คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 21: การแสดงความคารวะ ในวันแซบัธและศีลระลึก


บทที่ 21

การแสดงความคารวะ ในวันแซบัธและศีลระลึก

ในวันหลังจากมาถึงหุบเขาชอลท์ เลค ประธานบริคัม ยัง พูดสั้นๆ ยับค่ายผู้บุกเบิกเกี่ยว กับการรักษาวันแซบัธ ถึงแม้จะมีแดนทุรกันดารกี่ต้องหักร้างถางพง พืชผลที่ต้องเพาะ ปลูกและงานเร่งด่วนอื่นๆ ที่ต้องทำในช่วงเวลานั้น ท่าน “บอกพี่น้องชายว่า…เขาต้องไม่ ทำงานในวันอาทิตย์ ว่า [หากเขาทำ] เขาจะสูญเสียเป็นน้าเท่าของที่เขาจะไค์มันมา และ พวกเขาต้องไม่ล่าสัตว์หรือตกปลาในวันนั้น” ท่านกล่าวว่า “จะต้องมีการประชุมทุกวัน แซหัธในที่แห่งนี้หรือที่ใดก็ตามที่เราหยุดพัก” (WWJ, 25 July 1847) ประธานยังเตือน สิทธิชนบ่อยๆ ให้รักษาวันแซบัธ “ในความระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเราและศาสนาอัน ศักดิสิทธิ์ของเรา” (DBY, 165)

คำสอนของบริคัม ยัง

การรักษาวันแซบัธให้ศักดิสิทธินำมาซึ่งพรทางโลกและทางวิญญาณ

หยิบหนังสือนี้ขึ้นมา (หนังสือคำสอนและพันธสัญญา) และท่านจะอ่านตรงข้อความที่ว่า สิทธิซนต้องร่วมชุมนุมกันในวันแซบัธ [ดู ค.พ. 59:9–16]… ผู้คนกลุ่มนี้ที่เรียกว่าสิทธิซนยุค สุดท้าย ได้รับการเรียกร้องโดยการเปิดเผยที่พระเจ้าประทานมา ให้ร่วมชุมนุมกันในวันนี้ ในพระบัญญัติข้อนี้ พระองค์ทรงเรียกร้องให้เรามารวมกันเพื่อกลับใจจากบาปของเราสารภาพบาปของเรา และรับส่วน [ศีลระลึก] ในความระลึกถึงการสิ้นพระชนม์และการทนทุกข์ ของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา (DBY, 164)

เมื่อผู้คนร่วมชุมนุมเพื่อนมัสการ เขาควรละทิ้งความห่วงใยทางโลกในสิ่งที่เขามีอยู่และ เมื่อนั้นความคิดของเขาจะอยู่ในสภาวะที่เหมาะแก่การนมัสการพระเจ้า เรียกหาพระองค์ ในพระนามของพระเยซู และไค์รับพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อเขาจะได้ยิน และเข้าใจเรื่องที่เป็นอยู่ในนิรันดร และเข้าใจถึงการอารักขาของพระผู้เป็นเจ้าของเรา นี่เป็น เวลาที่ความคิดของพวกเขาจะเปิด เพื่อมองเห็นสภาพที่ไม่ปรากฏของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์จะทรงเปิดเผยโดยพระวิญญาณของพระองค์ (DBY, 167)

ทุกคนควรเงียบเมื่อเราประชุมที่นี่ เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ขอให้จำไว้ว่าเราต้องอยู่ใน ความสงบจริงๆ ไม่กระซิบ พูดคุย หรือใช้เท้าถูพื้นเพื่อให้เกิดเสียง (DBY, 167–68)

โดยการละทิ้งไร่นาในวันแซบัธ เพื่อมาร่วมนมัสการพระผู้เป็นเจ้าของเรา ข้าพเจ้าจะ รับรองกับท่านไค์ว่า พืชผลของเราจะดีกว่าครั้งที่เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับไร่นาของเรา เรา อาจรดนํ้า พรวนดิน และตรากตรำงานหนัก แต่เราไม่ควรลืมว่าพระผ้เป็นเจ้าทรงทำให้เติบ โต และโดยการประชุมร่วมกัน สุขภาพและวิญญาณของเราจะดีพื้น เราจะดูดีพื้นและ สิ่งของของโลกนี้จะทวีพื้นรอบๆ ตัวเรา จนทำให้เรารู้ว่าเราจะชื่นชมกับมันได้ดีพื้นอย่างไร (DBY, 167)

