2010–2019
อย่ากลัวเลยที่จะทำดี
ตุลาคม 2017


อย่ากลัวเลยที่จะทำดี

พระเจ้าตรัสกับเราว่าเมื่อเรายืนด้วยศรัทธาบนศิลาของพระองค์ ความสงสัยและความกลัวจะหมดสิ้นไป ความปรารถนาในการทำความดีจะเพิ่มขึ้น

พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนด้วยความนอบน้อมว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเราขณะที่ข้าพเจ้าพูดวันนี้ ใจข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความสำนึกคุณต่อพระเจ้า เจ้าของศาสนจักรแห่งนี้ สำหรับการดลใจที่เราสัมผัสได้ในคำสวดอ้อนวอนอันแรงกล้า คำเทศนาที่ได้รับการดลใจ และเสียงเพลงไพเราะดังเทพขับขานในการประชุมใหญ่นี้

เดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานโธมัส เอส. มอนสันให้ข่าวสารที่กระตุ้นใจคนทั่วโลก รวมถึงใจข้าพเจ้า ท่านพูดถึงพลังของพระคัมภีร์มอรมอน ท่านกระตุ้นให้เราศึกษา ไตร่ตรอง และประยุกต์ใช้คำสอนในนั้น ท่านสัญญาว่าหากเราอุทิศเวลาในแต่ละวันเพื่อศึกษา ไตร่ตรอง และรักษาพระบัญญัติที่มีอยู่ในพระคัมภีร์มอรมอน เราจะมีประจักษ์พยานที่จำเป็นอย่างยิ่งถึงความจริงของพระคัมภีร์และประจักษ์พยานที่เราได้รับถึงพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์จะช่วยให้เราปลอดภัยในช่วงเวลาทุกข์ยาก (ดู “พลังของพระคัมภีร์มอรมอน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2017, 86–87.)

เช่นเดียวกับพวกท่านหลายคน ข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ราวกับเป็นสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า และเช่นเดียวกันกับพวกท่านหลายคน ข้าพเจ้าตัดสินใจเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านั้น ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเด็ก ข้าพเจ้าสัมผัสถึงพยานว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏและตรัสกับโจเซฟ สมิธ อัครสาวกสมัยโบราณมาหาศาสดาพยากรณ์โจเซฟเพื่อฟื้นฟูกุญแจฐานะปุโรหิตแก่ศาสนจักรของพระเจ้า

ด้วยประจักษ์พยานนั้น ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทุกวันเป็นเวลานานกว่า 50 ปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอาจคิดอย่างมีเหตุผลได้ว่าถ้อยคำของประธานมอนสันกล่าวไว้สำหรับคนอื่น แต่เช่นเดียวกับพวกท่านหลายคน ข้าพเจ้าสัมผัสถึงการกระตุ้นของศาสดาพยากรณ์และคำสัญญาของท่านเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าพยายามมากขึ้น พวกท่านหลายคนทำอย่างที่ข้าพเจ้าทำ คือตั้งใจสวดอ้อนวอนมากขึ้น ตั้งใจไตร่ตรองพระคัมภีร์มากขึ้น และพยายามมากขึ้นที่จะรับใช้พระเจ้าและรับใช้ผู้อื่นเพื่อพระองค์

ผลที่ตามมาคือข้าพเจ้ามีความสุข หลายท่านมีความสุข นั่นคือสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์สัญญาไว้ พวกเราที่เปิดใจรับคำแนะนำที่มาจากการดลใจจะได้ยินพระวิญญาณชัดเจนมากขึ้น เราพบพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าในการต้านทานการล่อลวงและได้สัมผัสถึงศรัทธาที่เพิ่มขึ้นในพระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ในพระกิตติคุณของพระองค์ และศาสนจักรที่ดำรงอยู่ของพระองค์

