คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 46: มรณสักขี: ศาลดาผนึกประจักษ์พยาน ต้วยเลือดของท่าน


บทที่ 46

มรณสักขี: ศาลดาผนึกประจักษ์พยาน ต้วยเลือดของท่าน

“ท่านดำรงชีวิตใหญ่ยิ่งและท่านตายใหญ่ยิ่งในสายพระเนตร ของพระผู้เป็นเจ้าและผู้คนของท่าน”

จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ

ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1843–1844 เป็นเวลาของความตึงเครียด อย่างหนักในนอวู ขณะที่ศัตรูของใจเซฟ สมิธพยายามเพิ่มขึ้นเพื่อทำลายท่าน และศาสนาจักร ศาสดารู้ว่าอีกไม่นานการปฏิบัติศาสนกิจแห่งมรรตัยของท่านจะ สิ้นสุด ท่านจึงประชุมกับสมาชิกโควรัมอัครสาวกบ่อยครั้งเพื่อแนะนำสั่งสอน และมอบกุญแจฐานะปุโรหิตที่จำเปีนต่อการปกครองศาสนาจักร การเตรียมเหล่า นี้บรรลุถึงจุดสูงสุดในการประชุมกับอัครสาวกสิบสองและสหายสนิทอีกสอง สามคนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1844 ในสภาที่พิเศษยิ่งนี้ ศาสดามอบหม้าที่ใม้ อัครสาวกสิบสองปกครองศาสนาจักรหลังจากท่านเสียชีวิตโดยอธิบายว่าท่านได้ มอบพิธีการ สิทธิอำนาจ และกุญแจที่จำเปีนใม้หมดแล้ว “ข้าพเจ้ายกภาระและ ความรับผิดชอบของการนำศาสนาจักรนี้ออกจากบ่าข้าพเจ้าไว้บนบ่าพวกท่าน” ท่านประกาศ “บัดนี้ จงตรียมตัวท่านแบกรับภาระเฉกเช่นบุรุษ เพราะพระเจ้า จะทรงใม้ข้าพเจ้าพักผ่อนชั่วระยะหนึ่ง”1

วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1844 โจเซฟ สมิธผู้เปีนนายกเทศมนตรีเมืองนอวู กับสภาเมืองนอวูออกอำสั่งท่าลายนอวู เอ๊กโพสิเตอร์ (Nauvoo Expositor) และแท่นพิมพ์ที่ใข้พิมพ์หนังสือตังกล่าว Nauvoo Expositor เปีนหนังสือพิมพ์ ต่อด้านมอรมอน ที่ใส่ร้ายศาสดากับสิทธินนคนอื่นๆ และร้องขอการเพิกถอน กฎบัตรนอวู ข้าราชการประจำเมืองเกรงว่าสั่งพิมพ์ฉบับนี้จะนำไปสู่การก่อการร้าย การกระท่าของนายกเทศมนตรีและสภาเมืองส่งผลใม้ผู้มือำนาจในเมืองนอวูตั้ง ข้อหาเท็จ แก่ศาสดา ไฮรัมพื่ชายท่าน และข้าราชการประจำเมืองนอวูคนอื่นๆ ว่าก่อการจลาจล โธบัส ฟอร์ดผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ออกอำสั่งใม้สอบสวนคน เหล่านี้ ณ ที่ว่าการเขตในคาร์เทจ อิลลินอยส์ และสัญญาว่าจะคุ้มครองพวก ท่าน โจเซฟรู้ว่าถ้าท่านไปคาร์เทจ ชีวิตท่านจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงจาก กลุ่มคนร้ายที่ข่มขู่ท่าน

โดยเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายต้องการเฉพาะใจเซฟกับไฮรัม พวกท่านจึงตัดสินใจไป ตะวันตกเพื่อรักษาชีวิตไว้ วันที่ 23 มิถุนายน พวกท่านข้ามแม่นี้ามิสซิสซิปปี แต่ตอนสายของวันนั้น พี่น้องจากนอวูพบศาสดาและบอกท่านว่ากองทหารจะ บุกเข้าเมืองถ้าท่านไม่ยอมมอบตัวต่อผู้มีอำนาจในคาร์เทจ ศาสดายอมมอบตัว โดยหวังว่าทั้งเจ้าหน้าที่และกลุ่มคนร้ายจะยอมผ่อนปรนให้ วันที่ 2 มิถุนายน โจเซฟกับไฮรัม สมิธกล่าวลาครอบครัวและขี่น้าไปกัปข้าราชการเมืองนอวูคน อื่นๆ บุ่งหน้าไปคาร์เทจ โดยยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่เขตในคาร์เทจวันรุ่งขึ้น หลังจากพี่น้องชายทั้งหลายไต้รับการประอันตัวออกมาในข้อหาชั้นต้นแถ้ว พวกท่านก็ถูกใส่ความว่าทรยศต่อรัฐอิลลินอยส์ ถูกจับ และถูกจองจำอยู่ในคุก คาร์เทจเพี่อรอการใต่สวน เอ็ลเดอร์จอห์น เทย์เลอร์กับเอ็ลเดอร์วิลลาร์ด วิชา ร์ดส์ สมาชิกเพียงสองคนในโควรัมอัครสาวกสิบสองที่ไม่ไต้รับใช้งานเผยแผ่ ในเวลานั้นอาสาอยู่เปีนเพี่อนพวกท่าน

