คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 15: การตั้งถิ่นฐานในภาคตะวันตก


บทที่ 15

การตั้งถิ่นฐานในภาคตะวันตก

ประธานบริคัม ยัง ประกาศว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงแก่ข้าพเจ้าว่านี่คือสถานที่ตั้งถิ่น ฐานของคนกลุ่มนี้ และนี่คือที่ที่พวกเขาจะรุ่งเรือง.…ในขณะที่สิทธิชนมารวมยันที่นี่และ เข้มแข็งพอที่จะครอบครองที่ดินส่วนนี้ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ดินฟัาอากาศดีขึ้น เรา จะสร้างเมืองและพระวิหารแด่พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดในที่แห่งนี้ เราจะขยายถิ่นฐานของเรา ไปทางตะวันออกและตะวันตก ไปทางเหนือและทางใต้ และเราจะสร้างเมืองใหญ่และ เมืองเล็กนับร้อยๆ แห่งและสิทธิชนหลายพันคนจากชาติต่างๆ ในโลกจะมารวมยัน ที่ แห่งนี้จะกลายเป็นทางหลวงสายใหญ่ของประชาชาติต่างๆ” (JSB)

คำสอนของบริคัม ยัง

ความขัดแย้งในอิลลินอยส์และการย้ายถิ่นฐานของสิทธิชนไปยังภาคตะวันตก

ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจว่าข้าพเจ้ามีบางสิ่งต้องทำจึงย้ายพวกเรามาอยู่ที่นี่ [มา ยังหุบเขาซอลท์เลค] นั่นเป็นความอารักขาของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ เป็นอำนาจของพระผู้ เป็นเจ้าที่ทรงทำให้เกิดความรอดสำหรับคนพวกนี้ข้าพเจ้าไม่มีวันคิดแผนเช่นนั้น ออกมาไต้ (DBY, 480)

ข้าพเจ้าไม่ไต้คิดวางแผนการใหญ่โตในการเปิดทางของพระเจ้าที่ไต้ส่งคนพวกนี้มายัง เทือกเขาเหล่านี้ ใจเซฟรอคอยการย้ายนี้มาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่มีนจะเกิดขึ้น แต่ท่านก็ ไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ (DBY, 480)

ในสมัยของใจเซฟเรานั่งสนทนากันครั้งละหลายชั่วโมงเกี่ยวกับประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ ใจเซฟ พูดบ่อยๆ ว่า “หากข้าพเจ้าเพียงได้อยู่ในเทือกเขาร็อคกีกับคนซื่อสัตย์รอยคนแล้ว ข้าพเจ้า คงมีความสุขและคงไม่ขอความเมตตาจากกลุ่มคนร้ายที่โจมตีข้าพเจ้าแม้แต่น้อย” (DBY, 480)

เราอาศัยอยู่ในอิลลินอยส์นับจากปี 1839 ถึง 1844 ในเวลานั่น [ศัตรูของศาสนาจักร] ประลบความสำเร็จอีกครั้งในการจุดประกายวิญญาณแห่งการข่มเหงต่อต้านใจเซฟและลิทธิ ชนยุคสุดท้าย พวกกบฎ! พวกกบฎ! พวกกบฎ! พวกเขาตะโกนก้อง เรียกพวกเราว่าฆาตกร พวกโจร พวกโป้ปดมดเท็จ พวกชายโฉดหญิงชั่ว และคนที่เลวที่ลุดในแผ่นดิน…พวกเขาพา ใจเซฟและไฮร้มไป และเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของคนทั้งสอง ผู้ว่าการธอมัส ฟอร์ดเชื่อมั่นในสัญญาของรัฐอิลลินอยส์ คนทั้งลองถูกคุมขังใน [คาร์เทจ อิลลินอยส์] โดย เสแสร้งว่าเพื่อปกบ้องพากท่าน (ใจเซฟและไฮรัม) ให้ปลอดภัย เพราะกลุ่มคนร้ายโกรธ แค้นและเหี้ยมโหดมาก ผู้ว่าการปล่อยพวกท่านให้ดกอยู่ในมือของกลุ่มคนร้าย ซึ่งบุกเข้าไป ในคุกและยิงพากท่านตาย จอห์น เทย์เลอร์ ผู้ที่อยู่กับเราในเวลานี้ก็อยู่ในคุก และถกยิง ด้าย ท่านนอนเจ็บเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากกลุ่มคนร้ายกระทำฆาตกรรมอย่างนี้แล้ว พากเขายังมาหาเรา มาเผาบ้านและพืชพันธุธัญญาหารของเรา เมื่อสมาชิกของศาลนาจักร ออกไปดับไฟ กลุ่มคนร้ายที่แอบแฝงอยู่ใต้รั้ว และความมืดของยามคาคืน ก็ระดมยิงพาก เขา (DBY, 473)