เราควรรักษา [วันแซบัธ] เพื่อความดีทางโลกและความผาสุกทางวิญญาณของเรา เมื่อ เราเห็นชาวนาเร่งรีบไปดูแลการเก็บเกี่ยว และเก็บรวบรวมหญ้าแห้งไว้ในโกดัง สร้างรั้วหรือ รวบรวมฝูงสัตว์ของเขาในวันแซบัธ จนข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วง ข้าพเจ้าถือว่าเขาอ่อนแอใน ศรัทธา เขาสูญเสียวิญญาณแห่งศาลนาของเขาไปแล้วไม่มากก็น้อย หกวันเพียงพอแล้ว สําหรับเราที่จะทำงาน [ดู อพยพ 20:9–11] และหากเราอยากจะเล่น ก็เล่นภายในหกวัน หากเราอยากจะไปท่องเที่ยวทัศนาจร ก็ใข้วันใดวันหนึ่งในหกวัน แต่ในวันที่เจ็ด จงมายัง สถานที่แห่งการนมัสการ (DBY, 165)

แทนที่จะยอมทำงานของเราในวันแซบัธ…. เราควรทำให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไค์ หากจำเป นต้องทำอาหาร จงทำ แต่หากว่างดไค์ ก็จะดีกว่า สำหรับการรักษาวันแซบัธตามกฎของ โมเสส โดยแท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ไค์ทำ เพราะมันอยู่เหนืออำนาจของข้าพเจ้า แต่ภายใต้ พันธสัญญาใหม่ เราควรจดจำที่จะรักษาหนึ่งวันในสัปดาห์ซึ่งถือเป็นวันพักผ่อนให้คักดสิทธิ์—เป็นวันแห่งการระลึกถึงการหยุดพักของพระเจ้าและการหยุดพักของสิทธิชน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ทางโลกของเรา เพราะมันถูกกำหนดไว้เพื่อจดประสงค์เฉพาะของการสร้าง ประโยชน์แก่มนุษย์ มีเขียนไว้ในหนังสีอนี้ (ไบเบิล) ว่าทรงตงวันแชบัธไว้เพื่อมนุษย์มันเป็น พรแก่เรา ควรทำงานให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไดในวันนี้น มันควรเป็นวันที่ตั้งไว้เพื่อพักผ่อน เพื่อร่วมประชุมกันในสถานที่ๆ กำหนด ตามการเปิดเผย [ดู ค.พ. 59:10–12] เพื่อการ สารภาพบาปของเรา ถวายส่วนสิบและเงินบริจาค และเพื่อมอบตนเองต่อพระพักตร์พระเจ้า (DBY, 164)

พี่น้องชายของข้าพเจ้า จงจำไว้ว่า ผู้ที่ไปเล่นสเกต ขี่รถม้าหรือท่องเที่ยวทัศนาจรในวัน แชบัธ—และทำหลายสิ่งที่เหมือนกันนั้นกำลังอ่อนแอในศรัทธา เขาจะค่อยๆ สูญเสียสัญญาณแห่งศาสนาจากใจเขาไปทีละน้อย ทีละน้อย และไม่นานพวกเขาก็จะเริ่มจับผิดผู้นำ ของพวกเขา จับผิดคำสอนของศาสนาจักร จับผิดองค์กร และในที่สุดพวกเขาก็ออกไปจาก อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและไปสู่ความพินาศ ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านจดจำสิ่งนี้ และบอก เล่าแก่เพื่อนบ้านของท่าน (DBY, 165)

ไม่ว่าเราจะยากจนหรือมั่งมี หากเราไม่สนใจการสาดอ้อนาอน และการประชุมศีลระลึก ของเรา เราย่อมไม่สนใจพระวิญญาณของพระเจ้า และวิญญาณแห่งความมีดก็จะมาอยู่ เหนือเรา (DBY, 170)

