คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 43: การแสวงหาความจริงและ ประจักษ์พยานส่วนตัวของเรา


บทที่ 43

การแสวงหาความจริงและ ประจักษ์พยานส่วนตัวของเรา

ประธานบริคัม ยัง ค้นหาความจริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดท่านก็พบความมั่นใจ ด้วยประจักษ์พยานอันจริงใจและเรียบง่ายของ “ชายที่ไม่มีสำนวนโวหาร…ผู้ที่พูดเพียง ว่า ‘ข้าพเจ้ารู้ โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง ว่าโจเซฟ สมิธ คือศาสดาของพระเจ้า’ ” ประธานยังกล่าว “พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ออก จากชายผู้นั้นฉายล่องความเข้าใจของข้าพเจ้าความสว่าง รัศมีภาพ และความเป็นอมตะ อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า” (DNW, 9 Feb. 1854, 4) ตลอดชีวิตของท่าน ท่านแสวงหาเพื่อการ ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระกิตติคุณ โดยประกาศว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้น ข้าพเจ้าก็หวังว่าจะมีความรู้อันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นพระผู้เป็นเจ้ามาก ขึ้นด้วย ข้าพเจ้าหวังจะเพิ่มพูนขึ้นในอำนาจของพระผู้ทรงฤทธานุภาพและในอิทธิพลที่ จะสถาปนาสันติและความชอบธรรมบนแผ่นดินโลก ที่จะนำ…ทุกคนซึ่งเอาใจใส่หลักธรรม แห่งความชอบธรรมมาลู่ความรู้อันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นพระผู้เป็นเจ้า รู้เรื่องตัวเขาเองและความสัมพันธ์ที่ดำเนินต่อไปกับสวรรค์และกับบุคคลในสวรรค์…ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้สิ่งนี้ไม่ได้เป็นกรณีที่เกิดกับข้าพเจ้าเท่านั้นแต่เกิดกับสิทธิชนทุก คน ขอให้เราเติบโตในพระคุณ ในความรู้เรื่องความจริงและถูกทำให้ดีพร้อมต่อพระพักตร์ พระองค์” (DNW, 10 June 1857, 3)

คำสอนของบริคัม ยัง

หลายคนปรารถนาจะค้นหาความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับมัน

ผู้อาศัยของแผ่นดินโลกในอัตราส่วนทีมากกว่ามีแนวโน้มทีจะทำสิงทีถูกต้อง นั่นเป็นความ จริง มีเครื่องเตือนใจอยู่ภายในทุกคนที่คอยควบคุมจนนำไปสู่ความจริงและคุณธรรมหากยอม ให้มันทำงานเช่นนั้น [ดู โมโรไน 7:15–17] (DBY, 423)

คนที่มีจิตใจชื่อสัตย์ทั่วโลกปรารถนาจะรู้ทางที่ถูกต้อง พากเขาแสวงหามัน และยังคงแสวง หามันต่อไป มีผู้คนบนแผ่นดินโลกทุกยุคทุกสมัยที่แสวงหาอย่างพากเพียรด้ายสุดจิตสุดใจ เพื่อจะรู้วิถีของพระเจ้า คนเหล่านี้ได้สร้างสิ่งที่ดี ตามความสามารถที่พากเขามี (DBY, 421)

มีสิ่งหนึ่งภายในตัวคนทุกคนที่ยินดีลุกชี้นปฏิเสธความชั่วและยอมรับความจริง จนกระทั่ง เขาเลิกทำบาป ไม่มีสักคนบนแผ่นดินโลกที่ชั่วร้ายถึงขนาดที่ว่าเมื่อมองเข้าไปในใจตนเอง แล้วจะไม่ให้เกียรติชายและหญิงที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้าหรือรับใช้พระผู้เป็นเจ้าโดยเฉพาะ ผู้ที่มีคุณธรรมและบริสุทธิ์และดูหมื่นสหายของตนในความเลวร้ายที่เหมือนกับตัวเขาเอง ไมมีใครสักคนบนแผ่นดินโลกที่อยู่ภายในอำนาจพระคุณแห่งความรอดจะไม่ชื่นชมในความ ดี ความจริง และคุณธรรม เว้นแต่เขาจะทำบาปจนกระทั่งพระวิญญาณของพระเจ้าหยุด พยายามกับเขาแล้ว และไม่ล่องสว่างแก่จิตใจของเขาอีกต่อไป (DBY, 421)

