2010–2019
คนที่ดีจริงและปราศจากมารยา
เมษายน 2015


คนที่ดีจริงและปราศจากมารยา

ข่าวประเสริฐของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือ ความปรารถนาของใจเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้และแรงจูงใจของเราสามารถได้รับการศึกษาและทำให้ประณีตขึ้นได้

น่าเสียดายที่มีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเมื่อข้าพเจ้าถูกจูงใจด้วยตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้เริ่มขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะเตรียมรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา พี่ชายของข้าพเจ้าได้เป็นหัวหน้าโซน ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องดีๆ มากมายเกี่ยวกับเขาจนอดใจไม่ได้ที่จะหวังให้มีคนพูดถึงข้าพเจ้าแบบนั้นบ้าง ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนขอให้ได้ตำแหน่งอย่างนั้นบ้าง

รู้สึกสำนึกคุณยิ่งที่ในช่วงเวลาขณะรับใช้ในคณะเผยแผ่ ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนที่ทรงพลังการประชุมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาเตือนให้นึกถึงบทเรียนนั้น

ในเดือนตุลาคม ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟกล่าวว่า ”ตลอดเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสกระทบไหล่กับชายหญิงบางคนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกพร้อมด้วยสติปัญญา และความสามารถมากที่สุดเมื่ออายุยังน้อย ข้าพเจ้าประทับใจบุคคลที่มีการศึกษา ประสบความสำเร็จ และได้รับเสียงสรรเสริญจากโลก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าตระหนักว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจมากกว่าคือจิตวิญญาณที่ล้ำเลิศและได้รับพร คนที่ ดีจริงและ ปราศจากมารยา1

วีรบุรุษในพระคัมภีร์มอรมอนของข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมของจิตวิญญาณที่ล้ำเลิศและได้รับพร ผู้ที่ดีจริงและปราศจากมารยา ชิบลันเป็นบุตรคนหนึ่งของแอลมาผู้บุตร เราคุ้นเคยกับฮีลามันน้องชายของท่านมากกว่า ผู้ซึ่งติดตามบิดาในฐานะผู้รักษาบันทึกและศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า และโคริแอนทอนผู้อื้อฉาวในฐานะผู้สอนศาสนาที่ต้องการคำปรึกษาจากบิดาของเขา สำหรับฮีลามัน แอลมาเขียนไว้ 77 ข้อ (ดู แอลมา 36–37) สำหรับโคริแอนทอน แอลมาให้ไว้ 91 ข้อ (ดู แอลมา 39–42) สำหรับชิบลันบุตรคนกลาง แอลมาเขียนเพียง 15 ข้อ (ดู แอลมา 38) แม้กระนั้นถ้อยคำของท่านใน 15 ข้อนั้นก็ทรงพลังและสอนได้ดียิ่ง

“และบัดนี้, ลูกพ่อ, พ่อวางใจว่าพ่อจะมีความปรีดียิ่งในตัวลูก, เพราะความแน่วแน่ของลูกและความซื่อสัตย์ของลูกที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า; เพราะเมื่อในวัยเยาว์ของลูก ลูกเริ่มพึ่งพาพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของลูก, เช่นเดียวกันพ่อหวังว่าลูกจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ต่อไป; เพราะคนที่อดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่นั้นเป็นสุข.

“พ่อกล่าวแก่ลูก, ลูกพ่อ, ว่าพ่อมีความปรีดียิ่งในตัวลูกอยู่แล้ว, เพราะความซื่อสัตย์และความขยันหมั่นเพียรของลูก, และความอดทนและความอดกลั้นของลูกท่ามกลางผู้คน” (แอลมา 38:2–3)

นอกจากจะพูด กับ ชิบลันแล้ว แอลมายังพูด เกี่ยวกับ เขากับโคริแอนทอนด้วย แอลมากล่าวว่า “ลูกไม่สังเกตความแน่วแน่ของพี่ชายของลูกหรือ, ความซื่อสัตย์ของเขา, และความขยันหมั่นเพียรของเขาในการรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า? ดูเถิด, เขาไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับลูกหรือ?” (แอลมา 39:1)2

