คำสอนของประธานศาสนจักร
ภาคผนวก: แหล่งข้อมูลที่ใช้ในหนังสีอเล่มนี้


ภาคผนวก:

แหล่งข้อมูลที่ใช้ในหนังสีอเล่มนี้

คำสอนของศาสดาโจเซฟ สมิธดึงมาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง รวมทั้ง History of the Church เนื้อหาต่อไปนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจแหล่งข้อมูลดัง กล่าว

แหล่งข้อมูลคำสอนของศาสดา

คำสอนของศาสดาโจเซฟ สมิธที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนื้ดึงมาจากแหล่ง ข้อมูลหลายประเภทได้แก่

คำเทศนา หนังสือเล่มนี้อ้างอิงอย่างกว้างขวางจากคำปราศรัยของศาสดาโจเซฟ สมิธ วิธีบันทึกคำเทศนาเหล่านี้แตกต่างอย่างมากจากวิธีบันทึกคำเทศนา ของประธานศาสนาจักรท่านต่อๆ มา ประธานศาสนาจักรผู้มาหลังจากโจเซฟ สมิธใช้เจ้าหน้าที่คัดลอกจดชวเลขคำปราศรัยของพวกท่านต่อสมาชิกศาสนาจักร เมื่อมีเครื่องมือบันทึกอิเล็กทรอนิกส์เช่น เครื่องบันทึกเทปและภาพยนตร์ ศาสนาจักรก็ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้บันทึกคำพูดของผู้นำศาสนาจักร

อย่างไรก็ดึ ในช่วงชีวิตของโจเซฟ สมิธ การใช้ชวเลขยังไม่แพร่หลาย ด้วย เหตุนี้คำเทศนาของท่านจึงถูกบันทึกไว้ด้วยการเขียนธรรมดาและไม่ครบถ้วน โดยปกติจะให้เจ้าหน้าที่คัดลอก ผู้นําศาสนาจักร และสมาชิกศาสนาจักรท่าน อื่นๆ เป็นผู้เขียน คำปราศรัยแทบทุกครั้งของโจเซฟ สมิธจะพูดสดไม่มืฉบับ ร่าง ดังนั้นบันทึกย่อที่ผู้ฟ้งจดไว้จึงเป็นบันทึกคำปราศรัยเพียงแหล่งเดียว แมัรายงานคำปราศรัยที่ยาวพอสมควรจะยังอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบทสรุปข่าว สารที่ศาสดาให้ไว้ น่าเสียดายที่เราไม่มืบันทึกคำปราศรัยมากมายหลายครั้งของ โจเซฟ สมิธ จากคำเทศนามากกว่า 250 เรื่องที่เราทราบว่าท่านเป็นผู้ให้ มี รายงานหรือบันทึกย่อจากเจ้าหน้าที่คัดลอกหรือคนอื่นๆ เพียง 50 เรื่องเท่านั้น

บทความ คำสอนบางเรื่องของศาสดาในหนังสือเล่มนี้ดึงมาจากบทความที่โจเซฟ สมิธวางแผนให้ตีพิมพ์ในวารสารศาสนาจักร รวมทั้ง Evening and Morning Star, Latter Day Saints’ Messenger and Advocate, Elders’ Journal และ Times and Seasons1 โจเซฟ สมิธเขียนหรือบอกให้เขียน เนื้อหาบางส่วนเพื่อตีพิมพ์ ท่านมักจะกำกับดูแลให้เจ้าหน้าที่คัดลอก สมาชิก ท่านหนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุด หรือบุคคลที่ไว้ใจได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง พิเศษบางเรื่องที่ท่านประสงค์จะปราศรัย จากนั้นศาสดาจะลงนามในด้นฉบับ เพื่อยืนยันว่านั่นเป็นความคิดของท่าน และจัดพิมพ์ในนามของท่าน ตัวอย่าง เช่น หนังสือเล่มนี้อ้างอิงจากบทความหลายตอนที่จัดพิมพ์ไว้ใน Times and Seasons ในปี ค.ศ. 1842 ในช่วงแปดเดือนของปีนั้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนตุลาคม โจเซฟ สมิธทําหน้าที่เป็นบรรณาธิการวารสารฉบับนี้และมักจะ จัดพิมพ์บทความโดยใช้ชื่อว่า “Ed.” แมัจะมีหลายคนช่วยท่านเขียนบทความ มากมายเหล่านี้ แต่ศาสดาคือผู้อนุมัติและจัดพิมพ์ในนามของท่าน