ในปี 1845 ข้าพเจ้าล่งจดหมายไปถึงผู้ว่าการทุกคนของรัฐและแคว้นต่างๆ ในสหภาพ เพื่อขอให้สิทธิชนยุคสุดท้ายลี้ภัยในพรมแดนของพากเขา เราถูกปฏิเสธคำขออนุญาต ดัง กล่าวทั้งโดยการลบประมาทเงียบๆ และการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาในทุกลถานการณ์ พากเขาเห็นพ้องกันว่าพากเราเข้ามาในเขตแคว้นหรือรัฐของพากเขาไม่ได้ (DBY, 474)

สมาชิกรัฐสภาลามคนมา [นอว] ในฤดูใบไม้ร่างปี 1845 ร่วมประชุมกับอัครสาวกสิบลอง และคนอื่นๆ พากเขาต้องการให้เราออกจากสหรัฐ เราบอกพากเขาว่าเราจะทำอย่างนั้น เรา อยู่กับพวกเขามานานมากพอแล้ว เราตกลงใจจะออกจากรัฐอิลลินอยส์เนื่องด้ายอคติทาง ศาสนาที่มีต่อเรา ซึ่งเราไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบอีกต่อไป ชายสามคนนี้พูดว่าผู้คนมีอคติต่อ เรา สตีเฟน เอ ดักลาส หนึ่งในลามคนนั้นเคยคบหากับเรามาก่อน เขากล่าวว่า “ผมรู้จัก คุณ ผมรู้จักใจเซฟ สมีธ เขาเป็นคนดี” และคนพากนี้เป็นคนดี แต่อคติของ…คนบาปเป็น อย่างนั้น เขากล่าว “ท่านสุภาพบุรุษ ท่านอยู่ที่นื่อย่างสงบไม่ได้อีกแล้ว” เราตกลงที่จะจาก ไป เราออกจากนอวูในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1846 (DBY, 473)

ข้าพเจ้าข้ามแม่นํ้ามิสซิสซิปปี พร้อมกับสมาชิกของศาสนาจักรโดยตอนนั้นไม่รู้ว่าเรา กำลังจะไปไหน แต่เชื่ออย่างมั่นคงว่าพระเจ้าทรงสงวนสถานที่ที่ดีในเทือกเขาไว้ให้พากเรา และพระองค์จะทรงนำเราไปถึงที่นั้น (DBY, 482)

ราถูกคุกคามรอบด้านจากการข่มเหงที่โหดเหี้ยมของศัตรูเก่าแก่เของเรา ครอบครัวหลาย ร้อยครอบครัว ผู้ซึ่งถูกบีบบังคับให้ออกจากบ้านของพากเขา และถูกบังคับให้สะทิ้งทุกสิ่งที่ พากเขามีอยู่ไว้เบื้องหลังกำลังระหกระเหินออกจากบ้านเกิดเมืองนอนในสภาพที่ยากจนที่ สุด (DBY, 482)

เรากำลังย้ายถิ่นฐาน เราไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน รู้แต่ว่าเป็นความตั้งใจของเราที่จะออกไปให้ พันจากศัตรู เราไม่มีบ้านนอกจากเกวียนและเต็นท์ มีเสบียงและเสื้อผ้าไม่มากนัก เราหา อาหารที่จำเป็นต่อการยังชีพในแต่ละวันโดยทิ้งครอบครัวของเราไวในที่ๆ ปลอดภัย และไป ทำงานท่ามกลางศัตรูของเรา (DBY, 478)

เราเดินทางไปตะวันตก หยุดหลายที่ สร้างถิ่นฐาน ที่ซึ่งเราทิ้งคนจนที่ไม่สามารถเดิน ทางไปกับคณะได้ไกลกว่านี้ [ไว้ชั่วคราว] (DBY, 474)

การเกณฑ์ทหารและการเดินทัพของกองทหารมอรมอน

เมื่อเราอยู่ท่ามกลางชาวอินเดียนแดง ผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าไม่ค่อยเป็นมิตรกับเรา ชายห้า ร้อยคนถูกเรียกให้ไปสู้รบที่เม็กชิโก [สงครามเม็กชิโก ปี 1846–48] (DBY, 476)

ข้าพเจ้าพร้อมกับสมาชิกศาสนาจักรในคณะสองสามคนเดินทางระหว่างหนึ่งร้อยหกลิบ ถึงสามร้อยยี่สิบกิโลเมตรตามเส้นทางหสายสาย หยุดพักตามค่ายเล็กๆ หลายแห่ง ใช้ความ พยายามของเราเพื่อหาทหารอาสาสมัคร และในวันที่กำหนดไว้สําหรับการรามพล [16 กรกฎาคม 1846 ที่เคาน์ชิล บลัฟส์ ไอโอวา] เราก็สามารถหาชายที่รัฐบาลต้องการให้ช่วย ต่อสู้ในสงครามเม็กชิโกได้ครบสามจำนวนซึ่งใช้เวลาประมาณยี่สิบวันนับจากวันที่เราได้รับ หนังลือคำร้องอย่างเป็นทางการ (DBY, 479)

