คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 3: การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ


บทที่ 3

การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้สร้างอาณานิคม ผู้นำของศาสนาจักรและประชาชน ทั้งยังเป็นผู้เลี้ยง ดูครอบครัวประธานบริคัม ยังจึงเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณซึ่งนำไป ปฏิบัติได้ ท่านเน้นถึงในคำสอนและชีวิตของท่านว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็น หนทางนำไปสู่ความรอดสำหรับมนุษยชาติ ทั้งยัง “เป็นศาสนาที่นำไปปฏิบัติได้ และประ ยุกต์ใช้กับหน้าที่ประจำวันและความเป็นจริงของชีวิตนี้” ด้วย (DBY, 12)

คำสอนของบริคัม ยัง

ความเจริญเติบโตส่วนบุคคลในพระกิตติคุณเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยและ เป็นบรรทัดๆ เมื่อเราดำเนินชีวิตตามหลักธรรมที่เราเรียนรู้

เ รา…รับเอากฎ ข้อกำหนด พิธีการและข้อบังคับทุกข้อที่มือยู่ในพระคัมภีร์และปฎิบิติตาม เท่าที่เราจะลามารถทำได้ จากนั้นก็เรียนรู้และปรับปรุงขี้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเราลามารถ ดำเนินชีวิตตามพระวจนะทุกถ้อยคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า (DBY, 3)

เรามีพระกิตติคุณแห่งชีวิตและความรอดซึ่งจะเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีและทำคนดีให้ เป็นคนดียิ่งขี้น (DBY, 6)

เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้ลนทนากับนักท่องเที่ยวคนหนึ่งซึ่งกำลังจะกลับไปยังรัฐทาง ตะวันออก เขาพูดว่า “พวกคุณคิดว่าตัวเองดีพร้อมหรือ?” “ไม่เลย” ข้าพเจ้าตอบ “ไม่ว่า จะดูทางใดก็ยังไม่ดีพร้อม…คำลอนที่เรายอมรับดีพร้อม แต่เมื่อเราพิจารณาผู้คนโดยรวมเรา ก็มีลิ่งบกพร่องมากมายตังที่ท่านถาม เราไม่ดีพร้อม แต่พระกิตติคุณที่เราสอนมีจุดประสงค์ ที่จะทำให้ผู้คนดีพร้อมเพื่อพวกเขาจะพื้นคืนชีวิตในรัศมีภาพ และเข้าสู่ที่ประทับของพระ บิดาและพระบุตรได้” (DBY, 7)

ผู้คน [ได้รับกฎ] ในความลมบูรณ์พร้อมของมันไม่ได้ แต่พวกเขาจะได้รับจากที่นั่นนิด ที่นึ่หน่อย วันนี้นิดพรุ่งนี้หน่อย สัปดาห์หน้าอีกหน่อย และเพิ่มฃึ้นอีกนิดในปีต่อไป หาก พวกเขาน่าเอาความจริงทุกอย่างที่ได้รับทีละนิดนั้นมาปรับปรุงตนเองอย่างฉลาด หากไม่ทำ พวกเขาก็จะถูกปล่อยอยู่ในเงามืด และแสงสว่างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยจะปรากฏเป็นความ มืดสำหรับพวกเขา และอาณาจักรสวรรค์จะยังคงดำเนินต่อไปโดยปราศจากผู้คนเหล่านี้และ ปล่อยให้พวกเขาท่องไปในความโง่เขลาและความผิดพลาด ฉะนี้น หากเราปรารถนาจะ ปฎิบัติตามความสมบูรณ์ของความรู้ที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะเปิดเผยต่อผู้อาศัยของแผ่น ดินโลกทีละเล็กละน้อย เราต้องปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นตามสิ่งที่ได้รับทีละน้อยนั้นทุกประการดัง ที่ได้รับการเปิดเผย (DBY, 4)