จดหมาย หนังสือเล่มนี้อ้างอิงจากจดหมายหลายฉบับที่โจเซฟ สมิธเขียน หรือบอกให้เขียน อีกทั้งอ้างอิงจากจดหมายที่โจเซฟ สมิธเห็นชอบและลงนาม แต่ให้คนอื่นเขียนบางส่วนหรือเขียนทั้งฉบับภายใด้การกำกับดูแลของท่าน

บันทึกส่วนตัว บันทึกส่วนตัวของศาสดาเป็นแหล่งสำกัญของดำสอนของ ท่าน แน้บันทึกส่วนตัวของท่านจะมีมากมาย แต่นานๆ ครั้งท่านจะเขียนเอง ส่วนใหญ่ท่านจะกำกับดูแลให้เจ้าหน้าที่ดัดลอกเป็นผู้เขียนบันทึกส่วนตัวของ ท่านภายใด้การควบดุมของท่าน ซึ่งทําให้ท่านสามารถทําความรับผิดชอบเร่งต่วน ในการเรียกของท่านได้ ก่อนมรณสักขีของท่าน ท่านกล่าวว่า “ช้าพเจ้ามีบันทึก การกระทำและการดำเนินงานทั้งหมดของช้าพเจ้าในช่วงสามปีสุดท้าย เพราะ ช้าพเจ้าให้เสมียนที่ดื ซื่อสัตย์ และมีประสิทธิภาพจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาติดตามช้าพเจ้าไปทุกที่ และจดประวัติของช้าพเจ้าอย่างละเอียด พวก เขาจดสิ่งที่ช้าพเจ้าทํา สถานที่ที่ช้าพเจ้าไป และเรื่องที่ช้าพเจ้าพูด”2 ตามปกติ เจ้าหน้าที่คัดลอกของศาสดาจะบันทึกช้อมูลโดยใช้สรรพนามบุรุษที่สาม แต่บาง ครั้งพวกเขาจะเขียนโดยใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งประหนึ่งว่าโจเซฟ สมิธเป็นผู้ เขียนเอง

ความทรงจำของคนอื่นๆ หนังสือเล่มนี้อ้างอิงจากความทรงจำของผู้ได้ยิน ศาสดาพูดและต่อมาบันทึกอ้อยคำของท่านไว้ในบันทึกส่วนตัวของพวกเขาและ งานเขียนอื่นๆ หลังจากการเสียชีวิตของศาสดา ผู้นำศาสนาจักรและนักประวัติศาสตร์ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรวบรวมและเก็บรักษางานเขียนเหล่านี้และ บันทึกเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเกี่ยวกับศาสดา เราจะใช้แหล่งข้อมูล เหล่านี้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้ยินถ้อยคำที่มีผู้บันทึกไว้จริงๆ

พระคัมภีร์ หนังสือเล่มนี้อ้างอิงจากคำสอนและงานเขียนของโจเซฟ สมิธซึ่ง ต่อมาบันทึกเป็นพระคัมภีร์ไว้ในพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญาและพระคัมภีร์ไข่บุกอันลํ้าค่า งานเขียนเหล่านี้มีคำแนะนำที่ท่านให้ไว้เกี่ยวคับหลักคำสอน ภาพปรากฎที่ท่านบันทึกไว้ จดหมายและเอกสารอื่นๆ ที่ท่านเขียน หนังสือเล่ม นี้อ้างอิงจากคำสอนทางศาสนาและงานเขียนดังกล่าวเมื่อให้ข้อคิดเป็นหลักคำ สอนที่นำเสนอในบทนี้

ประวัติของศาสนาจักร

คำเทศนาและงานเขียนมากมายของศาสดาโจเซฟ สมิธในหนังสือเล่ม นี้อ้างอิงจาก History of the Church of Jesus Christ of Latter–day Saints ซึ่งหนังสือเล่มนี้เรียกว่า History of the Church3 หกเล่มแรกของ History of the Church นำเสนอประวัติศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่ง สิทธิชนยุคสุดท้ายตั้งแต่ด้นจนถึงการเสียชีวิตของโจเซฟ สมิธ ประวัติดังกล่าว บรรยายเหตุการณ์และประสบการณ์เกี่ยวคับชีวิตและการปฎิบัติศาสนกิจของ โจเซฟ สมิธในเบื้องด้น นับเป็นแหล่งสำคัญที่สุดแหล่งหนึ่งของข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตและคำสอนของศาสดาตลอดจนการพัฒนาศาสนาจักรใน สมัยเริ่มแรก

