คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 25: ความจริงจากอุปมาของ พระผู้ช่วยให้รอดในมัทธิว 13


บทที่ 25

ความจริงจากอุปมาของ พระผู้ช่วยให้รอดในมัทธิว 13

“ล้อรถศึกของอาณจักรยังคงหมุนต่อไปโดยปีพระพาหุอันทรงฤทธี้ ของพระเยโฮวาห้คอยบังคับ และถึงแม้จะมีการต่อต้านรอบด้าน แต่ก็จะยังคงหมุนต่อไปจนกว่าพระดำรัสของพระองค์ จะบังเกิดสัมฤทธิผลโดยครบภ้วน”

จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ

ขณะที่การสร้างพระวิหารเคิร์ทแลนด้ใกล้เสร็จสมบูรณ์โจเซฟ สบิธและสิทธิชนไต้เริ่มเตรียมตัวรับพรมากมายที่นั่น เพื่อช่วยเตรียมพี่น้องชายสำหรับการ อุทิศพระวิหาร การประชุมของโรงเรียนเอ็สเตอร์จึงเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1835 โรงเรียนแห่งนี้ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1834 ต่อเนื่องจากโรงเรียนศาสดาที่ เปีดอบรมก่อนหน้านี้

นอกจากเรื่องอื่นแล้ว ใจเซฟ สมิธและพี่น้องชายคนอื่นๆ ยังได้ศึกษาภาษา ฮีบรูอันเปีนภาษาเดิมที่ใช้เขียนในพันธสัญญาเดิมส่วนใหญ่ บันทึกส่วนตัวของ ศาสดาในช่วงนี้แสดงให้เห็นว่าท่านศึกษาภาษาฮีบรูแทบทุกวัน บ่อยครั้งที่ศึกษา วันละหลายๆ ชั่วโมง ช้อความหลายตอนในบันทึกส่วนตัวของท่านมีคำเหล่านี้ รวมอยู่ล้วย เช่น “อ่านภาษาฮีบรูทั้งวัน” หรือ “ไปโรงเรียนและอ่านภาษาสืบรู”1 วันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1836 ท่านบันทึกว่า “อยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน พระเจ้าประทานพรพวกเราในการศึกษา วันนี้เราเริ่มอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาสืบรู ของเราและไค้รับความสำเร็จมาก ดูราวกับว่าพระเจ้าทรงเปีดความคิดเราในวิธี ที่น่าอัศจรรย์เพี่อจะเช้าใจพระคำของพระองค์ในภาษาตั้งเดิม”2 หนึ่งเดือนต่อมา ท่านเขียนว่า “ไปโรงเรียน อ่าน และแปลกับชั้นเรียนของช้าพเจ้าตามปกติ จิต วิญญาณของช้าพเจ้าเบิกบานที่ไล้อ่านพระคำของพระเจ้าจากล้นฉบับ”3

ประสบการณ์ของโจเซฟ สมิธในโรงเรียนเอ็ลเดอร์เปีนหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่ง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ท่านมีต่อพระคัมภีร์ ท่านพากเพียรศึกษาพระคัมภีร์ โดยหาการปลอบประโลม ความรู้ และการดลใจตลอดชีวิตท่านในนั้น ที่สำคัญ คือมีข้อความตอนหนึ่งจากพระคัมภีร์ไบเบิลที่นำท่านให้ทูลขอปัญญาจากพระผู้เปีนเจ้าและได้รับภาพปรากฎครั้งแรกเมื่อท่านอายุเพียง 14 ปี (ดู ยากอบ 1:5)

งานเขียนและโอวาทของศาสดาเต็มไปด้วยข้อความอ้างอิงและการดีความ จากพระคัมภีร์ เพราะท่านศึกษาพระคัมภีร์อย่างกว้างขวางจนกลายเปีนองค์ ประกอบที่ขาดไม่ได้ในความคิดของท่าน ในการสอนท่านจะอ้างอิงพระคัมภีร์ โดยตรง มีการกล่าวถึง ถอดความ และใข้พระคัมภีร์เปีนฐานข้อมูลสำหรับ โอวาทของท่าน “ข้าพเจ้ารู้จักและเข้าใจพระคัมภีร์” ท่านประกาศในเดือนเมษายน ค.ศ. 184444

ความรู้ที่มีมากเปีนพิเศษในพระคัมภีร์เอื้ออำนวยให้ท่านสอนและดีความพระ คัมภีร์ได้ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และความชัดเจน และหลายคนที่ได้ยินท่านพูดจะ จำความสามารถนี้ได้ ประธานบริคัม ยังค์จำไค้ว่าศาสดา “ใข้พระคัมภีร์ ทำให้ พระคัมภีร์แจ้งชัดและเรียบง่ายจนทุกคนสามารถเข้าใจได้”5