“บ่ายวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1844 พี่น้องชายกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้นั่งเงียบกริบและกลัดกคุ้มอยู่ในคุก หนึ่งในนั้นขอให้เอ็สเตอร์เทย์เลอร์ผู้ร้องเสียงเทนเนอร์ไต้ไพเราะร้องเพลงให้พวกเขาฟ้ง ไม่นานท่านก็ร้องออกมาว่า “ชายเศร้าโศกยากจนผู้ท่องไปผ่านเข้ามาในทางฉันปอยหน ท่านขอความช่วยเหลืออย่าง ถ่อมตนมากจนฉันไม่สามารถบอกปัด”2 เอ็สเตอร์เทย์เลอร์จำไต้ว่าเพลงสวด เพลงนั้น “ตรงอับความรู้สึกของพวกเรามากยามที่วิญญาณของเราหดหู่ เศร้าหมอง และสิ้นหวัง”3

หลังจากห้าโมงเย็นผ่านไปชั่วครู่ ผู้โจมตีกลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาในคุกโดยยิงปีน ใส่คนที่อยู่ข้างใน ภายในไม่กี่นาที การกระทำอันตาช้าก็สิ้นสุด ไฮรัม สมิธถูก ยิงก่อนและเสียชีวิตเกือบจะทันที น่าอัศจรรย์ที่เอ็ลเดอร์วิชาร์ตส์ไต้รับบาดเจ็บ เพียงผิวหนังส่วนเอ็ลเดอร์เทย์เลอร์แน้จะไต้รับบาดเจ็บสาหัสแตรอดชีวิต และเป็นประธานศาสนาจักรคนที่สามในเวลาต่อมา ศาสดาโจเซฟวิ่งไปที่หน้าต่างและถูกยิงเสียชีวิต ศาสดาแห่งการพีนฟูและไฮรัมพี่ชายท่านผนึกประจักทัพยานต้วยเลือดของท่าน

คำลอนฃองโจเซฟ ลมิธ

พระผู้เป็นเจ้าทรงคุ้มครองโจเซฟ สมิธจนพันธกิจทางโลก ของท่านสำเร็จ

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1842 โจเซฟ สนิธกล่าวว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้า เวลานี้คือ ตราบเท่าที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ทรงคุ้มครองข้าพเจ้ามาจนถึงวันนี้ พระองค์จะทรงคุ้มครองข้าพเจ้าต่อไป โดยอาศัยศรัทธาและการสวดอ้อนวอน ของสิทธิชน จนข้าพเจ้าท่าพันธกิจในชีวิตนี้สำเร็จครบอ้วน และสถาปนาสมัย การประทานความสมบูรณ์ของฐานะปุโรหิตในวันเวลาสุดท้ายไอ้อย่างมั่นคงจน อำนาจทั้งหมดของแผ่นดินโลกและนรกก็ไม่สามารถชนะได้”4

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1843 ศาสดากล่าวว่า “ข้าพเจ้าท้าคนทั้งโลกใท้ท่าลาย งานของพระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าพยากรณ์ว่าพวกเขาจะไม่มีวันมีอำนาจฆ่า ข้าพเจ้าได้จนกว่างานของข้าพเจ้าจะสำเร็จ และข้าพเจ้าพร้อมตาย”5

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1844 ศาสดากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะทรงคุ้ม ครองข้าพเจ้าตลอดไปจนกว่าพันธกิจของข้าพเจ้าจะสำเร็จ”6

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1844 ศาสดากล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เสียดายชีวิต ข้าพเจ้าพร้อมยอมพลีเพื่อคนเหล่านี้ ศัตรูจะท่าอะไรเราได้ ฆ่าได้แต่กาย และ จากนั้นพลังอำนาจของพวกเขาจะมาถึงจุดจบ จงยืนหยัดเกิด สหายทั้งหลาย อย่าครั่นคร้าม อย่าหาทางเอาตัวรอด เพราะคนที่กลัวตายเพื่อความจริง จะสูญ เสียชีวิตนิรันดร์ จงยืนหยัดจนถึงที่สุด และเราจะพื่นคืนชีวิตและเป็นเหมือน พระผู้เปีนเจ้า ปกครองในอาณาจักรชั้นสูง เขตปกครอง และการครอบครอง นิรันดร์”7

เช้าตรู่ของวันที 27 มิถุนายน ค.ศ. 1844 ในคุกคาร์เทจ ใจเซฟ สมิธเขียน จดหมายด่วนถึงเอ็มมา สมิธภรรยาดังนี้ “ผมยอมใท้เป็นไปตามลิขิตชีวิตผม โดยรู้ว่าผมบริสุทธี้และได้ท่าดีที่สุดแล้ว โปรดมอบความรักของผมไท้ลูกๆ และ เพื่อนๆ ของผมทุกคนด้วย…และเกี่ยวลับการทรยศ ผมรู้ว่าผมไม่ได้ท่า และ พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผมทรยศ ด้วยเหตุนี้คุณจึงไม่ด้องกลัวว่าจะเกิด อันตรายใดๆ กับผมในเรื่องนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรคุณทุกคน อาเมน”8

ก่อนเสียชีวิตโจเซฟ สมิธประสาทกุญแจฐานะปุโรหิตและ พลังอำนาจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงผนกไว้ลับท่านให้อัครสาวกสิบสอง

