คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 12: การป้องกันการละทิ้งความเชื่อ ส่วนบุคคล


บทที่ 12

การป้องกันการละทิ้งความเชื่อ ส่วนบุคคล

ขณะอยู่ในเคิร์ทแลนด์ ประธานบริคัม ยังพบกลุ่มละทิ้งความเชื่อกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผน ทำร้ายศาสดาโจเซฟ สมิธ ภายในกำแพงพระวิหารนั่นเองท่านประกาศว่า “ข้าพเจ้ายืน ขึ้นและพูดในท่าทีที่สงบแต่ทรงพลังว่าโจเซฟคือศาสดา ข้าพเจ้ารู้เช่นนั่น และข้าพเจ้า บอกว่าพวกเขาอาจตำหนิและใส่ร้ายป้ายสีท่านเท่าที่พวกเขาพอใจ แต่พวกเขาจะล้มเลิก ข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งโจเซฟเป็นศาสดาของพระองค์ไม่ได้ พวกเขาทำ ได้แต่เพียงทำลายอำนาจของตัวเอง ตัดพันธนาการที่ผูกมัดพวกเขายับศาสดาและพระผู้ เป็นเจ้าออก และทำให้ตัวเองจมดิ่งในนรก” (“History of Brigham Young,” DNW, 70 Feb.1858, 386) ในเคิร์ทแลนด์ มิสซูรี นอวูและยูท่าห์ ประธานยังเห็นยับตาถึงการ ทำลายล้างที่เข้ามาสู่ชีวิตส่วนตัวของผู้ที่ยอมจำนนต่อการละทิ้งความเชื่อ ผู้ละทิ้งความ เชื่อจำนวนมากอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทของท่าน ท่านตระหนักดีว่าบ่อยครั้ง “เรื่องหยุมหยิม” ก็เป็นจุดเริ่มด้นของการแยกพวกเขาออกจากความจริง และท่านเตือนให้สมาชิกแต่ละ คนระมัดระวังให้มากต่อการทำผิดไม่ว่าระดับใด

คำสอนของบริค้ํม ยัง

การละทิ้งความเชื่อคือการหันเหไปจากศาสนาจักร และการปฏิเสธศรัทธาในท้ายสุด

อะไรทำให้ผู้คนหันเหไปจากศาสนาจักร? โดยทั่วไปแล้วเรื่องหยุมหยิมจำนวนมากเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาหันเหไปจากทางที่ถูกต้อง หากเราไปตามเข็มทิศ เข็มที่ชี้ไม่ถูกทาง มันจะชี้เบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อยในตอนเริ่มต้น แต่เมื่อเราเดินทางไปได้ระยะหนึ่งมันจะนำ เราออกห่างจากจุดที่ถูกต้อง จุดที่จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง (DBY, 83)

หากสิทธิชนละเลยการสวดอ้อนวอนและฝ่าฝืนวันที่กำหนดไว้เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะสูญเสียพระวิญญาณของพระองค์ หากใครยอมให้ตัวเองเอาชนะด้วยความโกรธ การแช่งด่าและการสบถ ออกพระนามของพระเจ้าอย่างปราศจากความคารวะ เขาจะรักษา พระวิญญาณอันศักดิสิทธิ์ไว้ไม่ได้ โดยสรุปแล้ว หากใครทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เขารู้ว่าผิด และ หากลับใจไม่ เขาจะไม่ได้ประโยชน์จากพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ แต่จะเดินอยู่ในความมืด และปฏิเสธศรัทธาในที่สุด (DBY, 85)

มันน่าพิศวงที่ชายและหญิงจะปิดตาของพากเขาจากหลักธรรมแห่งความรู้แจ้งทุกข้อไม่รับรู้ต่อสิ่งอันเป็นนิรันดรหลังจากที่พวกเขาทำความคุ้นเคยกับมันแล้ว และยอมให้—สิ่ง ของๆ โลกนี้ ความใคร่ในสิ่งที่เห็นและความโลภทางเนื้อหนัง กีดขวางความนึกคิดของพาก เขา และดึงพากเขาออกห่างจากหลักธรรมแห่งชีวิตทีละน้อย ทีละน้อย (DBY, 82)

เช้านี้มีการพูดที่นี่ว่าไม่มีบุคคลใดละทิ้งความเชื่อหากไม่ได้ล่างละเมิดจริงๆ การไม่ทำ หน้าที่ของตนนําไปสู่การยอมตนต่อบาป (DBY, 82)