เห็นได้ชัดว่าชิบลันเป็นบุตรที่ต้องการทำให้บิดาพอใจและทำสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องเพื่อความถูกต้องมากกว่าที่จะทำเพื่อคำสรรเสริญ ตำแหน่ง อำนาจ รางวัล หรืออำนาจหน้าที่ ฮีลามันต้องรู้และเคารพสิ่งนี้เกี่ยวกับน้องชายท่าน เพราะท่านให้ชิบลันเป็นผู้พิทักษ์รักษาบันทึกศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านได้รับจากบิดา แน่นอนฮีลามันวางใจในชิบลันเพราะ “ท่านเป็นคนเที่ยงธรรม, และท่านดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า; และถือปฏิบัติความดีอยู่ตลอดเวลา, รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของท่าน” (แอลมา 63:2) ดูเหมือนว่าในช่วงที่ชิบลันครอบครองบันทึกศักดิ์สิทธิ์นั้นจะไม่ค่อยมีบันทึกเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของท่านมากนักจนกระทั่งท่านมอบบันทึกเหล่านั้นให้ฮีลามันผู้บุตรของฮีลามัน (ดู แอลมา 63:11)

ชิบลันเป็นคนดีจริงและปราศจากมารยา ท่านเป็นบุคคลที่เสียสละ เวลา พรสวรรค์ และความพากเพียรของท่านเพื่อช่วยและพยุงผู้อื่นเพราะความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ (ดู แอลมา 48:17–19; 49:30) ถ้อยคำของประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์บรรยายถึงท่านได้อย่างสมบูรณ์ว่า “หญิงชายผู้ประเสริฐย่อมขวนขวายในการรับใช้มากกว่าการมีอำนาจ”3

ในโลกที่คำสรรเสริญ ตำแหน่ง อำนาจ รางวัล และอำนาจหน้าที่เป็นสิ่งที่ไขว่คว้ากันในทุกด้าน ข้าพเจ้าให้เกียรติจิตวิญญาณที่ล้ำเลิศและได้รับพรผู้ที่ดีจริงและปราศจากมารยา ผู้ที่มีความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนบ้านของเขาเป็นแรงจูงใจ หญิงชายผู้ประเสริฐเหล่านั้นที่ “ขวนขวายในการรับใช้มากกว่าการมีอำนาจ”

ทุกวันนี้มีบางคนอยากให้เราเชื่อว่าการค้นหาความสำคัญของตนเองจะเป็นที่น่าพอใจได้ก็ต่อเมื่อมีตำแหน่งและอำนาจเท่านั้น กระนั้น ยังน่ายินดียิ่งที่อีกหลายท่านไม่ได้ส่งอิทธิพลด้วยมุมมองดังกล่าว พวกเขาพบความสำคัญของตนเองโดยพยายามเป็นคนดีจริงและปราศจากมารยา ข้าพเจ้าพบพวกเขาในภูมิหลังที่แตกต่างกันและในหลายความเชื่อ และพบพวกเขาเป็นจำนวนมากในหมู่ผู้ติดตามพระคริสต์ที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริง4

ข้าพเจ้าให้เกียรติผู้ที่รับใช้โดยไม่คิดถึงตนเองในแต่ละสัปดาห์ในวอร์ดและสาขาทั่วโลกที่ทำให้การเรียกสำเร็จอย่างดีเยี่ยมเกินความคาดหมาย แต่การเรียกมาแล้วก็ไป ข้าพเจ้าจึงประทับใจยิ่งกว่ากับอีกหลายท่านที่ค้นพบวิธีรับใช้และพยุงผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่มีการเรียกอย่างเป็นทางการ พี่น้องชายท่านหนึ่งมาโบสถ์ก่อนเวลาเพื่อจัดเก้าอี้และกลับทีหลังเพื่อดูแลโบสถ์ให้เรียบร้อย พี่น้องสตรีคนหนึ่งตั้งใจเลือกที่นั่งใกล้พี่น้องสตรีตาบอดในวอร์ดของเธอไม่ใช่เพียงเพื่อจะได้ทักทายเธอเท่านั้นแต่เธอยังร้องเพลงสวดด้วยเสียงดังพอให้พี่น้องสตรีที่ตาบอดได้ยินเนื้อร้องและร้องตาม ถ้าท่านมองในวอร์ดหรือสาขาของท่านให้ดี ท่านจะพบแบบอย่างเช่นเดียวกันนี้ มีสมาชิกที่ดูเหมือนจะรู้ว่าใครต้องการให้ช่วยอะไรและเมื่อใดอยู่เสมอ