เราจำเป็นจะต้องมาร่ามชุมนุมกันที่นี่ทุกานแซบธและในการประชุมของวอร์ด —เพื่อสอน เพื่อสนทนา สาดอ้อนาอน ร้องเพลง และชักชาน เพื่ออะไรหรือ? เพื่อทำให้เราระลึกถึงพระ ผู้เป็นเจ้า และศาสนาอ้นบริสุทธิ์ของเรา สิ่งนี้เป็นประเพณีที่จำเป็นต้องทำหรือ? แน่นอน เพราะเราลืมง่าย—และมีแนวโน้มที่จะทำผิดได้ง่าย เราจึงจำเป็นต้องมีพระกิตติคุณด้งก้อง อยู่ในหูของเราหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือสามครั้งในแต่ละสัปดาห์ มีฉะนั้นแล้วเราจะหันไป นมัสการสิ่งที่ผิดๆ ของโลกนี้ (DBY, 165)

พระเจ้าทรงปลูกฝังคุณธรรมของความเป็นพระผู้เป็นเจ้าไว้ภายในตัวเรา และวิญญาณ อมตะแห่งสวรรค์จักต้องได้รับการบำรุงเลี้ยง อาหารทางโลกเพียงพอหรือไม่สำหรับจุด ประสงค์นี้น? ไม่เลย มันเพียงแต่ทำให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ตราบที่มีวิญญาณอยู่ภายในนั้น ซึ่งเปิดโอกาสให้เราทำความดี คุณธรรมของความเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ภายในเรานี้นต้อง การอาหารจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่จากดินหรือสิ่งที่เป็นของโลก แต่จากสวรรค์หลักธรรม แห่งชีวิตนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นพระผู้เป็นเจ้า เป็นแหล่งเดียวที่บำรุงเลี้ยง ความสามารถอมตะของมนุษย์ และให้ความพึงพอใจที่แท้จริง (DBY, 165)

การมายังสถานที่ประชุมแทเบอร์นาเคิลนี้เพื่อนมัสการและทำตามพระประสงค์ของพระผู้ เป็นเจ้า ในหนึ่งวันของแต่ละสัปดาห์ โดยทำตามความพอใจ และความประสงค์ของเราเอง ในวันที่เหลือการทำตามความประสงค์ของเราตลอดเวลานั้นเป็นความโง่เขลาไร้ประโยชน์ และเป็นการล้อเลียนการรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า เราควรทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็น เจ้า และใช้เวลาของเราเพื่อทำให้จุดประสงค์ของพระองค์สัมฤทธิ์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่ ประชุมแทเบอร์นาเคิลหรืออยู่ในที่ใดก็ตาม (DBY, 166)

วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์ มีไว้เพื่อถวายรัศมีภาพ แด่พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับวันอาทิตย์ มีฉะนั้นเราจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนิน ชีวิตของเรา [ดู ค.พ. 59:11] (DBY, 166)

เราประชุมร่วมกันเพื่อให้และรับพลัง

วันนี้ [วันแชบัธ] เราจะประชุมร่วมกันเพื่อพูดคุยกัน เพื่อเพิ่มพลังและทำสิ่งดีอื่นๆ (DBY, 167)

ขณะที่เรามีสิทธิ์ไค้คุยกัน ขอเหเราพูดในสิ่งที่ปลอบโยน และให้กาลิงเจกิน เมอเราไดรบ อิทธิพลของพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ จงให้ความสว่างของท่านส่องออก ไป แต่หากท่านถูกทดลอง ถูกส่อลวงและถูกส่งไปสู่การปะทะของชาตาน จงเก็บความคิดไว้ ในใจตน—ปิดปากเงียบ เพราะการพูดอาจทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียก็ได้ (DBY, 166)

เมื่อ [บุคคล] เปิดหรือปิดการประชุมด้ายการสาดอ้อนวอน ชาย หญิงและเด็กทุกคนใน ที่ประชุมผู้ที่ยอมรับว่าเป็นสิทธิชนไม่ควรมีความปรารถนาหรือคำพูดใดในใจของเขาและจาก ปากของเขา ยกเว้นแต่สิ่งที่ผู้สาดอ้อนวอนกำลังกล่าวแทนทุกคนในที่ประชุม (DBY, 170)

หากคนใดในพากท่านรู้สึกว่าการประชุมของท่านไร้ชีวิตชีวา ตามที่ข้าพเจ้าได้ยินหลาย คนพูดอยู่บ่อยๆ มันเป็นหน้าที่ของท่านที่จะไปและค่อยๆ เติมชีวิตชีวาเข้าไปในการประชุม นั้น จงทำส่านของท่านเพื่อให้มีพระวิญญาณและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าเพิ่มทาขึ้นใน การประชุมที่ท่านเข้าร่วม (DBY, 170)