โจเซฟ สมิธเริ่มเตรียมประวัติในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1838 ซึ่งต่อมา กลายเป็น History of the Church เพื่อหักล้างรายงานเท็จที่จัดพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และที่อื่น การรวบรวมประวัติของท่านเป็นเรื่องที่ท่านกังวลมาก ในปี ค.ศ. 1843 ท่านกล่าวว่า “มีอยู่สองสามเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงมากกว่า ประวัติของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นงานที่ยากมาก”4

History of the Church อิงเรื่องราวในอดีตจากความทรงจำ บันทึกส่วน ตัวและบันทึกอื่นๆ ของศาสดา นำเสนอความเรียงเชิงบรรยายเกี่ยวกับกิจกรรม ในแต่ละวันของศาสดาและเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสนาจักร และมีรายงานคำปราศรัยของศาสดา สำเนาการเปีดเผยมากมายที่ท่านได้รับ บทความจาก วารสารศาสนาจักร บันทึกการประชุมใหญ่ และเอกสารอื่นๆ รวมอยู่ด้วย

โจเซฟ สมิธมีส่วนในการเตรียมและตรวจทานประวัติของท่านจนกระทั่งท่านเสียชีวิต แต่ท่านกำกับดูแลให้คนอื่นทำเป็นส่วนใหญ่ เหตุผลที่ทำเช่นนี้ เพราะตลอดชีวิตท่าน ท่านชอบพูดหรือบอกให้เขียนความคิดของท่านมากกว่า จะจดเอง และท่านต้องการปฎิบัติศาสนกิจของท่านอย่างต่อเนื่อง ประวัติของ ศาสดาในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1839 บันทึกว่า “ข้าพเจ้ากำลังบอกให้เขียน ประวัติ ข้าพเจ้าใข้กำว่าบอกให้เขียน เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ใข้ปากกา”5

ราวเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1844 ประวัติดังกล่าวเขียนถึงวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1838 ในคุกคาร์เทจ ไม่นานก่อนศาสดาเสียชีวิต ท่านมอบหมายให้เอ็ลเดอร์วิลลาร์ด ริชาร์ดส์ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่คัดลอกเวลานั้นสานต่อแผนการ รวบรวมประวัติ6 เอ็ลเดอร์ริชาร์ดส์และคนใกล้ชิดศาสดาเขียนประวัติต่อไปตาม คำแนะนำจนเอ็ลเดอร์ริชาร์ดส์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1854 ต่อจากนั้นเอ็ลเดอร์ จอร์จ เอ. สมิธลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนสนิทของศาสดาทําการรวบรวมประวัติ หรือกำกับดูแลในเบื้องต้น เขาไต้รับการวางมือแต่งตั้งเป็นอัครสาวกในปี ค.ศ. 1839 และเป็นนักประวัติศาสตร์ของศาสนาจักรในปี ค.ศ. 1854 อีกหลายคน ที่ทํางานในสำนักงานนักประวัติศาสตร์ของศาสนาจักรช่วยรวบรวมต้วย

งานสำคัญอย่างหนึ่งของผู้รวบรวม History of the Church คือตรวจทาน แล้ไขและเตรียมเอกสารต้นฉบับให้พร้อมรวมไว้ในประวัติ งานของพวกเขา เกี่ยวข้องกับการตรวจแกัในส่วนปลีกย่อยของเอกสารต้นฉบับเกือบทั้งหมดที่ รวมไว้ใน History of the Church ผู้รวบรวมจะแกัคำที่สะกดผิด เปลี่ยน เครื่องหมายวรรคตอน การใข้อักษรตัวใหญ่ และไวยากรณ์ให้ไต้มาตรฐาน นอกจากนี้ในบางกรณี ผู้รวมรวมประวัติจะทําการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในเอกสาร ต้นฉบับต้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แบ่งออกเป็นสามประเภทไต้แก่

  1. รวมเรื่อง คำปราศรัยจำนวนมากของโจเซฟ สมิธบันทึกไว้โดยผู้สังเกตการณ์มากกว่าหนึ่งคน ในบางครั้ง ผู้รวบรวม History of the Church จะรวม เรื่องราวสองเรื่องหรือมากกว่านั้นของคำปราศรัยเดียวกันไว้เป็นฉบับเดียว