ท่านได้ยินคนจำนวนมากพูดว่า “ฉันเป็นสิทธิชนยุคสุดท้าย และฉันจะไม่ละทิ้งความเชื่อ เลย” “ฉันเป็นสิทธิชนยุคสุดท้าย และจะเป็นไปจนถึงวันตาย” ข้าพเจ้าไม่เคยประกาศอย่าง นั้น และจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้ด้ายตนเองว่า ข้าพเจ้า ไม่มิอำนาจ แต่ร่างกายของข้าพเจ้าถูกสร้างนี้นเพื่อเพิ่มพูนในปิญญา ความรู้และอำนาจ ที่ นี่นิด ที่นั้นหน่อย แต่เมื่อข้าพเจ้าปล่อยตนเองไว้ตามลำพัง ข้าพเจ้าก็จะไม่มิอำนาจและ ปัญญาของข้าพเจ้าคือความโง่ และหากข้าพเจ้าแนบสนิทอยู่กับพระเจ้า ข้าพเจ้าก็จะมิ อำนาจในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเรียนรู้พระกีตดิคุณทิ้งนี้เพื่อจะได้รู้ว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย [ดู แอลมา 26:12] (DBY, 84)

หากชายหรือหญิงได้รับอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ทิ้งได้รับภาพปรากฏ และการเปิดเผย มาแล้วมากมายแต่หันเหไปจากพระบัญญัติอันคักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า และดูเหมือนว่าจิตสำนึกของพากเขาจะถูกดึงไป ความเข้าใจและวิจารณญาณในความชอบธรรมก็ถูกดึงไปพากเขา ย่อมเข้าไปลู่ความมืด และเป็นดังคนตาบอดคลำไปตามข้างกำแพง [ดู อิสยาห์ 59:9–10; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:29] (DBY, 82–83)

คนจำนวนมากรับพระกิตติคุณเพราะพากเขารู้ว่าจริง พากเขาเชื่อมั่นในวิจารณญาณ ของพากเขาว่าสิ่งนี้จริง ข้อโต้แย้งที่รุนแรงมีกำลังเหนือพากเขา แต่พากเขาก็ถูกบังคับอย่าง มิเหตุมิผลให้ยอมรับว่าพระกิตติคุณเป็นจริงหลังจากใช้เวลาใคร่ครวญอย่างดีแล้ว พากเขา ยอมรับว่าพระกิตติคุณจริงหลังจากพิจารณาเหตุผล พวกเขายอมจำนน และเชื่อพังหลัก ธรรมข้อแรกๆ ของพระกิตติคุณ แต่ไม่เคยแสวงหาความสว่างทางปัญญาจากอำนาจของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ บุคคลเช่นนั้นมักจะตกไปนอกทางและไม่ดำเนินต่อไปในศรัทธา (DBY, 86)

เมื่อเราจับผิดผู้นำของศาสนาจักร เราเริ่มแยกตัวออกจากศาสนาจักร

เมื่อใดก็ตามที่มีแนวโน้มว่าสมาซิกคนใดของศาสนาจักรนี้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิของ ประธานศาสนาจักรในการชี้นำทุกเรื่อง ท่านก็เห็นประจักษ์ชัดถึงการละทิ้งความเชื่อของ วิญญาณซึ่งหากจะยุยง ก็นำไปสู่การแยกตัวออกจากศาสนาจักรและไปสู่การทำลายล้างใน ที่สุด ที่ใดก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะปฏิบัติการต่อต้านเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูก ต้องตามกฎของอาณาจักรนี้ ไม่สำคัญว่าเขาจะถูกเรียกให้ทำในตำแหน่งใด หากยังขืนมีอยู่ มันจะเกิดผลคล้ายคลึงกันตามมา คือ พวกเขาจะ “ปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกิเลสตัณหา และหมิ่นประมาทอำนาจของผู้ใหญ่ คนเหล่านี้กล้าและประพฤติตามอำเภอใจ เขาไม่สะทก สะท้านที่จะกล่าวประณามคักดิ์สิริเทพ” [ดู 2 เปโตร 2:10] (DBY, 83)