ข้าพเจ้าขอละลาบละล้างแนะนำพี่น้องชายของข้าพเจ้า ผู้ที่พูดต่อหน้าที่ประชุมว่าคำ สอนของเราควรกะทัดรัด และหากคำพูดนั้นไร้ชีวิตชีวาและจิตวิญญาณ ก็โปรดทำให้มันสั้น เข้า เพราะในการประชุมใหญ่ครั้งนี้เราไม่มีเวลาที่จะให้เอ็ลเดอร์ทุกคนพูดคำสอนที่ยืดยาว แต่เรามีเวลาให้พูดเพียงสั้นๆ ในการแบ่งปันประจักษ์พยาน พูดคำแนะนำสั้นๆ เพี่อให้กำลัง ใจสิทธิชน เพิ่มพลังผู้ที่อ่อนแอ พยายามทำให้ผู้ที่กำลังหวั่นไหวเข้มแข็ง และทำให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้ารุดหน้าต่อไป (DBY, 167)

พี่น้องชายและหญิง ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องท่านลักหนึ่งอย่าง เมื่อท่านพูด จงพูดเพี่อให้เรา ได้ยินและเข้าใจ…หากท่านไม่มีอะไรจะพูด จงทำตามคำแนะนำของข้าพเจ้า กลับไปนั่งที่ ของท่าน หากท่านมีสิ่งใดจะพูด จงพูด และเมื่อท่านพูดพอแล้ว จงหยุด ขอให้ความรู้สึก ของท่านได้รับการครอบงำและคาบคุมด้ายหลักธรรมแห่งชีวิตนิรันดร ดังที่ลูกของพระผู้เป็น เจ้าควรเป็น ท่านควรชื่นชมในความจริงและความชอบธรรม (DBY, 167)

ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าพเจ้าที่มีต่อพระบิดาพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าคือขอ ให้ข้าพเจ้ากล่าวคำที่พระองค์ทรงยอมรับ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ยินได้ฟัง (DBY, 168)

เมื่อข้าพเจ้าต้องกล่าวต่อที่ประชุม ข้าพเจ้า…ทูลขอพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ใน พระนามของพระเยซูคริสต์ ให้พระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ข้าพเจ้าและ ใส่ส่งที่พระองค์ประสงค์ให้ข้าพเจ้าพูดเข้าไปในจิตใจของข้าพเจ้า (DBY, 168)

ข้าพเจ้าต้องการความใส่ใจของที่ประชุมและศรัทธาของผู้ที่มีศรัทธา ข้าพเจ้าต้องการ ปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์อยู่ในใจข้าพเจ้า เพื่อทำให้ข้าพเจ้า สามารถพูดสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์แก่ผู้คน แม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นนักพูดต่อหน้าสาธารณชน มานานสามสิบเจ็ดปี มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่ข้าพเจ้าลุกขึ้นพูดต่อที่ประชุมโดยไม่รู้สึกเขินอาย หาก ข้าพเจ้าอายุเท่าเมธูเซลา ข้าพเจ้ารู้ว่าตนเองคงไม่เลิกเป็นอย่างนั้น มีเหตุผลสำหรับสิ่งนี้ซึ่ง ข้าพเจ้าเข้าใจ เมื่อข้าพเจ้ามองดูใบหน้าของผู้คนที่ชาญฉลาด ข้าพเจ้ามองเห็นพระฉายา ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้ารับใช้ทุกคนมีส่วนของความเป็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายในตัวเขา ถึงแม้พวกเราจะปกปิดร่างกายด้วยเสื้อผ้าแต่กระนั้นร่างกายของเราก็เป็นไปตามพระฉายา ของพระผู้เป็นเจ้า และมนุษย์ในสภาพมตะยังคงหวาดกลัวต่อส่วนนั้นของความเป็นพระผู้ เป็นเจ้าซึ่งเราได้รับจากพระบิดาเป็นมรดก นี่คือสาเหตุของความเขินอายของข้าพเจ้า (DBY, 168)