ข้าพเจ้า…อยากจะกระตุ้นให้สิทธิชนยุคสุดท้ายมองเห็นถึงความจำเป็นของการนำหลัก ธรรมพระกิตติคุณมาใช้อย่างรอบคอบในการดำเนินชีวิต ในพฤติกรรม คำพูดและทุกสิ่งที่เรา ทำและสิ่งนั้นเรียกร้องการอุทิศทั้งกายและชีวิตเพื่อจะปรับปรุงให้ดีขึ้นจนบรรลุถึงความรู้แห่ง ความจริงดังที่มือยู่ในพระเยซูครีสต์ การทำเช่นนี้นำไปสู่ความลมบูรณ์ของความดีพร้อม คุณลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างของสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนน้อย นิดที่พระองค์ทรงแสดงให้ผู้คนได้ประจักษ์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ลามารถรับได้มาก กว่านั้น ทั้งหมดที่พวกเขาพร้อมจะรับได้ พระองค์จะประทานให้ ทั้งหมดที่เราพร้อมจะรับได้ พระเจ้าจะประทานให้เรา ทั้งหมดที่ประชาชาติของแผ่นดินโลกพร้อมจะรับได้ พระองค์จะ ประทานให้เช่นกัน (DBY, 11–12)

พระคัมภีร์ไบเนิลบันทึกไว้ว่า พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จลงตากว่าสิ่งทั้งปวงเพื่อว่าพระองค์ จะเสด็จฃึ้นสูงกว่าสิ่งทั้งปวง มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นกับมนุษย์ทุกคนหรอกหรือ? แน่นอนมัน เป็นเช่นนั้น ตังนั้น จึงเป็นสิ่งเหมาะลมที่เราควรลดตัวลงตากว่าทุกสิ่งและค่อยๆ พัฒนาขึ้น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการเรียนรู้ทีละเล็กละน้อย และได้รับ “เป็นบรรทัดๆ เป็นข้อๆ ที่ นี่นิดที่นั่นหน่อย” [ดู อิสยาห์ 28:9–10; ค.พ. 98:12] (DBY, 60) จนกระนั่งเราไปถึงความ เป็นนิรันดร และได้รับความลมบูรณ์แห่งรัศมีภาพ ความดีเสิศและอำนาจของพระองค์ (DBY, 3)

พระกิตติคุณทั้งด้านฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน

กับพระผู้เป็นเจ้า และกับผู้ที่เข้าใจหลักธรรมแห่งชีวิตและความรอด ฐานะปุโรหิต พิธี การแห่งความจริง ของประทาน และการเรียกของพระผู้เป็นเจ้าต่อลูกหลานมนุษย์ จะไม่มี ความแตกต่างระหว่างการรับใช้ทางวิญญาณและการรับใช้ทางโลก–ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว กัน หากข้าพเจ้ากำลังท่าหน้าที่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็กำลังท่าตามพระประสงค์ของพระผู้ เป็นเจ้า ไม่ว่าข้าพเจ้าจะสอนพระกิตติคุณ สวดอ้อนวอน ทำงานด้วยมือของข้าพเจ้าเพื่อ เลี้ยงชีพด้วยงานที่มีเกียรติ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำงานในทุ่งนา ในร้านเครื่องจักรกลหรือดำเนิน ธุรกิจการค้า ไม่ว่าหน้าที่จะเรียกให้ข้าพเจ้าไปที่ใดก็ตาม ข้าพเจ้าก็กำลังรับใช้พระผู้เป็นเจ้า ในที่หนึ่งเท่ากับอีกที่หนึ่ง และมันเป็นเช่นนั้นกับแต่ละสิ่ง แต่ละอย่างในสถานที่ จังหวะ และ เวลาของพระองค์ (DBY, 8)

ในพระคำของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่แบ่งแยกฝ่ายวิญญาณจากฝ่ายโลก หรือฝ่ายโลก จากฝ่ายวิญญาณ เพราะทั้งลองเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้า [ดู ค.พ. 29:34–35] (DBY, 13)

สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ไม่ว่าจะ เป็นการลอนพระกิตติคุณหรือการสร้างพระวิหารเพื่อพระนามของพระองค์ เราได้รับการ สอนให้พิจารณางานฝ่ายวิญญาณ แม้จะเห็นได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องใช้ความแข็งแรงของ ร่างกายทางธรรมชาติเพื่อจะกระทำสิ่งนั้นก็ตาม (DBY, 13)

หากปราศจากการทำงานทางโลก เราก็ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าไปในพระวิหารที่ได้รับ การก่อสร้างจนแล้วเสร็จเพื่อจะประกอบพิธีการต่างๆ ที่จะนำไปสู่พรทางวิญญาณ พิธีการ ทางโลกต้องประกอบขึ้นเพื่อรับประกันพรทางวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดทรงเตรียมไว้ ในคลังลำหรับลูกๆ ที่ชื่อสัตย์ของพระองค์ การกระทำทุกอย่างตอนแรกเป็นการกระทำฝ่าย โลก อัครสาวกกล่าวว่า ศรัทธาเกิดจากการได้ยิน [ดู โรม 10:17] คนเราควรได้ยินอะไรจึง จะเกิดศรัทธา? การสิ่งสอนพระคำเพราะเหตุนั้นเราจึงต้องมีผู้เผยแผ่ศาสนา และเขาไม่ใช่ วิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เป็นคนธรรมดาทางโลกเช่นเดียวกับเรา ต้องขึ้นอยู่กับข้อบังคับ และกฎแห่งชีวิตเดียวกันกับเรา การสั่งสอนพระกิตติคุณคือการรับใช้ทางโลก การเชื่อใน พระเจ้าพระเยซูคริสต์คือผลของการรับใช้ทางโลก การได้รับบัพติศมาเป็นงานทางโลก ทั้งผู้ ที่ได้รับการประกอบพิธีและผู้ที่ประกอบพิธี ข้าพเจ้าเป็นพยานที่มีชีวิตต่อความจริงของ ถ้อยคำนี้ เพราะข้าพเจ้าเคยเจ็บเท้าหลายครั้ง และเหนื่อยอ่อนในการเดินทางออกไปสั่ง สอน เพื่อว่าโดยการฟังพระกิตติคุณ ผู้คนจะได้มีศรัทธา พรที่เราปรารถนาอย่างจริงจังจะ มาสู่เราโดยการทำงานด้วยแรงกาย และด้วยการทำเช่นนั้นจะเป็นการเตรียมสิ่งจำเป็นทุก อย่างเพื่อการรับพรที่มองไม่เห็นซึ่งพระเยโฮวาห้ทรงมีไว้ให้กับลูกๆ ของพระองค์ (DBY, 13–14)

พระกิตติคุณคือแนวทางในชีวิตประจำวัน–ศาสนาที่นำไปปฏิบัติได้

ศาลนาของพระเยซูคริสต์คือ 1 ศาสนาที่นำไปปฎิบ้ติได้ และประยุกต์ใช้กับหน้าที่ประจำ และความเป็นจริงของชีวิตนี้ (DBY, 12)

หลักธรรมของนิรันดรและความสูงส่งอันนิรันดรไม่มีประโยชน์ต่อเราเลย หากเราไม่นำสิ่ง นี้ลงมาปรับให้เหมาะกับความลามารถในการรับรู้ของเราเพื่อว่าเราจะนำหลักธรรมนั้นมา ปฎิบัติในชีวิต (DBY, 14)

ข้าพเจ้าย่อพระกิตติคุณลงให้เหมาะกับเวลาในบัจจุบัน สภาพแวดล้อมและสภาวะของ ผู้คน (DBY, 8)

