คลังค้นคว้า
บทที่ 63: ยอห์น 4


บทที่ 63

ยอห์น 4

คำนำ

ขณะทรงเดินทางไปแคว้นกาลิลี พระเยซูเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและสอนหญิงคนหนึ่งที่บ่อน้ำ หญิงคนนั้นเป็นพยานต่อคนอื่นว่าพระเยซูคือพระคริสต์ หลังจากนั้น พระเยซูทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการคนหนึ่ง

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

ยอห์น 4:1–42

พระเยซูทรงสอนหญิงคนหนึ่งจากสะมาเรีย

เขียนคำถามต่อไปนี้ไว้บน กระดาน

อะไรคือทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าที่สุดบนแผ่นดินโลก

ขอให้นักเรียนตอบคำถามบนกระดาน พิจารณาแสดงภาพทรัพยากรธรรมชาติเช่น ดิน เหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน ทอง หรือเพชร

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้โดยเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง

ภาพ
เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

“ในตอนแรกเราอาจคิดว่าทอง น้ำมัน หรือเพชรมีค่ามากที่สุด แต่แร่ เหล็ก อัญมณี และสสารทั้งหมดที่พบบนและในโลกนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือน้ำ” (“A Reservoir of Living Water” [ไฟร์ไซด์ระบบการศึกษาของศาสนจักรสำหรับคนหนุ่มสาว, 4 กุมภาพันธ์ 2007], 1, lds.org/broadcasts)

ให้นักเรียนดูแก้วใสที่มีน้ำสะอาด

  • เหตุใดน้ำสะอาดจึงมีค่ามาก (ท่านอาจเชื้อเชิญนักเรียนหนึ่งหรือสองคนให้แบ่งปันประสบการณ์ที่ช่วยให้พวกเขาเห็นคุณค่าความสำคัญของน้ำ)

เชื้อเชิญให้นักเรียนมองหาว่าพระเยซูทรงเปรียบเทียบน้ำกับอะไรเมื่อพวกเขาศึกษา ยอห์น 4

สรุป ยอห์น 4:1–3 โดยอธิบายว่าพระเยซูเสด็จออกจากแคว้นยูเดียและเสด็จไปที่แคว้นกาลิลี

ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:4 ขอให้ชั้นเรียนมองหาบริเวณที่พระเยซูเสด็จผ่านขณะทรงเดินทางไปที่แคว้นกาลิลี ขอให้นักเรียนรายงานสิ่งที่พบ

เชื้อเชิญให้นักเรียนหาแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และแคว้นกาลิลีในแผนภูมิ “พระชนม์ชีพมรรตัยของพระเยซูคริสต์โดยสังเขป” (พบใน บทที่ 5) หรือเชื้อเชิญให้พวกเขามองหาในแผนที่พระคัมภีร์ไบเบิล แผนที่ 11, “แผ่นดินบริสุทธิ์ในสมัยพันธสัญญาใหม่” เพื่อหาที่ตั้งของทั้งสามแคว้น

  • เหตุใดจึงสำคัญที่พระเยซูเสด็จ ผ่าน แคว้นสะมาเรียแทนที่จะอ้อมไป (ปกติแล้วชาวยิวจะเดินทางอ้อมแคว้นสะมาเรียแทนที่จะผ่านเนื่องจากการไม่ลงรอยกันระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรีย [ดู เจมส์ อี. ทาลเมจ, Jesus the Christ, 3rd ed. (1916), 172])

ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:6–9 เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาสิ่งที่พระเยซูทรงถามหญิงคนหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงแวะที่แคว้นสะมาเรีย

  • พระเยซูทรงถามอะไรหญิงคนนี้

  • เหตุใดเธอจึงประหลาดใจเมื่อพระเยซูขอน้ำเธอดื่ม

ภาพ
พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย

แสดงภาพ พระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย (หนังสือภาพพระกิตติคุณ [2009], ภาพที่ 36; ดู LDS.org ด้วย)

ขอให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่านออกเสียง ยอห์น 4:10–12 เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาพระดำรัสที่พระเยซูทรงตอบหญิงคนนั้น