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟื ประธานศาสนาจักรคนทีสี่เล่าว่า “[โจเซฟ สมิธ] ใช้ฤดู หนาวสุดท้ายของชีวิตท่านประมาณสามสี่เดือนสอนโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านไม่เพียงปฎิขัติพิธีการแห่งพระกิตติคุณใท้พวกเขาสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ ใช้เวลาวันแล้ววันเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า และเดือนแล้วเดือนเล่าสอน พวกเขาและอีกสามสี่คนเรื่องอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า”9

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟืกล่าวด้วยว่า “ช้าพเจ้าจำคำพูดสุดท้ายที่ [โจเซฟ สมิธ] ใท้เราก่อนการเสียชีวิตของท่านได้…ท่านยืนประมาณสามชั่วโมง ท้องนั้นประหนึ่งเต็มไปด้วยเพลิงเผาผลาญ ใบหท้าท่านใสราวอำพัน และท่านถูกห่อหุ้มไว้ ด้วยอำนาจของพูระผู้เป็นเจ้า ท่านอธิบายหท้าที่ใท้เราพิง ท่านวางความสมบูรณ์ ของงานใหญ่ยิ่งนี้ของพระผู้เปีนเจ้าไว้ตรงหท้าเรา และในคำพูดของท่าน ท่าน กล่าวว่า ‘พระเจ้าทรงผนึกกุญแจทุกอย่าง พลังอำนาจทุกอย่าง และหลักธรรม ทุกอย่างของชีวิตและความรอดธิ์งพระผู้เป็นเจ้าประทานใท้มนุษย์ผู้เคยมีชีวิต บนพื้นพิภพไว้บนศีรษะช้าพเจ้า หลักธรรมเหล่านี้ ฐานะปุโรหิตและอำนาจนี้ เป็นของสมัยการประทานอันยิ่งใหญ่และสุดท้ายนี้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงลงพระหัตถ์สถาปนาบนแผ่นดินโลก มัดนี้’ ท่านกล่าวกับอัครสาวกสิบสอง ‘ช้าพเจ้าได้ผนึกกุญแจทุกอย่าง พลังอำนาจทุกอย่าง และหลักธรรมทุกอย่างซึ่ง พระเจ้าทรงผนึกไว้บนศีรษะช้าพเจ้าไว้บนศีรษะพวกท่าน’ ท่านกล่าวต่อไปว่า ‘ช้าพเจ้ามีชีวิตมานาน—จนถึงป้จจุมัน—ช้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางคนเหล่า นี้และใน งานอันยิ่งใหญ่ของการไถ่ ช้าพเจ้าปรารถนาจะมีชีวิตจนเห็นการสร้างพระวิหาร แห่งนี้ แต่จะไม่มีชีวิตจนเห็นพระวิหารสร้างเสร็จ แต่พวกท่านจะเห็น—พวก ท่านจะเห็น’…

“หลังจากปราศรัยกับเราในทำนองนี้ ทำนกล่าวว่า ‘ช้าพเจ้าบอกพวกท่านว่า มัดนี้ภาระของอาณาจักรนี้อยู่บนบ่าพวกท่านแล้ว ท่านด้องแบกภาระนี้ไปทุกหน แห่งในโลก และหากไม่ทำเช่นนั้นท่านจะถูกกล่าวโทษ’”10

สมาชิกโควร้นอัครสาวกสิบสองบันทึกดังนี้ “เรา [อัครสาวกสิบสอง]…อยู่ ที่สภาหนึ่งในช่วงปลายเดือนมีนาคม [ค.ศ. 1844] ซึ่งจัดที่เมืองนอวู…

“ในสภาแห่งนี้ ดูเหมือนโจเซฟ สมิธจะหดหู่ในวิญญาณ และถือโอกาส ระบายความในใจใท้พวกเราพิง…‘พี่ท้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงขอใท้ช้าพเจ้า เร่งงานซึ่งเรามีส่วนร่วม …เหตุการณ์สำคัญบางอย่างจวนจะเกิดขึ้นแล้ว อาจ เป็นว่าศัตรูของข้าพเจ้าจะสังหารข้าพเจ้า และตัาพวกเขาสังหารข้าพเจ้า กุญแจ และอำนาจซึ่งอยู่คับข้าพเจ้าและยังไม่ไคัมอบให้พวกท่านจะสูญหายไปจากแผ่น ดินโลก แต่ล้าข้าพเจ้าไค์วางไว้บนศีรษะพวกท่านแล้ว ข้าพเจ้ายอมตกเป็นเหยื่อ ฆาตกรล้าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงยอม และข้าพเจ้าย่อมจากโลกนี้ไปไค์ค์วยความ พอใจและความพึงใจ โดยรู้ว่างานของข้าพเจ้าเสร็จแล้ว และไค์วางรากฐานให้ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาเรียบร้อย แล้ว

“‘นับจากนี้ไปความรับผิดชอบในการน่าศาสนาจักรต้องอยู่บนบ่าอัครสาวก สิบสองจนกว่าพวกท่านจะแต่งตั้งคนอื่นให้สืบทอดตำแหน่งแทน ศัตรูจะฆ่าพวก ท่านพร้อมกันหมดไม่ไต้ และหากคนใดถกฆ่า ท่านสามารถวางมือบนอีกคน หนึ่งและเติมโควรัมของท่านให้เต็ม วิธีนี้จะช่วยให้อำนาจดังกล่าวและกุญแจ เหล่านี้ตำรงอยู่อย่างถาวรในแผ่นดินโลก’…