มีบันทึกไว้ว่าบางคนมีตาที่จะมอง แต่หามองเห็นไม่ มีหูที่จะได้ยิน แต่หาได้ยินไม่ มีใจ แต่หาเช้าใจไม่ ท่านผู้มีความคิดที่ประกอบด้วยพระวิญญาณ ผู้ที่วิสัยทัศน์แห่งความคิดของ ท่านเปิดออก…จะเช้าใจได้ว่าอำนาจที่ประทานให้ท่านทางด้านกายภาพคืออำนาจของพระผู้ เป็นเจ้าองค์เดียวกันที่ประทานความเช้าใจความจริงแก่ท่าน [ดู ค.พ. 88:11–13] อำนาจนี้มี อยู่ภายใน…คนหลายพันหลายหมื่นรู้ดี โดยความรู้สึกที่อยู่ภายในและมองไม่เห็นของพวก เขาสิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นมา สิ่งที่เป็นอยู่ และสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นขึ้นในอนาคต เหมือนกับที่เรา รู้สีของเสื้อผ้าโดยวิธีดูภายนอกหรือการมองทางกายภาพ เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในนี้ชักนำไปจาก เขา เขาจะกลายเป็นคนชั่วร้ายมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาเข้าใจไม่ได้ และหันไป จากเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า (DBY, 421–22)

โดยธรรมชาติแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างกายของเราจะรักความจริง โดยธรรมชาติแล้วมัน รักความสว่างและปัญญา โดยธรรมชาติแล้วมันรักคุณธรรม รักพระผู้เป็นเจ้า รักความเป็น เหมือนพระผู้เป็นเจ้า แต่การที่มันอยู่รวมกันกับร่างกายเนื้อหนังอย่างใกล้ชิดจึงทำให้เกิด ความเห็นใจเข้าข้างกัน และการผนึกกันดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสุขอันลมบูรณ์ของ ทั้งร่างกายและวิญญาณ [ดู ค.พ. 93:33–34] วิญญาณขึ้นอยู่กับอิทธิพลของบาปที่อยู่ใน ร่างกายมตะจริงๆ และอำนาจของมารจะเอาชนะมันได้ นอกเสียจากว่าจะได้รับความสว่าง โดยวิญญาณชึ่งให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่เข้ามาในโลกอย่างสมํ่าเสมอ และโดยอำนาจ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ชึ่งประทานให้โดยทางพระกิตติคุณ (DBY, 422–23)

เมื่อใดก็ตามที่มีการลอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะในสมัยนี้หรือสมัยก่อน จะมีกลุ่มของผู้คนที่ดูว่าความจริงเป็นสิ่งสวยงามและเหมือนพระผู้เป็นเจ้าสำหรับพวกเขา วิญญาณภายในตัวเขาจะกระตุ้นให้เขายอมรับพระกิตติคุณ แต่พวกเขาพบว่าตนเองมีความ สัมพันธ์กับโลกที่ทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างมาก และคิดว่าเขาจะเสี่ยงต่อการเสียผลประโยชน์หากพวกเขายอมรับพระกิตติคุณ พวกเขาจึงสรุปว่าการยอมรับพระกิตติคุณจะไม่ใช่ สิ่งดีที่สุด และตรงนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างความดีกับความชั่ว มีคนจำนวนน้อยที่ เอาชนะการใช้เหตุผลของมนุษย์ในเนื้อหนัง และทำตามการชี้นำของพระวิญญาณ ขณะที่ คนจำนวนมหาศาลถูกชักจูงไปสู่การคิดใคร่ครวญอย่างเห็นแก่ตัวให้เชื่อและยึดติดอยู่กับสิ่ง ของทางโลกอันเป็นรูปเคารพ (DBY, 434)

เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบที่จะแสวงหาความรู้ และประจักษ์พยานเกี่ยวกับความจริง

เรามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร? เพื่อเรียนรู้ที่จะมีความสุขมากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ (DNW, 27 Sept. 1871, 5)

เราจะไมมีวันหยุดเรียนรู้ นอกจากเราจะละทิ้งความเชื่อ…ท่านเข้าใจเช่นนั้นหรือไม่? (DNW, 27 Feb. 1856, 2)

หากเรามีสิทธิพิเศษ เราจะเพิ่มพูนความคิดของเราด้วยความรู้ โดยการเติมร่างกายมตะ นี้ด้วยทรัพย์ลมบิตอันอุดมแห่งปัญญาของสวรรค์ (MS, Oct. 1862, 630)

การแสวงหาความรู้ทางการศึกษาทิ้งหมดอยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า เพราะการทำงาน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสถาปนาความจริงบนแผ่นดินโลก และเพื่อเราจะเพิ่มพูนความรู้ สติปัญญา ความเข้าใจในพลังแห่งศรัทธา และในพระปรีชาญาณของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเราจะเหมาะลม กับการได้อยู่ในสถานะแห่งความเป็นอยู่ที่สูงกว่าและได้รับปัญญามากกว่าที่เรามีอยู่ขณะนี้ (DNSW, 25 Oct. 1870, 2)

เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ผู้รักโลกที่จะเอาชนะความรักนั้นที่จะได้รับความรู้และความเข้าใจ จนกระทั่งเห็นสิ่งที่เป็นอยู่จริง เมื่อนั้นเขาจะไม่รักโลกแต่จะเห็นโลกทั้งที่มันเป็น (DNW, 28 Nov. 1855, 2)

ขอให้เราแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจของเราเมื่อนั้นเราจะได้แยกตัวออกจากโลกไม่มีใครจะ รักสิ่งนี้ สิ่งนั้น หรือสิ่งอื่นๆ นอกจากเพื่อจะทำดีกับมีน เพื่อล่งเสริมประโยชน์นิรันดร์ของ มนุษยชาติ และเตรียมตัวรับความสูงล่งในความเป็นอมตะ…สิ่งที่ท่านและข้าพเจ้าจะได้รับ คือปัญญาจนกระทั่งพร้อมสำหรับความสูงล่งและชีวิตนิรันดรในอาณาจักรชึ่งเวลานี้เป็นอยู่ ในนิรันดร (DNW, 14 May 1853, 3)

ชายหรือหญิงที่ปรารถนาจะรู้ความจริง หลังจากได้ยินพระกิตติคุณของพระบุตรของพระ ผู้เป็นเจ้าซึ่งประกาศด้วยความจริงและความเรียบง่าย ควรทูลถามพระบิดาในพระนามของ พระเยซูว่ามีนเป็นจริงหรือไม่ หากพวกเขาไม่ได้ทำตามวิธีนี้พวกเขาก็พยายามโต้แย้งตัวเอง จนไปสู่ความเชื่อที่ว่าเขาเป็นคนชื่อสัตย์เช่นเดียวกับชายหรือหญิงบนผืนแผ่นดินโลก ถ้าไม่ได้เป็นเขาก็ไม่ลนใจใยดีเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของตนเอง (DBY, 430)

ขอให้คอยจนกระทั่งท่านได้ค้นหา ค้นคว้า และได้รับปัญญาที่จะเข้าใจสิ่งที่เราลอนเลีย ก่อน…หากมันเป็นงานของพระผู้เป็นเจ้า มันจะตั้งมั่นอยู่ [ดู กิจการ 5:38–39] (DBY, 435)

เป็นทั้งหน้าที่และสิทธิพิเศษของสิทธิชนยุคสุดท้ายที่จะรู้ว่าศาสนาของพวกเขาเป็นความ จริง (DBY, 429)