ทหารกองนั้นจัดขบวนเดินทัพจากฟอร์ทลาเวนเวิร์ธผ่านชานตาเฟ ข้ามเส้นทางที่ร้อน ระอุและยากลำบากผ่านทะเลทราย และตั้งรกรากทางตอนล่างของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งนำความ ดีอกดีใจมาสู่นายทหารและชายทุกคนที่จงรักภักดี เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง นายพล [สตีเฟน ดิบเบิสยู.] เคียร์นีซึ่งอยู่ในตำแหน่ง [ที่เลียเปรียบ] และนายพัน พี. เชนต์ จอร์จ คุก [หัวหน้าคนใหม่ของกองทหาร] สั่งการอย่างฉับพลันให้กองทหารเดินทัพไปยังที่ๆ เขาและ ผู้คนของเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาพูดกับนายพลว่า “เรามีเด็กหนุ่มอยู่ที่นี่ในเวลานี้ซึ่ง พวกเขาลามารถทำให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยความราบรื่น” เด็กหนุ่มในกองทหารปฏิบัติหน้าที่ของ พวกเขาอย่างชื่อสัตย์ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกผู้ชายในคณะเล็กๆ นั้นจะลืมนึกไปว่า “พระผู้เป็นเจ้าประทานพรแก่พวกเขาตลอดกาลและตลอดไป” เราทำทุกสิ่งนี้เพื่อพีสูจน์ต่อ รัฐบาลว่าเราจงรักภักดี (DBY, 477)

กองทหารของเราไปถึงฐานปฏิบัติการ ไม่ใช่โดยทางเรือยนต์ที่มีห้องพักอย่างสบาย หรือ ไม่ใช่จากบ้านมาแค่สองสามเดือนแต่พวกเขาเดินทางด้วยเท้ากว่าลามพันลองร้อยกิโลเมตร ข้ามทะเลทรายอันเนี้งว้างว่างเปล่าและทุ่งราบแห้งแล้ง ประลบความขาดแคลนทุกอย่าง ความยากลำบาก และความทุกข์ทรมานในช่วงลองปีของการจากบ้านก่อนที่จะลามารถ กลับไปหาครอบครัวของพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับการปลดปล่อยอีกครั้งจากการเข้า ลอดแทรกของพระผู้ทรงปรีชาญาณทุกอย่างผู้ทรงหยั่งรู้นับแต่การเริ่มด้น (DBY, 479)

ภายใต้ สภาพการณที่สุดจะทน เราถูกเรียกร้องให้ออกไปจากค่ายเดินทางของเราพร้อม กับชายที่มีสมรรถภาพสูงสุดห้าร้อยคน ละทิ้งคนแก่ เด็ก และผู้หญิงไว้ให้อยู่ในความดูแล และเกื้อหนุนของคนที่เหลืออยู่ในค่าย (DBY, 478)

พวกเราที่ยังอยู่เบื้องหลังทำงานหนักและเพาะปลูกทุกสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เลี้ยงตัวเองใน แดนทุรกันดาร เราต้องว่าจ้างครูลอนหนังลือของเราเอง หาอาหารเลี้ยงปากท้อง และหา เครื่องนุ่งห่มของเราเอง หรือไม่ก็ไม่มีเลย ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว (DBY, 476)

“ค่ายคนจน” ได้รับการปกป้องโดยพระเมตตาของพระเจ้า

ยังมีคนยากจน คนป่วย และคนสูงอายุเหลืออยู่เบื้องหลังบ้าง พวกเขาได้รับทุกข์ทรมาน อีกครั้งจากการใช้กำลังของกลุ่มคนร้าย ถูกเฆี่ยน ถูกตี และถูกเผาบ้านเรือน (DBY, 473–74).