ในการพูดต่อที่ประชุม แม้ผู้พูดสามารถพูดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ และคำพูดนั้นไม่ค่อย สมบูรณ์เต็มที่นักแต่หากใจของเขาบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า คำพูดที่ไม่สมบูรณ์ เหล่านั้นก็มีค่ามากกว่าคารมที่คมคาย แต่ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้า และจะมีคุณค่า อย่างแท้จริงมากกว่าในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า เหล่าเทพ และคนดีทุกคน ในการ สวดอ้อนวอนก็เหมือนกัน แม้คำกล่าวของคนนั้นจะมีเพียงไม่กี่คำและไม่สละสลวยหากใจ ของเขาบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า คำสวดอ้อนวอนนั้นจะมีคุณค่ามากกว่าคารมของ ชิเซโร [นักแสดงสุนทรพจน์ชาวโรมัน ในศตวรรษแรกก่อนคริสตศักราช] พระเจ้าพระบิดา ของเราทุกคนทรงสนพระท้ยคำพูดใดของเรา? แบบที่ง่ายๆ ใจที่ซี่อสัตย์มีผลต่อพระเจ้ามาก กว่าคำพูดที่ชอบอวดอ้าง หยิ่งจองหอง สง่างามและคารมคมคายของมนุษย์ เมื่อเขามอง เห็นใจที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ความชื่อตรง ความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ เขาก็มองเห็นหลัก ธรรมที่จะยืนยงตลอดกาล —“นั้นคือวิญญาณแห่งอาณาจักรของข้าพเจ้าเอง —วิญญาณที่ ข้าพเจ้ามอบให้แก่ลูกๆ ของข้าพเจ้า” (DBY, 169)

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะเลียนแบบทุกสิ่งที่ดีงดงามมีเกียรติหรือควรสรรเสริญ เราควรเขียนแบบผู้พูดที่ดีที่สด และพยายามก่ายทอดแนวคิดของเราให้แก่กันในภาษาที่ดี ที่สุดและคัดเลือกมาอย่างดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากำลังประกาศความจริงที่ยิ่งใหญ่ ของพระกิตติคุณแห่งสันติแก่ผู้คน ปกติแล้วข้าพเจ้าจะใช้ภาษาที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะสามารถใช้ได้ (DBY, 169)

[อย่างไรก็ตาม] ข้าพเจ้าเชื่อ…ว่าหากข้าพเจ้ารู้ความลับลึกทั้งมวลของภาษาที่เคยมีผู้รู้คน ใดได้รับมาก่อน วิญญาณของข้าพเจ้าคงจะชื่นชมการสนทนาแบบเด็กๆ ในภาษาที่เรียบ ง่ายมากกว่าสำนวนโวหารที่ผู้มีการศึกษาสูงส่วนใหญ่ชอบใช้ รูปแบบการแสดงความคิดเห็น ที่ชัดเจน เรียบง่ายเป็นวิธีที่ทำให้ข้าพเจ้าพอใจมากที่สุด (DBY, 169)

วันอดอาหารมีไว้เพื่อช่วยเหลือคนขัดสนและทำให้ประจักษ์พยานเข้มแข็ง

ท่านรู้ว่าวันพฤหัสบดีแรกของเดือน [ปัจจุบันคือวันอาทิตย์แรก] เราถือเป็นวันอดอาหารมี ใครบ้างในที่นี่รู้ที่มาของวันอดอาหาร? ก่อนมีการจ่ายส่วนสิบ คนยากจนได้รับการคํ้าจุนจาก เงินบริจาค พวกเขามาหาโจเซฟในเคิร์ทแลนด์ และขอความช่วยเหลือ และท่านกล่าว ว่าควรจะมีวันอดอาหาร ซึ่งก็ได้ตกลงตามนั้น ให้ถือวันอดอาหารเดือนละครั้ง เช่นเดียวกับ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และให้นำทุกสิ่งที่จะรับประทานได้ในวันนั้นเป็นด้นว่า อาหารพวกแบ้ง เนื้อเนย ผลไม้ หรืออื่นๆ มาที่การประชุมอดอาหาร และนำมามอบให้กับบุคคลที่ได้รับการ เลือกโดยมีจุดประสงค์เพื่อดูแลและแจกจ่ายสิ่งของเหล่านั้นให้กับคนยากจน (DBY, 169)