ขอให้ทุกคนได้รับความรู้ด้วยตนเองว่างานนี้คือความจริง เราไม่ต้องการให้ท่านกล่าวว่า มันเป็นความจริงจนกว่าท่านจะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น และหากท่านรู้ ความรู้นั้นจะดีลำหรับท่าน ราวกับว่าพระเจ้าเสด็จลงมาบอกท่านเอง (DBY, 429)

นี่คือสิทธิพิเศษและพรของพระกิตติคุณอันคักติ์สิทธิ์ต่อผู้ที่เชื่ออย่างแท้จริงทุกคน ที่จะรู้ ความจริงด้วยตัวของเขาเอง (DBY, 429)

ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้คนใดมาหาข้าพเจ้าหรือพี่น้องชายของข้าพเจ้าเพื่อจะได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับความจริงของงานนี้ แต่ขอให้เขาหยิบพระคัมภีร์แห่งความจริงอันคักดิ์ สิทธิ์มาอ่าน และเมื่อนั้นจะมีทางชี้บอกให้เขาไปอย่างเรียบง่ายเช่นเดียวกับที่ป้ายบอกทาง อย่างถูกต้องแก่ผู้เดินทางที่เหนื่อยอ่อน พวกเขาจะได้รับการนำทางให้ไท้ ไม่ใช่ให้ไปหา… อัครลาวกหรือเอ็ลเดอร์คนใดในอิสราเอล แต่ไปเฝ้าพระบิดาในพระนามของพระเยซู และ ทูลขอข้อมูลที่พวกเขาต้องการ ผู้ที่ใช้วิธีนี้อย่างชื่อสัตย์และจริงใจจะได้รับข้อมูลหรือไม่? พระเจ้าจะทรงเมินพระพักตร์จากผู้ที่มีใจชื่อสัตย์ที่แสวงหาความจริงหรือ? ไม่เลย พระองค์ จะไม่ทรงทำเช่นนั้น พระองค์จะทรงพิสูจน์ความจริงต่อพวกเขา โดยการเปิดเผยของพระ วิญญาณของพระองค์และเมื่อจิตใจเปิดเพี่อรับการเปิดเผยของพระเจ้ามันจะทำให้เขาเข้าใจ ได้เร็วและชัดเจนกว่าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาจะเห็นได้ด้วยตาธรรมชาติ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เรา เห็นด้วยตาของเรา —เขาจะถูกหลอก—แต่สิ่งที่พระเจ้าจากสวรรค์ทรงเปิดเผยเป็นสิ่งที่ แน่นอน มั่นคงและจะคงอยู่เช่นนั้นตลอดกาล (DBY, 429–30)

เราต้องมีประจักษ์พยานในพระเจ้าพระเยซูคริสต์เพี่อเราจะแยกแยะได้ระหว่างความจริง กับความเชื่อผิด ๆ ความสว่างกับความมีด ผู้ที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้ากับผู้ที่ไม่เป็นของพระผู้ เป็นเจ้า และรู้วิธีที่จะตัดสินทุกสิ่งว่าสิ่งใดดีหรือชั่วร้าย…ไม1มีวิธีหรือกระบวนการอื่นที่จะให้ การศึกษาแก่ผู้คนที่ทำให้เขาเป็นสิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้า และเตรียมเขาลำหรับอาณาจักร ชั้นลงได้ เขาต้องมีประจักษ์พยานเกี่ยวกับวิญญาณของพระกิตติคุณอยู่ภายในตัวเขา (DBY, 429)

ท่านและข้าพเจ้าต้องมีประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูภายในตัวเรา หากไม่เช่นนั้นก็ เป็นประโยชน์ต่อเราเพียงเล็กน้อยที่จะแสร้งทำเป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องมี ประจักษ์พยานที่มีชีวิตในตัวของเรา (DBY, 430)

