เซมินารี
บทที่ 21: หลักคำสอนและพันธสัญญา 17


บทที่ 21

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17

คำนำ

ขณะโจเซฟ สมิธกำลังแปลพระคัมภีร์มอรมอน ท่านทราบว่าพยานสามคนจะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึก (ดู 2 นีไฟ 27:12–14; อีเธอร์ 5:2–4; คพ. 5:11–15, 18) เมื่อออลิเวอร์ คาวเดอรี และเดวิด วิตเมอร์ทราบเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสองรู้สึกได้รับการดลใจให้ปรารถนาจะเป็นพยานด้วย ก่อนหน้านี้ พระเจ้าตรัสว่าถ้ามาร์ติน แฮร์ริสนอบน้อมถ่อมตนและเชื่อฟังเพียงพอ เขาจะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึกเช่นกัน (ดู คพ. 5:23–28) ออลิเวอร์ คาวเดอรี, เดวิด วิตเมอร์ และมาร์ติน แฮร์ริสขอให้ท่านศาสดาพยากรณ์ทูลถามพระเจ้าว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสนี้หรือไม่ พระเจ้าทรงยืนยันว่าชายสามคนนี้จะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึกและของชิ้นอื่นหากพวกเขาใช้ศรัทธามากพอ

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:1–2

พระเจ้ารับสั่งกับออลิเวอร์ คาวเดอรี, เดวิด วิตเมอร์ และมาร์ติน แฮร์ริสว่าถ้าพวกเขามีศรัทธามากพอ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึกและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

เขียนเลข 1 ถึง 5 บนกระดานตามแนวตั้ง เขียน แผ่นจารึกทองคำ ข้างเลข 1 เชื้อเชิญให้นักเรียนลอกตัวเลขลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา ขอให้นักเรียนทำรายการให้ครบถ้วนโดยเขียนสิ่งที่พยานสามคนเห็นเมื่อโมโรไนให้พวกเขาดูแผ่นจารึก หลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว ขอให้นักเรียนเปรียบเทียบรายการของพวกเขากับสิ่งที่ระบุไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:1

  • ท่านต้องการจะเห็นสิ่งใดใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:1 มากที่สุด เพราะเหตุใด

  • การเห็นสิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้ประจักษ์พยานของพยานสามคนเข้มแข็งขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุใด

  • การเห็นดาบของเลมันและเลียโฮนาจะให้พยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนได้อย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของการเปิดเผยที่พวกเขาจะศึกษาวันนี้ ให้สรุปคำนำเข้าสู่บทนี้ พระเจ้ารับสั่งกับโจเซฟ สมิธว่ามาร์ติน แฮร์ริส, ออลิเวอร์ คาวเดอรี และเดวิด วิตเมอร์จะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึก แต่พระเจ้าทรงเรียกร้องบางอย่างจากพวกเขาก่อน

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:1–2 ขอให้ชั้นเรียนดูตาม โดยมองหาสิ่งที่พยานสามคนต้องทำจึงจะเห็นแผ่นจารึก หลังจากนักเรียนรายงานสิ่งที่พบแล้ว ให้ถามคำถามต่อไปนี้

  • ท่านคิดว่าการไว้วางใจพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า “ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว” หมายความว่าอย่างไร (ความหมายหนึ่งอาจเป็นว่าเราเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าหรือทำตามพระวจนะของพระองค์สุดใจของเรา)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดชายสามคนนี้ต้องแสดงศรัทธาเฉกเช่นศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณก่อนพระเจ้าจึงจะทรงยอมให้พวกเขาเห็นแผ่นจารึก

ถึงแม้เราจะไม่มีโอกาสเห็นของชิ้นเดียวกันกับที่พยานสามคนเห็น แต่เราสามารถได้รับพยานยืนยันความจริงของพระกิตติคุณ เขียนข้อความที่ไม่ครบถ้วนต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: หากเราเชื่อฟังและ เราจะได้รับพยานยืนยันความจริงของพระกิตติคุณ

ขอให้นักเรียนเสนอคำที่ทำให้ประโยคนี้ครบถ้วน (นักเรียนอาจตอบทำนองว่า หากเราเชื่อฟังและใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับพยานยืนยันความจริงของพระกิตติคุณ เขียนหลักธรรมที่ครบถ้วนไว้บนกระดานโดยใช้คำพูดของนักเรียน)

  • ท่านได้ใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ได้รับพยานของพระคัมภีร์มอรมอนอย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าโจเซฟ สมิธช่วยมาร์ติน แฮร์ริสประยุกต์ใช้หลักธรรมนี้อย่างไร ให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ที่เล่าโดยลูซี แม็ค สมิธมารดาของโจเซฟ สมิธ