เมื่อคนใดคนหนึ่งเริ่มจับผิด ชอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนั้น หรือเรื่องอื่นๆ และพูดว่า “พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้หรืออย่างนั้นหรือ?” ท่านคงรู้ว่าคนๆ นั้นเริ่มมีวิญญาณของการ ละทิ้งความเชื่อ ทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ หรืออยู่บนโลกนี้ ผู้ที่กำลังแสวงหาเพื่อ ช่วยตัวเองให้รอดด้วยสุดจิตสุดใจของเขา เขาจะตั้งอกตั้งใจทำให้มากเท่าที่เขาจะลามารถ ทำได้ โดยไม่สงสัยว่านั้นเป็นธุระของเขาหรือไม่ หากเขาได้รับความสำเร็จในการช่วยตนเอง ให้รอด ก็ถือว่าเขาได้ใช้เวลาและความตั้งใจเป็นอย่างดี โดยทำให้ตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้อง นั้นคือต้องไม่ยอมให้บาปและความโง่เขลาเผยโฉมตัวมันเองออกมาพร้อมกับเช้าวันใหม่” (DBY, 83)

คนจำนวนมากซึมซับเอาความคิดที่ว่าพวกเขามีความลามารถในการริเริ่มลอนหลักธรรม ที่ไม่เคยมีการสอนมาก่อน พวกเขาหารู้ไม่ว่าทันทีที่พวกเขาเปิดทางให้กับความเพ้อฝันนี้มาร ได้มีอำนาจเหนือเขา และจะนำเขาไปสู่สภาพที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นบทเรียนที่พวกเขา ควรจะได้เรียนรู้เมื่อนานมาแล้ว กระนั้นพวกเขาก็เรียนรู้มาเพียงเล็กน้อยในสมัยของโจเซฟ (DBY, 77–78)

[บุคคลตังกล่าว] จะให้การพยากรณ์ที่ผิด เขายังคงทำมันด้วยวิญญาณแห่งการพยากรณ์ เขาจะรู้สึกว่า เขาเป็นศาสดาและสามารถพยากรณ์ได้ แต่เขาทำมันด้วยวิญญาณและอำนาจ อีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่มาจากพระเจ้า เขาใช้ของประทานมากพอๆ กับที่ท่านและข้าพเจ้าใช้ (DBY, 82)

ขั้นตอนแรกที่นำไปสู่การละทิ้งความเชื่อคือการจับผิดอธิการของท่าน และเมื่อทำสิ่งนั้น แล้ว หากไม่กลับใจ ในไม่ช้าก็จะทำขั้นที่ลอง และอีกไม่นานบุคคลนั้นก็จะถูกตัดออกจาก ศาสนาจักร และนั่นคือที่สุดของมัน ท่านจะยอมให้ตัวเองจับผิดอธิการของท่านหรือ? (DBY, 86)

ไม่มีใครได้รับอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อก่อความยุ่งยากในสาขาใดๆ ของศาสนาจักร อำนาจดังกล่าวมาจากแหล่งของมาร (DBY, 72)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำ จะต้องออกจากศาสนาจักรนี้ แต่พวกเขาออกจากศาสนาจักร เพราะพวกเขาเข้าไปสู่ความมีด วันใดที่พวกเขาตัดสินใจว่าควรจะมีการออกเสียงแบบประชาธิปไตย หรือกส่าวอีกนัยหนึ่ง คือเราควรมีคนสองคนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นฐานะปุโรหิต ควบคุมบรรดาสิทธิชนยุคสุดท้าย พวกเขาย่อมถูกตัดสินว่าเป็นพวกละทิ้งความเชื่อจะไม่มี เรื่องเช่นนั้นที่ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย การแบ่งแยก การแข่งขัน ความเคียดแค้นความ เกลียดขัง ความมุ่งร้าย หรือมีสองฝ่ายที่ลงมติชี้ขาดในบ้านของพระผู้เป็นเจ้า แต่ต้องมีฝ่าย เดียวที่ลงมติชี้ขาดที่นั่น (DBY, 85)

ผู้ที่สูญเสียพระวิญญาณจะเต็มไปด้วยความมืดและความสับสัน

เมื่อมนุษย์สูญเสียวิญญาณของการทำงานในหน้าที่ของตน พวกเขากลายเป็นผู้ไม่เชื่อ ในความรู้สึกของพวกเขา พวกเขาพูดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าไบเบิลจริงหรือไม่ หรือว่าพระคัมภีร์ มอรมอนจริงหรือไม่ หรือแม้การเปิดเผยใหม่ หรือไม่รู้ว่ามีพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ เมื่อพวกเขา สูญเสียวิญญาณของงานนี้ พวกเขาก็สูญเสียความรู้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าทิ้งในกาลเวลา และในนิรันดร ทุกสิ่งสูญลิ้นแล้วสำหรับพวกเขา (DBY, 83–84)