ในฤดูกาลที่ความสับสนอลหม่านทวีขึ้นในโลก สิ่งเหล่านั้นที่ทวีขึ้นในประจักษ์พยานขับไล่ความสงสัยและความกลัวทั้งยังนำความรู้สึกแห่งสันติสุขมาสู่เรา การเอาใจใส่คำแนะนำของประธานมอนสันส่งผลที่ดีเยี่ยมสองอย่างกับข้าพเจ้า หนึ่ง พระวิญญาณที่ท่านสัญญาไว้ให้ความรู้สึกในแง่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ในขณะที่ความสับสนวุ่นวายของโลกดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น และสอง สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า—และท่าน—คือความรู้สึกแรงกล้ายิ่งขึ้นถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อคนทุกข์ยาก เรารู้สึกถึงความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นในการออกไปช่วยชีวิตผู้อื่น ความปรารถนานั้นเป็นหัวใจของการปฏิบัติศาสนกิจและคำสอนของประธานมอนสัน

พระเจ้าทรงสัญญาความรักผู้อื่นและความกล้าหาญให้แก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรีเมื่อดูเหมือนว่าภารกิจเบื้องหน้าพวกท่านประดังกันเข้ามา พระเจ้าตรัสว่าความกล้าหาญที่จำเป็นนั้นจะมาจากศรัทธาของพวกท่านในพระองค์ผู้ทรงเป็นศิลาของพวกท่าน

“อย่ากลัวเลยที่จะทำดี, บุตรของเรา, เพราะสิ่งใดก็ตามที่เจ้าหว่าน, เจ้าก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น; ฉะนั้น, หากเจ้าหว่านความดีเจ้าก็จะเก็บเกี่ยวความดีเป็นรางวัลของเจ้า.

“ฉะนั้น, อย่ากลัวเลย, เจ้าฝูงแกะน้อย; จงทำดีเถิด; ต่อให้แผ่นดินโลกและนรกรวมกันต่อต้านเจ้า, แต่หากเจ้าสร้างขึ้นบนศิลาของเรา, พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้.

“ดูเถิด, เราไม่กล่าวโทษเจ้า; จงไปตามทางของเจ้าและอย่าทำบาปอีกเลย; จงทำงานซึ่งเราบัญชาเจ้าด้วยความมีสติ.

“จงดูที่เราในความนึกคิดทุกอย่าง; อย่าสงสัย, อย่ากลัว.

“จงดู​แผล​ถูก​แทง​ที่​สีข้าง​เรา, และ​รอยตะปู​ที่​มือ​และ​เท้า​ของ​เรา​ด้วย; จง​ซื่อสัตย์, รักษา​บัญญัติ​ของ​เรา, และ​เจ้า​จะ​สืบทอดอาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เป็น​มรดก.” (คพ. 6:33–37)

พระเจ้าตรัสกับผู้นำแห่งการฟื้นฟู และตรัสกับเรา ว่าเมื่อเรายืนด้วยศรัทธาบนศิลาของพระองค์ ความสงสัยและความกลัวจะหมดสิ้นไป ความปรารถนาจะทำความดีเพิ่มขึ้น เมื่อเรายอมรับคำเชื้อเชิญของประธานมอนสันที่จะปลูกประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์ในใจเรา เราได้รับพลัง ความปรารถนา และความกล้าหาญที่จะออกไปช่วยชีวิตผู้อื่นโดยไม่กังวลกับความต้องการของตัวเราเอง

ข้าพเจ้าเห็นศรัทธาและความกล้าหาญเช่นนั้นหลายครั้งเมื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้มีความเชื่อเผชิญกับการทดลองที่น่าหวาดหวั่น ตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้เกิดขึ้นขณะข้าพเจ้าอยู่ในไอดาโฮเมื่อเขื่อนทีตันแตกวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1976 กำแพงน้ำทลายลงมา คนหลายพันคนหนีจากบ้าน บ้านเรือนหลายพันหลังและธุรกิจพังทลาย น่าอัศจรรย์ที่มีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 15 คน

สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นที่นั่น ข้าพเจ้าเห็นทุกครั้งที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายยืนอย่างมั่นคงบนศิลาแห่งประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์เพราะพวกเขาไม่สงสัยเลยว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่น พวกเขามองข้ามการทดลองของตนเองเพื่อไปช่วยบรรเทาทุกข์ผู้อื่น และพวกเขาทำดังนั้นด้วยความรักพระเจ้า โดยไม่ขอสิ่งใดตอบแทน

ตัวอย่างเช่น เมื่อเขื่อนทีตันแตก คู่สามีภรรยาวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคู่หนึ่งกำลังเดินทาง อยู่ไกลจากบ้านของตนหลายไมล์ ทันทีที่พวกเขาได้ยินข่าวในวิทยุ พวกเขารีบกลับไปเร็กซ์เบิร์ก แทนที่จะกลับไปบ้านของตนเองเพื่อดูว่าบ้านพังหรือไม่ พวกเขาไปหาอธิการ เขาอยู่ในอาคารหลังหนึ่งที่ใช้เป็นศูนย์พักฟื้นช่วยเหลือผู้ประสบภัย เขากำลังช่วยกำกับดูแลอาสาสมัครหลายพันคนที่เพิ่งมาถึงด้วยรถโรงเรียนสีเหลือง

คู่สามีภรรยาเดินไปหาอธิการและบอกว่า “เราเพิ่งกลับมา อธิการ มีอะไรให้เราช่วยได้บ้าง” อธิการให้รายชื่อครอบครัวกับพวกเขา คู่สามีภรรยาคู่นั้นล้างโคลนและน้ำออกจากบ้านหลังแล้วหลังเล่า พวกเขาทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดพวกเขาหยุดพักเพื่อกลับไปดูบ้านของตนเอง บ้านหายไปกับสายน้ำ ไม่เหลืออะไรให้ทำความสะอาด พวกเขาจึงรีบกลับไปหาอธิการของพวกเขา พวกเขาถามว่า “อธิการ มีใครให้เราช่วยอีกไหม”

ปาฏิหาริย์ของความกล้าหาญและจิตกุศลที่สงบเงียบ—ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์—เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกตลอดหลายปีทั่วโลก เกิดขึ้นในวันเวลาอันเลวร้ายของการข่มเหงและการทดลองในสมัยที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอยู่ในมิสซูรี เกิดขึ้นเมื่อบริคัม ยังก์นำการอพยพจากนอวูและเรียกวิสุทธิชนให้ไปอยู่ในที่รกร้างตลอดทั่วสหรัฐฝั่งตะวันตก เพื่อช่วยกันสร้างไซอันสำหรับพระเจ้า

หากท่านอ่านบันทึกประจำวันของผู้บุกเบิกเหล่านั้น ท่านจะเห็นปาฏิหาริย์แห่งศรัทธาขับไล่ความสงสัยและความกลัวออกไป และท่านอ่านเรื่องของวิสุทธิชนที่ละทิ้งความสนใจของตนเองเพื่อช่วยคนอื่นเพื่อพระเจ้า ก่อนจะกลับไปยังฝูงแกะหรือทุ่งนาที่ยังไม่ได้ไถพรวนของตนเอง

ข้าพเจ้าเห็นปาฏิหาริย์แบบเดียวกันนี้สองสามวันที่ผ่านมาหลังจากพายุเฮอร์ริเคนเออร์มาพัดกระหน่ำเปอร์โตริโก เซนต์ทอมัส และฟลอริดา วิสุทธิชนยุคสุดท้ายร่วมมือกับโบสถ์อื่นๆ พร้อมด้วยกลุ่มชุมชนในท้องที่ และองค์กรระดับชาติเริ่มทำความสะอาด

