศาสนา: ซิสเตอร์; และ พระวิหารซอลท์เลค (หนังสือภาพพระกิตติคุณ [2009], หมายเลข 109, 110, 119; ดู LDS.orgด้วย)

  • ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยพระผู้ช่วยให้รอดในการรวมบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์

  • ท่านได้รับพรใดบ้างเมื่อท่านช่วยพระเจ้ารวมคนที่ชอบธรรมผ่านงานเผยแผ่ศาสนาและงานพระวิหาร

ให้ความมั่นใจกับนักเรียนว่าเนื่องจากเราทุกคนล้วนทำผิดพลาด พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื้อเชิญให้เรากลับใจเพื่อว่าพระองค์จะทรงรวมเราอยู่กับคนชอบธรรม เชิญให้นักเรียนไตร่ตรองสิ่งที่พวกเขาทำได้เพื่อรวมตนเอง ครอบครัวของพวกเขา และคนอื่นๆ มาสู่พระผู้ช่วยให้รอดและศาสนจักรของพระองค์ เชื้อเชิญนักเรียนให้ทำตามการกระตุ้นเตือนที่พวกเขาได้รับ

มัทธิว 13:31–35, 44–52

พระเยซูทรงใช้อุปมาสอนเรื่องแผ่นดินสวรรค์

แสดง ภาพ ของสิ่งต่อไปนี้หรือวาดภาพบนกระดาน:เมล็ดมัสตาร์ด เชื้อขนมปัง (หรือขนมปัง—อธิบายว่าเชื้อขนมปังใช้ในการทำอาหารและใช้ผสมแป้งขนมปังเพื่อให้ฟูก่อนอบ) ไข่มุก กล่องเล็กๆ สำหรับใส่ของมีค่า และอวน

ภาพ
เมล็ดมัสตาร์ด เชื้อขนมปัง ไข่มุก ขุมทรัพย์ อวน

อธิบายว่าในอุปมาต่างๆ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปรียบเทียบสิ่งต่อไปนี้กับแผ่นดินสวรรค์ เตือนนักเรียนว่าแผ่นดินสวรรค์หมายถึงศาสนจักรและพระกิตติคุณของพระผู้ช่วยให้รอด เขียนข้ออ้างอิงต่อไปนี้บนกระดาน: มัทธิว 13:31–32; มัทธิว 13:33; มัทธิว 13:44; มัทธิว 13:45–46; มัทธิว 13:47–50. แบ่งนักเรียนออกเป็นคู่ๆ หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ และมอบหมายข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้บน กระดาน คู่ละหนึ่งชุดหรือกลุ่มละหนึ่งชุด เชิญแต่ละคู่หรือแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมต่อไปนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ (ท่านอาจต้องทำรายชื่อกิจกรรมเป็นเอกสารแจก)

  1. อ่านข้อที่ได้รับมอบหมายด้วยกัน

  2. สนทนาว่า วัตถุใดที่พระผู้ช่วยให้รอดเปรียบว่าเป็นศาสนจักรของพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์

  3. สนทนาว่าความจริงใดที่ท่านคิดว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงกำลังสอนในอุปมาเกี่ยวกับศาสนจักรของพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์ ให้เขียนความจริงนั้นลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของท่าน

หลังจากให้เวลาพอสมควร เชิญนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายอุปมาเรื่องเชื้อขนมปังและนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดอ่านออกเสียงอุปมาของพวกเขาให้ชั้นเรียนฟัง

เชิญนักเรียนสองสามคนอ่านความจริงที่พวกเขาเขียนไว้กับชั้นเรียน (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาระบุความจริงทำนองนี้ ศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์จะเติบโตขึ้นจากการเริ่มต้นเล็กๆ จนเติมเต็มทั้งโลก เขียนความจริงนี้ไว้บนกระดาน)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านคำกล่าวต่อไปนี้จากประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ ผู้ที่สอนว่าผู้ติดตามของพระเยซูคริสต์เปรียบเหมือนเชื้อขนมปังอย่างไร

ภาพ
ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ

“อาจมีการกล่าว และประเมินได้ว่าเป็นความจริง ว่าเรามีจำนวนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับเพื่อนพี่น้องของเราในโลก แต่เราอาจเทียบได้กับเชื้อขนมปังที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ ในที่สุดเชื้อขนมปังนั้นจะส่งเสริมโลกทั้งโลกให้ดีขึ้น” (Gospel Doctrine, 5th ed. [1939], 74)

  • เราจะทำอะไรได้บ้างในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเพื่อช่วยให้ศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอดเติบโต

เชิญนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ในทุ่งนา นักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายอุปมาเรื่องไข่มุกอันล้ำค่า และนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายอุปมาเรื่องอวนให้อ่านออกเสียงอุปมาของพวกเขากับชั้นเรียน เชิญนักเรียนสองสามคนอ่านความจริงที่พวกเขาเขียนไว้กับชั้นเรียน (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ให้แน่ใจว่าพวกเขาควรระบุหลักธรรมทำนองนี้ เนื่องจากพรของพระกิตติคุณมีค่านิรันดร์ จึงคุ้มค่าแก่การเสียสละทุกสิ่ง โดยใช้คำพูดของนักเรียน ให้เขียนความจริงนี้บนกระดาน)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักธรรมนี้ เขียนหัวข้อต่อไปนี้บน กระดาน

พรของพระกิตติคุณ

การเสียสละเพื่อได้รับพร

ขอให้นักเรียนเขียนรายการพรบางอย่างของพระกิตติคุณ (ตัวอย่างอาจรวมถึงความรู้จากพระคัมภีร์ การนำทางจากศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ ศาสนพิธีแห่งความรอด และการแต่งงานนิรันดร์) สำหรับพรแต่ละอย่างในรายการ ขอให้นักเรียนอธิบายว่าการเสียสละอะไรที่พวกเขาต้องทำเพื่อได้รับพรนั้น เขียนคำตอบของนักเรียนไว้บนกระดาน

ขอให้นักเรียนเลือกพรหนึ่งบนกระดานและอธิบายว่าทำไมการได้พรนั้นจึงคุ้มค่าแก่การเสียสละ

  • มีช่วงเวลาใดที่ท่านหรือคนที่ท่านรู้จักเสียสละบางสิ่งเพื่อได้รับพรของพระกิตติคุณ

เขียนคำถามต่อไปนี้บนกระดาน และเชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนคำตอบของคำถามเหล่านี้ลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา

พรใดของพระกิตติคุณที่ท่านปรารถนาจะได้รับ

เหตุใดท่านจึงปรารถนาพรนั้น

ท่านอาจต้องเสียสละอะไรเพื่อได้รับพรนั้น

มัทธิว 13:53–58

พระเยซูทรงสอนในนาซาเร็ธและถูกปฏิเสธจากคนของพระองค์

สรุป มัทธิว 13:53–58 โดยอธิบายว่าชาวนาซาเร็ธปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดและคำสอนของพระองค์ เนื่องจากความไม่เชื่อของพวกเขา พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงทำปาฏิหาริย์หลายอย่างท่ามกลางพวกเขา (ดู โมโรไน 7:37ด้วย)

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

มัทธิว 13 การรวมอิสราเอล

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสรุปหัวข้อใน มัทธิว 13 เมื่อท่านสอนสิ่งต่อไปนี้

“พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด ตามที่บันทึกในบทที่ 13 ของพระกิตติคุณของพระองค์ของท่านมัทธิว, …ทำให้เราเข้าใจอย่างแจ้งชัดในเรื่องสำคัญของการรวมเท่าที่บันทึกไว้ในไบเบิล” (ใน History of the Church, 2:264)

เอ็ลเดอร์รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าเราสามารถช่วยรวมอิสราเอลได้ในทั้งสองด้านของม่านดังนี้

“แนวคิดเรื่องการรวมเป็นคำสอนสำคัญเรื่องหนึ่งในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย … เราไม่เพียงสอนหลักคำสอนนี้เท่านั้น แต่เรามีส่วนร่วมด้วย เราทำเช่นนั้นขณะช่วยรวมผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกทั้งสองด้านของม่าน …

“… เรารวบรวมแผนภูมิลำดับเชื้อสาย กรอกบันทึกกลุ่มครอบครัว และทำงานพระวิหารแทนคนตายเพื่อรวมผู้คนมาหาพระเจ้าและครอบครัวของพวกเขา” (“การรวบรวมอิสราเอลที่กระจัดกระจาย,” เลียโฮนา, พ.ย. 2006, 99)

แผนภูมิ ต่อไปนี้แสดงว่าอุปมาของ มัทธิว 13 สอนเกี่ยวกับการรวมอิสราเอลและการเติบโตของศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอดนับตั้งแต่การปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยจนถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์อย่างไร

อุปมาใน มัทธิว 13

การรวม

ผู้หว่าน (ข้อ 3–23)

พระเยซูคริสต์และอัครสาวกของพระองค์หว่านเมล็ดพืชของพระกิตติคุณในสมัยของท่านเหล่านั้น