[เหล่า] สมาชิกของศาสนาจักรที่ชักช้าอยู่ตามทาง [ริมตลิ่งเหนือมอนโทรล ไอโอวา] กำลังล่าบากเพราะความยากจนค่นแค้น ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขา เกือบอดตายแต่พระเจ้าทรงล่งนกคุ่มลงมาให้พวกเขา นกคุ่มเหล่านั้นบินเข้าชนเกวียนของ พวกเขาจนตายหรืออาจลลบไป และเหล่าพี่น้องชายหญิงก็เก็บพวกมันมาทำเป็นอาหารได้ หลายวัน จนกระทั่งพวกเขาอยู่รอดได้ในแดนทุรกันดาร [บริคัม ยัง ล่งหน่วยกู้ภัยมาพาสิทธิ ชนเหล่านี้ ไปรวมกลุ่มกับญาติและเพื่อนๆ ในค่ายที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว] (DBY, 474)

คณะผู้บุกเบิกของบริคัม ยัง แห่งปี 1847 เปีดทางสู่ทุบเขาซอลท์เลค

บางครั้งเราเดินตามรอยเท้าของชาวอินเดียนแดง บางครั้งเดินตามการชี้นำของเข็มทิศ เมื่อออกจากแม่นามิสซูรี เราเดินไปตาม [แม่นํ้า] แพลท และบางแห่งเราฆ่างูหางกระดิ่งเป็น จำนวนมาก เราทำถนนและสร้างละพานจนปวดหลัง หากที่ใดสร้างสะพานข้ามแม่นํ้า ไม่ได้ เราก็จะลำเลียงคนของเราข้ามฟาก (DBY, 480)

เมื่อเราพบกับคุณปริดเจอร์ (จิม ปริดเจอร์ พ่อค้าและนักล่าขนสัตว์ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1804–1881) ที่แม่นํ้าบิก แซนดี้ [28 มิถุนายน 1847] เขาพูดว่า “คุณยัง ผมจะให้คุณพัน เหรียญ หากผมรู้ว่ามีรวงข้าวโพดลุก เในเทือกเขาเหล่านี้] ข้าพเจ้าพูดว่า “รอลีบแปดเดือน แล้วผมจะแสดงให้คุณเห็นความมากมายของมัน” ข้าพเจ้าพูดจากความรู้ของข้าพเจ้าหรือ? เปล่าเลย นั่นคือศรัทธาของข้าพเจ้า เราไม่เคยท้อแท้เลยแม้แต่น้อย—เนืองจากเหตุผลทาง ธรรมชาติและทุกสิ่งที่เราเรียนรู้จากประเทศนี้—ถึงความไร้ผลของมัน ความหนาวเย็นของ มันเกินกว่าจะเชื่อว่าเราลามารถเพาะปลูกอะไรก็ได้…แต่เรามีศรัทธาว่าเราจะปลูกข้าวลาลี ได้ มีอะไรเลียหายหรือไม่? ไม่มีเลยหากเราไม่เคยมีศรัทธา อะไรจะเกิดชี้นกับเรา? เราก็จะ ถูกกลืนลงไปในความไม่เชื่อ ปิดกั้นแหล่งยังชีพทุกแหล่งของเรา และไม่มีวันทำอะไรได้เลย (DBY, 481)

[วันที่ 30 มิถุนายน 1847] เมื่อคณะผู้บุกเบิกมาถึงแม่นํ้ากรีน [ประมาณหนึ่งร้อยยี่ลีบลี่ กิโลเมตรทางตะวันออกของหุบเขาเกรทซอลท์ เลศ] เราพบชามูเอล แบรนนันกับอีกลอง ลามคนจาก [ชานฟรานชิสโก] แคลิฟอร์เนีย และพวกเขาต้องการให้เราไปที่นั่น ข้าพเจ้าพูด ว่า ‘ให้เราไปแคลีฟอร์เนีย เราก็อยู่ที่นั่นได้ไม่เกินห้าปี แต่หากยอมให้เราอยู่ในเทือกเขานี้ เราจะปลูกมันฝรั่งไว้รับประทาน และข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่” เรายังจะอยู่ในเทือกเขาร็อคกี อันเป็นสถานที่แห่งพลัง เหมือนอยู่บนหลังสัตว์ที่เอ็นและกระดูกลันหลังของมันแข็งแรง เรา ตั้งใจจะอยู่ที่นึ่และนรกจะทำอันตรายพวกเราไม่ได้ (DBY, 475)

ตัวข้าพเจ้าพร้อมกับคนอื่นๆ ออกมาจากที่ๆ เราเรียกว่า อีมิเกรชั่น แคนยอน เราข้าม เทือกเขาใหญ่น้อยหลายลูก และลงมาทางใต้ของหุบเขาประมาณหนึ่งพันลองร้อยเมตร [ออร์สัน แพรทท์ และอีรัสตัส สโนว์ เข้าไปในหุบเขาเกรทซอลท์ เลศ วันที่ 21 กรกฎาคม 1847 คณะใหญ่ที่ล่วงหน้ามาก่อนมาถึงวันที่ 22 กรกฎาคม คณะหลังพร้อมกับบ่ริค้ม ยัง ผู้ ซึ่งได้รับทุกข์ทรมานจากผลกระทบของไข้ป่าเข้ามาถึงหุบเขาในวันที่ 24 กรกฎาคม] เราหยุด อยู่ตรงนั้นก่อนและสำรวจไปรอบๆ จนในที่ลุดเราพบและตั้งค่ายระหว่างทางแยกลองลาย ของชิตื้ ครีคสายหนึ่งตัดไปทางตะวันตกเฉียงใต้ อีกสายหนึ่งตัดไปทางตะวันตก ที่นึ่เราปัก ธงของเราบนตำแหน่งที่จะสร้างพระวิหารและบนพื้นที่เหนือขึ้นไปอีก เราตั้งค่ายและตัดสิน ใจว่าจะตั้งถิ่นฐานและหยุดอยู่ที่นึ่ (DBY, 474)

โดยทางศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าทำให้สิทธิชนเอาชนะ ความยากลำบากชองพวกเขาในภาคตะวันตก

เรามาถึงที่นึ่ ที่ซึ่งเราพบชาวอินเดียนแดง…สองสามคน สุนัขป่าและกระต่ายสองสามตัว และจิ้งหรีดจำนวนหนึ่ง แต่ทว่า เราไม่พบต้นไม้สีเขียวหรือไม้ผล หรือทุ่งหญ้าเขียวขจีใดๆ เลย ยกเว้นพืชพวกผ้ายและหวายบ้างบนขอบหน้าผาชิตี้ ครีค เราขนสัมภาระจำเป็นทุกอย่าง ที่เรามีเมื่อมาถึงที่นี่เป็นระยะทางราวหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบถึงลองพันแปดสิบกิโลเมตร เมื่อ ออกจากบ้านของเรา เราเก็บข้าวของที่กลุ่มคนร้ายไม่ได้หยิบฉวยของเราไปวัวและลูกวัว สตรีบางคนขับเคลื่อนสัตว์เทียมเกวียนของตนมาที่นี่ เมื่อเริ่มเดินทางจากแม่นํ้ามิสชูรี พวก เขาเหลือเสบียงอาหารที่ใช้ทำขนมปงไม่ถึงครึ่งของที่มีอยู่ก่อนประมาณหนึ่งร้อยหกสิบหก กิโลกรัม เราต้องน่ามาหมดไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุข้าว เครื่องมือเกษตรกรรม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะตู้เก็บถ้วยชาม โซฟา เปียโน กระจกบานใหญ่ เก้าอี้ พรม พลั่วหรือคีมอย่างดี และ เครื่องเรือนที่สวยหรู พร้อมกับชุดรับแขกทั้งหมด เตาหุงต้มและอื่นๆ…ต้องน่าสิ่งของเหล่านี้ ซึ่งถูกห่อไว้อย่างไม่เป็นระเบียบไปกองรวมกับพวกผู้หญิง เด็ก และม้าที่สุขภาพอ่อนแอ… สัตว์ที่ผิกลพิการ นี่เป็นวิธีการขนส่งวิธีเดียวของเรา และหากเราไม่ขนสัมภาระด้วยวิธีนี้ เรา ก็คงไม่มีของพวกนี้ เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเลย (DBY, 480)

สิทธิชนยากจนเมื่อพวกเขามาถึงหุบเขาแห่งนี้ (DBY, 475)

พวกเขาเก็บหนังกวาง หนังละมั่ง หนังแกะ และหนังควาย น่ามาทำเป็นกางเกงขายาว และรองเท้า คลุมทับด้วยเสื้อคลุมหนังควาย บางคนมีผ้าห่มแต่บางคนไม่มี บางคนมีเสื้อ และข้าพเจ้าเดาเอาว่าบางคนไม่มี ชายคนหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่าเขาไม่มีเสื้อแม้แต่ตัวเดียว ลำหรับตัวเองหรือครอบครัว (DBY, 475–76)

ข้าพเจ้ากล้าพูดได้ว่าทั้งสี่คนในครอบครัวของข้าพเจ้าไม่มีใครมีรองเท้าเลยสักคนเมื่อเรา มาถึงหุบเขานี้ (DBY, 476)

เรามีศรัทธา เราดำรงชีวิตด้วยศรัทธา เรามาถึงเทือกเขาเหล่านี้ด้วยศรัทธา เรามาที่นี่ใน สภาพค่อนข้างป่าเถื่อน ร่างกายที่แทบจะไม่มีอะไรปกปิด และเท้าที่เปลือยเปล่า แต่ข้าพเจ้า ก็พูดกับบางคนบ่อยๆ ว่า นี่คือความจริง (DBY, 481)

เราลวดอ้อนวอนให้กับผืนดิน อุทิศผืนดิน ผืนํ้า อากาศ และสรรพสิ่งที่เป็นของมันไว้ กับพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าประทานพรแก่ผืนดิน จนมันเริ่มผลิดอกออกผลและทุกวันนี้ มันให้เมล็ดข้าว ผลไม้ และพืชผักที่ดีที่สุดแก่เรา (DBY, 483)