ความจริงล่งเสริมตัวมันเองแก่บุคคลที่ชื่อสัตย์ทุกคน ไม่สำคัญว่ามันจะแสดงออกอย่าง เรียบง่ายแค่ไหน และเมื่อเราได้รับความจริง ดูเหมือนเราจะคุ้นเคยกับมันมาแล้วตลอดชีวิต ของเรา นั้นคือประจักษ์พยานของสิทธิชนยุคสุดท้ายส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาได้ยินพระกิตติคุณที่สอนเขาครั้งแรก…แม้ว่าจะใหม่ต่อพวกเขาอย่างสิ้นเชิง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าใจ มันอยู่แล้ว และพวกเขาต้องเคยเป็น “มอรมอน” มาตั้งแต่เริ่มต้น [ดู ยอห์น 10:27] (DBY, 432)

พระวิญญาณบริสุทธิทรงให้ความรู้เกี่ยวกับความจริงแก่เรา

หลายคนลุกขี้นที่นี่และกล่าวว่าเขารู้แน่นอนว่านี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้า โจเซฟคือ ศาลดา พระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง การเปิดเผยผ่านโจเซฟ สมิธเป็นความจริง นี่คือ สมัยการประทานสุดท้ายและความลมบูรณ์แห่งเวลา ซึ่งเป็นสมัยที่พระผู้เป็นเจ้าทรงลงพระ หัตถ์เพื่อรวบรวมอิสราเอลเป็นครั้งสุดท้าย ทรงไถ่และเสริมสร้างไซอัน…พวกเขารู้สิ่งนี้ได้ อย่างไร? หลายคนรู้และจะยังรู้และเข้าใจหลายสิ่งต่อไปโดยการแสดงให้ประจักษ์ของพระ วิญญาณโดยลักษณะที่ร่างกายของเราได้รับการจัดระเบียบเซ่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ ลื่อสารโดยวิธีอื่น ข้อมูลที่สำคัญที่สุดจำนวนมากได้มาโดยผ่านอำนาจและประจักษ์พยาน ของพระวิญญาณบริสุทธิ์…นี่คือวิธีเดียวที่ท่านจะลื่อสารความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่มองไม่เห็น ของพระผู้เป็นเจ้า [ดู 1 โครินธ์ 2:9–14; 12:3] (DBY, 430)

ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากพระวิญญาณอันคักดิ์สิทธิ์…พระองค์จะพิสูจน์ต่อท่านว่านี่คืองาน ของพระผู้เป็นเจ้าผู้คนที่ไม่ได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าจะพิสูจน์โดยปัญญาฃองโลกไม่ได้ว่าสิ่งนี้จริง หรือโน้มน้าวให้เชื่อ ทั้งพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันถูกต้องโดยปัญญาอย่างเดียว ทั้ง ต่อตัวเขาเองหรือต่อผู้อื่น การที่เขาไม่ลามารถโน้มน้าวให้เชื่อก็ไม1ได้พิสูจน์ว่ามันคืออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เพราะมีทฤษฎี และระบบต่างๆ ของโลกที่ไม่อาจปฏิเสธได้โดยปัญญา ของโลก ซึ่งแม้กระนี้นก็เป็นความเท็จ อำนาจของพระผู้ทรงฤทธานุกาพที่ให้ความสว่างแก่ ความเข้าใจของมนุษย์โดยแท้ จึงจะพิสูจน์ความจริงอันรุ่งโรจน์นี้ต่อจิตใจของมนุษย์ใต้ (DBY, 430–31)