ข้าวสาลีและข้าวละมาน (ข้อ 24–30, 36–43)

คนชอบธรรมและคนชั่วร้ายเติบโตขึ้นด้วยกันในสมัยพันธสัญญาใหม่ ในท้ายที่สุดนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ ในยุคสุดท้าย คนชอบธรรมจะถูกรวมในศาสนจักรและคนชั่วร้ายจะถูกทำลาย

เมล็ดมัสตาร์ด (ข้อ 31–32)

ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์จะได้รับการฟื้นฟู จากการเริ่มต้นเล็กๆ ศาสนจักรจะเติบโต ขยาย และเป็นศาสนจักรทั่วโลกที่สง่างาม

เชื้อขนมปัง (ข้อ 33)

ศาสนจักรยุคสุดท้ายจะกระจายไปทั่วโลก สนับสนุนโดยเชื้อของประจักษ์พยานที่มาจากพยานสามปากและพระคัมภีร์ยุคสุดท้าย

ขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ (ข้อ 44) และไข่มุกอันล้ำค่า (ข้อ 45–46)

คนชอบธรรมจะถูกรวมสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า วิสุทธิชนยุคสุดท้ายจะเสียสละและทำงานเพื่อสร้างไซอัน

อวน (ข้อ 47–50)

คนทุกประเภทจะถูกรวมเข้าสู่ศาสนจักร ในเวลาสิ้นยุค คนชั่วจะถูกขับออกและถูกทำลาย

(ดัดแปลงจาก คู่มือนักเรียน พันธสัญญาใหม่ [คู่มือของระบบการศึกษาศาสนจักร, 2014], 43–44)

มัทธิว 13:31–32 อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนมปัง

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้คำอธิบายเกี่ยวกับอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อดังต่อไปนี้

“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง …’ [มัทธิว 13:31] เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าข้อนี้หมายถึงศาสนจักรที่จะออกมาในวันเวลาสุดท้าย …

“ขอให้เราหยิบพระคัมภีร์มอรมอนขึ้นมา ซึ่งชายคนหนึ่งนำไปซ่อนไว้ในทุ่งของเขาและเก็บรักษาด้วยศรัทธา เพื่อให้งอกออกมาในวันเวลาสุดท้ายหรือในเวลาที่เหมาะสม ขอให้เรามองดูขณะมันออกมาจากผืนดิน ซึ่งความจริงแล้วเป็นเมล็ดเล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดทั้งหลาย แต่จงดูมันแตกกิ่งก้าน แท้จริงแล้วแม้สูงเทียมเมฆ กิ่งก้านสูงลิ่วและความสง่างามเหมือนพระผู้เป็นเจ้า จนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในบรรดาพืชสมุนไพรทั้งหลายเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด และนั่นคือความจริง มันงอกออกมาจากแผ่นดินโลกและความชอบธรรมเริ่มมองลงมาจากสวรรค์ [ดู สดุดี 85:11; โมเสส 7:62] และพระผู้เป็นเจ้ากำลังส่งพลังอำนาจ ของประทาน และเหล่าเทพของพระองค์ลงมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน …

“‘… แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อขนมปัง …’ [มัทธิว13:33] เป็นที่เข้าใจว่าศาสนจักรของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้เพิ่มขึ้นจากเชื้ออันเล็กน้อยที่ใส่ไว้ในพยานสามคน ดูเถิด นี่ช่างเหมือนอุปมานี้ยิ่งกระไร มันฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว และอีกไม่นานจะฟูจนเต็ม” (ดูคำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 483)

เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าผู้ติดตามพระเยซูคริสต์จะเป็นเหมือนเชื้อขนมปังได้อย่างไร ดังนี้

“เราต้องอาศัยอยู่ ใน โลกแต่ไม่เป็น ของ โลก เราต้องอาศัยอยู่ในโลกเพราะว่า ดังที่พระเยซูทรงสอนในอุปมา อาณาจักรของพระองค์ก็เป็น ‘เหมือนเชื้อ’ ซึ่งมีหน้าที่คือทำให้ขนมปังทั้งหมดฟูขึ้น (ดู ลูกา 13:21; มัทธิว 13:33; ดู 1 โครินธ์ 5:6–8 ด้วย) ผู้ติดตามพระองค์ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้หากพวกเขาคบหาสมาคมเฉพาะกับผู้ที่มีความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติเดียวกันเท่านั้น” (“รักผู้อื่นและอยู่ร่วมกับผู้ที่แตกต่าง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2014, 25)