  2. เปลี่ยนเรื่องจากสรรพนามบุรุษทีสามเป็นบุรุษทีหนึ่ง หลายเรื่องในคำสอน และกิจกรรมของศาสดาบันทึกโดยใข้สรรพนามบุรุษที่สาม เรื่องเหล่านี้เดิมที เขียนโดยเจ้าหน้าที่คัดลอกของท่าน แต่บางเรื่องนำมาจากงานเขียนของคนอื่น ที่รู้จักศาสดาและจากบทความหนังสือพิมพ์ เมื่อผู้รวบรวม History of the Church ทำงาน พวกเขาจะเขียนประวัติโดยใข้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งราวลับว่า ศาสดาเขียนเอง ต้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนเรื่องราวที่ใข้สรรพนามบุรุษที่สามเป็น สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง

  3. เพิ่มเติมหรือเปลี่ยนคำหรือวลี บันทึกดั้งเดิมจำนวนมากที่นํามาจากคำ เทศนาของศาสดาจะสั้น ไม่สมบูรณ์ และขาดตอน ในกรณีเช่นนี้ นักประวัติศาสตร์ของศาสนาจักรจะเขียนคำปราศรัยของศาสดาขึ้นใหม่ตามบันทึกที่มีอยู่ โดยดึงมาจากความทรงจำและประสบการณ์ที่พวกเขามีร่วมกับศาสดาด้วย งาน นี้บางครั้งด้องเพิ่มหรือเปลี่ยนคำหรือวลีเพื่อเติมส่วนที่ขาดหายไปและทำให้ ความหมายกระจ่าง

การรวบรวมและการเขียน History of the Church ทั้งหมดกระทำภายใด้ การควบคุมดูแลและการตรวจทานของอัครสาวก โดยจะอ่านประวัติให้สมาชิกใน ฝ่ายประธานสูงสุดฟ้ง ได้แก่ประธานบริดัม ยังก์ และโควรัมอัครสาวกสิบสอง ซึ่งบางคนสนิทสนมกับศาสดาและเคยได้ยินคำปราศรัยดั้งเดิมของท่าน ผู้นําเหล่านี้เห็นชอบให้จัดพิมพ์ด้นฉบับเป็นประวัติของศาสนาจักรในช่วงเวลานั้น

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1856 ประวัติเสร็จสมบูรณ์จนถึงการเสียชีวิตของโจเซฟ สมิธ และจัดพิมพ์เป็นชุดๆ ในวารสารศาสนาจักรในศตวรรษที่ 19 ชื่อว่า “ประวัติของโจเซฟ สมิธ”7 เอ็สเตอร์ีบี. เอช. โรเบิร์ตส์สมาชิกฝ่ายประธาน โควรัมสาวกเจ็ดสิบตรวจทานแก้ไขและจัดพิมพ์ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1902 และ 1912 เป็นหกฉบับโดยใช้ชื่อว่า History of the Church of Jesus Christ of Latter–day Saints

ผู้รวบรวมประวัติยืนยันความถูกด้องของงานนี้ เอ็ลเตอร์จอร์จ เอ. สมิธกล่าว ว่า “เราดูแลให้การถ่ายทอดความคิดใกล้เคียงรูปแบบของศาสดามากที่สูด และ ไม่มีความเห็นใดต่างไปจากที่ช้าพเจ้ารู้เพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินคำปราศรัยส่วน ใหญ่ของท่าน สัมพันธ์กับท่านมากที่สูด คงความชัดเจนของคำสอนของท่านไว้ ได้มากที่สูด และสอดคล้องเป็นอันดึกับหลักธรรมและเจตนารมณ์ของท่าน”8

เอ็ลเตอร์จอร์จ เอ. สมิธและเอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ประกาศว่า “ประวัติ ของโจเซฟ สมิธอยู่ต่อหน้าชาวโลกแล้วเวลานี้ และเราเชื่อว่าไม่เคยจัดพิมพ์ ประวัติใดที่มีรายละเอียดถูกด้องมากเท่านี้มาก่อน นักประวัติศาสตร์และเสมียน ผู้มีส่วนในงานนี้ต่างได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสเพื่อให้ประวัติดังกล่าวถูก ด้องที่สูด พวกเขาเป็นพยานที่เห็นกับตาและได้ยินกับหูถึงการดำเนินงานแทบ ทั้งหมดที่บันทึกไว้ในประวัตินี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะรายงานขณะที่เกิดขึ้น และฤ้า พวกเขาไม่อยู่ พวกเขาจะให้คนที่นั่นดำเนินการแทน นอกจากนี้ ดั้งแต่การเสีย ชีวิตของศาสดาโจเซฟ ประวิติดังกล่าวได้รับการตรวจแก้อย่างละเอียดภายใด้การ ตรวจตราอย่างเข้มงวดของประธานบริคัม ยังก์ และได้รับความเห็นชอบจากท่าน