เราจะแยกแยะเลียงของผู้เลี้ยงแกะที่ดีจากเสียงของคนแปลกหน้าได้อย่างไร? ใครจะ ตอบคำถามนี้ได้? ข้าพเจ้าตอบได้ ง่ายมาก ข้าพเจ้าจะกล่าวกับนักปรัชญาทุกคนบนแผ่น ดินโลกว่า ตาของท่านถูกหลอกได้ ตาของข้าพเจ้าก็เซ่นกัน หูของท่านก็ถถูกหลอกได้หูของ ข้าพเจ้าก็เซ่นกัน การสัมผัสโดยมือของท่านก็ถูกหลอกได้ มือของข้าพเจ้าก็เซ่นกัน แต่พระ วิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าโดยประทานการเปิดเผยและความสว่างแห่งนิรันดรแก่มนุษยชาติจะผิดพลาดไม่ได้—การเปิดเผยที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าไม่มืวันผิดพลาด เมื่อบุคคลเต็ม เปียมด้วยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ประกาศความจริงแห่งสวรรค์ แกะได้ยินเสียงนั้น [ดู ค.พ. 29:7] พระวิญญาณของพระเจ้าจะเสียดแทงทะลุใจกว้างของจิตวิญญาณและจม ลึกเข้าไปในจิตใจของพวกเขา โดยประจักษ์พยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ความสว่างทาง ปัญญาจะพลุ่งขี้นในตัวพวกเขา เขาจะเห็นและเข้าใจด้วยตัวเอง (DBY, 431)

มีเพียงพยานเดียว—ประจักษ์พยานเดียว ที่เกี่ยวข้องกับข้อพิสูจน์ถึงพระกิตติคุณของ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือพระวิญญาณที่แผ่ช่านอยู่ในบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ จงทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แล้วเราจะรู้ว่าเขาพูดโดยอำนาจของพระบิดาหรือพูด ด้วยตัวเขาเอง ทำตามที่พระองค์ทรงบัญชาให้เราทำ และเราจะรู้จักคำสอนว่าสิ่งนี้เป็นของ พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่เป็น [ดู ยอห์น 7:16–17] โดยการเปิดเผยของพระวิญญาณเท่านั้น ที่ เราจะรู้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าได้ (DBY, 431–32)

จงพากเพียรและสวดอ้อนวอน เป็นสิทธิพีเศษของท่านที่จะรู้ด้วยตัวเองว่าพระผู้เป็นเจ้า ทรงพระชนม์ พระองค์กำสังทำงานในยุคสุดท้ายนี้และเราเป็นผู้ปฏิบัติที่ทรงเกียรติของ พระองค์ดำเนินชีวิตตามความรู้นี้และท่านจะได้รับ จงจดจำที่จะลวดอ้อนวอนและมีจิตใจ กระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ (DBY, 245)

ประจักษ์พยานของข้าพเจ้าตั้งอยู่บนรากฐานของประลบการณ์ บนประสบการณ์ของ ข้าพเจ้าเอง ร่วมกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับโดยสังเกตผู้อื่น…ความจริงแห่งสวรรค์ฝากตัวของมัน เองให้อยู่กับการตัดสินของทุกคนและอยู่กับศรัทธาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่กับความ รู้สึกของผู้ที่ปรารถนาจะชื่อสัตย์กับตัวเอง กับพระผู้เป็นเจ้า และกับเพื่อนบ้านของเขา…หาก บุคคลรับได้เล็กน้อย นั่นพิสูจน์ว่าเขาจะรับได้อีก หากเขารับหลักธรรมแรกและหลักธรรมที่ สองได้ด้วยความรู้สึกที่ชื่อตรงของเขา เขาก็จะยังคงรับได้มากขึ้นอีก (DBY, 433)

ประจักษ์พยานของข้าพเจ้ามั่นคงแน่นอน…ข้าพเจ้ารู้ว่าพระอาทิตย์ล่องแลง ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นอยู่และมีตัวตน ข้าพเจ้าเป็นพยานว่ามีพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ท่านเคยไปสวรรค์และรู้ว่ามันตรงกันข้ามกับ สิ่งเหล่านี้ไหม? ข้าพเจ้ารู้ว่าโจเซฟ สมิธคือศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้รับการเปิดเผย มากมาย ใครจะพิสูจน์หักล้างประจักษ์พยานเหล่านี้ได้? ใครสักคนอาจโต้แย้งมัน แต่ไม่มี ใครในโลกที่จะพิสูจน์หักล้างมันได้ ข้าพเจ้าเคยได้รับการเปิดเผยหลายอย่าง ข้าพเจ้าเคย เห็นและได้ยินด้วยตัวเอง และรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จริง ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะพิสูจน์หักล้างมันได้ ตา หู มือ ประลาทสัมผัสทุกอย่างอาจถูกหลอก แต่พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะถูก หลอกไม่ได้ และเมื่อได้รับการดลใจจากพระวิญญาณนั่น บุคคลจะเปียมไปด้วยความรู้ เขา จะเห็นได้ด้วยตาทางวิญญาณและรู้จักสิ่งชึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของมนุษย์ที่จะปฏิเสธได้ สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า เกี่ยวกับแผ่นดินโลก เกี่ยวกับระบอบการปกครอง ข้าพเจ้าได้รับจากสวรรค์ ไม่ใช่โดยผ่านความลามารถตามธรรมชาติของข้าพเจ้าเพียงลำพัง ข้าพเจ้าขอถวายรัศมีภาพและการสรรเสริญแด่พระผู้เป็นเจ้า (DBY, 433)