ระบบที่นำมาซึ่งความมั่นคงและสันติในปัจจุบันคือระบบที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตและดี ที่สุดหากจะสละชีวิตเพื่อมัน นี่เป็นระบบที่ดีที่สุดในการดำเนินธุรกิจดีที่สุดสำหรับการเกษตร สำหรับการสร้างเมืองและพระวิหาร ระบบนั้นคือกฎของพระผู้เป็นเจ้า แต่ต้องกำหนดให้มี การเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด กฎแห่งความถูกต้อง และมาตรฐานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงวางให้ผ้ คนของพระองค์นั้นรับประกันว่าจะนำมาซึ่งสันติ ความสบายใจ และความสุข ในขณะนั้ รวมทั้งรัศมีภาพนิรันดรและความสูงส่ง แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อฟังกฎของพระผู้ เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัด (DBY, 8)

บางครั้งเมื่อข้าพเจ้าคิดถึงการพูดกับท่าน ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่าการกล่าวคำเทศนา อย่างเด่นชัดในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับอนาคตอันแลนไกล หรือการทบทวนประวัติศาสตร์ใน อดีตจะทำให้ผู้ฟังส่วนหนึ่งพึงพอใจและสนใจอย่างมาก แต่วิจารณญาณและวิญญาณแห่ง ความรู้แจ้งซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าสอนว่า โดยการทำเช่นนั้น ผู้คนจะรับการสั่งลอนในสิ่งที่ เกี่ยวข้องกับหน้าที่ประจำวันของพวกเขาไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกประทับใจที่ จะลอนพวกท่านถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำในหนึ่งร้อยปีนับตั้งแต่บัดนี้ แต่จะให้คำแนะนำที่ เกี่ยวข้องกับบัจจุบันกับชีวิตและรูปแบบการดำเนินชีวิตในแต่ละวันซึ่งเราอาจรู้วิธีที่จะหาผล ประโยชน์เพื่อตนในช่วงเวลาที่ผ่านไป โดยได้รับสิทธิพิเศษโนบัจจุบัน และลามารถวาง รากฐานสำหรับความสุขในอนาคต (DBY, 12)

ภารกิจของข้าพเจ้าที่นีต่อผู้คนคือการลอนพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าคิดเอา เองว่ามืหลายคนที่นึ่ที่เคยได้ยินข้าพเจ้าพูดเมื่อหลายปีมาแล้วว่า ข้าพเจ้าลนใจเพียงเล็ก น้อยในสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากมิลเลเนียม เอ็ลเดอร์อาจสอนคำสอนที่ยาวเหยียดเกี่ยวกับสิ่ง ที่เกิดขึ้นในสมัยของแอดัม สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการสร้าง และสิ่งที่จะเกิดนี้นอีกหลายพันปีนับ จากนี้ โดยพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและสิ่งที่ยังจะเกิดขึ้นต่อไปอีก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นพวกเขารู้เท่า ไม่ถึงการฌ์ได้แต่เลี้ยงผู้คนด้วยลมหรือความว่างเปล่า แต่นันไม่ใช่วิธีการลอนของข้าพเจ้า ความปรารถนาของข้าพเจ้าคือการสอนผู้คนถึงสิ่งที่พวกเราควรทำเดี๋ยวนี้ และไม่สนใจเรื่อง มิลเลเนียมมากนัก การสอนพวกเขาให้รับใช้พระผู้เป็นเจ้าและสร้างอาณาจักรของพระองค์ คือภารกิจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสอนเรื่อง ศรัทธา กลับใจ บัพติศมาเพื่อการปลดบาป และการวางมือเพื่อรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องได้รับการสอนในเรื่องชีวิตประจำวันใน ทัศนะทางฝ่ายโลก (DBY, 8–9)

เราอย่ายอมให้ตัวเราไปไถหว่านในทุ่งนาโดยไม่ได้นำเอาศาสนาของเราไปด้วย เราอย่า เข้าไปในสำนักงาน อยู่หลังเคาน์เตอร์ขายสินค้า ทำธุรกิจซึ่งต้องควบคุมบัญชี หรือไม่ว่าจะ ไปที่ใด หรือทำธุรกิจอันใด โดยไม่นำศาสนาของเราไปด้วย หากเรากำลังนั่งรถไฟหรือกำลัง พอใจกับการเดินทาง พระผู้เป็นเจ้าและศาสนาของเราจะต้องอยู่กับเราด้วย (DBY, 8)