แวนเดิล เมซจำได้ว่า “ผมเคยฟังศาสดาโจเซฟ สบิธพูดต่อหม้าสาธารณชน และเปีนส่วนตัว ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก เช่นเดียวคับที่หลายๆ คนเคย พิงขณะท่านสอนพวกเขาจากแท่นพูด ในม้านของผมและในม้านของท่าน ผมคุ้นเคยกับท่านมานาน…และรู้ว่าไม่มีใครสามารถอธิบายพระคัมภีร์ได้ชัดเจน จนไม่มีสักคนเข้าใจความหมายผิด เว้นแต่เขาจะเคยได้รับการสอนจากพระผู้เปีนเจ้า

“บางครั้งผมรู้สึกละอายใจเพราะแม้จะศึกษาพระคัมภีร์มามากตั้งแต่เด็ก แดก็ไม่เคยเข้าใจชัดเจนเท่าคับเมื่อท่านอธิบาย ประหนึ่งท่านไขกุญแจ และประตู ความรู้เปีดกว้างอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นหลักธรรมอันลํ้าค่าทั้งใหม่และเก่า”6

ความรู้ของศาสดาในพระคัมภีร์ประจักษ์ชัดในจดหมายต่อไปนี้ซึ่งท่านให้การ ดีความอันเปีนการพยากรณ์เกี่ยวคับอุปมาของพระผู้ช่วยให้รอดใน มัทธิว 13 ท่านสอนว่าอุปมาเหล่านี้พูดถึงการสถาปนาศาสนาจักรในสมัยของพระผู้ช่วยให้รอด การเติบโตอันนม่าอัศจรรย์ และจุดหมายของศาสนาจักรในยุคสุดห้าย

คำสอนของโจเซฟ ลมิธ

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนโดยใช้อุปมาเพื่อให้คนที่เชื่อในคำสอน ของพระองค์ได้รับความสว่างมากขึ้น ส่วนคนที่ไม่ยอมรับคำสอน ของพระองค์จะสูญเสียความสว่างที่พวกเขามี

“‘ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูล [พระผู้ช่วยให้รอด] ว่า เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับ เขาเปีนคำอุปมา [ข้าพเจ้าใคร่ขอบอก ณ ที่นี้ว่า “เขา” ที่ใช้ในประโยคคำถาม ดังกล่าว… หมายถึงฝูงชน] พระองค์ตรัสตอบเขาว่า [นั่นคือตรัสกับเหล่า สาวก] ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ทรงโปรดให้ ท่านทั้งหลาย รู้ได้ แต่ คนเหล่านั้น [นั่นคือผู้ไม่เชื่อ] ไม่โปรดให้รู้ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเดิม ให้คนผู้นั้นมีเหลือเหืเอ แต่ผู้ที่ไม่มีทั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะด้องเอาไปจากเขา’[มัทธิว 13:10–12]

“เราเข้าใจจากข้อความนี้ว่าคนที่แต่ก่อนเคยเผู้ารอพระมาไซยาเสด็จมาตาม ประจักษ์พยานของบรรดาศาสดา และขณะนั้นกำลังเผ่ารอพระมาไซยา แต่เพราะความไม่เชื่อฟ้งของพวกเขาจึงมีความสว่างไม่พอที่จะเล็งเห็นพระองค์เป็น พระผู้ช่วยให้รอดและเป็นพระมาไซยาที่แห้จริง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงด้องผิด หวังและสูญเสียแม้ความรู้นั้งหมด หรือความสว่าง ความเข้าใจ และศรัทธา ทั้งหมดที่มืต่อเรื่องนี้ถูกนำไปจากพวกเขา ดังนั้นคนที่จะไม่รับความสว่างมาก ขึ้นจึงด้องถูกนำความสว่างทั้งหมดที่มีอยู่ไปจากเขา และภ้าความสว่างที่อยู่ใน ท่านกลายเปีนความมีดแล้วละก็ ดูเถิด ความมีดนั้นจะใหญ่หลวงสักเพียงใด! ‘เหตุฉะนั้น’ พระผู้ช่วยให้รอดตรัส ‘เราจึงกล่าวแก่เขาเปีนคำอุปมา เพราะว่าถึง เขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไมเข้าใจ ความเป็นอยู่ ของเขาก็ตรงตามคำพยากรณ์ของอิสยาหัที่ว่าพวกเจ้าจะได้ยินกับทูก็จริง แต่จะ ไม่เข้าใจ จะลูก็จริง แต่จะไม่เห็น [มัทธิว 13:13–14]