เมื่อได้รับพยานแห่งความจริง เราควรแสวงหาความชอบธรรม ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า

หลักธรรมหนึ่งในหลักธรรมแรกของคำสอนแห่งความรอดคือการคุ้นเคยกับพระบิดาและ พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระคัมภีร์สอนว่านี่คือชีวิตนิรันดรเมื่อเรา “รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็น พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยชูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา [ดู ยอห์น 17:3]” นั่นกเหมอนกบพูดว่าไม่มีใครจะไดัรับหริอพร้อมจะไดัรับชีวิตนิรินดร์โดยปราศจากความรู้ นั้น (DNW, 18 Feb. 1857, 4)

เราได้รับสัญญาว่าถ้าเราแสวงหาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและความชอบธรรมของ พระองค์ก่อน สิ่งจำเป็นทั้งปวงจะมีเพิ่มเติมให้กับเรา [ดู นีไฟ 13:33] เราไม่ควรขาดความ ไว้วางใจ แต่ควรแสวงหาให้รู้วิธีที่จะทำให้พระบิดาและพระผู้เป็นเจ้าทรงพอพระทัยเรา แสวงหาให้รู้วิธีที่จะช่วยตัวเองให้รอดจากความเชื่อผิดๆ ที่มีอยู่ในโลก จากความมีดและ ความไม่เชื่อ จากวิญญาณที่ไร้ประโยชน์และการหลอกลวงชี่งเที่ยวไปในบรรดาลูกหลาน มนุษย์เพื่อหลอกลวง จงเรียนรู้วิธีที่จะช่วยและรักษาตนให้รอดบนแผ่นดินโลกเพื่อลอนพระ กิตติคุณเสริมลร้างอาณาจักร และสถาปนาไชอันของพระผู้เป็นเจ้าของเรา (DNW, 11 Jan. 1860, 1)

ข้าพเจ้า…ชอบที่จะกล่าวถึงและพูดคุยเรื่องหลักธรรมนิรันดร์ ความรอดของเราประกอบ ด้วยการรู้หลักธรรมเหล่านั้น มันถูกกำหนดไว้ในลักษณะที่ทำให้เรารื่นเริงและสุขสบาย ความเป็นอยู่นิรันดร์นั้นในตัวข้าพเจ้า ที่ให้ความจริงนิรันดร์ ถูกจัดระเบียบขึ้นมาเพื่อให้ถูก ทำลายหรือ? สิ่งมีชีวิตนั้นจะถึงจุดจบหรือไม่ ตราบที่มันดำรงอยู่บนความจริงนิรันดร์? ไม่เลย…จงแสวงหาพระเจ้าเพื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระองค์ โดยที่ความพยายามของ ท่านจะไม่หยุดชะงักจนกว่าพระวิญญาณจะสกิตอยู่ในท่านเหมือนกับความปีติสุขทางวิญญาณนิรันดร์ให้เทียนของพระเจ้าล่องสว่างอยู่ภายในตัวท่าน และทุกสิ่งถูกต้อง (DNW, 11 Jan. 1860, 2)