“เราจะไม่ลืมความรู้สึกหรือคำพูดของท่านในครั้งนี้ หลังจากท่านพูด ท่านยัง คงเดินอยู่ในห้อง และพูดว่า ‘เนื่องจากข้าพเจ้ายกภาระออกจากบ่าข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงรู้สึกตัวเบาเหมือนจุกไห้ก็อก ข้าพเจ้ารู้สึกเปีนอิสระ ข้าพเจ้าขอนพระทัยพระผู้เปีนเจ้าสำหรับการปลดปล่อยครั้งนี้’”11

พาร์ลีย์ พี. แพรทท์สมาชิกคนหนึ่งของโควรัมอัครสาวกสิบสองเขียนดังนี้ “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่และประเสริฐท่านนี้ไต้รับการน่าทางก่อนเสียชีวิตให้เรียกอัคร สาวกสิบสองมารวมกันหลายต่อหลายครั้งและแนะน่าสั่งสอนคนเหล่านั้นให้รู้ ทุกเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักร พิธีการ และการปกครองของพระผู้เป็นเจ้า ท่าน กล่าวบ่อยครั้งว่าท่านกำลังวางรากฐาน แต่รากฐานนั้นจะคงอยู่เพื่อให้อัครสาวก สิบสองสร้างตึกให้เสร็จ ท่านกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่ต้วย เหตุผลบางอย่าง ข้าพเจ้าถูกบังคับให้เร่งการเตรียมของข้าพเจ้า และประสาท พิธีการ กุญแจ พันธสัญญา เอ็นดาวเห้นท์ ตลอดจนพิธีการผนึกทั้งหมด ของฐานะปุโรหิตให้อัครสาวกสิบสอง และวางแบบแผนทุกเรื่องไว้ตรงหห้าพวกเขาเกี่ยวกับสถานที่ศักคิ้สิทธี้ [พระวิหาร] และเอ็นดาวเห้นท่ในพระวิหาร’

“เมื่อไต้ท่าสิ่งนี้แล้ว ข้าพเจ้าปลื้มปีติยิ่งนัก ท่านกล่าว เพราะพระเจ้าจะทรง วางภาระบนบ่าพวกท่านและให้ข้าพเจ้าพักผ่อนชั่วระยะหนึ่ง และตัาพวกเขา สังหารข้าพเจ้า ท่านกล่าวต่อ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าจะเดินหห้าต่อไป ขณะข้าพเจ้าเสร็จงานซึ่งวางไว้ให้ข้าพเจ้า โดยมอบทุกอย่างให้ท่านเพื่อการเสริม สร้างอาณาจักรตามภาพปรากฎจากสวรรค์ และตามแบบแผนจากสวรรค์ที่แสดง ให้ข้าพเจ้าเห็น”12

บริอัน อังก ประธานศาสนาจักรคนทีสองสอนดังนี้ “โจเซฟประสาทกุญแจ และอำนาจทั้งหมดที่เปีนของอัครสาวกไว้บนศีรษะพวกเรา ซึ่งตัวท่านเคยถือ กุญแจและตำรงอำนาจเหล่านี้ก่อนจะถูกน่าตัวไป และไม่มืใครหรือคนกลุ่มใด มาคั่นระหว่างโจเซฟกับอัครสาวกสิบสองไต้ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในโลกที่จะมา ถึง โจเซฟมักจะพูดกับอัครสาวกอยู่บ่อยๆ ว่า ‘ข้าพเจ้าวางรากฐานและท่าน ต้องสร้างอยู่บนนั้น เพราะอาณาจักรอยู่บนบ่าพวกท่าน’”13

ศาสดาโจเซฟ สมิธและไฮรัมพี่ชายดำรงชีวิตยิ่งใหญ่และ ตายยิ่งใหญ่เพื่อประจักษ์พยานในพระกิตติคุณ

จอห์น เทย์เลอร์ขณะรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเขียนข้อความ ดังบันทึกไว้ในคำสอนและพันธสัญญา 135:1–6 ดังนี้, “เพื่อผนึกประจักษ์ พยานของหนังสือเล่มนี้และพระคัมภีร์มอรมอน พวกเราประกาศมรณสักขีของ โจเซฟ สมิธศาสดา และไฮรัม สมิธผู้ประสาทพร คนทั้งสองถูกยิงในที่คุมขัง คาร์เทจในวันที่ 27 มิถุนายน 1844 ประมาณห้าโมงเย็น โดยฝูงคนร้ายมีอาวุธ —ทาสีดำ—ประมาณ 150 ถึง 200 คน ไฮรัมถูกยิงก่อนและล้มลงอย่างสงบ ร้องว่า ข้าพเจ้าเป็นคนตายเ โจเซฟ ขณะที่พยายามกระโดดจากหนัาต่าง ถูกยิง ตายร้องว่า โอ้พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์เ ท่านถูกยิงทั้งสองคน หลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิตโดยวิธีการที่โหดร้าย และทั้งสองคนถูกกระสุนสี่นัด