“เราค้นพบว่าเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมรับพระมาไซยาดังที่ศาสดาท่านนี้ [อิสยาห์] อธิบายไว้คือ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่ยอมเข้าใจ ถึงเห็นก็เหมือน ไม่เห็น ‘เพราะว่าชนชาตินี้กลายเปีนคนมีใจเฉื่อยชา ทูก็ตึง และตาเขา เขาก็ ปีด มิฉะนั้นเขาจะเห็นด้วยตาและจะได้ยินด้วยทู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย’ [มัทธิว 13:15] แต่พระองค์ ตรัสอะไรกับเหล่าสาวก ‘แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เปีนสูขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน เราบอกความจริงแกท่านทั้งหลายว่า ผู้เผย พระวจนะและผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิ เคยได้ยิน’ [มัทธิว 13:16–17]

“เราแสดงความเห็นที่นี่อีกครั้ง—เพราะเราพบว่าหลักธรรมซึ่งเป็นเหตุให้ เหล่าสาวกได้รับพรคือเพราะพวกเขาได้รับอนุญาตให้เห็นก้บตาและได้ยินอับหู—ว่าการกล่าวโทษซึ่งตกอยู่อับฝูงชนที่หารับพระดำรัสของพระองค์ไม่นั้นคือ เพราะพวกเขาไม่ยอมดูให้เห็นก้บตา ไม่ยอมได้ยินกับหู ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำ ไม่ได้ ไม่มีสิทธี้เห็นและไม่ได้ยิน แต่เพราะใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความน่าชิงชัง ‘บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ำำำำำำำทำอย่างนั้นด้วย’ [กิจการ 7:51] โดยที่มองเห็นล่วงหน้าว่าพวกเขาจะทำใจแข็งกระด้าง ศาสดาจึง ประกาศไว้อย่างชัดเจน และนี่คือการกล่าวโทษโลก ความสว่างนั้นเข้ามาในโลก และมนุษย์เลือกความมีดแทนความสว่างเพราะการกระทำของพวกเขาชั่ว พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนเพื่อคนที่อ่านผ่านๆ จะไม่เข้าใจผิด

“… เมื่อผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าแสดงให้เห็นความจริง มนุษย์ติดนิสัยชอบ พูดว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องลี้ลับ พูดเปีนอุปมา และเพราะเหตุนี้จึงไม่เข้าใจ แน่นอนว่าพวกเขามีดาลู และไม่ดู แต่ไม่มีใครตาบอดเท่าคนที่จะไม่ดู และถึงแม้ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสอุปมาก้บคนเช่นนั้น ทว่ากับเหล่าสาวกพระองค์ทรงชี้แจง อย่างชัดเจน และเรามีเหตุผลที่จะเจียมตัวจริงๆ ต่อพระผู้เป็นเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราที่พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้บันทึกสิ่งเหล่านี้เพื่อเรา ชัดเจนมาก จนแน้พวกพระของบาอัลจะพยายามอย่างเต็มที่และผนึกกำลังกันก็ไม่สามารถ ทำให้เราตาบอดและทำให้ความเข้าใจของเรามืดมนได้ ถ้าเราจะลืมตา และอ่าน สักครู่โดยปราศจากอคติใดๆ”7

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นผลของการสั่งสอนพระกิตติคุณ อีกทั้งแสดงให้เห็นด้วยว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงสถาปนาอาณาจักร ของพระองค์ในศูนย์กลางแห่งเวลา

“ในเวลาที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถ้อยกำและอุปมาที่ไพเราะเหล่านี้ใน [มัทธิว 13] เราพบพระองค์ประทับในเรือเนื่องด้วยฝูงชนพากันเบียดพระองค์เพื่อให้ ได้ยินพระดำรัสของพระองค์ และพระองค์ทรงเริ่มสอนพวกเขาโดยตรัสตังนี้

“‘ดูเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตาม หนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึง งอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึง เที่ยวไป บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูจงฟ้งเถิด’ [มัทธิว 13:3–9] …