ก่อนที่ลิทธิชนยุคสุดท้ายจะมาถึงที่นี่ เท่าที่เรารู้ไม่มีใครลักคนซึ่งอยู่ในเทือกเขารวมทั้งผู้ ที่เดินทางมาที่นี่เชื่อว่ารวงข้าวโพดจะลุกไดในเทือกเขาเหล่านี้ เรารู้ว่าข้าวโพด ข้าวลาลีออก ผลอย่างอุดมสมบูรณ์ที่นี่ และเรารู้ว่าเรามีอาณาบริเวณที่อุดมลมบูรณ์เหมาะแก่การเลี้ยงวัว ม้า และสัตว์ทุกประเภทที่เราต้องการ (DBY, 485)

นับแต่สมัยของอาต้มมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยมีผืนดินใดได้รับพรมากกว่าผืนดินแห่งนี้ ที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราประทานพรให้ มันจะยังได้รับพรมากขึ้นเรื่อยๆ หากเราชื่อสัตย์ และถ่อมใจ หากเราขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ด ผลไม้ ผัก วัวควาย และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้เรา และพยายามใช้มันเพื่อเสริมสร้างอาณาจักร ของพระองค์บนแผ่นดินโลก (DBY, 483)

เราเป็นผู้บุกเบิกส่วนนี้ของประเทศ (DBY, 474)

เราพิมพ์เอกลารชุดแรก ไม่รวมที่เวียนกลับมาพิมพ์ชุดที่ลอง ทำสวนผลไม้แห่งแรก ปลูก ข้าวสาลีรุ่นแรก เปิดโรงเรียนแห่งแรก และทำการปรับปรุงแก้ไขครั้งแรกในการบุกเบิกของ เรา จากแม่นํ้ามิสซิสซิปปีจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก และเรามาถึงที่นี่ในที่สุด หากเป็นได้ก็ขอ เพียงแต่ให้ออกไปพ้นทางของทุกคน เราคิดว่าเราจะได้ตามที่เราควรจะได้โดยไม่หวั่นเกรง มนุษย์ เราต้องการได้แผ่นดินแปลกเช่นเดียวกับเอบราแฮม ที่ซึ่งเราโม่ควรจะขัดแย้งกับใคร อีกเลย (DBY, 476)

เราปรารถนาให้คนแปลกหน้าเข้าใจว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพราะเราเลือกที่จะมา แต่เรามา เพราะเราจำเป็นต้องไปที่ไหนสักแห่ง และนี่คือที่ๆ ดีที่สุดที่เราพบ ไม่มีทางที่ใครจะอยู่ที่นี่ ได้ หากเขาไม่ทำงานหนัก ต้องปะทะและต่อสู้กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่มันก็เป็น สถานที่ชี่งจัดอยู่ในอันดับหนึ่งที่เลี้ยงดูลิทธิชนยุคสุดท้ายเราจะได้รับพรจากการอาศัยอยู่ที่นี่ และทำให้มันเป็นเหมือนสวนอีเดนพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจะสร้างที่คุ้มภัยแก่สิทธิซนของ พระองค์ และจะทรงปกฟ้องคุ้มครองพวกเขาหากพวกเขาจะทำตามพระประสงค์ของ พระองค์ความกลัวเพียงอย่างเดียวที่ข้าพเจ้ามีคือเกรงว่าเราจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หากเราทำ [ถูกต้อง] เราจะเป็นเหมือนเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา ความสว่างของเราจะไม่ถูกบดบัง (DBY, 474)

เป็นเวลาเพียงเจ็ดปีนับแต่เราออกจากนอวู และเดี๋ยวนี้เราพร้อมที่จะสร้างพระวิหารอีก หลังหนึ่งข้าพเจ้าหวนคิดถึงความยากลำบากของเราด้วยความพึงพอใจ คนเป็นร้อยเป็นพัน ที่อยู่ที่นี่ยังไม่เคยได้รับลิทธิผิเศษที่พวกเราบางคนได้รับมาแล้ว ท่านถามหรือว่า ลิทธิผิเศษ อะไร? อ๋อ ก็ลิทธิพิเศษของการวิ่งฝ่าแถวของฝูงชนที่โจมตีเรา ผ่านเข้ามาในที่แคบและอันตราย พวกเขายังไม่ได้รับสิทธิพิเศษของการถูกปล้นและถูกขโมยทรัพย์สิน สิทธิพิเศษของ การอยู่ท่ามกลางคนร้ายและความตาย ดังที่พวกเราหลายต่อหลายคนได้รับ (DBY, 482)