เราต้องการให้สิทธิชนสูงขึ้นในความดีงาม จนกระทั่ง ยกตัวอย่าง เช่น ช่างเครื่องของเรา มีความชื่อตรงและไว้วางใจได้ถึงขนาดที่บริษัทสร้างทางรถไฟจะพูดว่า “โปรดให้ เอ็ลเดอร์ ‘มอรมอน’ มาเป็นวิศวกรของเรา จะได้ไม่มีใครกลัวที่จะนั่งรถไฟ เพราะถ้าเอ็ลเดอร์คนนั้นรู้ ว่ามีอันตราย เขาจะใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาชีวิตของผู้ที่ไว้วางใจให้เขาดูแล” ข้าพเจ้าต้องการเห็นเอ็ลเดอร์ของเราเปียมไปด้วยความชื่อสัตย์จนกระทั่งบริษัทนี้ต้องการ พวกเขาเป็นคนสร้างเครื่องจักร ยามรักษาการณ์ วิศวกร เสมียน และผู้จัดการธุรกิจ หาก เราดำเนินชีวิตตามศาสนาของเราและมีค่าควรกับชื่อของสิทธิชนยุคสุดท้าย เราก็จะเป็นคน ที่ธุรกิจทุกแขนงไว้วางใจให้ทำงานซึ่งต้องการความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ หากไม่เป็นเช่น นั้นมันจะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามศาสนาของเรา (DBY, 232–33)

ศาสนาของเรารวมเอาการกระทำทุกอย่างและคำพูดทุกคำของมนุษย์เช้าไว้ด้วย ไม่มีใคร ควรทำธุรกิจค้าขายหากเขาไม่ได้ทำด้วยการพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครควรไปทำไร่นาหรือ ธุรกิจใดๆ หากเขาไม่ได้ทำด้วยการพึ่งพาการนำทางจากพระเจ้า ไม่มีเจ้าหน้าที่ตุลาการ คนใดสมควรพิพากษาผู้คนเว้นแต่เขาจะพิพากษาด้วยการนำทางจากพระเจ้าเพื่อเขาจะสามารถแยกแยะได้โดยชอบธรรมและเที่ยงธรรมระหว่างความถูกต้องกับความผิด ความจริง กับความเท็จ ความสว่างกับความมนืด ความยุติธรรมกับความอยุดิธรรม (DBY, 9)

เมื่ออ่านพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่อย่างละเอียดรอบคอบ เราค้นพบว่าส่วน ใหญ่ของการเปิดเผยที่ประทานให้กับมนุษยชาติในสมัยโบราณเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ หน้าที่ประจำวัน เราดำเนินตามวิถีเดียวกันนั้น การเปิดเผยที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเนิลและ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นตัวอย่างให้เรา และพระคัมภีร์คำลอนและพันธสัญญาบรรจุการเปิด เผยโดยตรงต่อศาลนาจักรนี้ นี่คือหนังลือแนะแนวสำหรับเรา และเราไม่ปรารถนาจะยกเลิก เราไม่ต้องการให้หนังสีอตังกล่าวเป็นพระคัมภีร์ที่เลิกใช้แล้วหรือนำไปเก็บไว้เฉยๆ เรา ปรารถนาให้การเปิดเผยของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ดำเนินต่อไปวันแล้ววันเล่า และมีพระ วิญญาณของพระองค์อยู่กับเราเสมอ หากเราสามารถทำได้เช่นนี้ เราจะไม่มีวันเดินในความ มีดอีกเลย แต่เราจะเดินในความสว่างแห่งชีวิต (DBY, 12)