มนุษย์เริ่มละทิ้งความเชื่อโดยการทึกทักเอาว่าตนมีความเข้มแข็งทิ้งที่ไม่มี โดยการฟัง เสียงกระซิบของศัตรูผู้นำเขาออกนอกลู่นอกทางทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งพวกเขารับ เอาสิ่งที่เรียกว่าปัญญาของมนุษย์มาไว้กับตัว และจากนั้นพวกเขาก็เริ่มตีตนออกห่างจาก พระผู้เป็นเจ้า และความนึกคิดของพวกเขากลับสับสน (DBY, 84)

สิทธิชนยุคสุดท้ายละทิ้งความเชื่อจากสิ่งใด? ทุกสิ่งที่ตี บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่เป็น เหมือนพระผู้เป็นเจ้าทำให้สูงล่ง ยกให้สูงขึ้น ขยายความดีดและความลามารถของคนมี ปัญญาที่พระบิดาทรงนำมาสู่’โลกนี้ พวกเขาจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทน? ข้าพเจ้าอธิบาย ได้ในคำพูดสั้นๆ นี่คือคำพูดที่ข้าพเจ้าจะใช้: ความตาย นรกและหลุมศพ นั่นคือสิ่งที่พวก เขาจะได้รับเป็นการตอบแทน เราอาจจะบรรยายอย่างละเอียดในทุกแง่มุมของสิ่งที่เขา ประลบ พวกเขาประลบกับความมีด ความหมางเมิน ความสงสัย ความเจ็บปวดความเศร้า โศก ความเสียใจ ความโหยหาอาลัย ความไม่เป็นสุข ไม่มีใครปลอบใจในชั่วโมงแห่งความ ยุ่งยาก ไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือในเวลาแห่งภัยพิบ้ติ ไม่มีใครเมตตาลงสาร เมื่อพวกเขาถูก ทอดทิ้งและหมดอาลัยตายอยาก และข้าพเจ้าอธิบายมันโดยพูดถึงความตาย นรก และหลุม ศพ นี่คือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับตอบแทนเพราะการละทิ้งความเชื่อของพวกเขาจากพระกิตติคุณของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า (DBY, 85)

ท่านรู้จักใครที่เข้มแข็ง กระฉับกระเฉง และเต็มไปด้วยปัญญาขณะอยู่ในศาสนาจักร แต่ หลังจากนั้นกลับละทิ้งศาสนาจักร พวกเขาติดอยู่กับความเข้าใจของตน ความคิดของพวก เขาถูกทำให้มืด และทุกอย่างกลับกลายเป็นสิ่งลึกลับสำหรับเขา ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้เป็น เจ้า พวกเขากลับเป็นเหมือนชาวโลกที่เหลือ ผู้ที่คิด หวัง และลวดอ้อนวอนว่า เรื่องดังกล่าว จะเป็นที่รู้ แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องดังกล่าวแม้แต่น้อย นี่คือสภาพที่เห็นได้ชัดของผู้ที่ละทิ้ง ศาสนาจักร พวกเขาเข้าไปสู่ความมืด พวกเขาไม่ลามารถตัดสิน รับรู้หรือเข้าใจสิ่งต่างๆ ดังที่เป็นอยู่ พวกเขาเป็นเหมือนคนเมา—ที่คิดว่าทุกคนเมายกเว้นตัวเขาและเขาเป็นคนมี สติสัมปชัญญะเพียงคนเดียวในละแวกบ้าน คนละทิ้งความเชื่อคิดว่าทุกคนผิดแต่พวกเขาถก (DBY, 84)

คนเหล่านั้นที่ละทิ้งศาสนาจักรเป็นเหมือนขนนกที่ลอยไปลอยมาในอากาศ พวกเขาไม่รู้ ว่ากำลังจะไปไหน พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตที่เป็นอยู่ของตน ศรัทธาของพวก เขา วิจารณญาณและการทำงานของความนึกคิดของพวกเขาไม่มั่นคง เป็นเหมือนกับการ เคลื่อนไหวของขนนกที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ เราไม่มีสิ่งใดต้องยึดติด นอกจากศรัทธาใน พระกิตติคุณเท่านั้น (DBY, 84)

เราจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงโดยการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับศาสนาของเรา และแสวงหาพระวิญญาณอันศักดิสิทธิ

ยังคงมีการละทิ้งความเชื่ออยู่หรือไม่? มี พี่น้องชายและหญิง ท่านอาจคิดว่าผู้คนจะเข้า มาลู่ศาสนาจักรและจากนั้นละทิ้งความเชื่อ ท่านอาจคิดว่าบางคนจะชื่อสัตยัช่วงหนึ่ง และ จากนั้นก็จะละทิ้งศาสนาจักรไปตามทางที่คนอื่นกำลังเดินอยู่ (DBY, 85–86)

ทำไมผู้คนจึงละทิ้งความเชื่อ? ท่านรู้ว่าเราอยู่บน “เรือเดินสมุทรไชอันอันเป็นที่รัก” (ศาสนาจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า) เราอยู่กลางมหาสมุทร พายุกำลังมา และเรือ กำลังแล่นไปด้วยความยากสำบาก ขณะผู้โดยลารเรือคนหนึ่งพูดว่า “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” อีกคนจะพูดว่า “ฉันโม่เชื่อเลยว่านี่คือ “เรือเดินสมุทรไชอัน” “แต่เราอยู่กลางมหาสมุทร” “ฉันไม่ลนหรอก ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” เขาถอดเสื้อออกแล้วกระโดดจากเรือ เขาจะจมนํ้า หรือไม่? จม เป็นดังนั้นกับคนที่ละทิ้งศาสนาจักรนี้ มันคือ “เรือเดินสมุทรไชอันอันเป็น ที่รัก” ขอให้เราจงอยู่ในนั้น (DBY, 85)

พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ถือหางเสือของเรือสำใหญ่นี้ และนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดี….ขอให้ผู้ที่ ประสงค์จะละทิ้งความเชื่อคิดเช่นนั้น แต่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยทุกคนที่ตั้งใจว่าจะได้รับ การช่วยให้รอด (DBY, 86)

หากผู้คนจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับศาสนาของพวกเขา ก็จะไม่มีการละทิ้งความเชื่อ เราจะ’โม่ได้ยินการบ่นว่า หรือการจับผิด หากผู้คนหิวกระหายพระคำแห่งชีวิตนิรันดร และ ทิ้งจิตวิญญาณของพวกเขามุ่งไปที่การเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ใจและมือ ของทุกคนจะพร้อมและเต็มใจ และงานจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีพลัง และเราจะก้าวหน้า ดังที่เราควรจะเป็น (DBY, 84)

เราต้องดำเนินชีวิตเพื่อให้มีพระวิญญาณทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที สิทธิชนทุกคนมีสิทธิ ได้รับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อนำเขาในการ ปฏิบัติหน้าที่ของตน (DBY, 82)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

การละทิ้งความเชื่อคือการหันเหไปจากศาสนาจักร และการปฏิเสธศรัทธาในท้ายสุด

  • ประธานยังถือว่าการแยกตัวไปจากความจริงบางเรื่องดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาหรือ “หยุมหยิม” ท่านใช้สัญลักษณ์ของ “เข็มทิศ เข็มที่ชี้โม่ถูกทาง” พระกิตติคุณเป็นเหมือน เข็มทีศที่แม่นยำและถูกต้องอย่างไร? อะไรคือการเบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อยบางประการใน ชีวิตของเราที่บ่อยครั้งมักนำเราออกนอกทาง? เราควรทำการแก้ไขตามขั้นตอนใด?

  • ประธานยังตักเตือนบุคคลที่อวดอ้างว่า “ฉันเป็นสิทธิชนยุคสุดท้าย และฉันจะไม่มีวัน ละทิ้งความเชื่อว่าอย่างไร”? (ดู 2 นีไฟ 28:25; ค.พ. 20:31–34 ด้วย)

  • ประธานยังให้คำเตือนเชิงพยากรณ์อะไรแก่สิทธิชนที่ได้รับ “อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า” และแล้วหันเห “ออกจากพระบัญญัติ”?

  • เหตุใดเหตุผลที่ชาญฉลาดจึงไม่พอเพียงที่จะทำให้เราดำเนินต่อไปบนหนทางสู่ชีวิต นิรันดร?