ท่านถามว่าเราจะอยู่ในเทือกเขาเหล่านี้หรือ ข้าพเจ้าตอบว่าแน่นอน ตราบที่เราพอใจจะ ทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ของเรา หากเราพอใจที่จะหันไป จากพระบ้ญญ้ติอันศักดิ์สิทธิ้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ดังเช่นคนอิสราเอลโบราณทำ ทุกคน หันไปตามทางของตน เราจะถูกตีแตกกระจายและถูกปล้น ถูกขับไปต่อหน้าศัตรูของเรา และถูกข่มเหง จนกว่าเราเรียนรู้ที่จะจดจำพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเราและเต็มใจเดินตาม พระมรรคาของพระองค์ (DBY, 483)

คนจำนวนมากอาจถามว่า “เราจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?” เราจะอยู่ที่นี่ตราบเท่าที่เราพึง จะอยู่ “เราจะถูกขับไล่หรือไม่ เมื่อใดเราจะไป?” หากเราจะดำเนินชีวิตตามที่เราพึงพอใจ และไม่ขับตัวเราออกจากบ้าน เราก็จะไม่มีวันถูกขับออกจากบ้านของเรา แสวงหาปัญญาที่ ตีที่สุดเท่าที่ท่านจะหามาได้ เรียนรู้วิธีน่าแรงงานของท่านมาใช้ สร้างบ้านที่ดี ทำไร่ให้ได้ผล ตี ปลูกแอปเปิ้ล ลูกแพร และไม้ผลอื่นๆ ที่มันจะงอกงามที่นี่ รวมทั้งผลไม้ป่าและพุ่ม ราสเบอรี่ ปลูกกล้าสตรอเบอรี่ สร้างและตบแต่งเมืองให้สวยงาม (DBY, 483–84)

ทำเครื่องหมายถิ่นฐานของเราระยะเก้าร้อยหกสิบกิโลเมตรในเทือกเขานี้ และจากนั้น ทำเครื่องหมายเส้นทางที่เราทำไว้เมื่อมาที่นี่ สร้างละพานและถนนข้ามทุ่งหญ้า ภูเขาและ หุบเขา! เรามาที่นี่ในเกวียนเก่าๆ โดยไม่มีเงินติดตัวเลย เพื่อนๆ ของเรา… บอกให้เรา “น่า สัมภาระทุกอย่างเท่าที่จะน่าไปได้ เพราะคุณจะหาอีกไม่ได้! น่าเมล็ดพันธุข้าวทั้งหมดไป เพราะคุณจะหาไม่ได้เลยที่นั้น!” เราทำตามและนอกเหนือจากทั้งหมดนี้เราได้รวมคนจน ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และพระเจ้าทรงวางเอาไว้ในหุบเขานี้ ทรงสัญญาว่าพระองค์จะช่อนเรา ไว้ชั่วระยะหนึ่งจนกว่าพระพิโรธและความเคืองแค้นของพระองค์จะผ่านพ้นประชาชาติต่างๆ เราจะวางใจในพระเจ้าหรือ? แน่นอน (DBY, 475)

ด้วยความชื่นชมจากสวรรค์ เราสามารถเอาชนะความยากลำบากทุกอย่างนี้ได้ และสามารถมาร่วมชุมนุมกันในวันนี้ในห้องเล็กๆ ณ เทือกเขาเหล่านี้ในที่ที่ไม่มีใครทำให้เรากลัว ได้ ที่ชึ่งอยู่ห่างไกลจากคนที่ข่มเหงเรา ห่างไกลจากความวุ่นวายและความยุ่งเหยิงของโลก ที่สิทธิชนเคยพบมา (DBY, 482)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

ความขัดแย้งในอิลลินอยส์และการย้ายถิ่นฐานของสิทธิชนไปยังภาคตะวันตก

  • ประธานยังมอบความไว้วางใจแก่ใครลำหรับแผนที่จะย้ายสิทธิชนไปยังเทือกเขาร็อคกี และหุบเขาซอลท์ เลค?

  • สภาพการณ์ได้ก่อให้เกิดการอพยพสิทธิชนออกจากอิลลินอยส์? ประธานยังรู้ได้อย่างไร ว่าจะนำสิทธิชนไปที่ไหน?

การเกณฑ์ทหารและการเดินทัพของกองทหารมอรมอน

  • ทำไมพวกผู้นำของศาสนาจักรจึงปลุกระดมอาสาสมัคร 500 คนให้เข้าร่วมในกองทหาร มอรมอน และทิ้งครอบครัวของพวกเขาในยามวิกฤตเช่นนั้นเมื่อต้องมุ่งหน้าไปทางตะวัน ตก?

  • กองทหารมอรมอนไม่เคยได้สู้รบในสงครามเพราะการสู้รบเสร็จสิ้นก่อนที่พวกเขาจะไปถึง จุดหมายปลายทาง สิทธิชนได้รับความทุกข์อะไรจากการเรียกเข้ากองทหารของรัฐบาล? ท่านคิดว่าทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาที่ต้องเสียสละ? ผลดีที่เกิดจากประสบการณ์นี้คืออะไร?