ในการประชุมอดอาหารของเรา สิทธิชนประชุมเพื่อแสดงความรู้สึกของพวกเขา และเพื่อ เพิ่มพลังศรัทธาของกันและกันในพระกิตติคุณอันบริสุทธิ์ (DBY, 169)

ท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งความรู้แจ้ง วิญญาณแห่งความรู้และอิทธิพลแห่งการปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมากมาย เมื่อผู้คนยืนขึ้นแสดงประจักษ์พยาน ในเรื่อง ของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขารู้ ถึงเรื่องเหล่านั้นโดยประสบมาด้วยตนเองดอกหรือ? สิ่งนั้นไม่ ได้นำความดีงามของพระผู้เป็นเจ้าในการเปิดเผยความจริงของพระกิตติคุณมาสู่ความคิด ของท่านอย่างชัดเจนดอกหรือ? สิ่งนั้นไม่ได้เพิ่มพลังแก่ศรัทธาของท่าน เพิ่มความมั่นใจ และเป็นพยานต่อท่านว่าท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าดอกหรือ? แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็น อย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครก็ตามแสดงประจักษ์พยานถึงเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าประจักษ์ พยานดังกล่าวจะชูกำลังพี่น้องของพวกเขา เช่นเดียวกับที่เป็นมาในอดีต เมื่อพวกเขาทำตาม คำแนะนำที่บอกให้ “พูดกันบ่อยๆ” “ชูกำลังพี่น้อง” และอื่นๆ (DBY, 170)

โดยการรับส่วนศีลระลึก เราระลึกลึงพระผู้ช่วยให้รอดและ ต่อพันธสัญญาของเรากับพระบิดาบนสวรรค์

ข้าพเจ้าพูดกับพี่น้องชายและหญิงในพระนามของพระเจ้า มันเป็นหน้าที่ของเรา และเรา ได้รับการเรียกร้องจากพระบิดาบนสวรรค์ จากวิญญาณแห่งศาสนาของเรา จากพันธสัญญาที่เราทำกับพระผู้เป็นเจ้าและต่อกันและกันว่า เราจะปฏิบัติพิธีการของบ้านของพระผู้ เป็นเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับวันแชบัธ ที่จะเข้าร่วมศีลระลึกในพระกระยาหารมื้อสุด ท้ายของพระเจ้า และเข้าร่วมการประชุมต่างๆ ของวอร์ดและโควรัม (DBY, 171)

เราเข้าร่วมพิธี [ศีลระลึก] ที่นี่—เราแสดงต่อพระบิดาว่าเราระลึกถึงพระเยซูคริสต์ พี่ชาย คนโตของเรา เราเป็นพยานต่อพระองค์ว่า เราเต็มใจยอมรับพระนามของพระองค์ไว้กับเรา เมื่อเราทำสิ่งนี้ ข้าพเจ้าต้องการให้ความคิดของเราอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับที่ร่างกายของเราอยู่ ข้าพเจ้าต้องการคนที่สมบูรณ์ที่นี่เมื่อท่านมาการประชุม (DBY, 171)

ข้าพเจ้าใคร่เชิญชวนพี่น้องชายและหญิงของข้าพเจ้าให้รับพิธีการนี้ทุกวันแชบัธ เมื่อ [ท่าน] ประชุมกัน…ข้าพเจ้าขอร้อง พี่น้องชายและหญิงของข้าพเจ้า ขอให้ท่านจดจ่อต่อพิธี การนี้อย่างเต็มที่ และทูลขอพระเจ้าด้วยสุดใจของท่านเพื่อท่านจะได้รับพรที่สัญญาไว้โดย การเชื่อพังพิธีการนี้ สอนการปฏิบัติพิธีการนี้กับลูกๆ ของท่าน ทำให้พวกเขาจดจำถึงความ จำเป็นที่ต้องมีพิธีการนี้ การปฏิบัติพิธีการนี้จำเป็นต่อความรอดของเราเช่นเดียวกับพิธีการ และพระบัญญัติข้ออื่นๆ ที่ได้สถาปนาขึ้นเพื่อผู้อื่นจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อพระเยซู จะประทานพรและพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกเขา ตลอดจนนำทางและชี้แนะเพื่อให้ พวกเขามีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์ปลูกฝังความคักดิ์สิทธิ์ของพิธีการที่สำคัญนี้ไว้ในความคิด ของลูกๆ ของท่าน (DBY, 171–72)