“แต่จงฟ้งคำอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช ‘เมื่อผู้ใดไต้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย’ ให้ สังเกตภ้อยคำดังกล่าว—ซึ่งหว่านในใจเขา ‘นั่นแหละไต้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่าน ตกริมหนทาง’ [มัทธิว 13:19] มนุษย์ผู้ไม่มีหลักแห่งความชอบธรรมในตัวเขา และใจเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และไมม่ปรารถนาหลักธรรมแห่งความจริง ย่อมไม่เข้าใจคำแห่งความจริงเมื่อเขาไต้ยิน มารเอาคำแห่งความจริงไปจากใจเขา เพราะตัวเขาไม่ปรารถนาความชอบธรรม

“ ‘และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ไต้แก่บุคคลที่ไต้ยินพระ วจนะแล้วก็รับทันทีด้วยความปรืดี แต่ไม่ฝืงลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อ เกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้นเขาก็เลิกเสียในทัน ทีทันใด และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่ บุคคลที่ไต้ฟ้งพระวจนะแล้ว ความกังวลตามธรรมดาโลกและความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้น เสียจึงไม่เกิดผล ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ไต้แก่ บุคคลที่ไต้ยินพระวจนะ นั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง’ [มัทธิว 13:20–23]

“พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงอธิบายให้เหล่าสาวกฟ้งอุปมาซึ่งพระองค์ทรงกล่าว ไว้นั้น และไม่มีความลี้ลับหรือความมีดหลงเหลืออยู่ในใจคนที่เชื่อนั่นในพระคำ ของพระองค์

“จากนั้นเราไต้ข้อสรุปว่าเหตุผลที่ฝูงชนหรือโลก ตังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรง เรียกเช่นนั้น ไม่ไต้รับคำอธิบายเกี่ยวกับอุปมาของพระองค์ก็เนึ่องจากความไม่ เชื่อ พระองค์ตรัส (โดยตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์) ว่าเรื่องลี้ลับของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ไต้ [ดู มัทธิว 13:11]เพราะเหตุใดหรือ เพราะศรัทธาและความเชื่อนั่นที่พวกเขามีในพระองค์ พระองค์ตรัสอุปมาเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นผลอันเกิดจากการสั่งสอนพระคำ และเรา เชื่อว่ามีการพูดพาดพิงโดยตรงถึงการเริ่มต้นหรือการจัดตั้งอาณาจักรในยุคนั้น ต้วยเหตุนี้เราจึงเจริญรอยตามพระดำรัสของพระองค์เกี่ยวกับอาณาจักรนี้นับจาก นั้นเปีนต้นมา แม้จนถึงเวลาสิ้นยุค”8

อุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานสอนว่าคนชอบธรรมและ คนชั่วจะจำเริญไปด้วยกันจนลีงเวลาสิ้นยุค เมื่อจะรวมคนชอบธรรมและจะเผาคนชั่ว

“ ‘พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟ้งว่า [คำอุปมาซึ่งมีนัย พาดพิงถึงการจัดตั้งอาณาจักรในยุคนั้นของโลกด้วย] แผ่นดินสวรรค์เปรียบ เหมือนคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนก้บข้าวดีนั้นไว้แลัวก็หลบไป ครั้นด้นข้าวนั้น งอกขึ้นออกรวงแห้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฎด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่ นายว่า นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของก่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน นายก็ตอบว่า นึ่เปีนการกระทำของศัตรู พวกทาสจึงถามว่า ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ แต่นายตอบว่า อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อคำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญ ไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้น เราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า จงเก็บข้าว ละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แด่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา’ [มัทธิว 13:24–30]

เราเรียนรู้จากอุปมาเรื่องนี้ไม่เฉพาะการจัดตั้งอาณาจักรในสมัยของพระผู้ช่วย ให้รอดเท่านั้น ซึ่งแทนด้วยเมล็ดดี และออกผล แต่เรียนรู้เรื่องความเสื่อมทราม ของศาสนาจักรด้วย ซึ่งแทนด้วยข้าวละมานที่ศัตรูหว่านไว้ และเหล่าสาวกของ พระองค์คงยินดีถอนทิ้งหรืทำให้ศาสนาจักรสะอาดถ้าพระผู้ช่วยให้รอดทรง เห็นด้วยกับทัศนะของพวกเขา แต่พระองค์ผู้ทรงรู้ทุกเรื่องตรัสว่า อย่าเลย เท่ากับบอกว่า ทัศนะของท่านไม่ถูกด้อง ศาสนาจักรอยู่ในระยะแรก และถ้า ท่านผลีผลามทำเช่นนั้น ท่านจะทำลายข้าวสาลีหรือศาสนาจักรไปพร้อมกับข้าว ละมาน เพราะเหตุนี้จะดีกว่าถ้าปล่อยให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว หรือเวลาสิ้นยุค ซึ่งหมายถึงความพินาศของคนชั่ว ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น …