“จอห์น เทย์เลอร์ และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์ สองคนแห่งสภาสิบสอง เป็นคน ที่อยู่ในห้องเวลานั้นเท่านั้น คนแรกได้รับบาดเจ็บโดยวิธีการที่ทารุณด้วยกระสุน สี่นัด แต่ต่อจากทั้นก็หาย คนหลังหมีรอด โดยความอารักขาของพระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ได้รับแห้แต่รูเดียวที่เสื้อของเขา

“โจเซฟ สมิธศาสดาและผู้พยากรณ์ของพระเจ้าท่าเพื่อความรอดของคนใน โลกนี้ยิ่งกว่าคนอื่นใดในโลกที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนอกจากพระเยซูเท่านั้น ใน ระยะสั้นๆ ยี่สิบป็ ท่านนำพระคัมภีร์มอรมอนออกมา ซึ่งท่านแปลโดยของ ประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเครื่องมือในการพิมพัในสองทวีป ส่งความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจซึ่งมีอยู่ในนั้นไปยังสี่เสี้ยวของ แผ่น ดินโลก นำการเปีดเผยและพระบัญญัติออกมา ซึ่งรวมเป็นหนังสือเล่มนี้ อำ สอน และพันธสัญญา และเอกสารและคำแนะนำที่มีค่าอื่นๆ มากมาย เพื่อประโยชน์ของลูกหลานมนุษย์ รวมสิทธิชนยุคสุดห้ายหลายพันคน ตั้งเมืองใหญ่ยิ่ง เมืองหนึ่ง และฝากเกียรติคุณและชื่อที่ไม่มีวันตายไว้ ท่านดำรงชีวิตใหญ่ยิ่งและ ท่านตายใหญ่ยิ่งในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าและผู้คนของท่าน และเหมือน คนที่รับการชโลมของพระเจ้าส่วนมากในสมัยโบราณที่ผนึกภาระของท่านและ งานของท่านด้วยเลือดของท่านเอง และพี่ชายของท่านไฮรัม ก็เป็นเช่นนั้น ใน ชีวิตคนทั้งสองมิได้แตกกัน และในความตายคนทั้งสองมิได้แยกกัน!

“เมื่อโจเซฟไปคาร์เทจเพื่อมอบตัวตามข้อเรียกร้องที่เสแสร้งของกฎหมาย สองหรือสามวันก่อนการถูกลอบฆ่าของท่าน ท่านกล่าว: “ข้าพเจ้าอำลังไป เหมือนลูกแกะไปสู่การฆ่า แต่ข้าพเจ้าก็สงบดังเวลาเช้าของฤดูร้อน ข้าพเจ้ามี ความรู้สึกผิดชอบอันปราศจากความผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า และต่อคนทั้งปวง ข้าพเจ้าจะตายอย่างบริสุทธี้ และคนจะยังกล่าวถึงข้าพเจ้า—เขาถูกลอบฆ่าอย่าง เลือดเย็น’—เข้าวันเดียวกันหลังจากไฮรัมเตรียมพร้อมที่จะไป—จะเรียกมันว่า ไปสู่การฆ่าหรือ? ถูกแล้ว เพราะมันเป็นเช่นนั้น—ท่านอ่านข้อความต่อไปนี้ เกือบท้ายบทที่สิบสองของหนังลืออีเธอร์ ในพระคัมภีร์มอรมอน และพับหท้า นั้นไว้:

“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระเจ้าขอให้พระองค์ ประทานพระฅุฌแก่คนต่างชาติ เพื่อเขาจะได้มิความใจบุญ และเหตุการณ์ได้ บังเกิดขึ้นคือ พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า: หากเขาไม่่ิิมิความใจบุญ บันก็ไม่สำกัญ สำหรับเจ้า เจ้าซื่อสัตย์มา ด้งนั้นอาภรณ์ของเจ้าจึงสะอาด และเพราะเจ้าเห็น ความอ่อนแอของเจ้า จึงจะทำให้เจ้าเข้มแข็ง แห้ไปสู่การได้นั่งลงในที่ซึ่งเรา เตรียมไวัในปราสาทของพระบิดาของเรา และบัดนี้ ข้าพเจ้า … กล่าวคำลาคน ต่างชาติ แห้จริงแล้ว และพื่ห้องของข้าพเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้ารักด้วย จนกว่าเราจะ พบกันหน้าบัลลังค์พิพากษาของพระคริสต์ ที่ซึ่งคนทั้งปวงจะรู้ว่าอาภรณ์ของ ข้าพเจ้าไม่ขิมลทินด้วยเลือดของท่าน [อีเธอร์ 12:36–38] มัดนี้ผู้ให้ตัอยคำตาย แล้ว และล้อยคำของเขายังไข้ได้