บางทีข้าพเจ้าอาจได้เรียนรู้บทเรียนแรกเกี่ยวกับวิสุทธิชนที่ดีจริงและปราศจากมารยาเมื่อครั้งเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ข้าพเจ้าถูกย้ายเข้าไปในเขตหนึ่งพร้อมกับเอ็ลเดอร์ที่ไม่เคยรู้จัก ข้าพเจ้าเคยได้ยินผู้สอนศาสนาคนอื่นๆ พูดถึงเขาว่าไม่เคยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำเลย และยังพูดภาษาเกาหลีได้ไม่ดีพอแม้จะอยู่ในประเทศนี้มานาน แต่เมื่อได้รู้จักเอ็ลเดอร์คนนี้ ข้าพเจ้าพบว่าเขาเป็นผู้สอนศาสนาคนหนึ่งที่เชื่อฟังและซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่เคยรู้จัก เขาศึกษาเมื่อถึงเวลาศึกษา เขาทำงานเมื่อถึงเวลาทำงาน เขาออกจากที่พักและกลับตรงเวลา เขาขยันศึกษาภาษาเกาหลีแม้ภาษาดังกล่าวจะยากเป็นพิเศษสำหรับเขา

เมื่อข้าพเจ้าตระหนักว่าข้อคิดเห็นที่ได้ยินมาไม่จริง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าผู้สอนศาสนาคนนี้กำลังถูกตัดสินผิดๆ ว่าไม่ประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้าต้องการบอกทั้งคณะเผยแผ่ให้รู้ความจริงที่ค้นพบเกี่ยวกับเอ็ลเดอร์คนนี้ ข้าพเจ้าแบ่งปันเรื่องที่ต้องการจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้กับประธานคณะเผยแผ่ ท่านตอบว่า “พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้สอนศาสนาที่ประสบความสำเร็จและประธานก็รู้” ท่านกล่าวอีกว่า “และตอนนี้เธอก็รู้ด้วย แล้วคนอื่นๆ สำคัญตรงไหนหรือ” ประธานคณะเผยแผ่ที่ชาญฉลาดท่านนี้สอนข้าพเจ้าว่าอะไรสำคัญในการรับใช้ และสิ่งนั้นไม่ใช่คำสรรเสริญ ตำแหน่ง อำนาจ เกียรติยศ หรืออำนาจหน้าที่ นี่เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้สอนศาสนาหนุ่มที่มุ่งเน้นเรื่องตำแหน่งมากเกินไป

โดยมีบทเรียนนี้ในใจ ข้าพเจ้าเริ่มมองย้อนชีวิตตนเองและดูว่าข้าพเจ้าได้รับอิทธิพลบ่อยเพียงใดจากชายหญิงที่ขณะนั้นไม่ดำรงตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต หนึ่งในคนเหล่านั้นที่จิตวิญญาณเหมือนชิบลันคือครูเซมินารีของข้าพเจ้าขณะเป็นนักเรียนรุ่นน้องในชั้นมัธยมปลาย ชายที่แสนดีท่านนี้สอนเซมินารีอยู่สองหรือสามปีเท่านั้นแต่ท่านเปิดใจข้าพเจ้าในวิธีที่ช่วยให้ได้รับประจักษ์พยาน ท่านอาจไม่ใช่ครูที่ดังที่สุดในโรงเรียนแต่ท่านเตรียมสอนเสมอและอิทธิพลดีของท่านที่มีต่อข้าพเจ้ามีพลังและคงอยู่นาน หนึ่งในสองสามครั้งที่ข้าพเจ้าพบชายผู้นี้หลังจากที่ไม่ได้พบกัน 40 ปี ตั้งแต่ท่านสอนข้าพเจ้าคือเมื่อท่านมาพบข้าพเจ้าในพิธีศพคุณพ่อ แท้จริงแล้วนั่นเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับการจูงใจจากตำแหน่งหรืออำนาจใดๆ