ภาพ
ลูซี แมค สมิธ

“เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทำกิจกรรมตามปกติ ได้แก่ อ่านหนังสือ ร้องเพลง และสวดอ้อนวอน โจเซฟก็ลุกจากคุกเข่า และเข้าไปหามาร์ติน แฮร์ริสด้วยความเคร่งขรึมซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกหวาดกลัวจนถึงทุกวันนี้ทุกครั้งที่นึกถึง เขาพูดว่า ‘มาร์ติน แฮร์ริส คุณต้องนอบน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าวันนี้ เพื่อคุณจะได้รับการอภัยบาป ถ้าคุณทำเช่นนั้น พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าคือจะให้คุณดูแผ่นจารึกพร้อมกับออลิเวอร์ คาวเดอรี และเดวิด วิตเมอร์” (History of Joseph Smith by His Mother, ed. Preston Nibley [1958], 151–52)

  • มาร์ตินต้องเปลี่ยนอย่างไรจึงจะได้เป็นพยานของแผ่นจารึกทองคำ

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:3–9

พระเจ้าทรงเปิดเผยความรับผิดชอบของพยานสามคนในการเป็นพยานถึงแผ่นจารึก

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่าน หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:3–5 ด้วยตนเองโดยมองหาความรับผิดชอบที่พยานสามคนจะต้องทำหลังจากเห็นแผ่นจารึก (พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการเป็นพยานถึงสิ่งที่พวกเขาเห็น)

  • เรามีความรับผิดชอบอะไรเมื่อพระเจ้าประทานพยานของความจริงอันศักดิ์สิทธิ์แก่เรา (นักเรียนควรระบุหลักธรรมต่อไปนี้: หลังจากเราได้รับพยานของความจริง เรามีความรับผิดชอบในการเป็นพยานถึงความจริงนั้น ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนทำเครื่องหมายวลีในพระคัมภีร์ของพวกเขาที่สอนหลักธรรมนี้)

  • การที่เราเต็มใจเป็นพยานถึงความจริงเป็นการแสดงศรัทธาของเราอย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องราวของพยานสามคน ให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงเรื่องราวต่อไปนี้ที่โจเซฟ สมิธเล่า

ภาพ
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

“มาร์ติน แฮร์ริส, เดวิด วิตเมอร์, ออลิเวอร์ คาวเดอรี และ [ตัวข้าพเจ้า] … ปลีกตัว [เข้าไปในป่าใกล้บ้านวิตเมอร์] และเมื่อคุกเข่าแล้วเราเริ่มสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ …

“ตามที่เตรียมการไว้ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าเริ่มโดยการสวดอ้อนวอนออกเสียงต่อพระบิดาบนสวรรค์ และตามด้วยการสวดอ้อนวอนของแต่ละคนติดต่อกัน แต่ในความพยายามครั้งแรก เราไม่ได้รับคำตอบหรือปรากฏการณ์ใดๆ จากเบื้องบนเพื่อประโยชน์ของเรา เราสวดอ้อนวอนตามลำดับเดิมอีกครั้ง … แต่ได้ผลเหมือนเดิม

“หลังจากความล้มเหลวครั้งที่สอง มาร์ติน แฮร์ริสเสนอว่าเขาจะถอนตัวออกจากกลุ่มโดยเชื่อตามที่เขาแสดงความเห็นว่าเขาเป็นเหตุให้เราไม่ได้รับสิ่งที่เราปรารถนา เขาถอนตัวออกจากพวกเรา เราคุกเข่าอีกครั้ง เราสวดอ้อนวอนได้ไม่กี่นาทีก็เห็นแสงสว่างเหนือเราในอากาศ เจิดจ้ายิ่งนัก และเห็นเทพยืนตรงหน้าเรา ในมือท่านถือแผ่นจารึกที่เราสวดอ้อนวอนขอให้ได้เห็น ท่านพลิกให้เราดูทีละแผ่นและเราเห็นคำจารึกบนนั้นอย่างชัดเจน … เราได้ยินเสียงออกมาจากแสงจ้าเหนือเราว่า ‘แผ่นจารึกเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยโดยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และได้รับการแปลโดยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า การแปลแผ่นจารึกซึ่งท่านเห็นนั้นถูกต้อง และข้าพเจ้าสั่งท่านให้กล่าวคำพยานถึงสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยินขณะนี้’