“‘… พวกสาวกมาเผ้าพระองค์ทูลว่า ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวก ข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น พระองค์ตรัสตอบเขาว่า ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดี ได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมาร ร้าย’ [มัทธิว 13:36–38]

“ตอนนี้ขอให้ผู้อ่านของเราสังเกตคำกล่าวข้างด้น—‘นานั้นได้แก่โลก… ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดู เกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค [ขอให้พวกเขาสังเกตคำกล่าวนี้อย่างกี่ถ้วน—เวลาสิ้นยุค] และผู้เกี่ยวได้แก่ทูตสวรรค์’ [มัทธิว 13:38–39]

“มนุษย์ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บอกได้ว่านี่เป็นสำนวนเปรียบเทียบ หรือมิได้ หมายความอย่างที่พูด เพราะพระองค์ทรงกำลังอธิบายสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ใน อุปมา และตามภาษานี้ เวลาสิ้นยุคคือความพินาศของคนชั่ว การเก็บเกี่ยวและ เวลาสิ้นยุคมีการพูดพาดพิงโดยตรงถึงครอบครัวมนุษย์ในุวันเวลาสุดท้าย แทน ที่จะเป็นแผ่นดินโลกอย่างที่หลายคนคิด และซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของ บุตรมนษย์และการจัดตั้งสารพัดสิ่งขึ้นใหม่ตามที่พูดไว้โดยปากของศาสดาผ้ บริสุทธิทั้งหลายตั้งแต่โลกเริ่มด้นมา และเหล่าเทพมีบางสิ่งด้องทำในงานใหญ่นี้ เพราะพวกท่านคือผู้เกี่ยว

“ ‘เหตุฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเปีน อย่างนั้น’ [มัทธิว 13:40] นั่นคือ เมื่อผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าออกไปเตือน ประชาชาติทั้งหลาย ทั้งปุโรหิตและคนทั่วไป และเมื่อพวกเขาทำใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมรับความสว่างแห่งความจริง คนเหล่านี้จะเป็นพวกแรกที่ถูกส่งไปสู่การ ปะทะของซาตาน กฎและประจักษ์พยานถูกยกเลิก… พวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ใน ความมีดและถูกส่งไปสู่วันแห่งการเผาไหท้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกข้อบัญญัติทางศาสนาของพวกเขาผูกม้ดและพวกปุโรหิตทำให้สายรัดของพวกเขาแน่นขึ้น [พวก เขา] พร้อมรับลัมฤทธิผลแห่งพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า ‘บุตรมนุษย์ จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่กระทำ ชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการ ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟ้น’ [มัทธิว 13:41–42]

“เราเข้าใจว่างานแห่งการเก็บรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางด้องเกิดขึ้นขณะ ข้าวละมานถูกลัดเตรียมไว้สำหรับวันแห่งการเผาไหท้ เพื่อหลังจากวันแห่งการ เผาไหท้ ‘ผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟ้งเถิด’ [มัทธิว 13:43]”9

อุปมาเรื่องเมล็ดพืชสอนว่าศาสนาจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้รับการสถาปนาในวันเวลาสุดท้ายนี้จะแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินโลก

“พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาพิง โดยมีการพาดพิงถึงอาณาจักร ที่ควรตั้งขึ้นก่อนหรือในเวลาของการเก็บเกี่ยว ซึ่งอ่านได้ดังนี้—‘แผ่นดินสวรรค์ เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ด นั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเปีนด้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามสิ่งก้านของด้นนั้นได้’ [มัทธิว 13:31–32] เราค้นพบได้อย่างชัดเจนว่าอุปมานี้หมายถึงศาสนาจักรดังที่จะออกมาในวัน เวลาสุดท้าย ดูเถิด อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดพืช บัดนี้ อะไรเปรียบ ได้กับอาณาจักรสวรรค์

