บทที่ 12
พระคัมภีร์เพิ่มเติมในสมัยของเรา
คำนำ
พระเจ้ายังคงแนะนำสั่งสอนเราโดยทรงเปิดเผยพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์ต่อผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระผู้เป็นเจ้ายังคงตรัสกับศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบัน สารบบพระคัมภีร์จึงดำเนินต่อไป พระคัมภีร์เพิ่มเติมที่ออกมาในสมัยของเรา—อาทิ งานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธ และหนังสือของอับราฮัม—ยืนยัน อรรถาธิบาย และขยายความเข้าใจของเราในพระกิตติคุณ
ความรู้พื้นฐานที่ควรอ่าน
-
เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “คำของเรา … ไม่เคยหยุด,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 110-113
-
“Translation and Historicity of the Book of Abraham,” Gospel Topics, lds.org/topics.
-
เอลิซาเบธ มาคี, “Joseph Smith’s Bible Translation: D&C 45, 76, 77, 86, 91,” Revelations in Context series, Mar. 20, 2013, history.lds.org.
ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน
พระคัมภีร์ยุคสุดท้าย
เชื้อเชิญนักเรียนให้สมมติว่าเพื่อนคนหนึ่งถามอย่างจริงใจว่า “ทำไมชาวมอรมอนมีพระคัมภีร์มากกว่าพระคัมภีร์ไบเบิล ฉันคิดว่าพระคัมภีร์ไบเบิลมีพระวจนะครบถ้วนของพระผู้เป็นเจ้า” ขอให้นักเรียนยกมือถ้าเคยมีคนถามคำถามพวกเขาทำนองนี้ เชิญนักเรียนสองสามคนแบ่งปันว่าพวกเขาตอบคำถามอย่างนี้อย่างไรและพวกเขารู้สึกอย่างไรขณะเป็นพยานต่อคนอื่นๆ เกี่ยวกับพระคัมภีร์
เขียนคำว่า สารบบ ไว้บนกระดาน ให้ดูคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์และเอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง เชิญนักเรียนสองคนผลัดกันอ่านออกเสียง ขอให้นักเรียนฟังความหมายของคำว่า สารบบ ในบริบทของคำกล่าวเหล่านี้
“ส่วนใหญ่เพราะความรักแท้ที่มีต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ชาวคริสต์บางคนจึงประกาศว่าจะมีพระคัมภีร์นอกเหนือจากพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เพื่อนต่างศาสนาบางคนของเราจึงประกาศว่าสารบบของการเปิดเผยยุติแล้วและปิดประตูไม่ยอมรับพระดำรัสที่เราในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเห็นคุณค่า นั่นคือ พระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา พระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า และการนำทางต่อเนื่องที่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกผู้รับการเจิมของพระผู้เป็นเจ้าได้รับ” (เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “คำของเรา … ไม่เคยหยุด,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 110)
“ชาวคริสต์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยุติสารบบพระคัมภีร์—งานเขียนศักดิ์สิทธิ์ที่ถือว่าเป็นพระคัมภีร์—ไม่นานหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์และยังไม่มีการเปิดเผยใดเทียบเทียมได้นับแต่นั้น โจเซฟ สมิธสอนและแสดงให้เห็นว่าสารบบพระคัมภีร์ยังดำเนินต่อไป [ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 209] …
“… โจเซฟ สมิธสอนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำทางบุตรธิดาของพระองค์โดยประทานงานเขียนใหม่ๆ เพิ่มเติมในสารบบพระคัมภีร์ พระคัมภีร์มอรมอนถือเป็นงานเขียนเพิ่มเติมดังกล่าว เช่นเดียวกับการเปิดเผยในหลักคำสอนและพันธสัญญาและไข่มุกอันล้ำค่า” (ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “รากฐานแห่งศรัทธาของเรา,”เลียโฮนา, ม.ค. 2011, 33)
-
วลี “สารบบพระคัมภีร์” หมายถึงอะไร (คือ “งานรวบรวมหนังสือศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย หนังสือที่มีการยอมรับว่าเป็นพระคัมภีร์เรียกว่างานมาตรฐาน” [คู่มือพระคัมภีร์, “หนังสือที่มีการยอมรับว่าเป็นพระคัมภีร์,”scriptures.lds.org])
-
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายเชื่อในสารบบที่ยังดำเนินต่อไปหมายความว่าอย่างไร (ถึงแม้พวกเขาจะใช้คำพูดต่างกัน แต่นักเรียนพึงเข้าใจความจริงต่อไปนี้ พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลเพียงเล่มเดียว [ดู หลักแห่งความเชื่อ 1:9])
-
การเชื่อว่าพระเจ้ายังคงเปิดเผยพระคัมภีร์ต่อศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายส่งผลให้เกิดความแตกต่างอะไรบ้าง
หลักคำสอนและพันธสัญญา 42:56; 45:60–62; 76:15–19; 93:53; 94:10
งานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธ
เขียนความจริงต่อไปนี้ไว้บน กระดาน
เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หัวบทของหลักคำสอนและพันธสัญญา 35 ขอให้นักเรียนที่เหลือดูตามและมองหาสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันทำอยู่เมื่อพวกท่านได้รับการเปิดเผยที่อยู่ในภาคนี้
-
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันมีส่วนในงานอะไรเมื่อพวกท่านได้รับการเปิดเผยนี้
เพื่อช่วยอธิบายว่างานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟคืออะไร ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงสองย่อหน้าต่อไปนี้
ราวฤดูร้อน ปี 1830 พระเจ้าทรงบัญชาโจเซฟ สมิธให้แปลพระคัมภีร์ไบเบิล โจเซฟไม่ได้แปลพระคัมภีร์ไบเบิลจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง ทั้งไม่ได้ทำงานจากต้นฉบับเดิมของพระคัมภีร์ไบเบิล แต่โจเซฟอ่านและศึกษาข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์แล้วแก้ไขเพิ่มเติมตามการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้งานแปลดังกล่าวจึงเป็นการแก้ไขด้วยการดลใจมากกว่าการแปลตามแบบแผน
งานแปลของโจเซฟ สมิธมีผลต่อพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์มากกว่า 3,000 ข้อ ความแตกต่างเหล่านี้รวมถึงส่วนที่เพิ่มเข้ามา (เพื่ออรรถาธิบายความหมายหรือบริบทหรือฟื้นฟูงานเขียนของศาสดาพยากรณ์ อาทิ หนังสือของโมเสส) ส่วนที่ลบออก ข้อที่จัดเรียงใหม่ และการจัดองค์ประกอบใหม่บางบท ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานแปลของโจเซฟ สมิธได้จาก Bible Dictionary หรือ คู่มือพระคัมภีร์, “งานแปลของโจเซฟ สมิธ (ปจส.)”
ลอกแผนภูมิต่อไปนี้ไว้บน กระดาน
หลักคำสอนและพันธสัญญา 45:60-62 หลักคำสอนและพันธสัญญา 42:56, เชิงอรรถ ก |
หัวบทสำหรับ หลักคำสอนและพันธสัญญา 35; 76; 77; 86; 91 หลักคำสอนและพันธสัญญา 94:10, เชิงอรรถ ข |
แบ่งชั้นเรียนออกเป็นสองกลุ่ม เชื้อเชิญให้นักเรียนศึกษาเนื้อหากลุ่มละหนึ่งคอลัมน์โดยมองหาข้อมูลเกี่ยวกับงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธ หลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว เชื้อเชิญให้นักเรียนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ จากนั้นให้ถามคำถามต่อไปนี้
-
ท่านคิดว่างานแปลมีผลอะไรต่อการศึกษาทางวิญญาณของโจเซฟ สมิธและต่อการฟื้นฟูความจริงของพระกิตติคุณ
เพื่อช่วยให้นักเรียนชื่นชมผลงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธที่มีต่อศาสนจักร ให้นักเรียนเปิดไปที่ “ลำดับเหตุการณ์ในเล่ม” (อยู่ต้นเล่มพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา) อธิบายว่าท่านศาสดาพยากรณ์ทำงานแปลระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1830 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1833 จากนั้นให้ถามว่า