เรา [รับส่วนศีลระลึก] ในความระลึกถึงการลิ้นพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ซึ่ง ทรงเรียกร้องให้สาวกของพระองค์ปฏิบัติจนกว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกไม่สำคัญว่าสิ่งนี้นจะ เกิดขึ้นเมื่อใด ไม่สำคัญว่าจะผ่านไปกี่ชั่วอายุ ผู้ที่เชื่อในพระองค์ต้องกินขนมปังและดื่มนํ้า องุ่น [หรือนํ้าในปัจจุบัน] ในความระลึกถึงการลิ้นพระชนม์และการทนทุกข์ทรมานของ พระองค์จนกว่าพระองค์จะเสด็จมาอีก ทำไมพวกเขาจึงต้องทำสิ่งนี้? เพื่อเป็นพยานต่อพระ บิดา ต่อพระเยซูและต่อเหล่าเทพว่า พวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระองค์ และปรารถนาที่จะทำ ตามพระองค์ในการเกิดใหม่ทางวิญญาณ (บัพติศมา) รักษาพระบัญญัติของพระองค์สร้าง อาณาจักรของพระองค์ ลักการะพระนามของพระองค์และรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจ เพื่อพวก เขาจะมีค่าควรที่จะกินและดื่มกับพระองค์ในอาณาจักรของพระบิดา นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม สิทธิชนยุคสุดท้ายจึงรับล1วนพิธีการของพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเจ้า (DBY, 172)

เราได้รับประโยชน์อะไรจากพิธีการนี้? นี่คือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อ ฟังพระบัญญัติของพระบิดาบนสวรรค์ของเรา หากเรามีความเช้าใจที่ถูกต้องถึงพิธีการของ พระนิเวศน์ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับตามสัญญาทุกประการที่กำหนดไว้จากการเชื่อฟัง พระบัญญัติของพระองค์ (DBY, 172)

นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราลามารถได้รับ การมาอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และเหล่าเทพ การมาอยู่ต่อหน้ากันและกัน เพื่อเป็นพยานว่าเราจดจำได้ว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงลิ้น พระชนม์เพื่อเรา สิ่งนี้พิสูจน์ต่อพระบิดาว่าเราจดจำพันธสัญญาของเรา เรารักพระกิตติคุณ ของพระองค์ เรารักที่จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และให้เกียรติพระนามของพระเจ้า พระเยซูบนแผ่นดินโลก (DBY, 172)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

การรักษาวันแซบัธให้ศักดิสิทธินำมาซึ่งพรทางโลกและทางวิญญาณ

  • อะไรคือข้อเรียกร้องของพระเจ้าสำหรับการรักษาวันแชบัธให้คักดิ์สิทธิ์? อะไรคือประโยชน์ ที่ได้จากการรักษาวันแซบัธให้ศักดิ์สิทธิ์? (ดู ค.พ. 59:9–16)

  • ประธานยังกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องร่วมชุมนุม.. ในการประชุม” ท่านบอกให้เราทำอะไร เมื่อเรา “ร่วมชุมนุมเพื่อนมัสการ”? อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราไขว้เขวจากความคิดที่จะเข้า ร่วมชุมนุมเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้าในวันแชบัธ?

  • ตามที่ประธานยังกล่าว อะไรจะเกิดขึ้น “ทีละน้อย” เมื่อเรา’ไม่เชื่อฟังพระบัญญัติที่ว่า จงรักษาวันแชบัธให้คักดิ์สิทธิ์? จากข้อความของประธานยัง เรามีคำถามอะไรเพื่อถาม ตนเองและตัดสินใจว่ากิจกรรมใดเหมาะสมสำหรับวันแชบัธ? (ตัวอย่าง: เป็นกิจกรรม เพื่อความผาสุกทางวิญญาณหรือไม่? กิจกรรมตังกล่าวบำรุงเลี้ยงศรัทธาของเราหรือไม่? มันช่วยให้เราเป็นพรกับผู้อื่นหรือไม่?)

  • ทำไมเราจึงควรนมัสการพระเจ้าทุกวัน ไม่เฉพาะแต่วันแชบัธ? (ดู ค.พ. 59:11) การ นมัสการในวันธรรมดาเหมือนหรือแตกต่างจากการนมัสการในวันแชบัธอย่างไร? เรา สามารถทำให้ทุกวันเป็นวันเพื่อถวาย “รัศมีภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า” อย่างไร?