“ตอนนี้ข้าพเจ้าทิ้งเดวิดกับออลิเวอร์ไว้ และไปตามหามาร์ติน แฮร์ริส ข้าพเจ้าพบเขากำลังสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าอยู่ไกลพอสมควร เขาบอกข้าพเจ้าทันทีว่าเขายังไม่ได้โน้มน้าวพระเจ้าเลย และขอร้องข้าพเจ้าอย่างจริงใจให้สวดอ้อนวอนกับเขาเพื่อเขาจะได้รับพรเหมือนกับที่เราเพิ่งได้รับ เราสวดอ้อนวอนกับเขา และในที่สุดก็ได้ตามที่เราปรารถนา เพราะก่อนเราสวดอ้อนวอนจบ นิมิตเดียวกันนั้นเผยให้เราเห็น อย่างน้อยก็เผยต่อข้าพเจ้าอีกครั้ง ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินเรื่องเดิมอีกครั้ง ขณะเดียวกันมาร์ติน แฮร์ริสก็ร้องออกมาด้วยความปลาบปลื้มยินดีอย่างเห็นได้ชัดว่า “พอแล้ว ‘พอแล้ว ตาข้าพเจ้าเห็นแล้ว ตาข้าพเจ้าเห็นแล้ว’” (ใน History of the Church, 1:54–55)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดกฎของพยาน หรือการมีพยานหลายปาก จึงสำคัญต่อการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

ท่านอาจจะขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านข้อความต่อไปนี้ซึ่งอธิบายความรู้สึกของโจเซฟ สมิธอย่างละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์นี้

ภาพ
ลูซี แมค สมิธ

“เมื่อพวกเขากลับถึงบ้านตอนนั้นประมาณบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น นางวิตเมอร์ คุณสมิธ และตัวดิฉันนั่งอยู่ในห้องนอน พอเข้ามา โจเซฟทิ้งตัวลงข้างดิฉัน และร้องอุทานว่า ‘พ่อครับ แม่ครับ รู้ไหมครับว่าผมมีความสุขเหลือเกินที่เวลานี้นอกจากผมแล้วอีกสามคนยังได้เห็นแผ่นจารึกด้วย พวกเขาเห็นเทพผู้เป็นพยานต่อพวกเขา และพวกเขาจะต้องกล่าวคำพยานถึงความจริงที่ผมพูด เพราะเวลานี้พวกเขารู้ด้วยตนเองแล้วว่าผมไม่ได้หลอกผู้คน ผมรู้สึกประหนึ่งพระเจ้าทรงปลดเปลื้องภาระซึ่งค่อนข้างหนักเกินกว่าผมจะแบกไหว และนั่นทำให้จิตวิญญาณผมชื่นชมยินดีที่ผมไม่โดดเดี่ยวในโลกนี้อีกแล้ว’ ถึงตอนนี้ มาร์ติน แฮร์ริสเข้ามา ดูเหมือนเขาแทบจะหมดกำลังด้วยปีติ เขาเป็นพยานอย่างอาจหาญถึงสิ่งที่เขาทั้งเห็นและได้ยิน เดวิดและออลิเวอร์ทำเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มเติมว่าไม่มีใครบรรยายปีติจากใจพวกเขาได้ และความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่พวกเขาทั้งเห็นและได้ยิน” (History of Joseph Smith by His Mother, 152)

  • ท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อท่านอยู่กับคนที่รู้เช่นกันว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง ประจักษ์พยานของพวกเขาช่วยท่านอย่างไร

แบ่งนักเรียนออกเป็นคู่ๆ เชิญแต่ละคู่อ่านออกเสียง “ประจักษ์พยานของพยานสามคน” (อยู่หลังคำนำพระคัมภีร์มอรมอน) ขณะที่นักเรียนอ่าน ขอให้พวกเขามองหาคำหรือวลีที่ทำให้ประจักษ์พยานของพวกเขาเข้มแข็งขึ้น

อธิบายให้นักเรียนฟังว่าถึงแม้พยานทั้งสามคนจะตกไปจากศาสนจักร (ออลิเวอร์ คาวเดอรี และมาร์ติน แฮร์ริสรับบัพติศมาใหม่ภายหลัง) แต่ไม่มีใครปฏิเสธพยานของพวกเขาถึงพระคัมภีร์มอรมอน

ขอให้นักเรียนสมมติว่าพวกเขาสามารถเพิ่มประจักษ์พยานส่วนตัวเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนเข้าไปในพระคัมภีร์มอรมอนแต่ละเล่มได้ ให้พวกเขาเขียนสิ่งที่ต้องการจะรวมไว้ในประจักษ์พยานของพวกเขาลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา ท่านอาจจะเชิญนักเรียนหลายๆ คนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเขียน

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่าน หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:6 ในใจโดยมองหาประจักษ์พยานของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพยานว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง

  • ประจักษ์พยานของพระเจ้าเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนทำให้ประจักษ์พยานของท่านเข้มแข็งขึ้นอย่างไร

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:7–9 ขอให้นักเรียนดูตาม โดยมองหาคำสัญญาที่ให้แก่พยานสามคน ดึงความสนใจของนักเรียนมาที่วลี “จุดประสงค์อันชอบธรรม” ใน ข้อ 9

  • อะไรน่าจะเป็นจุดประสงค์บางประการของพระเจ้าสำหรับการมีพยานสามคน (ท่านอาจต้องการให้นักเรียนทบทวน หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:4 เพื่อตอบคำถามนี้)

  • อะไรน่าจะเป็น “จุดประสงค์อันชอบธรรม” สำหรับการจัดเตรียมพยานของความจริงที่ท่านปรารถนาจะรู้

เตือนนักเรียนว่าเราจะได้รับหรือทำให้ประจักษ์พยานเข้มแข็งขึ้นเมื่อเราแบ่งปัน เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนไตร่ตรองว่าพวกเขาจะแบ่งปันประจักษ์พยานกับใครที่อาจได้ประโยชน์จากการได้ยินประจักษ์พยานของพวกเขา กระตุ้นให้พวกเขาแบ่งปันประจักษ์พยานกับบุคคลนั้นในสัปดาห์นี้

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:1 แผ่นจารึก อูริมและทูมมิม และแผ่นทับทรวง

โจเซฟ สมิธคืนแผ่นจารึก แผ่นทับทรวง กับอูริมและทูมมิมให้เทพโมโรไนเมื่อท่านทำงานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องจากท่านเสร็จและบรรลุผลสำเร็จ (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:52, 59–60)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:3, 5 ประจักษ์พยานของออลิเวอร์ คาวเดอรี, เดวิด วิตเมอร์ เเละมาร์ติน แฮร์ริส

ถึงแม้เราไม่รู้เหตุผลแน่ชัดว่าทำไมพยานทั้งสามคนจึงตกไปจากศาสนจักรช่วงหนึ่ง แต่ หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:4 อาจช่วยอธิบายว่าคนบางคนตกไปได้อย่างไรหลังจากได้รับพยานสำคัญอย่างเช่นการเห็นเทพและแผ่นจารึก

“เพราะแม้ว่ามนุษย์จะรับการเปิดเผยหลายประการ, และมีพลังที่จะทำงานยิ่งใหญ่หลายอย่าง, แต่หากเขาโอ้อวดในพละกำลังของตนเอง, และถือว่าคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้าไร้ค่า, และคล้อยตามความประสงค์และความปรารถนาอันเป็นตัณหาของตนเอง, เขาต้องตกและก่อการแก้แค้นของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรมให้เกิดกับเขา”

แม้จะตกไปจากศาสนจักร แต่ไม่มีพยานคนใดปฏิเสธพยานของพวกเขาเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ดังที่ระบุไว้ในเรื่องราวต่อไปนี้

ออลิเวอร์ คาวเดอรีแบ่งปันประจักษ์พยานต่อไปนี้ที่การประชุมใหญ่ในเมืองเคนส์วิลล์ รัฐไอโอวา วันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1848

ภาพ
ออลิเวอร์ คาวเดอรี

“ข้าพเจ้าเขียนพระคัมภีร์มอรมอนทั้งเล่ม (ยกเว้นไม่กี่หน้า) ด้วยปากกาของข้าพเจ้าเอง ตามที่มาจากปากของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ขณะท่านแปลโดยของประทานและอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้า … หนังสือเล่มนี้จริง ซิดนีย์ ริกดันไม่ได้เขียน คุณสปอลดิงไม่ได้เขียน ข้าพเจ้าเขียนด้วยตนเองตามที่มาจากปากของท่านศาสดาพยากรณ์” (“The Three Witnesses,” The Historical Record, ed. Andrew Jenson, vol. 6, nos. 3–5 [May 1887], 201; ดู George Reynolds, “History of the Book of Mormon,” The Contributor, vol. 5, no. 12 [Sept. 1884], 446 ด้วย)

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งชื่อ Richmond Democrat ลงเรื่องราวต่อไปนี้ที่เดวิด วิตเมอร์กล่าวคำพยานถึงพระคัมภีร์มอรมอน