-
ท่านศาสดาพยากรณ์ได้รับพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญากี่ภาคระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1830 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1833 (ท่านศาสดาพยากรณ์ได้รับการเปิดเผย 74 เรื่องที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาในช่วงเวลานี้)
-
การเปิดเผยส่วนใหญ่ที่ได้รับในช่วงเวลานี้บอกอะไรเกี่ยวกับบทบาทที่งานแปลของโจเซฟ สมิธมีต่อการฟื้นฟู
-
ขณะดูภาคต่างๆ ของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาที่ได้รับในช่วงเวลานี้ หลักคำสอนสำคัญๆ อะไรบ้างที่ได้รับในช่วงเวลานี้ (ตัวอย่างของหลักคำสอนสำคัญๆ ที่เปิดเผยในช่วงเวลานี้พบได้ใน ภาค 29, 42, 45, 76, 88และ 93)
ท่านอาจชี้ให้เห็นด้วยว่าหนังสือของโมเสสและโจเซฟ สมิธ—มัทธิว ซึ่งล้วนอยู่ในพระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธและได้รับในช่วงเวลานี้ หนังสือของโมเสสเป็นงานแปลปฐมกาลแปดบทแรกของโจเซฟ สมิธ โจเซฟ สมิธรู้ว่ามีมากมายหายไปจากพระคัมภีร์ขณะที่ท่านแปลข้อเกี่ยวกับเอโนค พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์มี 109 คำเกี่ยวกับเอโนค และหนังสือของโมเสสมี 5,240 คำเกี่ยวกับเอโนค
“การแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของศาสดาพยากรณ์เป็นส่วนสำคัญของการศึกษาทางวิญญาณของท่านและการฟื้นฟูความจริงพระกิตติคุณ ขณะแก้ไขพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม ท่านมักได้รับการปิดเผยที่ให้ความกระจ่างหรือขยายข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล ศาสดาพยากรณ์ได้รับหลักคำสอนมากมายจากพระเจ้าในวิธีดังกล่าว รวมทั้งหลักคำสอนที่ปัจจุบันพบใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 74, 76, 77, 86และ 91และในบางส่วนของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาอีกหลายภาค” (คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 223)
เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยส่วนสำคัญของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาสืบเนื่องจากงานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธโดยตรง ท่านอาจจะอธิบายเช่นกันว่าส่วนต่างๆ ในงานแปลของโจเซฟ สมิธที่เพิ่มเข้าไปในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ของแอลดีเอส ปี 1979 ทำให้การเปิดเผยสำคัญๆ เหล่านี้เป็นพรแก่ชีวิตสมาชิกศาสนจักร
หนังสือของอับราฮัม
เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านหัวบทของหนังสือของอับราฮัม สนทนาเนื้อหาในหนังสือของอับราฮัมกับนักเรียนพอสังเขป จากนั้นให้อธิบายว่าในฤดูร้อนของปี 1835 ชายคนหนึ่งนามไมเคิล แชนด์เลอร์นำมัมมีอียิปต์สี่ศพกับแผ่นหนังปาปิรุสหลายม้วนที่มีงานเขียนอียิปต์โบราณมาที่เมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ สมาชิกของศาสนจักรซื้อมัมมีและม้วนปาปิรุสเหล่านั้น แม้จะไม่ทราบวิธีแน่ชัดในการแปล แต่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธแปลงานเขียนบางส่วนหลายเดือนหลังจากได้ปาปิรุสอียิปต์ ต้นเดือนมีนาคมปี 1842 ศาสนจักรจัดพิมพ์หนังสือของอับราฮัมหลายตอนในหนังสือพิมพ์ศาสนจักรเรียกว่า Times and Seasons ต่อมาจัดพิมพ์หนังสือของอับราฮัมในพระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า .