“ขอไห้เรานำพระคัมภีร์มอรมอนออกมาในวันเวลาสุดท้ายหรือในเวลาที่ เหมาะสม พระคัมภีร์ซึ่งชายคนหนึ่งนำไปซ่อนไว้ในทุ่ง และดูแลอย่างดีด้วย ศรัทธาของเขา ขอไท้เรามองดูพระคัมภีร์มอรมอนงอกขึ้นมาจากผืนดิน ซึ่งนับ ได้ว่าเป็นเมล็ดเล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดพืชทั้งหลาย แต่จงมองดูมันแตกกิ่งก้าน สาขา แท้จริงแค้ว แม้ตั้งตระหง่านมีกิ่งก้านสูงลิ่วและมีความน่าเกรงขามเฉก เช่นพระผู้เป็นเจ้า จนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในบรรดาพืชสมุนไพรทั้งหลาย เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด พระคัมภีร์มอรมอนป็นความจริง เป็นกิ่งที่งอกขึ้นมาจาก แผ่นดินโลก และความชอบธรรมเริ่มมองลงมาจากสวรรค์ [ดู สดุดี 85:11; โมเสส 7:62]และพระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพลังอำนาจ ของประทาน และเหล่า เทพของพระองค์ลงมาพักอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน

“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดพืช ดูเถิด นี่ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์หรอก หรือที่เงยหน้าในวันเวลาสุดท้ายด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า แม้ ศาสนาจักรของสิทธิชนยุคสุดท้าย เหมือนศิลาที่แทงไม่ทะลุและไม่ขยับเขยื้อน ท่ามกลางความลึกลํ้า กระทบคลื่นลมและพายุของซาตาน แต่กระนั้นก็ยังตั้งมั่น และยังคงฝ่าคลื่นยักษ์ของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถูกลมพายุที่ซัดเรือไหัอับปางพัดมา ซึ่งฟองคลื่นมหึมา [ซัดสาด] และยังคงซัดสาดหน้าผาอันชะโงกเยื้อมของมัน ยั่วยุใหัศัตรูของความชอบธรรมเดือดดาลอีกทบเท่าทวีคูณ …

“…เมฆแห่งความมืดแผ่คลุมมานานเหมือนคลื่นยักษ์ซัดสาดศิลาที่ไม่ขยับ เขยื้อนของศาสนาจักรของสิทธิชนยุคสุดท้าย และแม้จะประสบทั้งหมดนี้ แต่ เมล็ดพืชยังคงแตกกิ่งก้านสูงลิ่ว สูงขึ้น สูงขึ้น และแผ่กิ่งก้านกว้างขึ้น กว้าง ขึ้น และล้อรถศึกของอาณาจักรยังคงหนุนต่อไปโดยมีพระพาหุอันทรงฤทธของ พระเยโฮวาห์คอยบังคับ และถึงแม้จะมืการต่อด้านรอบด้าน ก็จะยังคงหนุนต่อ ไปจนกว่าพระดำรัสของพระองค์จะบังเกิดสัมฤทธิผลโดยครบท้วน”10

ประจักษ์พยานของพยานสามคนและพระคัมภีร์ยุคสุดท้าย เปรียบเหมือนเชื้อขนมที่เจืออยู่ในแป้ง อุปมาเรื่องอวนสอนเกี่ยวคับการรวมทั่วโลก

“ ‘พระองค์ยังตรัสคำอุปมาใท้เขาฟ้งอีกข้อหนึ่งว่าแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน เชื้อซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแปีงสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด’ [มัทธิว 13:33] อาจเข้าใจได้ว่าศาสนาจักรของสิทธิชนยุคสุดท้ายเจริญรุ่งเรืองจากเชื้อ ขนมเพียงเล็กน้อยที่ใส่ไว้ในพยานสามคน ดูเถิด นี่ช่างเหมือนอุปมาเหลือเกิน! เชื้อขนมท่าใท้แป้งส่วนหนึ่งขึ้นฟู และไม่นานจะท่าใท้แป้งทั้งก้อนขึ้นฟู…

“ ‘อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติด ปลารวมทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝังมั่งเลือกเอาแต่ที่ดืใส่ตะกร้า แต่ ที่ไม่ดืนั้นก็ทิ้งเสีย’ [มัทธิว 13:47–48] สำหรับผลของอุปมาเรื่องนี้ จงมองดู เชื้อสายของโจเซฟ การก้อมอวนพระกิตติคุณบนพื้นพิภพ ติดปลารวมทุกชนิด เก็บปลาดืไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้เพื่อจุดประสงค์นั้น และพวกทูตสวรรค์จะกำจัด ปลาที่ไม่ดื ‘ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยก คนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่มั่นจะมืการ ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟ้น ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ เขาทูล ตอบพระองค์ว่า เข้าใจพระเจ้าข้า’ [มัทธิว 13:49–51] และเราตอบว่า เข้าใจ พระเจ้าข้า และพวกเขาตอบด้วยว่า เข้าใจพระเจ้าข้า เพราะข้อความเหล่านี้ ชัดเจนและน่าชื่นชมถึงขนาดว่าสิทธิชนทุกคนในวันเวลาสุดท้ายด้องตอบรับ ด้วยความเต็มใจ