“ค่ายคนจน” ได้รับการปกป้องโดยพระเมตตาของพระเจ้า

  • ครั้งหนึ่งพระเจ้าทรงบรรเทาความหิวของสิทธิชนอย่างไร? พระเจ้าช่วยท่านอย่างไรใน ยามที่ท่านต้องการ?

คณะผู้บุกเบิกของบริคับ ยัง แห่งปี 1847 เปิดทางสู่ทุบเขาซอลท์ เลค

  • คำสอนและพันธสัญญาภาค 136 พูดถึง “พระคำและพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับ ค่ายอิสราเอลในการเดินทางของพวกเขาไปภาคตะวันตก” (ข้อ ๅ) การเปิดเผยนี้ประทาน แก่ประธานยังที่วินเทอร์ดวอเทอร์ ในวันที่ 14 มกราคม ปี 1847 นอกเหนือจากการวาง ระเบียบ ดังที่อธิบายไว้ในภาคนี้ มีคำแนะนำอะไรอีกที่ประทานแก่สิทธิชนที่กำลังเดิน ทางไปตะวันตก?

  • จิม บีรดเจอร์แสดงความห่วงใยอะไรต่อประธานยัง? อะไรคือพื้นฐานของคำตอบอันเข้ม แข็งที่ประธานยังตอบคุณบริดเจอร์? ท่านประสบความสำเร็จเบื้องด้นจากการใช้ศรัทธา อย่างไร?

  • ทำไมประธานยังเลือกที่จะอยู่ในเทือกเขาร็อดกีแทนที่จะไปแคสิฟอร์เนีย?

โดยทางศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าทำให้สิทธิชนเอาชนะ ความยากลำบากชองพวกเขาในภาคตะวันตก

  • สิทธิชนแก้ปัญหาความยากจนของพวกเขาโดยวิธีใด?

  • ประธานยังกล่าวว่า “นับแต่สมัยของอาดัมจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยมีผืนดินใดได้รับพร มากกว่าผืนดินแห่งนี้ที่พระบิดาบนสวรรค์ประทานพรให้” สิทธิชนถูกเรียกร้องอะไรไม่ว่า พวกเขาจะอยู่ที่ใด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพรเหล่านั้นยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง? ดำรงชีวิตด้าย ศรัทธา หมายความว่าอะไร? เราสามารถทำอะไรเพื่อเราจะดำรงชีวิตด้ายศรัทธาในพระ เยซูดริสต์ใด้อย1’างสมบูรณ์ยิ่งขี้น?

  • สิทธิชนได้รับความสำเร็จอะไรในฐานะผู้บุกเบิกแห่งเทือกเขาร็อคที? ท่านสามารถทำอะไร เพื่อสร้างศาสนาจักรในที่ที่ท่านอยู่?

  • ประธานยังกล่าวข้อความที่ไม่ธรรมดาว่า “คนเป็นร้อยเป็นพันที่อยู่ที่นื่ยังไม1เคยได้รับ สิทธิพิเศษดังที่พากเราบางคนได้รับมาแล้ว…พากเขายังไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษของการ ถูกปล้น และถูกขโมยทรัพย์สิน สิทธิพิเศษของการอยู่ท่ามกลางคนร้ายและความตายดัง ที่พากเราหลายต่อหลายคนได้รับ” ท่านคิดว่าประธานยังหมายถึงอะไร? ทำไมหุบเขา ซอลท์ เลศ จึงเป็น “สถานที่ชั้นหนึ่งที่เลี้ยงดูสิทธิชนยุคสุดท้าย”? ความยากสำบากเป็น พรแก่ชีวิตของท่านอย่างไร? เราสามารถท่าอะไรเพื่อเปลี่ยนการทดลองที่ท้าทายที่ลุดให้ เป็นโอกาสของการเจรีญเติบโต?

ภาพ
pioneers and seagulls

ในปี 1848 ภัยพิบ้ติจากจิ้งหรีดทำลายพืชผลของสิทธิชน เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนอย่างกระตือรือร้น พระเจ้าทรงส่งนกนางนวลมาปราบจิ้งหรีด ตามที่บรรยายในกาพนี้

ภาพ
pioneers entering Salt Lake Valley

ตามที่บรรยายโดยจิตรกร ในปี 1847 ประธานยังนำสิทธิชนไปยังตะวันตกสู่ ‘‘ที่ที่ดีที่สุดที่เราพบไม’มีทางที่ใคร จะอยู่ที่นึ่ได้หากเขาไม่ทำงานหนัก…แต่มันก็เป็นสถานที่ชั้นหนึ่งที่เลี้ยงดูสิทธิชนยุคสุดท้าย” (DBY, 474)