ข้าพเจ้านับถือครูผู้อุทิศตนท่านนั้นและอีกหลายคนที่เหมือนท่านผู้ที่ดีจริงและปราศจากมารยา ข้าพเจ้านับถือครูโรงเรียนวันอาทิตย์ผู้ไม่เพียงสอนนักเรียนของเขาในชั้นเรียนวันอาทิตย์เท่านั้นแต่ยังสอนและเป็นแรงจูงใจให้นักเรียนกลุ่มเดียวกันโดยเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัว ข้าพเจ้านับถือครูเยาวชนผู้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาและวัฒนธรรมของเยาวชนชายหญิงในวอร์ดของเขา ข้าพเจ้านับถือชายที่เขียนโน้ตให้กำลังใจเพื่อนบ้านและสตรีที่ไม่เพียงส่งบัตรอวยพรคริสต์มาสทางไปรษณีย์เท่านั้นแต่ยังส่งด้วยตนเองไปยังสมาชิกครอบครัวและเพื่อนที่ต้องการการเยี่ยมด้วย ข้าพเจ้านับถือพี่น้องชายที่ให้เพื่อนบ้านนั่งรถในช่วงเวลาที่เพื่อนบ้านนั้นประสบวันเวลาอันมืดมนของอาการอัลไซเมอร์---โดยให้ทั้งเขาและภรรยาได้เปลี่ยนบรรยากาศซึ่งจำเป็นมากสำหรับพวกเขา

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำไปเพื่อคำสรรเสริญหรือรางวัล โอกาสที่จะรับตำแหน่งหรืออำนาจหน้าที่ไม่ใช่แรงจูงใจของชายหญิงเหล่านี้ พวกเขาเป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์ ออกไปประกอบคุณความดีอย่างต่อเนื่องและเช่นเดียวกับชิบลันพยายามทำให้พระบิดาในสวรรค์ของพวกเขาพอพระทัย

ข้าพเจ้าเศร้าใจเมื่อได้ยินว่ามีบางคนเลิกรับใช้หรือแม้แต่ไม่มาโบสถ์เพราะได้รับการปลดจากการเรียกหรือรู้สึกถูกมองข้ามไปสำหรับตำแหน่งหน้าที่บางอย่าง ข้าพเจ้าหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะเรียนรู้บทเรียนเหมือนข้าพเจ้าขณะเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม—ว่าการรับใช้ที่นับว่ามีค่าส่วนมากมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรับรู้ ในขณะที่เราติดตามหาสิ่งที่เป็นตัวฉันและของฉันเราลืมไปหรือไม่ว่ามีพระองค์และของพระองค์?

บางคนอาจกล่าวว่า “แต่ฉันยังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะเป็นอย่างคนที่ท่านบรรยายไว้” ข่าวประเสริฐของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือ ความปรารถนาของใจเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้และแรงจูงใจของเราสามารถได้รับการศึกษาและทำให้ประณีตขึ้นได้ เมื่อเรารับบัพติศมาเข้าสู่ฝูงที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า เราเริ่มกระบวนการของการเป็นคนใหม่ (ดู 2 โครินธ์ 5:17; โมไซยาห์ 27:26) แต่ละครั้งที่เราต่อพันธสัญญาบัพติศมาโดยรับส่วนศีลระลึก เราเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุดอีกหนึ่งก้าว5 ขณะเราอดทนในพันธสัญญานั้น เราเข้าสู่ความแข็งแกร่งที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้าและปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน (ดู โมไซยาห์ 18:9) ในพันธสัญญานั้น เราพบพระคุณที่ทำให้เราสามารถรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ รวมถึงการรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจและการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองด้วย6 ในพันธสัญญานั้น พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ทรงช่วยเราให้สามารถช่วยผู้ที่อยู่ในความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเรา (ดู โมไซยาห์ 4:16; และดู ข้อ 11–15 ด้วย)

ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าต้องการจริงๆ ในชีวิตคือเป็นที่พอใจของคุณพ่อทั้งสองของข้าพเจ้า—ทั้งผู้อยู่บนแผ่นดินโลกและในสวรรค์—และเป็นเหมือนชิบลันมากขึ้น7

ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระบิดาบนสวรรค์สำหรับจิตวิญญาณที่เหมือนชิบลันซึ่งแบบอย่างของพวกเขาให้ความหวัง—แก่ข้าพเจ้าและ—เราทุกคน ในชีวิตของพวกเขาเราเห็นพยานของพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงห่วงใยและเมตตา ข้าพเจ้าเพิ่มประจักษ์พยานในทั้งสองพระองค์โดยสัญญาที่จะพยายามเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “องค์พระผู้เป็นเจ้า, คือข้าพระองค์หรือ?” เลียโฮนา, พฤศจิกายน 2014, หน้า 58; เน้นตัวเอน.

  2. ฮีลามันไม่ได้ไปสอนชาวโซรัม, ดังนั้นเราจึงรู้ว่าแอลมากำลังสนทนาเกี่ยวกับชิบลันเมื่อท่านพูดว่า “พี่ชายของลูก” (ดู แอลมา 31:7; 39:2).