เรามีพระคำแห่งชีวิตนิรันดร์ เรามีสิทธิพิเศษที่จะได้รับรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และ ชีวิตนิรันดร์ เวลานี้ท่านจะพยายามให้ได้พรเหล่านี้หรือไม่? ท่านจะใช้ชีวิตเพื่อให้ได้รับที่นั่ง ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า หรือท่านจะไม่พยายามทำอะไรเลยเพื่อความสูงล่งและลงไป สู่นรก? (DNW, 1 Oct. 1856, 3)

จงพยายามเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่เพื่อหวังผลประโยชน์ใดๆ แต่เพราะความชอบธรรม เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม บริสุทธิ์ คักดิ์สิทธิ์ สวยงาม และสูงล่ง มันมีจุดประสงค์เพื่อทำให้จิต วิญญาณมีความสุขและเต็มไปด้วยความปีติยินดี จนถึงระดับแห่งความลามารถทั้งลิ้นของ มนุษย์เต็มไปด้วยความสว่าง รัศมีภาพ และปีญญา (DBY, 428)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

หลายคนปรารถนาจะค้นหาความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับมัน

  • ตามคำพูดของประธานยัง อะไรนำ “ผู้อาศัยของแผ่นดินโลกในอัตราส่วนที่มากกว่า” ให้ ทำสิ่งที่ถูกต้องและค้นหาความจริง?

  • ทำไมหลายคนจึงล้มเหลวที่จะดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมแม้หลังจากไ๑ัรับประจักษ์ พยานแห่งความจริงแล้วก็ตาม? อะไรจะช่วยให้ท่านดำเนินชีวิตตามประจักษ์พยานที่ ท่านได้พัฒนามาแล้วมากที่สุด?

เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบที่จะแสวงหาความรู้ และประจักษ์พยานเกี่ยวกับความจริง

  • อะไรควรเป็นจุดประสงค์ของการแสวงหาความรู้ทางการศึกษา? เราจะทำอะไรไ๑ับ้าง เพื่อเอาชนะความรักสิ่งของทางโลก?

  • เราจะรู้ความจริงของพระผู้เป็นเจ้าด้วยตัวของเราเองไ๑ัอย่างไร? ประจักษ์พยานของพระ เยชูคริสต์ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างความจริงกับความเชื่อผิดๆ ได้อย่างไร?

พระวิญญาณบริสุทธิทรงให้ความรู้เกี่ยวกับความจริงแก่เรา

  • อะไรคือวิธีเดียวที่เราจะรู้ได้ว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง พระเยซูคือพระคริสต์ และเรา กำลังเข้าร่วมในงานของพระเจ้า? ประลบการณใดบ้างที่ลอนทานว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงอนุญาตและจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของท่านหากท่านยอมให้พระองค์ทรงทำเซ่นนั้น?

  • ทำไมปัญหาทางโลกจึงไม่ลามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระผู้ เป็นเจ้าและความจริงของพระกิตติคุณ? ในการค้นหาความจริง แม้ประสาทสัมผัสของ เราจะถูกหลอกแต่ประธานยังบอกว่าอะไร “ไม่มีทางผิดพลาด”?

  • ทำไมประธานยังจึงลามารถแสดงประจักษ์พยานอันทรงพลังเช่นนั้นได้? เราจะเสริมสร้าง ประจักษ์พยานของเราให้เข้มแข็งได้อย่างไร? ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเป็นพยานอัน ทรงพลังถึงความจริงของพระผู้เป็นเจ้า?

เมื่อได้รับพยานแห่งความจริง เราควรแสวงหาความชอบธรรม ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า

  • พระเจ้าทรงสัญญากับผู้ที่ “แสวงหาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและความชอบธรรมของ พระองค์ก่อน” ว่าอย่างไร?

  • การรู้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าช่วยให้เราได้รับความรอดอย่างไร? เราจะ “ได้รับที่นั่งใน อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” ได้อย่างไร?

ภาพ
Joseph Smith reading

ใจเซฟ สมิธ ผู้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด ทูลขอการนำทางจากพระผู้เป็นเจ้า