หากเราปรารถนาจะมีวิญญาณแห่งไชอัน เราต้องดำเนินชีวิตเพื่อให้ไคัมาซึ่งสิ่งนั้น ศาสนาของเราไม่ไคัเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่เป็นศาสนาที่นำไปปฎิบ้ติได้เป็นศาสนาซึ่ง จะนำความสุขแห่งปัจจุบันมาสู่ดวงใจทุกดวง (DBY, 12)

งานแห่งการสร้างไชอันเป็นงานที่ปฏิบัติได้หากจะมองในทุกๆ คัาน สิ่งนี้ไม่ไคัเป็นแค่ สมมุติฐานเท่านั้น ศาสนาที่เป็นสมมุติฐานมีค่าหรือประโยชน์ต่อบุคคลเพียงเล็กน้อยการไคั รับสิทธิ์แห่งการสืบทอดมรดกในไซอันหรือเยรูซาเล็มเพียงแค่ทฤษฎี หรือจินตนาการจะมีค่า เท่ากับการไม่ไคัเป็นผู้รับสิทธิ์ใดๆ เลย เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำให้การลืบทอดมรดกเป็น การปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์ ดังนั้นขอให้เราอย่ายึดถือโดย พึงพอใจกับศาสนาเชิงทฤษฎีเท่านั้น แต่ขอให้เป็นไปในทางที่ปฎิบัติได้ ชำระตนให้บริสุทธิ์ คํ้าจุนตนเอง เก็บรักษาความรักของพระผู้เป็นเจ้าไว้ภายในตัวเรา ดำเนินชีวิตตามคำสอน ทุกข้อ กฎทุกกฎ และคำทุกคำที่ประทานให้เพื่อนำทางเรา (DBY, 12)

และหากวันนี้ข้าพเจ้าเอาใจใส่สิ่งที่ตกทอดมาให้ข้าพเจ้าทำ และจากนั้นทำสิ่งที่เกิดขึ้นใน วันพรุ่งนี้ และทำเช่นนี้เรื่อยไป เมื่อนิรันดรมาถึง ข้าพเจ้าจะพร้อมลำหรับการเข้าไปในความ เป็นนิรันดร แต่ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมสำหรับการปฎิบ้ติของภพนั้น หากข้าพเจ้าไม่สามารถ จัดการกับสิ่งที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะทำเช่นนี้ (DBY, 11)

จุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะควบคุมสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของ โลกนี้และเอาชนะแผ่นดินโลก ทวีจำนวนพืชและสัตวซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ให้อยู่ กับเรา ทั้งนี้ด้วยการเป็นผู้พิทักษ์อย่างฉลาด (DBY, 15)

ชีวิตเป็นอยู่เพื่อเรา เป็นสิทธิพิเศษที่เราจะได้รับมันวันนี้ โดยไม่ต้องคอยจนถึงมีลเลเนียม ขอให้เราเลือกวิถีทางที่จะรอดวันนี้ และเมื่อยามคามาถึง ขอให้ทบทวนการกระทำใน วันนั้น จงกลับใจจากบาปของเรา หากเรามีอะไรที่ต้องกลับใจ และกล่าวคำลวดอ้อนวอน จากนั้นเราจะนอนหลับได้อย่างลันติจนกระทั้งรุ่งเช้า จงตื่นขึ้นด้วยความขอบพระทัยต่อพระ ผู้เป็นเจ้าเริ่มงานของอีกวันหนึ่ง และพยายามดำเนินชีวิตตลอดทั้งวันเพื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ ใช่เพื่อใครอื่น (DBY, 16)

ความรับผิดชอบในการดูแลตนเองและครอบครัวของเราคือการนำ พระกิตติคุณมาปฏิบัติอย่างมีความหมาย

ข้าพเจ้าพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้ดำเนินในวิถีทางที่พวกเขาลามารถ ช่วยเหลือตนเอง ดูแลคนยากจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอด ยกคนที่โง่เขลาออก จากลถานที่ที่พวกเขาไม่มีโอกาลปฏิบัติตามวิถีทางของโลก และไม่เข้าใจถึงความรู้ทั่วๆ ไป ซึ่งลูกหลานมนุษย์มีนําพวกเขาจากสี่เลี้ยวของแผ่นดินโลก และทำให้พวกเขาเป็นผู้คนที่ ฉลาด มัธยัสถ์ และพึ่งพาตนเองได้ (DBY, 16)