“ ‘ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทูกคนที่ได้เรียนรู้ ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้วก็เป็นเหมือนเจ้าของม้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่า ออกจากคลังของตน’ [มัทธิว 13:52]

“สำหรับผลของตัวอย่างนี้ จงดูพระคัมภีร์มอรมอนออกมาจากขุมทรัพย์ของใจ พันธสัญญาที่ประทานให้สิทธิชนยุคสุดท้าย [พระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา] และการแปลพระคัมภีร์ไบเบิล—ทั้งของใหม่และของเก่าจึงออกมา จากใจตังนั้น ทำให้แป็งสามท้อนผ่านการสัมผัสที่ทำให้บริสุทธิ์โดยการเปีดเผย ของพระเยซูคริสต์และการปฎิบัติศาสนกิจของเหล่าเทพ ผู้เริ่มงานนี้ไว้แล้วใน วันเวลาสุดท้าย ซึ่งจะตรงกับเชื้อขนมที่ทำให้แป้งทั้งท้อนขี้นฟู อาเมน”11

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูดวามช่วย เหลือเพิ่มเดิมได้ ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ

  • อ่านทวนหม้า 317–318 เราเรียนรู้อะไรม้างจากแบบอย่างของโจเซฟ สบิธ เพื่อช่วยเราในการศึกษาพระคัมภีร์

  • อ่านทวนคำอธิบายของโจเซฟ สบิธที่ว่าเหตุใดบางครั้งพระผู้ช่วยให้รอดจึง ทรงสอนด้วยอุปมา (หม้า 319–320) ขณะที่เราเรียนรู้ความจริงของพระกิตติคุณ ท่านคิดว่าลูให้เห็นกับตาและพังให้ได้ยินกับหูหมายความว่าอะไร ท่านคิดว่าเหตุใดความสว่างจะถูกนำไปจากเราล้าเราไม่ยอมรับความสว่างมาก ชื้น พิจารณาสิ่งที่ท่านด้องทำเพื่อให้ได้รับความสว่างของพระกิตติคุณมากชื้น

  • ศึกษาอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (หน้า 320–322) ในอุปมาเรื่องนี้ พระผู้ช่วยให้ รอดทรงแสดงให้เห็นว่าข่าวสารพระกิตติคุณเดียวกันเกิดผลต่างกัน อยู่ที่ว่า ผู้คนรับข่าวสารอย่างไร เหตุใดพระคำของพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่สามารถเติบโต ในคน “ที่ใจเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย” เหตุใดความยากสำบากและการ ข่มเหงจึงชักนำบางคนให้ทิ้งพระคำของพระผู้เป็นเจ้า “ความกังวลตาม ธรรมดาโลก” และ “ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ” รัดพระคำในตัวเราด้วย วิธีใดบ้าง

  • เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า “ดิน” ของเราดีเมื่อหว่านพระคำในเรา บิดามารดา ทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยบุตรหลานเตรียมใจรับพระคำ

  • ในอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมาน (หน้า 322–324) ข้าวสาลีหมายถึง คนชอบธรรม หรือ “พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า” ข้าวละมานหมาย ถึง “พลเมืองของมารร้าย” เราจะซื่อสัตย์อยู่ได้อย่างไรแม้จะปล่อยใบ้ “ข้าวละมาน” เติบโตทท่ามกลาง “ข้าวสาลี” คำ สอนและพันธสัญญา 86:1–7 ช่วยใบ้ท่านเข้าใจอุปมาเรื่องนี้อย่างไร

  • ศาสนาจักรในปัจจุบันเปรียบเหมือนด้นไบ้ที่กำลังพัฒนาในอุปมาเรื่องเมล็ด พืชอย่างไร (ดู ตัวอย่างได้ที่หน้า 324–326)

  • อ่านทวนหบ้า 326–327 สังเกตว่าเชื้อขนมคือสารที่ทำให้แป้งขนมปังขึ้นฟู พระคัมภีร์ยุคสุดท้ายเปรียบเหมือนเชื้อขนมสำหรับศาสนาจักรในทางใด และ เปรียบเหมือนเชื้อขนมสำหรับตัวท่านในทางใด พระคัมภีร์ยุคสุดท้ายเปรียบ เหมือนขุมทรัพย์ทั้ง “ใหม่และเก่า” อย่างไร