“ด้วยเหตุนี้เราจึงแสดงประจักษ์พยานของเราต่อชาวโลก ต่อผู้ที่ฤ้อยคำเหล่า นี้จะมาถึง ว่าประวัติของโจเซฟ สมิธเป็นความจริงและเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์น่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่เคยจารึกไว้”9

ในหนังสือเล่มนี้ คำปราศรัยและงานเขียนของศาสดาอ้างอิงจาก History of the Church แต่คำปราศรัยและงานเขียนเติมไม่ได้รวมอยู่ในนั้น เมื่อหนังสือ เล่มนี้อ้างอิงจาก History of the Church หมายเหตุท้ายบทจะมีข้อมูลเกี่ยว กับคำปราศรัยหรืองานเขียนเติม รวมทั้งชื่อของผู้บันทึกคำเทศนาของศาสดา หมายเหตุท้ายบทจะบอกด้วยว่าเมื่อใดที่ผู้รวบรวม History of the Church ใข้ความทรงจำและประสบการณ์ที่มีกับโจเซฟ สมิธ เปลี่ยนคำหรือเพิ่มคำหรือ วลีในรายงานเติม การเพิ่มเติมหรือการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะกระทําก็ต่อเมื่อ ส่งผลต่อความหมายของข้อความอ้างอิง แต่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขเล็กๆ ท้อยๆ จะไม่มีหมายเหตุ

หนังสือชื่อโจเซฟ สมิธ—ประวัติดังบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไข่มูกอันลํ้าค่าเป็น บทที่คัดลอกมาจากท้าบทแรกของ History of the Church เล่มแรก

อ้างอิง

  1. Evening and Morning Star จัดพิมพ์ในเมืองอินดิเพนเดนซ์ รัฐมิสซู่รี ตั้งแต่ปี 1832–1833 และในเมือง เคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอตั้งแต่ปี 1833–1834 Latter Day Saints’ Messenger and Advocate ขัดพิมพ์ใน เมืองเคิร์ทแลนด์ตั้งแต่ปี 1834–1837 Elders’Journal จัดพิมพ์ในเมืองเคิร์ทแลนด์ตั้งแต่ปี 1837 และใน เมืองฟาร์เวสต์ รัฐมิสซูรีในปี 1838 Times and Seasons จัดพิมพ์ใน เมืองนอวู รัฐอิลลินอยส์ ตั้งแต่ปี 1839–1846

  2. History of the Church, 6:409; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 26 พ.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย โธมัส บัลล็อค

  3. History of the Church อ้างอิงเป็น เอกสารทางประวัติศาสตร์ของศาสนาจักร

  4. History of the Church, 6:66; จาก “History of the Church,” (ต้นฉบับ) book E–1, p. 1768 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุค สุดท้าย ซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์

  5. History of the Church, 4:1; จาก “History of the Church,” (ต้นฉบับ) book C–1, p. 963 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร

  6. ดูจดหมายที่จอร์จ เอ. สมิธเขียนถึง วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ 21 เม.ย. 1856 ซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์; ใน Historical Record Book, 183–74, p. 219 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร

  7. “History of Joseph Smith” จัด พิมพ์ใน Times and Seasons จาก 15 มี.ค. 1842 ถึง 15 ก.พ. 1846 และต่อเนื่องใน Deseret News, 15 พ.ย. 1851 ถึง 20 ม.ค. 1858 พิมพ์ ซํ้าใน Millenial Star จาก มิ.ย.1842 ถึง พ.ค. 1845; และจาก 15 เม.ย. 1852 ถึง 2 พ.ค. 1863

  8. จดหมายที่จอร์จ เอ. สมิธเขียนถึง วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ 21 เม.ย. 1856 ซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์;ใน Historical Record Book, 1843–74, p. 218 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร

  9. George A. Smith และ Wilford Woodruff, Deseret News, Jan. 20, 1858, p. 363; ปรับเปลี่ยนการ แบ่งย่อหน้า