นับเป็นเวลาหลายปีแล้วที่การสู้รบของข้าพเจ้าคือการนําผู้คนมาสู่ความเข้าใจที่ว่าหาก พวกเขาไม่ดูแลตัวเอง พวกเขาก็จะไม่ได้รับการดูแล หากเราไม่วางรากฐานเพื่อจะเลี้ยง ตนเอง ห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้า และหาที่พักอาศัยให้กับตนเอง เราจะพินาศด้วยความ หิวกระหายและความหนาวเหน็บ เราอาจจะต้องทนทุกข์ในฤดูร้อนด้วยเช่นกันเนื่องจาก แลงอาทิตย์ที่แผดเผาร่างกายอันเปลือยเปล่าและไร้สิ่งปกป้อง (DBY, 16–17)

ใครที่สมควรได้รับการสรรเสริญ? คนที่ดูแลตัวเองหรือคนที่มักจะวางใจในพระกรุณาธิคุณ ของพระเจ้าว่าจะดูแลพวกเขาเสมอ? เมื่อเราเอาแต่คาดหวังให้พระเจ้าประทานผลไม้แก่เรา โดยที่เราไม่ปลูกต้นไม้ หรือเราร้องทูลพระเจ้าให้ทรงช่วยเราให้รอดจากความขาดแคลน โดยที่เราไม่หว่านไถ หรือเพาะปลูกและไม่ออกแรงเก็บเกี่ยว มันก็ทำนองเดียวกับที่เราขอให้ พระองค์ทรงช่วยให้เรารอดจากผลของความโง่เขลา การไม่เชื่อฟัง และการทำสิ่งที่เปล่า ประโยชน์ของเรา (DBY, 293)

แทนที่จะค้นหาว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรเพื่อเรา ขอให้เราค้นหาสิ่งที่เราจะทำได้ด้วยตัว เราเอง (DBY, 293)

ขณะที่เรามีดินอันอุดมสมบูรณ์ในหุบเขานี้และมีเมล็ดที่จะเพาะปลูกในดิน เราไม่จำเป็น ต้องทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูเราหรือตามเราไปทั่วพร้อมกับขนมฟังและอ้อนวอนให้ เรารับประทาน พระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น หากข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าข้าพเจ้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น เหมือนกัน เราจะเลี้ยงตนเองได้ ที่นี่ แต่หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับจน ไม่อาจเลี้ยง ตนเองได้ นั้นคือเวลาที่จะทูลขอพระเจ้าให้ทรงทำสิ่งอัศจรรย์เพื่อคํ้าจุนเรา (DBY, 294)

หากท่านจัดหาฟัจจัยในการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของท่านไม่ได้ ท่านจะคาดหวัง ปัญญาเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดรอย่างไรได้? พระผู้เป็นเจ้าประทานการดำรงอยู่ให้กับท่านทั้ง ร่างกายและวิญญาณ ประทานพรให้ท่านด้วยความลามารถ และด้วยสิ่งนั้น ทรงวางราก ฐานแห่งความรู้ ปัญญา ความเข้าใจ รัศมีภาพทั้งหมดและชีวิตนิรันดร หากท่านไม่บรรลุถึง ความสามารถในการจัดหาเพื่อสนองความต้องการทางธรรมชาติของท่าน เพื่อภรรยาและ ลูกๆ ไม่กี่คนของท่าน ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องของสวรรค์เล่า? (DBY, 13)