เมื่อเราจับผิดผู้นำของศาสนาจักร เราเริ่มแยกตัวออกจากศาสนาจักร

  • การทำตามการเรียกของเราแทนที่จะตั้งข้อสงสัยในการดลใจของผู้นำที่มือยู่ในบัจจุบันจะ ช่วยให้เราเข้มแข็งได้อย่างไร ทิ้งในฐานะบุคคล ครอบครัว วอร์ด และสมาชิกของศาสนาจักร?

  • ประธานยังให้คำเตือนอะไรแก่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้นำวอร์ดหรือสาขาของพวกเขา? เรา สามารถทำอะไรที่โบสถ์และที่บ้านเพื่อสนับสนุนอธิการวอรัดของเรา ประธานสาขาของ เรา หรือผู้นำคนอื่นๆ ของศาสนาจักร? เมื่อมีความแตกแยกเกิดขึ้น เราควรทำตามวิถี ทางใดเพื่อจะกลับมาเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันอีก? (ดู มัทธิว 18:15; ลูกา 11:34 ด้วย)

  • ตามที่ประธานยังกล่าว จะมี “การออกเสียงแบบประชาธิปไตย” ไม่ได้ ระหว่าง “ผู้ สมัครรับเลือกทั้งสองคนเพื่อเป็นฐานะปุโรหิตควบคุม” ในศาสนาจักร (ดู ค.พ. 28:2, 6–7) การสนับสนุนโดย “มติเอกฉันท์” แตกต่างจาก “การออกเสียงแบบประชาธิปไตย” อย่างไร? (ดู ค.พ. 20:65; 26:2 ด้วย)

  • เราได้รับเชิญให้ออกเสียงสนับสนุนผู้นำศาสนาจักร ความเต็มใจของเราที่จะสนับสนุน ผู้นำเหล่านั้นเสริมสร้างทุกสิ่งทุกอย่างของศาสนาจักรได้อย่างไร? หากไม่เต็มใจสนับสนุน พวกเราจะทำให้ศาสนาจักรอ่อนแอลงได้อย่างไร?

ผู้ที่สูญเสียพระวิญญาณจะเต็มไปด้วยความมืดและความสับสน

  • ประธานยังหมายความว่าอะไรเมื่อท่านกล่าวว่า คนที่ละทั้งความเชื่อคิดเอาว่าพวกเขา เข้มแข็ง? อะไรคืออันตรายที่เกิดจากการวางใจพลังของตนเอง? (ดู ฮีลามัน 4:13) เหตุ ใด บางคนเลือก “ปัญญาของมนุษย์” แทนที่จะเลือกปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผย โดยพระวิญญาณ? (ดู อิสยาห์ 29:13–14; 1 โครินธ์ 2:12–14 ด้วย)

  • อ่านคำตอบที่ประธานยังตอบคำถามเหล่านี้: “สิทธิชนยุคสุดท้ายที่ละทิ้งความเชื่อเอาใจ ออกห่างจากอะไร?” “อะไรคือผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับ”?

  • เราสามารถปฏิบัติศรัทธาของเราเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เป็น “เหมือนขนนกที่ลอยไปลอยมาใน อากาศ” ได้อย่างไร?

เราจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงโดยการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับศาสนาของเรา และแสวงหาพระวิญญาณอันศักดิสิทธิ

  • ทำไมการละทิ้งความเชื่อจึงยังมีอยู่ต่อไปในศาสนาจักร? เราจะป้องกันมีให้การละทิ้ง ความเชื่อเข้ามาสู่ชีวิตของเราได้อย่างไร? สมาชิกคนอื่นๆ ของศาสนาจักรและอิทธิพลของ พระวิญญาณช่วยให้ท่านชื่อสัตย์ในยามที่ท่านอาจถูกล่อลวงให้ “ไปตามทางที่คนอื่น กำลังเดินอยู่” ได้อย่างไร?

  • หากเราอยู่บน “เรือเดินสมุทรไชอันอันเป็นที่รัก” เราได้รับสัญญาอะไร?

ภาพ
Judas kissing the Savior’s cheek

ยูดาสทรยศพระผู้ช่วยให้รอดในสวนเกทเสมนี ประธานยังเตือนว่า “เมื่อมนุษย์เริ่มจับผิด” ผู้นำและคำสอนของ ศาสนาจักร “ท่านจะรู้ว่าบุคคลผู้นั้นมีวิญญาณแห้งการละทิ้งความเชื่อไม’มากก็ห้อย” (DBY, 83)