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 10 พระผู้ช่วยให้รอดทรงเสนออะไรให้กับหญิงคนนี้ (อธิบายว่าวลี “ของที่พระเจ้าประทาน” หมายถึงพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลก)

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 11 หญิงคนนี้ทูลถามอะไรพระเยซู

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:13–14 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับน้ำที่พระองค์ทรงเสนอ

  • พระเยซูตรัสว่าอะไรเกี่ยวกับน้ำที่พระองค์ทรงเสนอ

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้โดยเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยฟังดูว่าน้ำดำรงชีวิตเป็นตัวแทนของอะไร

ภาพ
เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

“น้ำดำรงชีวิตที่กล่าวถึงในตอนนี้เป็นตัวแทนของพระเจ้าพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์ และเพราะว่าน้ำนั้นจำเป็นต่อการค้ำจุนชีวิตทางร่างกาย ดังนั้นพระผู้ช่วยให้รอดและหลักคำสอน หลักธรรม ตลอดจนศาสนพิธีของพระองค์จึงจำเป็นสำหรับชีวิตนิรันดร์ ท่านและข้าพเจ้าต้องการน้ำดำรงชีวิตของพระองค์ทุกวันและในปริมาณที่เพียงพอต่อการค้ำจุนการเติบโตและการพัฒนาทางวิญญาณที่ต่อเนื่อง” (“แหล่งน้ำดำรงชีวิต,” 2)

  • ตามคำกล่าวของเอ็ลเดอร์เบดนาร์ น้ำดำรงชีวิตเป็นตัวแทนของอะไร

แก้วน้ำที่ท่านนำมาแสดง ให้ติดป้ายเขียนว่า พระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์

  • เหตุใดน้ำจึงเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะสมของพระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์

  • ท่านจะสรุปพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดใน ข้อ 14 เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งได้อย่างไร (นักเรียนอาจใช้คำพูดของพวกเขาเองแต่ควรระบุหลักธรรมต่อไปนี้ ถ้าเรามาหาพระเยซูคริสต์และรับส่วนพระกิตติคุณของพระองค์อย่างจริงจัง เราจึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์)

ขอให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่านออกเสียง ยอห์น 4:15–18 เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าหญิงคนนี้ขออะไรพระเยซูและพระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบอย่างไร

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 15 หญิงคนนี้ขออะไรพระเยซู

อธิบายว่าพระดำรัสตอบของพระเยซูช่วยให้หญิงคนนี้เข้าใจความจำเป็นของเธอที่ต้องได้รับน้ำดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงเสนอ

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 17–18 พระเยซูทรงเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับหญิงคนนี้ (ชี้ให้เห็นว่าพระดำรัสตอบของพระเยซูระบุว่าพระองค์ทรงทราบว่าหญิงคนนี้มีปัญหากับสัมพันธภาพการแต่งงานที่มีความหมายและยั่งยืน แต่การอยู่กับชายที่ไม่ใช่สามีเธอนั้น เธอกำลังไม่เชื่อฟังกฎความบริสุทธิ์ทางเพศ)

  • หญิงคนนี้อาจมีความคิดหรือความรู้สึกอะไรเมื่อพระเยซูทรงเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเธอที่คนแปลกหน้าทั่วไปคงไม่อาจรู้ได้

  • พระคำของพระผู้ช่วยให้รอดอาจช่วยให้หญิงคนนี้ตระหนักว่าเธอจำเป็นต้องได้รับน้ำดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงเสนออย่างไร

  • เราสามารถเรียนรู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดจากข้อเหล่านี้ (หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ให้เขียนความจริงต่อไปนี้บนกระดาน พระเยซูคริสต์ทรงทราบบาปของเราและทรงเสนอพระกิตติคุณของพระองค์เพื่อช่วยเราเอาชนะบาปเหล่านั้น)

  • เหตุใดจึงสำคัญที่ต้องเข้าใจความจริงนี้

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:19–20 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าหญิงคนนี้พูดอะไรกับพระเยซู

  • หญิงคนนี้พูดอะไรที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับพระเยซูเปลี่ยนไป