  • ในอุปมาเรื่องอวนพระกิตติคุณ (หน้า 327) ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญที่อวน จะติดปลาทุกชนิด อุปมาเรื่องนี้บังเกิดสัมฤทธิผลอย่างไรในปัจจุบัน

ข้อพระคัมภีร์กี่เกี่ยวข้อง: ลูกา 8:4–18; แอลมา 12:9–11; ค.พ. 86:1–11; 101:63–68

อ้างอิง

  1. History of the Church, 2:326, 387;จากข้อมูลบันทึกส่วนตัวของโจเซฟ สมิธ 7 ธ.ค. 1835 และ 29 ม.ค. 1836 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  2. History of the Church, 2:376; จาก ข้อมูลบันทึกส่วนตัวของโจเซฟ สมิธ 19 ม.ค. 1836 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  3. History of the Church, 2:396; จาก ข้อมูลบันทึกส่วนตัวของโจเซฟ สมิธ 17 ก.พ. 1836 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  4. History of the Church, 6:314; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 7 เม.ย. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ วิลลาร์ด ริชาร์ดส์ โธบัส บัลล็อค และวิลเลียม เคลย์ตัน

  5. บริคัม ยัง Deseret News, Dec. 30, 1857, p. 340; เปลี่ยนตัวสะกดให้ทัน สมัย

  6. Wandle Mace, Autobiography, ca. 1890, p. 45 หอจดหมายเหตุของศาส นาจักร ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์ แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ซอลท์เลคซิตี้ยูทาห์

  7. History of the Church, 2:265–66; คำในวงเล็บชุดที่สอง สาม และสึ่ของ ย่อหน้าแรกอยู่ในต้นฉบับ; เปลี่ยน เครื่องหมายวรรคตอนและไวยากรณ์ให้ ทันสมัย; จากจดหมายที่โจเซฟ สมิธ เขียนถึงเหล่าเอ็ลเดอร์ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ จัด พิมฟ์ไน Messenger and Advocate, Dec. 1835, pp. 225–26.

  8. History of the Church, 2:264–67;เปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอนและไวยากรณ์ไห้ทันสมัย; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากจดหมายที่โจเซฟ สมิธ เขียนถึงเหล่าเอ็ลเดอร์ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ จัด พิมฟ้ไน Messenger and Advocate, Dec. 1835, pp. 225–26.

  9. History of the Church, 2:267, 271; คำในวงเล็บชุดแรกของย่อหน้าแรก และคำในวงเล็บชุดแรกของย่อหน้าที่สิ อยู่ในต้นฉบับ; เปลี่ยนเครื่องหมายวรรค ตอนให้ทันสมัย; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากจดหมายที่โจเซฟ สมิธ เขียนถึงเหล่าเอ็ลเดอร์ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ จัด พิมฟ์ไน Messenger and Advocate, Dec. 1835, pp. 226–29.

  10. History of the Church, 2:268, 270;คำในวงเล็บของย่อหน้าที่สามอยู่ในต้นฉบับ; เปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอน และไวยากรณ์ไห้ทันสมัย; จากจดหมาย ที่โจเซฟ สมิธเขียนถึงเหล่าเอ็ลเดอร์ ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ จัดพิมฟ์ไน Messenger and Advocate, Dec. 1835, pp. 227–28. ดู หน้า ⅹⅵ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการ เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการของศาสนา จักร

  11. History of the Church, 2:270, 272; เปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอนให้ทันสมัย; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากจดหมายที่โจเซฟ สมิธเขียนถึงเหล่าเอ็ลเดอร์ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ จัดพิมฟ์ไน Messenger and Advocate, Dec. 1835, pp. 228–29.

ภาพ
Joseph teaching

ศาสดาโจเซฟ สมิธกำล้งสอนพี่น้องซา ยกลู่มหมึ่ง รวมทั้บริคัม ยังก้ (ซ้าย) บริก้ก ยังก้กส่าวว่า ศาส่คา “ใซ้ฝระมกืรั ทำให้ฝระค้มภีร์แจ้งซ้คเเละเรียบง่ๅยจนทุกดนสามารภเข้าใจไคั”

ภาพ
man sowing seeds

“ดูเถิด ปึคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง… บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเถิดผล”

ภาพ
waves

ศาสนาจักร “เหมือนศิลาที่แทงไม่ทะลุและไม่ขยับเขยื้อนท่ามกลางความลึกล้ำ กระทบคลื่นลมและพายุของซาตาน แต่กระนั้นก็ยังตั้งมั่น”