เหมือนกับเพื่อนข้าพเจ้าในเร็กซ์เบิร์ก คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในฟลอริดาที่ไม่ใช่สมาชิกมุ่งให้ความช่วยเหลือชุมชนแทนที่จะทำงานบนที่ดินของตนเอง เมื่อเพื่อนบ้านวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนเสนอความช่วยเหลือที่จะย้ายต้นไม้ใหญ่สองต้นที่ปิดกั้นทางเข้าบ้าน คู่สามีภรรยาอธิบายว่าพวกเขาหนักใจจนต้องหันไปช่วยเหลือผู้อื่นโดยมีศรัทธาว่าพระเจ้าจะทรงจัดหาความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการเกี่ยวกับบ้านของตนเอง จากนั้นสามีเล่าว่าก่อนที่สมาชิกของศาสนจักรเรามาถึงเพื่อเสนอความช่วยเหลือ สามีภรรยาคู่นี้สวดอ้อนวอน พวกเขาได้รับคำตอบว่าความช่วยเหลือจะมา ความช่วยเหลือมาถึงภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับความมั่นใจนั้น

ข้าพเจ้าฟังรายงานข่าวว่ามีบางคนเริ่มเรียกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่สวมเสื้อยืดสีเหลืองร่วมมือร่วมใจว่า “เทพสีเหลือง” วิสุทธิชนยุคสุดท้ายคนหนึ่งนำรถยนต์ของเธอไปตรวจซ่อม และชายที่ช่วยเธอได้อธิบายถึง “ประสบการณ์ทางวิญญาณ” ที่เขามีเมื่อคนสวมเสื้อสีเหลืองมาย้ายต้นไม้ออกจากสนามและจากนั้น เขาพูด พวกเขา “ร้องเพลงให้ผมฟังเกี่ยวกับการเป็นลูกพระผู้เป็นเจ้า”

ชาวฟลอริดาอีกคน—ที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับเรา—เล่าว่าวิสุทธิชนมาที่บ้านของเธอขณะที่เธอกำลังทำงานในสนามหญ้าที่เสียหายและรู้สึกหนักใจ ร้อนมาก เกือบจะร้องไห้ เธอพูดว่า อาสาสมัครสร้าง “ปาฏิหาริย์แท้” พวกเขาบำเพ็ญประโยชน์ไม่เพียงด้วยความพากเพียรแต่ด้วยเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มด้วยโดยไม่หวังผลตอบแทน

ข้าพเจ้าเห็นความพากเพียรนั้นและได้ยินเสียงหัวเราะเมื่อเย็นวันเสาร์ ที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกลุ่มหนึ่งในฟลอริดา อาสาสมัครหยุดงานทำความสะอาดนานพอที่จะให้ข้าพเจ้าจับมือกับพวกเขาบ้าง พวกเขาบอกว่าสมาชิก 90 คนจากสเตคของพวกเขาในจอร์เจียพร้อมใจกันวางแผนมาช่วยชีวิตในฟลอริดาเพียงคืนเดียวก่อนจะออกเดินทาง

พวกเขาออกจากจอร์เจียเวลาตี 4 ขับรถหลายชั่วโมง ทำงานทั้งวันจนค่ำ และวางแผนจะทำงานต่อไปในวันรุ่งขึ้น

พวกเขาบรรยายเรื่องทั้งหมดให้ข้าพเจ้าฟังด้วยรอยยิ้มและอารมณ์ขัน ความเครียดอย่างเดียวที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้คือ พวกเขาอยากจะหยุดรับเสียงขอบคุณเพื่อจะได้กลับไปทำงานต่อ ประธานสเตคเริ่มเปิดเครื่องเลื่อยไฟฟ้าของเขาอีกครั้งและกำลังตัดต้นไม้ที่โค่นลงมา อธิการขนย้ายกิ่งไม้ขณะที่เรากลับขึ้นรถเพื่อไปยังทีมช่วยชีวิตทีมต่อไป