เราประชุมร่วมกันเพื่อให้และรับพลัง

  • ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องประชุมร่วมกันเพื่อนมัสการในวันแชบัธ? อะไรควรเป็นจุด ประสงค์ของเราเมื่อเราทักทาย พูดคุย หรือสอนในการประชุมต่างๆ ของวันแซบัธ (ดู ค.พ. 43:8–9) ความสัมพันธ์ของท่านกับสิทธิชนยุคสุดท้ายคนอื่นๆ ช่วยท่านอย่างไร?

  • ประธานยังให้คำแนะนำอะไรกับผู้ที่ไค์รับเชิญให้พูดในการประชุมของศาสนาจักรทำไม อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสำคัญมากกว่าการใช้คารมคมคาย? ประธานยังคาด หวังอะไรจากสมาชิกในการร่วมชุมนุมกัน? เรา “ค่อยๆ ใส่วิญญาณ” เข้าไปในการประ ชุมให้เหมาะสมไค์อย่างไร? (ดู ค.พ. 50:21–24)

รันอดอาหารมีไว้เพื่อช่วยเหลือคนขัดสนและทำให้ประจักษ์พยานเข้มแข็ง

  • ตามที่ประธานยังกล่าว ทำไมจึงกำหนดให้มีวันอดอาหาร?

  • การบริจาคเงินอดอาหารอย่างเผื่อแผ่มีอิทธิพลอย่างไรต่อผู้ให้?

  • เรามีโอกาสแบ่งปันประจักษ์พยานให้กันในวันอาทิตย์อดอาหาร แบ่งปันประจักษ์พยาน หมายความว่าอะไร? ทำไมจึงสำคัญสำหรับเราที่จะแบ่งบันประจักษ์พยานและพังผู้อื่น ทำอย่างเดียวกัน? เรามีอิทธิพลต่อผู้อื่นอย่างไรเมื่อเราแสดงประจักษ์พยานในเรื่องของ พระผู้เป็นเจ้า? เราไค์รับอิทธิพลในช่วงเวลานี้อย่างไร? ประจักษ์พยานของผู้อื่นทำให้ ศรัทธาของท่านเข้มแข็งลี้นอย่างไร?

โดยการรับส่วนศีลระลึก เราระลึกลึงพระผู้ช่วยให้รอดและ ต่อพันธสัญญาของเรากับพระบิดาบนสวรรค์

  • สิ่งสำคัญที่สุดที่เราทำในการประชุมวันอาทิตย์คือการรับส่วนศีลระลึก ทำไมพระเจ้าทรง เรียกร้องให้เราเข้าร่วมพิธีศีลระลึกด้วยความระมัดระวัง? (ดู ค.พ. 27:2)

  • เราทำพันธสัญญาอะไรเมื่อเรารับส่วนศีลระลึก? (ดู คำลวดศีลระลึกใน ค.พ. 20:75–79 หรือโมโรไน 4; 5) ยอมรับพระนามของพระคริสต์ หมายความว่าอะไร? พระเจ้าทรง สัญญาอะไรต่อผู้ที่รับส่วนศีลระลึกอย่างตั้งใจจริง? เราสามารถได้รับพรที่สัญญาไว้ เหล่านี้อย่างไร?

  • การรับส่วนศีลระลึกสามารถเพิ่มพลังให้กับคำปฏิญาณที่เราทำไว้กับพระผู้ช่วยให้รอดใน ทุกวันของแต่ละสัปดาห์อย่างไร? (ดู ค.พ. 59:9–12)

ภาพ
Jesus instituting sacrament

ศีลระลึกเป็นพิธีการที่จำเป็น “เพื่อเป็นพยานต่อพระบิดา…ว่า [เรา] เป็นผู้ที่เชื่อพิงพระองค์และ ปรารถนาที่จะทำตามพระองค์…ด้วยสุดจิตสุดใจของเรา” (DBY, 171)

ภาพ
13th Ward Relief Society Presidency in 1875

ราเชล ริดจ์เวย์ แกรนห์ (คนกลางแถวหน้า) ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ พร้อมทั้งที่ปรกษา และเลขานุการของเธอ ในปี 1875