“ไฮรัม สมิธอายุสี่สิบสี่ป็ในเดือนกุมภาพันธ์ 1844 และโจเซฟ สมิธอายุ สามสิบแปดปีในเดือนธันวาคม 1843 และนับแต่นี้ชื่อของท่านจะถูกนับอยู่ใน บรรดาพวกที่เป็นมรณสักขีของศาสนา และผู้อ่านในทุกประเทศจะถูกเดือนว่า พระคัมภีร์มอรมอนและหนังสือนี้ คำสอนและพันธสัญญาของศาสนาจักรมืค่า ด้วยชีวิตคนดืที่สุดของศตวรรษที่สิบเท้าที่จะน่ามันออกมาเพื่อความรอดของ โลกที่ย่อยยับแล้ว และว่าหากไฟจะเผาผลาญด้นไท้สดได้เพื่อรัศมีภาพของ พระผู้เป็นเจ้าแล้ว มันจะไหท้ด้นไท้แท้งได้ง่ายสักเพียงใดเพื่อท่าไท้สวนองุ่นแห่ง ความเสื่อมทรามบริสุทธี้ คนทั้งสองดำรงชีวิตเพื่อรัศมีภาพ คนทั้งสองตายเพื่อ รัศมีภาพ และรัศมีภาพคือรางวัลนิรันดร์ของพวกท่าน จากยุคถึงยุค ชื่อของ ท่านจะลงไปถึงคนรุ่นหลัง ดังอัญมณีสำหรับผู้ถูกชำระใท้บริสุทธี้”14

โจเซฟ สมิธปฏิบัติพันธกิจทางโลกจนสำเร็จและ ผนึกประจักษ์พยานด้วยเลือดของท่าน

บัริกัน ยังค์ประกาศว่า “แบ้ศัตรูจะมีอำนาจฆ่าศาสดาของเราได้ หากฆ่าได้ แต่กาย ท่านมิได้ทำทกอย่างที่อยในใจท่านให้บรรลผลสำเร็จในวันเวลาของ ท่านหรือ ท่านท่าสำเร็จ ข้าพเจ้ามีความรู้แน่นอนในเรื่องนี้15

บริคัน ยังก์สอนด้วยว่า “ใครหรือที่ปลดปล่อย โจเซฟ สมิธจากมือศัตรูของท่านจนถึงวันแห่ง ความตายของท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงปลดปล่อย แห้ท่านจะถูกนำไปสู่ขอบเหวแห่งความตายหลาย ครั้งหลายคราและตามความคิดความเข้าใจของ คนทั่วไปท่านจะไม่มืโอกาสรอดชีวิตก็ตาม เมื่อ ท่านอยู่ในคุกที่มิสซู่รื ไม่มืใครคาดคิดว่าท่านจะ หนีพ้นเงื้อมมือศัตรูไต้ ข้าพเจ้ามีศรัทธาเช่นเดียว กับศรัทธาของอับราฮัม และบอกพี่ห้องว่า พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ฉันใด ท่านจะพ้นเงื้อมมือของพวกเขาฉันนั้น แห้ ท่านจะเคยพยากรณ์ว่าท่านจะมืชีวิตไม่ถึงสี่สิบปี แต่เราต่างก็มืความหวังว่าน่า จะเป็นคำพยากรณ์ที่ผิด และท่านควรจะอยู่กับเราตลอดไป เราคิดว่าศรัทธาของ เราจะยืดอายุของท่าน แต่เราคิดผิด เพราะในที่สุดท่านก็เป็นมรณสักขีเพี่อศาสนา ของท่าน ข้าพเจ้ากล่าวว่าไม่เป็นไร เพราะบัดนี้ประจักษ์พยานมีอานุภาพเต็มที่ เพราะท่านผนึกประจักษ์พยานนั้นด้วยเลือดของท่าน”16

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟืเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเคยมืความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับ การเสียชีวิตของท่านและวิธีที่ท่านถูกปลิดชีวิต ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัา…โจเซฟท่า ได้ตามใจปรารถนา ท่านคงบุกเบิกทางไปเทือกเขาร็อคกี้ แต่นับจากนั้นข้าพเจ้าคห้อยตามอย่างเต็มที่กับข้อเท็จจริงที่ว่าทั่นเป็นไปตามโปรแกรม สี่งที่เรียก ร้องจากท่านในฐานะหัวหห้าของสมัยการประทานนี้คือท่านควรผนึกประจักษ์ พยานด้วยเลือดของท่าน และไปสู่โลกแห่งวิญญาณ โดยถือกุญแจของสมัย การประทานนี้เพี่อเปีดคณะเผยแผ่ที่เวลานี้คำกังดำเนินการสั่งสอนพระกิตติคุณ แก่ ‘วิญญาณที่อยู่ในคุก’”17

โจเซฟ เอฟ. สมิธประธานศาสนาจักรคนที่หก “มรณสักขี [ของโจเซฟกับ ไฮรัม สมิธ] สอนอะไรเรา บทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่ว่า ‘เพราะว่าในกรณีที่เกี่ยวกับ หนังสือพินัยกรรมก็จะด้องพิสูจน์ว่าผู้ท่าหนังสือนั้นตายแห้ว’ (ฮีบรู 9:16) จึง เกิดผลตามนั้น นอกจากนี้ เลือดของมรณสักขีแห้ที่จริงคือเมล็ดพันซึ้ของ ศาสนาจักร พระเจ้าทรงยอมให้มืการเสียสละเพี่อประจักษ์พยานของคนมืคุณธรรมและคนชอบธรรมเหล่านั้นจะยืน เป็นพยานฟองโลกที่วิปริตและไม่ชอมธรรม อีกประการหนึ่งคือพวกท่านเป็นแบบอย่างของความรักอันลํ้าเลิศซึ่งพระผู้ไถ่ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละ ชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน’ (ยอห์น 15:13) พวกท่านแสดงความรักอัน ลํ้าเลิศนี้ต่อสิทธิชนและต่อโลก เพราะท่านทั้งสองรู้ซึ้งและแสดงความเชื่อมั่น ก่อนเดินทางไปคาร์เทจว่าพวกท่านจะไปสู่ความตาย… ความกล้าหาญ ศรัทธา และความรักที่พวกท่านมีต่อผู้คนไม่มีขอบเขต และพวกท่านให้ทั้งหมดที่มีเพื่อ ผู้คนของท่าน การอุทิศตน และความรักเช่นนั้นไม่ทั้งความสงสัยใดๆ ไว้ในจิตใจผู้มีความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ว่าพวกท่านเป็นคนดีและแน่วแน่ เป็นผู้รับใช้ที่ได้รับมอบสิทธิอำนาจจากพระเจ้าอย่างแห้จริง

“มรณสักขีครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนของพระเจ้าเสมอมา สิ่งนี้ช่วยพวก เขาเมื่อด้องเผชิญการทดลองด้วยตนเอง ให้ความกล้าแก่พวกเขาเพื่อดำเนินตาม วิถีแห่งความชอบธรรม รู้และดำเนินชีวิตตามความจริง และด้องตราตรึงอยู่ใน ความทรงจำอันศักดิ์สิทธของสิทธิ์ชนยุคสุดห้ายผู้เรียนรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ โจเซฟ สมิธ”18

จอร์จ อัลเปีร์ต สนิธประธานศาสนาจักรคน ที่แปดประกาศว่า “โจเซฟ สมิธปฏิบัติพันธกิจ ของท่าน และเมื่อถึงเวลาที่ท่านด้องเผชิญหห้า กับความตาย ท่านพูดว่า ‘ช้าพเจ้ากำลังไปเหมือน ลูกแกะไปสู่การฆ่า แต่ช้าพเจ้าก็สงบดังเวลาเช้า ของฤดูร้อน ช้าพเจ้ามีความรู้สึกผิดชอบอันปราศจากความผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า และต่อคนทั้งปวง ช้าพเจ้าจะตายอย่างบริสุทธ และคนจะยังกล่าว ถึงช้าพเจ้า “เขาถูกลอบฆ่าอย่างเลือดเย็บ่” [ดู ค.พ. 135:4] ท่านไม่กลัวแห้ด้องยืนอยู่หห้าบัลลังก์พิพากษาอันน่าพอใจของ พระบิดาในสวรรค์และรับผิดชอบการกระทำที่ท่าในร่างกาย ท่านไม่กลัวแห้ด้อง เผชิญช้อกล่าวหาว่าท่านกำลังหลอกผู้คนและปฏิขัติลับพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม ท่านไม่กลัวผลจากพันธกิจของ ชีวิตท่าน และจากชัยชนะครั้งสุดห้ายของงาน ซึ่งท่านรู้ว่ามาจากเบื้องบนและท่านสละชีวิตเพื่องานนี้”19

กอร์ดอน มิ. สิงค์ลีย์ประธานศาสนาจักรคนที่สิบท้าเป็นพยานว่า “[โจเซฟ สมิธ] มั่นใจในอุดมการณ์ที่ท่านน่า และเชื่อมั่นในการเรียกที่ได้รับจากเบื้องบน จนท่านวางไว้เหนือคุณค่าของชีวิตท่าน ด้วยความรู้ล่วงหน้าถึงความตายที่จะ เกิดขึ้น ท่านจึงยอมมอบตัวต่อผู้ที่ปล่อยท่านไว้ในเงื้อมมือของกลุ่มคนร้ายโดย ไม่มีการช่วยเหลือ ท่านผนึกประจักษ์พยานด้วยเลือดของชีวิตท่าน”20

ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ

  • ไม่นานก่อนโจเซฟและไฮรัม สมิธจะถูกฆ่า เอ็ลเดอร์จอห์น เทย์เลอร์ได้ ร้องเพลง “ชายเศร้าโศกยากจนผู้ท่องไป” ให้พวกท่านฟัง (หน้า 570) อ่านหรือร้องเพลงสวดเพลงนี้ (เพลงสวด หน้า 16 และพิจารณาว่าเนื้อ เพลงพูดถึงชีวิตของศาสดาโจเซฟ สมิธอย่างไร เหตุใดเพลงสวดเพลงนี้จึง เหมาะกับสถานการณ์เช่นนั้น

  • อ่านทวนเรื่องราวของโจเซฟ สมิธเมื่อท่านประสาทกุญแจฐานะปุโรหิตให้ อัครสาวกสิบสอง (หน้า 572–574) ท่านคิดว่าเหตุใดอัครสาวกจึงรู้สึกว่าการ ให้ด้อยอ่าถึงประสบการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่านมีประจักษ์พยานอะไร ห้างเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งในฝ่ายประธานของศาสนาจักร

  • ศึกษาเรื่องราวของจอห์น เทย์เลอร์เกี่ยวกับมรณสักขีของโจเซฟและไฮรัม สมิธ (หน้า 575–576) ท่านจะแด้ต่างอย่างไรให้ข้อความที่ว่าโจเซฟ สมิธ “ท่าเพื่อความรอดของคนในโลกนี้ยิ่งกว่าคนอื่นใดในโลกที่เคยมีชีวิตอยู่ใน โลก นอกจากพระเยซูเท่านั้น” อ่อนไปคุกคาร์เทจ ไฮรัมอ่านอีเธอร์ 12:36–38 และพับหน้านั้นไว้ ข้อความนี้ประยุกต์ใช้กับโจเซฟและไฮรัมในทางใด ท่านรู้สึกอย่างไรห้างขณะนึกถึงการเสียสละที่โจเซฟและไฮรัม สมิธท่าเพื่อ ประจักษ์พยานของพวกท่านในพระเยซูคริสต์