จงมองดูความสามารถของท่านในฐานะสมาคมสงเคราะห์ในเมืองนี้และตลอดทั่วเทือก เขาร็อคกี มองดูสถานภาพของตัวท่าน พิจารณาด้วยตัวของท่านเอง และตัดสินใจว่าจะไป ทำงานและเรียนรู้อิทธิพลที่ท่านมือยู่และใช้อิทธิพลนั้นเพื่อทำสิ่งดีและบรรเทาความยากจน ของผู้อื่นหรือไม่ (DNW, 17 Aug. 1869, 3)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

ความเจริญเติบโตส่วนบุคคลในพระกิตติคุณเกิดฃึ้นทีละเล็กละน้อยและ เป็นบรรทัดๆ เมื่อเราดำเนินชีวิตตามหลักธรรมที่เราเรียนรู้

  • ทำไมพระเจ้าจึงทรงลอนความจริงแห่งพระกิตติคุณให้เรา “วันนี้นิดพรุ่งนี้หน่อย”? (ดู อิสยาห์ 28:9–10; 2 นิไฟ 28:30; ค.พ. 98:12) เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับส่วนใหญ่ขึ้น ของความจริงแห่งพระกิตติคุณ? (ดู แอลมา 12:9–11 ด้วย) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราได้รับ ความจริงมากเกินกว่าที่เราพร้อมจะรับได้?

  • ทำไมบางครั้งการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณจึงจำเป็นต่อการเรียนรู้หลัก ธรรมนั้น? (ดู ยอห์น 7:17; ค.พ. 93:28)

  • เราขีดขั้นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสอนเราอย่างไร?

พระกิตติคุณทั้งด้านฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน

  • ประธานยังกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่แบ่งแยกฝ่ายวิญญาณจากฝ่ายโลก “ความเข้าใจในข้อ ความนั้นมีผลกระทบต่อการทำงานประจำวันของเราอย่างไร?

พระกิตติคุณคือแนวทางในชีวิตประจำวัน—ศาสนาที่นำไปปฏิบัติได้

  • ประธานยังลอนสิทธิชนให้นำหลักธรรมพระกิตติคุณมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของ พวกเขา พระกิตติคุณจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่องครอบครัว งานอาชีพ และความ รับผิดชอบอื่นๆ ของเราอย่างไร?

  • ท่านคิดว่าประธานยังหมายความว่าอย่างไรเมื่อท่านกล่าวว่าเราจะไม่ “ไปที่ใด หรือทำ ธุรกิจอันใด โดยไม่นำศาสนาของเราไปด้วย”? เราจะนำศาสนาของเราไปกับเราทุกหน ทุกแห่งโดยยังคงเคารพต่อความเชื่อของผู้อื่นได้อย่างไร? เราจะพึ่งพาพระวิญญาณมาก ขึ้นเพื่อให้พระองค์ทรงช่วยให้เรานำเอาศาสนาไปกับเราทุกหนทุกแห่งที่เราไปได้อย่างไร?

  • นอกเหนือจากงานเผยแผ่และการรับใช้ศาลนาจักร เรามีความรับผิดชอบอะไรในชุมชน?

ความรับผิดชอบในการดูแลตนเองและครอบครัวของเราคือการนำ พระกิตติคุณมาปฏิบัติอย่างมีความหมาย

  • ประธานยังลอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบของเราในการดูแลตัวเองว่าอย่างไร? เราจะพึ่ง พาตนเองในเรื่องวิญญาณ การศึกษา ร่างกาย อารมณ์ และเศรษฐกิจได้อย่างไร? เรา จะช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นนั้นได้อย่างไร?

  • ทำไมการพึ่งพาตนเองจึงเป็นส่วนสำคัญของพระกิตติคุณ?

  • ประธานยังพูดถึงคุณธรรมและความจำเป็นในการจัดหาเพื่อตัวเอง เมื่อเราทำสิ่งนั้น เรา จะได้รับพรอะไร? ประธานยังกล่าวว่าพระเจ้าจะทรง “ทำสิ่งอัศจรรย์เพื่อคํ้าจุนเรา” ภาย ใต้สภาพแวดล้อมเช่นไร?