ภาพ
เดวิด วิตเมอร์

“เย็นวันอาทิตย์เวลา 17:30 นาฬิกา (22 ม.ค. 1888) คุณวิตเมอร์เรียกครอบครัวกับเพื่อนบางคนมาอยู่ข้างเตียงของเขา … ต่อจากนั้นเขาพูดกับทุกคนที่อยู่รอบๆ เตียงว่า ‘คุณทุกคนต้องซื่อสัตย์ในพระคริสต์ ผมอยากพูดกับคุณทุกคนว่า พระคัมภีร์ไบเบิลและบันทึกของชาวนีไฟ (พระคัมภีร์มอรมอน) เป็นความจริง พวกคุณพูดได้เลยว่าเคยได้ยินผมแสดงประจักษ์พยานก่อนสิ้นใจบนเตียงนี้ ทุกคนจะต้องซื่อสัตย์ในพระคริสต์ และรางวัลของพวกคุณจะเป็นไปตามงานของพวกคุณ ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกคน ความวางใจของผมอยู่ในพระคริสต์ตลอดกาล ชั่วกัลปาวสาน เอเมน) [Richmond Democrat, Feb. 2, 1888, quoted in Andrew Jenson, Latter-day Saint Biographical Encyclopedia, 4 vols. (1901), 1:270]” (in Doctrine and Covenants Student Manual [Church Educational System manual, 2001], 33)

ไม่นานก่อนสิ้นชีวิต มาร์ติน แฮร์ริสเป็นพยานว่า

ภาพ
มาร์ติน แฮร์ริส

“ใช่ ผมเห็นแผ่นจารึกซึ่งจารึกพระคัมภีร์มอรมอนไว้บนนั้น ผมเห็นเทพ ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้า และผมรู้ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านถือกุญแจทั้งหลายของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ [“The Last Testimony of Martin Harris,” บันทึกโดย วิลเลียม เอช. โอเมอร์ในข้อความที่ปฏิญาณต่อหน้าเจ. ดับเบิลยู. โรบินสัน, 9 เม.ย. 1927, อ้างอิงใน Francis W. Kirkham, A New Witness for Christ in America, 2 vols. (1960), 1:254.]” (ใน Doctrine and Covenants Student Manual, 33.)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17 ประจักษ์พยานของพยานแปดคน

ไม่กี่วันหลังจากพยานสามคนเห็นแผ่นจารึกทองคำ “พยานอีกแปดคน—ชายที่ซื่อสัตย์ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดาพยากรณ์ในช่วงทำงานแปล—ได้รับเลือกให้เห็นแผ่นจารึกเช่นกัน … โจเซฟได้รับอนุญาตให้แสดงแผ่นจารึกแก่พวกเขาใกล้ที่พักของครอบครัวสมิธในเมืองแมนเชสเตอร์เมื่อท่านกำลังเตรียมการเรื่องพิมพ์หนังสือ [ดู History of the Church, 1:58.] พยานแปดคนเป็นพยานว่าพวกเขาจับและยกแผ่นจารึกและเห็นอักขระบนแผ่นจารึกแต่ละแผ่น ประจักษ์พยานของพวกเขามีอยู่ในพระคัมภีร์มอรมอนทุกเล่มที่พิมพ์ออกมา” (ประวัติศาสนาจักรในความสมบูรณ์แห่งเวลา คู่มือนักเรียน, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 [คู่มือระบบการศึกษาของศาสนจักร, 2003], 154–169)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 17:6 ประจักษ์พยานของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนดังนี้

ภาพ
เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี

“คำปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดประการหนึ่งที่เคยให้กับมนุษย์พบในพระดำรัสเหล่านี้ของพระเจ้าเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธและพระคัมภีร์มอรมอน ‘เขา [หมายถึงโจเซฟ สมิธ] แปลหนังสือนั้น, แม้ส่วนนั้นซึ่งเราบัญชาเขา, และพระเจ้าของเจ้าและพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าทรงพระชนม์อยู่ฉันใด นี่ก็เป็นความจริงฉันนั้น’ (คพ. 17:6)

“นี่คือประจักษ์พยานของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ในนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์แขวนอยู่บนเส้นด้าย ถ้าหนังสือเล่มนี้ไม่จริงพระผู้เป็นก็จะทรงยุติการเป็นพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีภาษาใดที่มนุษย์หรือพระเป็นเจ้าทั้งหลายรู้จักจะเปี่ยมด้วยพลังหรือเป็นทางการมากกว่านี้อีกแล้ว” (“The Doctrine of the Priesthood,” Ensign, May 1982, 33)