  • อ่านประจักษ์พยานของศาสดายุคสุดท้ายในหน้า 577–579 ท่านจะพูดอะไร เพิ่มเติมม๊างเพื่อแสดงความกตัญญและประจักษ์พยานของท่าน

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: ฮีบรู 9:16–17; ค.พ. 5:21–22; 98:13–14; 112:30–33; 136:37–40

อ้างอิง

  1. อ้างอิงในแถลงการณ์ของอัครสาวกสิบ สอง (ต้นร่างไม่ได้ระบุวันที่) รายงาน การประชุมเดือนมีนาคม 1844; ใน Brigham Young, Office Files 1832–78 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์ แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ซอลท้เลคซิตี้ ยูทาห์

  2. “ชายเศร้าโศกยากจนผู้ท่องไป” เพลง สวด หน้า 16

  3. John Taylor อ้างอิงใน History of the Church, 7:101; จากจอห์น เทย์เลอร์ “The Martyrdom of Joseph Smith” ในสำนักงานนักประวัติศาสตร์ ประวัติศาสนาจักร ทศวรรษที่ 1840–1880 หน้า 47 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร

  4. History of the Church, 5:139–40; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 31 ส.ค. 1842 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย อีไลซา อาร์. สในว์; ดู ภาคผนวก หน้า 604, ข้อ 3 ด้วย

  5. History of the Church, 6:58; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 15 ต.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดยวิลลาร์ด ริชาร์ดส์; ดู ภาค ผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  6. History of the Church, 6:365; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 12 พ.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดยโธมัส บัลล็อค

  7. History of the Church, 6:500; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 18 มิ.ย. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์ ผู้รวบรวม History of the Church ได้รวมรายงานด้วยวาจาของพยานหลาย คนใน้เปืนคำปราศรัยเรื่องเดียว

  8. จดหมายที่โจเซฟ สมิธเขียนถึงเอ็มมา สมิธ 27 มิ.ย. 1844 คุกคาร์เทจ คาร์เทจ อิลลินอยส์; หอจดหมายเหตุ ชุมชนของพระคริสต์ อินติเพนเดนซ์ มิสซูรี สำเนาอยู่ในหอจดหมายเหตุ ของศาสนาจักร

  9. Wilford Woodruff, Deseret News: Semi–Weekly, Dec. 21, 1869, p. 2.

  10. Wilford Woodruff, Deseret Semi–Weekly News, Mar. 15, 1892, p. 2; เปลี่ยนเครื่องหมายวรรค ตอนให้ทันสมัย

  11. แถลงการณ์ของอัครสาวกสิบสอง (ด้นร่างไม่ได้ระบุวันที่) รายงานการ ประชุมเดือนมีนาคม 1844; ใน Brigham Young, Office Files 1832–78 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร

  12. Parley p. Pratt, “Proclamation to The Church of Jesus Christ of Latter–day Saints,” Milleimial Star, Mar. 1845, p. 151.

  13. Brigham Young อ้างอิงใน History of the Church, 7:230; ปรับ เปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากคำปราศรัยของบริคัม ยังก์เมื่อ 7 ส.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์

  14. คำสอนและพันธสัญญา 135:1–6

  15. Brigham Young, Deseret News, Apr. 30, 1853, p. 46; เน้นตัวเอน

  16. บริคัม ยังก์ คำปราศรัยเมื่อ 1 ส.ค. 1852 ในซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์; ใน Historian’s Office, Reports of Speeches ca. 1845–85 หอจดหมาย เหตุของศาสนาจักร

  17. Wilford Woodruff, Deseret News, Mar. 28, 1883, p. 146.

  18. Joseph F. Smith, “The Martyrdom,” Juvenile Instructor, June 1916, p. 381; เปลี่ยนเครื่องหมาย วรรคตอนให้ทันสมัย; ปรับเปลี่ยนการ แบ่งย่อหน้า

  19. George Albert Smith ใน Conference Report, Apr. 1904, p. 64; เปลี่ยนตัวสะกดให้ทันสมัย

  20. Gordon B. Hinckley ใน Conference Report, Oct. 1981, pp. 6–7; หรือ Ensign, Nov. 1981, p. 7.

ภาพ
mob at Carthage Jail

ในตอนบ่ายของวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1844 กลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาในคุกที่คาร้เทจ อิลลินอยสั สังหารศาสดาโจเซฟ สมิธและไฮรัม สมิธ

ภาพ
Joseph teaching

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟืจำได้ว่าศาตดาโจเซฟ สนิธ “ใช้ฤดูหนาวสุดด้ายของชีวิตท่านประมาณสามสิ เดือนสอนโควรัมอัครสาวกสิบสอง … ท่านใช้วันแด้ววันเล่า สัปดาห์แด้วสัปดาห์เล่า และเดือนแด้วเดือนเล่าสอนพวกเขา”

ภาพ
Brigham Young

บริคัม ยังก์

ภาพ
George Albert Smith

จอร์จ อัลเบิร์ต สบิธ