  3. สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์, “The Role of Righteous Women,” Ensign, Nov. 1979, หน้า 104.

  4. “พระเจ้าทรงสอนเราว่าเมื่อเราเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระกิตติคุณของพระองค์อย่างแท้จริง ใจเราจะเปลี่ยนจากความกังวลแต่เรื่องตนเองเป็นการรับใช้เพื่อพยุงผู้อื่นขณะพวกเขาก้าวขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ได้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเช่นนั้น เราสามารถสวดอ้อนวอนและทำงานในศรัทธาเพื่อให้การชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นคนใหม่ เราเริ่มได้โดยสวดอ้อนวอนขอศรัทธาเพื่อกลับใจจากความเห็นแก่ตัวและขอของประทานแห่งการเอาใจใส่ผู้อื่นมากกว่าตัวเราเอง เราสามารถสวดอ้อนวอนขอให้มีพลังละทิ้งความจองหองและความอิจฉา” (เฮนรีย์ บี. อายริงก์, “ประจักษ์พยานและการเปลี่ยนใจเลื่อมใส,”เลียโฮนา, กุมภาพันธ์ 2015, หน้า 4–5)

  5. “[พระผู้เป็นเจ้า] ทรงเป็นอมตะและดีพร้อม เราเป็นมรรตัยและไม่ดีพร้อม แม้กระนั้นเราแสวงหาวิธีที่แม้ในความเป็นมรรตัยนี้ที่จะสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์ทางวิญญาณ โดยทำเช่นนั้นเราได้มีโอกาสเข้าสู่ทั้งพระคุณและพระบารมีแห่งพระเดชานุภาพของพระองค์ ช่วงเวลาพิเศษเหล่านั้นได้แก่ … การรับบัพติศมาและการยืนยัน … [และ] การรับส่วนของสัญลักษณ์แห่งพระกระยาหารของพระเจ้า” (เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, To My Friends [2014], หน้า 80).

  6. “วิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เห็นตนเองในทุกสิ่งที่ทำในฐานะลูกพระผู้เป็นเจ้าจะให้และรักษาคำมั่นสัญญาตามธรรมชาติ แผนแห่งความรอดทำเครื่องหมายไว้โดยพันธสัญญา เราสัญญาจะเชื่อฟังพระบัญญัติ โดยเป็นการตอบแทนพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาที่จะอวยพรเราในชีวิตนิ้และในนิรันดร พระองค์ทรงแน่พระทัยในสิ่งที่ทรงต้องการและทรงดีพร้อมในการรักษาพระวจนะของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราและเพราะจุดประสงค์ของแผนคือเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงเรียกร้องความแน่นอนของเราและสัญญาที่ทรงทำต่อเรารวมถึงอำนาจที่จะเติบโตในความสามารถของเราที่จะรักษาพันธสัญญาด้วยเสมอ พระองค์ทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับเราที่จะรู้กฎของพระองค์ เมื่อเราพยายามด้วยสุดใจที่จะทำตามมาตรฐานของพระองค์ พระองค์ประทานความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เรา ผลตอบแทนก็คือทั้งสองอย่างเพิ่มอำนาจของเราที่จะรักษาคำมั่นสัญญาและเล็งเห็นสิ่งที่ดีและจริง และนั่นคืออำนาจที่จะเรียนรู้ ทั้งในการศึกษาทางโลกและในการเรียนรู้ที่จำเป็นต่อเราในนิรันดร” (เฮนรีย์ บี. อายริงก์, ”A Child of God” [Brigham Young University devotional, 21 ตุลาคม 1997],หน้า 4–5; speeches.byu.edu). ดู เดวิด เอ. เบดนาร์, “ทนแบกสัมภาระได้โดยง่าย,” เลียโฮนา, พฤษภาคม 2014, หน้า 87–90 ด้วย.

  7. จากความทรงจำแรกสุด ข้าพเจ้าต้องการทำให้พ่อของข้าพเจ้าพอใจ ขณะเติบโตขึ้นและได้รับประจักษ์พยาน ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะทำให้พระบิดาบนสวรรค์พอพระทัยด้วย ต่อมาในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับชิบลันและเพิ่มเป้าหมายชีวิตข้าพเจ้าที่จะเป็นเหมือนท่านมากขึ้น