อธิบายว่าในแคว้นสะมาเรียมีภูเขาชื่อว่าภูเขาเกริซิม หลายศตวรรษก่อนการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยของพระผู้ช่วยให้รอด ชาวสะมาเรียสร้างพระวิหารที่นั่นเพื่อเป็นสถานที่แห่งการนมัสการ อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับชาวยิว ชาวสะมาเรียไม่มีสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในการปฏิบัติศาสนพิธี พวกเขาปฏิเสธคำสอนหลายอย่างของศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

เชื้อเชิญนักเรียนสองสามคนผลัดกันอ่านออกเสียงจาก ยอห์น 4:21–23 รวมถึงงานแปลของโจเซฟ สมิธ, ยอห์น 4:26 (ใน คู่มือพระคัมภีร์) ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาสิ่งที่พระเยซูทรงสอนหญิงคนนี้เกี่ยวกับการนมัสการพระผู้เป็นเจ้า

  • ผู้นมัสการที่แท้จริงนมัสการพระบิดาบนสวรรค์อย่างไร

  • ตามที่กล่าวไว้ในงานแปลของโจเซฟ สมิธ พรอะไรที่จะมาเมื่อเรานมัสการพระผู้เป็นเจ้า “ด้วยวิญญาณและด้วยความจริง”

  • เราสามารถเรียนรู้หลักธรรมอะไรจากข้อเหล่านี้ (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่ควรระบุหลักธรรมต่อไปนี้ ถ้าเรานมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริง พระองค์จะประทานพรเราด้วยพระวิญญาณของพระองค์)

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อความต่อไปนี้โดยเอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ขอให้ชั้นเรียนมองหาและทำเครื่องหมายว่าการนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริงหมายความว่าอย่างไร

ภาพ
เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี

“จุดประสงค์ของเราคือเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงและทรงพระชนม์ เพื่อนมัสการโดยอำนาจของพระวิญญาณและในวิธีที่พระองค์ทรงกำหนด การนมัสการพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงซึ่งเป็นที่ยอมรับนำไปสู่ความรอด การอุทิศตนที่มอบให้พระเจ้าปลอมและไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความจริงนิรันดร์จะไม่ได้รับคำสัญญาเช่นนั้น

“ความรู้เรื่องความจริงจำเป็นต่อการนมัสการที่แท้จริง …

“… การนมัสการที่แท้จริงและสมบูรณ์แบบประกอบด้วยการทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้แก่การรักษาพระบัญญัติและการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระบิดาจนถึงระดับที่เราจะก้าวหน้าจากพระคุณไปสู่พระคุณจนกระทั่งเราได้รับรัศมีภาพในพระคริสต์ดังที่พระองค์ทรงได้รับในพระบิดาของพระองค์ นี่เป็นมากกว่าคำสวดอ้อนวอน การเทศนา และบทเพลง นี่เป็นการดำเนินชีวิต การทำ และการเชื่อฟัง การนมัสการเป็นการเลียนแบบชีวิตของพระผู้เป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ [พระเยซูคริสต์]” (“How to Worship,” Ensign, Dec. 1971, 129, 130)

  • ตามคำกล่าวของเอ็ลเดอร์แมคคองกี การนมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยวิญญาณและด้วยความจริงหมายความว่าอย่างไร

  • ท่านเคยได้รับพรเมื่อท่านพยายามนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริง เมื่อใด

เชื้อเชิญให้นักเรียนพิจารณาสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริงได้ดีขึ้น

  • ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:25–26 เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาว่าพระเยซูทรงเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระองค์ต่อหญิงคนนี้

  • พระเยซูทรงเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระองค์ต่อหญิงคนนี้

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:27–30 ขอให้ชั้นเรียนมองหาสิ่งที่หญิงคนนี้ทำหลังจากพูดกับพระผู้ช่วยให้รอด

  • หญิงคนนี้ทำอะไรหลังจากพูดกับพระผู้ช่วยให้รอด

  • เธอพูดอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเธอได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

  • เราสามารถเรียนรู้ความจริงอะไรจากเรื่องราวนี้เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกันแต่ควรระบุความจริงต่อไปนี้ เมื่อเราได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เราจะเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะแบ่งปันประจักษ์พยานกับผู้อื่น

สรุป ข้อ 31–37 โดยอธิบายว่าสานุศิษย์ของพระเยซูกลับมาพร้อมกับอาหาร เมื่อพวกเขาขอให้พระองค์เสวย พระองค์ทรงสอนพวกเขาว่าพระองค์ไม่ได้ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยการรับประทานอาหารแต่โดยการทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์ จากนั้นพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเขาเห็นว่าโอกาสสั่งสอนพระกิตติคุณมีอยู่มากมาย

เชื้อเชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง ยอห์น 4:39–42 ขอให้ชั้นเรียนมองหาว่าประจักษ์พยานของหญิงคนนั้นส่งผลต่อคนในเมืองของเธออย่างไร

  • ประจักษ์พยานของหญิงคนนั้นส่งผลต่อคนในเมืองของเธออย่างไร

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 42 ผู้คนพูดอะไรกับหญิงคนนั้น

เป็นพยานว่าเมื่อเรารู้จักพระผู้ช่วยให้รอดและรับส่วนน้ำดำรงชีวิตของพระองค์ เราจะเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะแบ่งปันประจักษ์พยานของเราเกี่ยวกับพระองค์กับผู้อื่น

ยอห์น 4:43–54

พระเยซูทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการ

สรุป ยอห์น 4:43–45 โดยอธิบายว่าหลังจากพระเยซูทรงสอนหญิงในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เสด็จเข้าไปในแคว้นกาลิลี ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับจากผู้คน

แจกสำเนา เอกสารแจก ต่อไปนี้ให้นักเรียน เชื้อเชิญให้พวกเขาอ่าน ยอห์น 4:46–54 ในใจและตอบคำถามในเอกสารแจก

ภาพ
เอกสารแจก, ยอห์น 4

ยอห์น 4:46–54

คู่มือครูเซมินารี พันธสัญญาใหม่—บทที่ 63

  1. ใครมาพบพระเยซูและเขาแสวงหาพรอะไรจากพระผู้ช่วยให้รอด

  2. ตามที่พระเยซูตรัส เหตุใดพระองค์จึงยังไม่ประทานพรที่ชายคนนี้แสวงหา

  3. ชายคนนี้แสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาไม่ต้องการหมายสำคัญเพื่อจะเชื่อ

  4. ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 51–53 ความเชื่อของชายคนนี้ในพระเยซูคริสต์ได้รับการยืนยันอย่างไร

  5. เราสามารถเรียนรู้หลักธรรมอะไรจากประสบการณ์ของชายคนนี้

หลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว เชื้อเชิญให้นักเรียนแบ่งปันคำตอบของพวกเขา เมื่อพวกเขารายงานหลักธรรมที่พวกเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ของข้าราชการ ช่วยพวกเขาระบุความจริงต่อไปนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์โดยไม่ต้องการหมายสำคัญ พระเจ้าจะทรงยืนยันความเชื่อของเรา

  • เหตุใดจึงสำคัญที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์โดยไม่ต้องการหมายสำคัญ

  • มีวิธีอะไรบ้างที่พระเจ้าจะทรงยืนยันความเชื่อของเราเมื่อเราใช้ศรัทธาในพระองค์

สรุปโดยเป็นพยานว่าเมื่อเราแสวงหาพระเจ้าด้วยศรัทธา พระองค์จะประทานพรเราด้วยหลักฐานเพื่อสนับสนุนความเชื่อของเรา

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

ยอห์น 4:4 “พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย”

เอ็ลเดอร์เจมส์ อี. ทาลเมจแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองให้ความเข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พระเยซูเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียดังนี้ “เส้นทางตรงจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลีต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย แต่ชาวยิวหลายคน โดยเฉพาะชาวกาลิลี เลือกทางอ้อมที่ไกลกว่าแทนที่จะเดินข้ามถิ่นที่อยู่ของคนที่พวกเขาเดียดฉันท์เช่นชาวสะมาเรีย ความรู้สึกไม่ลงรอยระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรียเกิดขึ้นมาหลายศตวรรษ และในสมัยการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าของเราได้พัฒนามาสู่ความเกลียดชังอย่างรุนแรง” (Jesus the Christ, 3rd ed. [1916], 172)

ยอห์น 4:10–14 พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นน้ำดำรงชีวิต

เอ็ลเดอร์โจเซฟ บี. เวิร์ธลินแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอ้างอิงพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดใน ยอห์น 4:14 และสอนว่าการดื่ม “น้ำดำรงชีวิต” จะนำความสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่เรา จากนั้นท่านถามว่า

“ท่านประสงค์จะรับส่วนน้ำดำรงชีวิตและประสบกับบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในตัวท่านที่พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์หรือไม่

ถ้าเช่นนั้นอย่ากลัวเลย จงเชื่อสุดหัวใจ พัฒนาศรัทธาอันไม่สั่นคลอนในพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ทุ่มเทใจท่านในการสวดอ้อนวอนที่จริงใจ จงเติมความคิดท่านด้วยความรู้เกี่ยวกับพระองค์ ทิ้งความอ่อนแอ เดินในความบริสุทธิ์และความสอดคล้องกับพระบัญญัติ” (ดู “ชีวิตที่บริบูรณ์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2006, 122–123)

ยอห์น 4:10–14 พระคัมภีร์เป็นวิธีหนึ่งที่จะรับส่วนของน้ำดำรงชีวิตของพระคริสต์

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าวิธีหนึ่งที่จะรับส่วนของน้ำดำรงชีวิตของพระคริสต์คือการศึกษาพระคัมภีร์

“พระคัมภีร์ประกอบด้วยพระคำของพระคริสต์และเป็นแหล่งน้ำดำรงชีวิตซึ่งเรามีอยู่ตลอดเวลาและเราสามารถดื่มได้มากและดื่มได้นาน ท่านและข้าพเจ้าต้องมองไปที่พระคริสต์และมาหาพระคริสต์ ผู้ทรงเป็น ‘แหล่งน้ำแห่งชีวิต’ (1 นีไฟ 11:25; เปรียบเทียบ อีเธอร์ 8:26; 12:28), โดยการอ่าน (ดู โมไซยาห์ 1:5), การศึกษา (ดู คพ. 26:1), การค้นหา (ดู ยอห์น 5:39; แอลมา 17:2), และการดื่มด่ำ (ดู 2 นีไฟ 32:3) พระวจนะของพระคริสต์ตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ โดยการทำเช่นนั้น เราจะได้รับทั้งการนำทางและการปกป้องทางวิญญาณระหว่างการเดินทางมรรตัยของเรา” (“แหล่งน้ำดำรงชีวิต” [ไฟร์ไซด์ระบบการศึกษาของศาสนจักรสำหรับคนหนุ่มสาว, 4 ก.พ., 2007], 2, lds.org/broadcasts)

ยอห์น 4:46–54 การรักษาบุตรชายของข้าราชการ

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเน้นความสำคัญของปาฏิหาริย์นี้ว่า

“นี่เป็นปาฏิหาริย์ครั้งแรกของการรักษาที่มีรายละเอียดในพระกิตติคุณสี่เล่ม ปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงทำที่งานเลี้ยงฉลองเทศกาลปัสกาและทั่วทั้งแคว้นยูเดียไม่ได้รับการบรรยายหรืออธิบายไว้ ปาฏิหาริย์นี้—ครั้งที่สองที่ทรงทำในคานา—เพิ่มมิติใหม่แก่การปฏิบัติเพื่อรักษาของพระเยซูที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงจุดนี้ อันที่จริง นี่เป็นปฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นสองเท่า นั่นคือ ปาฏิหาริย์ที่รักษาร่างกายของบุตรที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น กับปาฏิหาริย์ที่รักษาการขาดความเชื่อและปลูกศรัทธาในใจของบิดาที่อยู่ที่นั่น” (The Mortal Messiah, 4 vols. [1979–81], 2:12)