แบ่งปันข้อสรุปต่อไปนี้เกี่ยวกับการออกมาของหนังสือของอับราฮัม เชื้อเชิญนักเรียนให้ฟังสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับขั้นตอนการแปล
สาเหตุทั่วไปของการคัดค้านความน่าเชื่อถือของหนังสือของอับราฮัมคือต้นฉบับ (ปาปิรุส) ไม่เก่าพอให้อับราฮัมเขียนเพราะท่านมีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซูคริสต์เกือบ 2,000 ปี โจเซฟ สมิธไม่เคยอ้างว่าอัมราฮัมเขียนปาปิรุสด้วยตนเองหรืออ้างว่าปาปิรุสมาจากสมัยของอับราฮัม “บันทึกโบราณมักส่งต่อเป็นสำเนาหรือเป็นสำเนาของสำเนา บันทึกของอับราฮัมอาจถูกแก้ไข … โดยผู้เขียนคนต่อๆ มามากเท่าๆ กับมอรมอนและโมโรไนนักประวัติศาสตร์-ศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนแก้ไขงานเขียนของคนรุ่นก่อน” (“Translation and Historicity of the Book of Abraham,” Gospel Topics, lds.org/topics)
ขณะแปล ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอาจทำงานกับปาปิรุสส่วนที่ถูกทำลายในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ “จึงไม่น่าจะมีประโยชน์ถ้าจะประเมินความสามารถในการแปลปาปิรุสของโจเซฟในเมื่อตอนนี้เรามีปาปิรุสที่ท่านเคยครอบครองเพียงเล็กน้อย” (“Translation and Historicity of the Book of Abraham”) อีกทั้งเป็นไปได้เช่นกันที่การตรวจสอบงานเขียนอย่างละเอียดนำโจเซฟ สมิธให้ได้รับ “การเปิดเผยเกี่ยวกับเหตุการณ์และคำสอนหลักๆ ในชีวิตของอับราฮัม มากเท่ากับที่ท่านเคยได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้เกี่ยวกับชีวิตของโมเสสขณะศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล” (“Translation and Historicity of the Book of Abraham”) ถึงแม้เราไม่ทราบแน่ชัดว่าโจเซฟ สมิธแปลหนังสือของอับราฮัมอย่างไร แต่เรารู้ว่างานแปลสำเร็จลุล่วงผ่านของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า
-
มีตัวอย่างอะไรบ้างของการที่พระคัมภีร์เพิ่มเติมผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธช่วยให้เราเข้าใจแผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับบุตรธิดาของพระองค์
ท่านอาจต้องการเป็นพยานว่าขณะที่นักเรียนศึกษาหนังสือสำคัญด้านหลักคำสอนของอับราฮัม พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นพยานต่อพวกเขาถึงความสำคัญและความน่าเชื่อถือของหนังสือดังกล่าว
หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:38; 68:3-5
การเปิดเผยต่อเนื่องผ่านมาทางศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต
เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:38 และเชิญอีกคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 68:4 ถามชั้นเรียนว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรจากข้อความเหล่านี้ (นักเรียนควรระบุหลักธรรมต่อไปนี้ เมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพูดของพวกเขาถ่ายทอดพระประสงค์ของพระเจ้า)
-
ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรบ้างที่ทำให้ท่านสำนึกคุณที่พระเจ้ายังคงหลั่งเทการเปิดเผยในทุกวันนี้
อธิบายให้นักเรียนฟังว่าในศาสนจักร การเปิดเผยบางเรื่องต่อศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายจัดให้เป็นพระคัมภีร์ (ยอมรับว่าเป็นพระคัมภีร์) ผ่านกฎของความเห็นชอบร่วมกัน (ดู คพ. 26:1-2) ศาสนจักรขอให้สมาชิกสนับสนุนศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกในการเพิ่มการเปิดเผยเข้าไปในพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น ที่การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 สมาชิกศาสนจักรสนับสนุนศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกในการเพิ่ม ข้อประกาศอย่างเป็นทางการ 2เข้าไปในสารบบพระคัมภีร์ ซึ่งข้อประกาศนั้นยอมให้ฐานะปุโรหิตแก่สมาชิกชายที่มีค่าควรทุกคน
เชื้อเชิญให้นักเรียนหันไปหาคนนั่งใกล้พวกเขาและสนทนาพอสังเขปว่าพวกเขาจะพูดอะไรกับคนที่เชื่อว่าสารบบพระคัมภีร์ยุติแล้วและเราจะไม่ได้รับพระคัมภีร์เพิ่มเติมจากพระผู้เป็นเจ้า
สรุปโดยขอให้นักเรียนตรึกตรองว่าพวกเขาจะทำอะไรเพื่อเสริมสร้างประจักษ์พยานของตนที่ว่าฟ้าสวรรค์เปิดและพระเจ้ายังคงเปิดเผยพระวจนะของพระองค์ในสมัยของเรา