ในตอนเช้าวันนั้น ขณะที่เราขับรถออกจากพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งได้เดินมาที่รถ เขาถอดหมวดและกล่าวคำขอบคุณอาสาสมัคร เขาบอกว่า “ผมไม่ใช่สมาชิกศาสนจักรของคุณ ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คุณทำให้เรา ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรคุณ” อาสาสมัครแอลดีเอสใส่เสื้อเหลืองที่ยืนอยู่ข้างเขายิ้มและยักไหล่ ราวกับว่าเขาไม่สมควรได้รับคำสรรเสริญ

ขณะที่อาสาสมัครจากจอร์เจียมาช่วยชายคนนี้ที่ไม่อยากจะเชื่อ วิสุทธิชนยุคสุดท้ายหลายร้อยคนจากส่วนที่เสียหายหนักของฟลอริดาเดินทางหลายร้อยไมล์ลงใต้ไปยังพื้นที่อีกแห่งหนึ่งในฟลอริดาซึ่งพวกเขาได้ยินว่าผู้คนที่นั่นโดนถล่มหนักกว่า

วันนั้นข้าพเจ้าจำได้และเข้าใจถ้อยคำที่มาจากศาสดาพยากรณ์ของโจเซฟ สมิธมากขึ้น “คนที่เปี่ยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าไม่พอใจเพียงเป็นพรแก่ครอบครัวตนเท่านั้น แต่จะขยายขอบเขตไปทั่วโลกเพราะเขาปรารถนาจะเป็นพรแก่เผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของมนุษย์” (คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 459).

เราเห็นความรักเช่นนั้นในชีวิตของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกหนแห่ง ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจที่ใดก็ตามในโลก วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบริจาคและอาสาช่วยงานด้านมนุษยธรรมของศาสนจักร แทบจะไม่ต้องประกาศหาเลย อันที่จริง ในบางครั้ง เราต้องขอให้คนที่จะอาสาสมัครชะลอการเดินทางไปยังศูนย์ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยไว้ก่อนจนกว่าคนที่กำกับดูแลงานจะพร้อมรับพวกเขา

ความปรารถนาที่จะเป็นพรนั้นเป็นผลมาจากผู้คนได้รับประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณ ศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู และศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนของพระเจ้าไม่สงสัยและไม่กลัวเลย นั่นคือเหตุผลที่ผู้สอนศาสนาอาสาจะรับใช้ทั่วทุกมุมโลก นั่นคือเหตุผลที่บิดามารดาสวดอ้อนวอนกับลูกของตนให้ผู้อื่น นั่นคือเหตุผลที่ผู้นำท้าทายให้เยาวชนยอมรับคำขอของประธานมอนสันที่จะใฝ่ใจศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนอย่างลึกซึ้ง ผลดังกล่าวไม่ได้มาจากการถูกผู้นำกระตุ้นแต่มาจากการที่เยาวชนและสมาชิกกระทำด้วยศรัทธา ศรัทธาที่นำไปปฏิบัติ ซึ่งเรียกร้องการเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัว นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใจที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้า

อย่างไรก็ตาม ใจเราเปลี่ยนตราบเท่าที่เราทำตามคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ต่อไปเท่านั้น หากเราหยุดหลังจากงานสำคัญปะทุขึ้นเพียงครั้งเดียว การเปลี่ยนแปลงจะเลือนหายไป

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์เพิ่มพูนศรัทธาของพวกเขาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์มอรมอนซึ่งเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้า และในการฟื้นฟูกุญแจฐานะปุโรหิตในศาสนจักรที่แท้จริงของพระองค์ ประจักษ์พยานที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้เรากล้าหาญมากขึ้น ทวีความห่วงใยที่เรามีต่อบุตรธิดาคนอื่นของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น แต่ความท้าทายและโอกาสที่อยู่เบื้องหน้าจะเรียกร้องมากกว่า

เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดล่วงหน้า แต่เรารู้ภาพรวมที่ใหญ่กว่า เรารู้ว่าในยุคสุดท้ายนี้ โลกจะสับสนวุ่นวาย เรารู้ว่าท่ามกลางปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น พระเจ้าจะทรงนำวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ให้นำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไปสู่ทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน และเรารู้ว่าสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเจ้าจะมีค่าควรและเตรียมรับพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง เราไม่จำเป็นต้องกลัว

ดังนั้นแม้ว่าเราได้เสริมสร้างศรัทธาและความกล้าหาญในใจของเราแล้ว พระเจ้าทรงคาดหวังจากเรา—และจากอนุชนรุ่นต่อจากเรามากขึ้น พวกเขาจะต้องเข้มแข็งขึ้นและกล้าหาญมากขึ้นเพราะพวกเขาจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและยากกว่าที่เราเคยทำมาแล้ว พวกเขาจะเผชิญการต่อต้านจากศัตรูของจิตวิญญาณเรามากกว่าเดิม

พระเจ้าประทานวิธีมองโลกในแง่ดีเมื่อเรามุ่งไปข้างหน้า “จงดูที่เราในความนึกคิดทุกอย่าง; อย่าสงสัย, อย่ากลัว” (คพ. 6:36). ประธานมอนสันบอกเราว่าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เราต้องไตร่ตรองและประยุกต์ใช้พระคัมภีร์มอรมอนตลอดจนถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ สวดอ้อนวอนเสมอ จงเชื่อ รับใช้พระเจ้าด้วยสุดใจ พลัง ความนึกคิด และพละกำลังของเรา เราต้องสวดอ้อนวอนจนสุดพลังของใจทูลขอของประทานแห่งจิตกุศล ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์(ดู โมโรไน 7:47–48). และเหนือสิ่งอื่นใด เราต้องทำตามคำแนะนำที่มาจากศาสดาพยากรณ์อย่างสม่ำเสมอและไม่ลดละ

เมื่อทางนั้นยากลำบาก เราสามารถพึ่งพาคำสัญญาของพระเจ้า—คำสัญญาที่ประธานมอนสันเตือนเราเมื่อท่านมักจะอ้างอิงพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดดังนี้ “ผู้ใดที่รับเจ้า, ที่นั่นเราจะอยู่ด้วย, เพราะเราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้” (คพ. 84:88)

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าเสด็จไปเบื้องหน้าท่านเมื่อใดก็ตามที่ท่านอยู่กับธุระของพระองค์ บางครั้งท่านจะเป็นเทพที่พระเจ้าทรงส่งไปประคองผู้อื่น บางครั้งท่านจะเป็นคนที่ถูกรายล้อมด้วยเหล่าเทพผู้ประคองท่าน แต่ท่านจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่ในใจท่านเสมอ ดังที่สัญญาไว้กับท่านในการประชุมศีลระลึกทุกครั้ง ท่านเพียงแต่ต้องรักษาพระบัญญัติของพระองค์

วันเวลาที่ดีที่สุดล่วงหน้าไปรอรับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก การต่อต้านจะเสริมกำลังศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ ดังที่เคยเป็นมาตั้งแต่สมัยของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ศรัทธาชนะความกลัวเสมอ การยืนหยัดร่วมกันสร้างความสามัคคีกลมเกลียว พระผู้เป็นเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงฟังและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนเพื่อคนขัดสนของท่าน พระองค์ไม่ทรงหยุดพักหรือบรรทมหลับ

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงพระชนม์และทรงต้องการให้ท่านกลับบ้านไปหาพระองค์ นี่คือศาสนจักรที่แท้จริงของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรู้จักท่าน ทรงรักท่าน ทรงเฝ้าดูแลท่าน พระองค์ทรงชดใช้บาปของท่านและของข้าพเจ้าและบาปของบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ การติดตามพระองค์ในชีวิตท่านและในการรับใช้ผู้อื่นคือหนทางเดียวสู่ชีวิตนิรันดร์

ข้าพเจ้าเป็นพยานดังนี้ ขอฝากพรและความรักไว้กับท่าน ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน