2022
การเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
พฤษภาคม 2022


การเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสส่วนตัวของเราครอบคลุมถึงความรับผิดชอบในการแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์กับชาวโลก

ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อข้อเรียกร้องอันทรงพลังในฐานะศาสดาพยากรณ์ของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเรื่องการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาและข่าวสารงานเผยแผ่ที่สร้างแรงบันดาลใจของประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดกับเอ็ลเดอร์มาร์คอส เอ. ไอดูไคทิสวันนี้

งานมอบหมายให้ไปเกรตบริเตนเมื่อปลายปีที่แล้วทำให้ข้าพเจ้าใคร่ครวญเหตุการณ์ล้ำค่าทางวิญญาณอันเป็นรากฐานของการตัดสินใจรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาของตนเอง1 เมื่อข้าพเจ้าอายุ 15 ปี โจพี่ชายที่รักของข้าพเจ้าอายุ 20 ปี—ซึ่งอายุอยู่ในเกณฑ์รับใช้งานเผยแผ่สมัยนั้น ในสหรัฐ เพราะความขัดแย้งในเกาหลี จึงมีน้อยคนได้รับอนุญาตให้รับใช้ แต่ละวอร์ดจะได้รับการเรียกปีละคนเท่านั้น2 เราแปลกใจเมื่ออธิการขอให้โจสำรวจความเป็นไปได้นี้กับคุณพ่อ โจกำลังเตรียมสมัครเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ คุณพ่อที่ไม่แข็งขันในศาสนจักรได้เตรียมพร้อมด้านการเงินไว้ช่วยโจและไม่เห็นด้วยที่โจจะไปเป็นผู้สอนศาสนา คุณพ่อบอกว่าโจจะทำประโยชน์ได้มากกว่าถ้าไปเรียนแพทย์ นี่เป็นปัญหาใหญ่ในครอบครัวเรา

ในการสนทนาอันน่าจดจำกับพี่ชายผู้ชาญฉลาดและเป็นแบบอย่างของข้าพเจ้า เราสรุปว่าการตัดสินใจว่าจะรับใช้งานเผยแผ่และเลื่อนการศึกษาออกไปก่อนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคำถามสามข้อนี้: (1) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่? (2) พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้าไหม? และ (3) โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟูหรือไม่? ถ้าคำตอบของคำถามเหล่านี้คือใช่ เป็นที่ชัดเจนว่าโจจะทำประโยชน์จากการนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไปให้ชาวโลกได้มากกว่าการเป็นแพทย์เร็วขึ้นแน่นอน3

คืนนั้นข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอย่างแรงกล้าด้วยเจตนาแท้จริง พระวิญญาณทรงยืนยันกับข้าพเจ้าอย่างทรงพลังจนปฏิเสธไม่ได้ว่าคำตอบของคำถามทั้งสามข้อนี้คือใช่ นี่เป็นเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตระหนักว่าความจริงเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทุกอย่างตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ข้าพเจ้ารู้เช่นกันว่าจะรับใช้งานเผยแผ่ถ้าได้รับโอกาส ชั่วชีวิตของการรับใช้และประสบการณ์ทางวิญญาณที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการตั้งใจยอมรับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเราสามารถได้รับการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการกระทำของเรา

ข้าพเจ้ามีประจักษ์พยานอยู่แล้วถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลก คืนนั้นข้าพเจ้าได้รับประจักษ์พยานทางวิญญาณถึงพระคัมภีร์มอรมอน4และศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

โจเซฟ สมิธเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า

ประจักษ์พยานของท่านจะเข้มแข็งขึ้นเมื่อท่านรู้ในใจผ่านการสวดอ้อนวอนว่าศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา งานมอบหมายอย่างหนึ่งของข้าพเจ้าในโควรัมอัครสาวกสิบสองคือทบทวนและอ่านเอกสารกับหลักฐานอันน่าทึ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธและงานค้นคว้าที่นำไปสู่การจัดพิมพ์หนังสือชุด วิสุทธิชน5 ประจักษ์พยานและความชื่นชมที่ข้าพเจ้ามีในศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธหนักแน่นขึ้นและมีมากขึ้นหลังจากอ่านรายละเอียดอันน่าประทับใจเกี่ยวกับชีวิตและการปฏิบัติศาสนกิจของท่านในฐานะศาสดาพยากรณ์ที่ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้า

การแปลพระคัมภีร์มอรมอนของโจเซฟโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าเป็นรากฐานของการฟื้นฟู6 พระคัมภีร์มอรมอนมีความสอดคล้องกันภายในเล่มซึ่งเขียนไว้อย่างสละสลวยและมีคำตอบให้กับคำถามสำคัญๆ ของชีวิต นี่คือพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าโจเซฟ สมิธเป็นคนชอบธรรม เปี่ยมด้วยศรัทธา และเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าในการนำพระคัมภีร์มอรมอนออกมา

การเปิดเผยและเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญาให้กุญแจ ศาสนพิธี และพันธสัญญาที่จำเป็นต่อความรอดและความสูงส่ง โดยไม่เพียงอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต่อการสถาปนาศาสนจักรเท่านั้น แต่ยังให้หลักคำสอนอันลึกซึ้งที่ช่วยให้เราเข้าใจจุดประสงค์ของชีวิตและให้มุมมองนิรันดร์แก่เราด้วย

หนึ่งในตัวอย่างมากมายของบทบาทการเป็นศาสดาพยากรณ์ของโจเซฟ สมิธมีอยู่ใน หลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 76 ซึ่งเป็นบันทึกที่ชัดแจ้งถึงนิมิตเกี่ยวกับสวรรค์ รวมถึงอาณาจักรแห่งรัศมีภาพ ซึ่งศาสดาพยากรณ์โจเซฟและซิดนีย์ ริกดันได้รับเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1832 เวลานั้นคริสตจักรส่วนใหญ่กำลังสอนว่าการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่ให้ความรอดกับคนส่วนมาก เชื่อกันว่าน้อยคนจะรอด และคนส่วนใหญ่จะต้องตกนรกและรับสภาพการลงทัณฑ์ อีกทั้งความทรมานอันไม่สิ้นสุด “ด้วยความรุนแรงที่น่ากลัวจนสุดพรรณนา”7

การเปิดเผยในภาค 76 ให้นิมิตอันรุ่งโรจน์เกี่ยวกับระดับรัศมีภาพต่างๆ ที่ ลูกๆ ของพระบิดาบนสวรรค์ส่วนใหญ่ที่กล้าหาญในสถานะก่อนเกิดจะได้รับเป็นพรอย่างถ้วนทั่วหลังการพิพากษาครั้งสุดท้าย8 ในนิมิตเกี่ยวกับรัศมีภาพสามระดับ ระดับต่ำสุดซึ่ง “เกินกว่าความเข้าใจทั้งปวง”9 เป็นการหักล้างหลักคำสอนสมัยนั้นที่มีอิทธิพลแต่ไม่ถูกต้องว่าคนส่วนใหญ่จะต้องตกนรกและรับสภาพการลงทัณฑ์

เมื่อท่านตระหนักว่าโจเซฟ สมิธอายุเพียง 26 ปี มีการศึกษาจำกัด และรู้ภาษาคลาสสิกของพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับก่อนแปลน้อยมากหรือไม่รู้เลย แสดงว่าโจเซฟเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าจริงๆ ใน ภาค 76 ข้อ 17 เขาได้รับการดลใจให้ใช้คำว่า คนไม่เที่ยงธรรม แทนคำว่า สภาพการลงทัณฑ์ ที่ใช้ในหนังสือกิตติคุณของยอห์น10

น่าสนใจตรงที่ 45 ปีต่อมา เฟรเดริก ดับเบิลยู. ฟาร์ราร์ ผู้นำนิกายแองกลิคันและนักวิชาการวรรณกรรมคลาสสิกที่ได้รับการรับรองทางวิชาการ11 ผู้เขียน The Life of Christ12 ยืนยันว่านิยามของคำว่า สภาพการลงทัณฑ์ ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์นั้นเป็นผลจากความผิดพลาดด้านการแปลจากภาษาฮีบรูและกรีกเป็นภาษาอังกฤษ13

ในสมัยของเรา คนมากมายรับเอาแนวคิดที่ว่าไม่ควรมีผลของบาป พวกเขาสนับสนุนให้ลบล้างบาปแบบไม่มีเงื่อนไขโดยไม่มีการกลับใจ หลักคำสอนที่ได้รับการเปิดเผยของเราไม่เพียงลบล้างแนวคิดที่ว่าคนส่วนใหญ่จะถูกลงโทษให้ตกนรกและรับสภาพการลงทัณฑ์ชั่วนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังกำหนดด้วยว่าการกลับใจส่วนตัวเป็นสิ่งที่ทรงบัญชาว่าต้องทำก่อนรับส่วนการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและรับอาณาจักรซีเลสเชียลเป็นมรดก14 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าโจเซฟ สมิธเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าจริงๆ ในการทำให้เกิดการฟื้นฟูพระกิตติคุณ!

เพราะการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราจึงเข้าใจความสำคัญของการกลับใจและ “งานแห่งความชอบธรรม”15 เราเข้าใจความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด ตลอดจนศาสนพิธีและพันธสัญญาแห่งความรอดของพระองค์ รวมทั้งที่ประกอบในพระวิหาร

“งานแห่งความชอบธรรม” กำเนิดเกิดผลจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใส การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงเกิดจากการตั้งใจยอมรับและมุ่งมั่นทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า16 ผลลัพธ์และพรมากมายที่หลั่งไหลมาจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใสคือสันติสุขแท้จริงที่มั่นคงถาวรกับความเชื่อมั่นส่วนตัวว่าจะได้รับความสุขสูงสุด17—แม้มีมรสุมในชีวิตนี้

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสในพระผู้ช่วยให้รอดเปลี่ยนมนุษย์ปุถุชนมาเป็นคนเกิดใหม่ที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์—คนใหม่ในพระคริสต์พระเยซู18

หลายคนถูกกันไว้จากความจริงเพราะพวกเขาหารู้ไม่ว่าจะพบได้จากที่ใด

มีข้อผูกมัดอะไรบ้างที่มาจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใส? ในคุกลิเบอร์ตี้ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟบันทึกว่าหลายคน “ถูกกันไว้จากความจริงเพราะพวกเขาหารู้ไม่ว่าจะพบได้จากที่ใด”19

ในคำปรารภที่พระเจ้าประทานไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญาได้แถลงภาพรวมของจุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีให้เรา พระองค์ทรงประกาศว่า “ดังนั้น, เรา พระเจ้า, โดยรู้ภัยพิบัติซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลก, จึงเรียกหาผู้รับใช้ของเรา โจเซฟ สมิธ, จูเนียร์, และพูดกับเขาจากสวรรค์, และให้บัญญัติเขา” ทรงสอนเพิ่มเติมว่า “เพื่อความสมบูรณ์แห่งกิตติคุณของเราจะได้รับการประกาศโดยคนอ่อนแอและคนต่ำต้อยถึงสุดแดนแผ่นดินโลก”20 ซึ่งรวมถึงผู้สอนศาสนาเต็มเวลา รวมถึงเราแต่ละคน นี่ควรเป็นจุดโฟกัสอันแน่วแน่สำหรับทุกคนที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื้อเชิญเราให้เป็นสุรเสียงและพระหัตถ์ของพระองค์21 ความรักของพระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นแสงนำทางเรา พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนเหล่าสาวกว่า “เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและสอนชนทุกชาติ”22 และทรงประกาศต่อโจเซฟ สมิธว่าจง “สั่งสอนกิตติคุณของเราแก่ชาวโลกทั้งปวงผู้ที่ยังไม่ได้รับ”23

หนึ่งสัปดาห์หลังการอุทิศพระวิหารเคิร์ทแลนด์ในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1836 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์และปัสกาด้วย พระเจ้าทรงปรากฏในนิมิตอันงดงามต่อโจเซฟและออลิเวอร์ คาวเดอรี พระเจ้าทรงยอมรับพระวิหารและประกาศว่า “นี่เป็นการเริ่มต้นพรซึ่งจะเทลงบนศีรษะผู้คนของเรา”24

หลังจากนิมิตนี้สิ้นสุด โมเสสมาปรากฏ “และมอบหมาย … กุญแจทั้งหลายของการรวบรวมอิสราเอลจากสี่ส่วนของแผ่นดินโลก, และการนำเผ่าทั้งสิบมาจากแผ่นดินทางเหนือ”25

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันศาสดาพยากรณ์ที่รักของเราในปัจจุบันผู้ถือกุญแจเดียวกันนี้ สอนในเช้านี้ว่า: “เยาวชนชายทั้งหลาย พระองค์ทรงสงวนท่านไว้สำหรับเวลานี้เมื่อการรวบรวมอิสราเอลที่สัญญาไว้กำลังเกิดขึ้น เมื่อท่านรับใช้งานเผยแผ่ ท่านมีบทบาทสำคัญยิ่งในเหตุการณ์นี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”26

เพื่อให้อาณัติของพระผู้ช่วยให้รอดที่ให้แบ่งปันพระกิตติคุณกลายเป็นตัวตนส่วนหนึ่งของเรา เราต้อง เปลี่ยนใจเลื่อมใส มาสู่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เราต้อง รัก เพื่อนบ้านของเรา แบ่งปัน พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ และ เชื้อเชิญ ให้ทุกคนมาดู ในฐานะสมาชิกศาสนจักร เรายึดมั่นคำตอบที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟให้แก่จอห์น เวนท์เวิร์ธ บรรณาธิการของ Chicago Democrat ในปี 1842 เขาขอข้อมูลเกี่ยวกับศาสนจักร โจเซฟสรุปคำตอบโดยใช้ “มาตรฐานความจริง” เป็นบทนำไปสู่หลักแห่งความเชื่อสิบสามข้อ มาตรฐานนี้ถ่ายทอดสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จด้วยข้อความสั้นกระชับ:

“มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้ การข่มเหงอาจทวีความรุนแรง ฝูงชนอาจชุมนุมกันต่อต้าน กองทัพอาจรวมตัวกันเพื่อคุกคาม การสบประมาทอาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ความจริงของพระผู้เป็นเจ้าจะออกไปอย่างองอาจ มีเกียรติ และเป็นอิสระ จนกว่าจะเข้าไปสู่ทุกทวีป ไปเยือนทุกถิ่น ไปยังทั่วทุกประเทศ และ ก้องอยู่ในทุกหู จนกว่าจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ และพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแล้ว”27

นี่เป็นเสียงป่าวเรียกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมาหลายรุ่น โดยเฉพาะผู้สอนศาสนา ตามเจตนารมณ์ของ “มาตรฐานแห่งความจริง” เราขอขอบคุณที่แม้เกิดการระบาดไปทั่วโลกผู้สอนศาสนาที่ซื่อสัตย์ก็ยังแบ่งปันพระกิตติคุณ ผู้สอนศาสนาทั้งหลาย เรารักท่าน! พระเจ้าทรงขอให้เราแต่ละคนแบ่งปันพระกิตติคุณในคำพูดและการกระทำ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสส่วนตัวของเราครอบคลุมถึงความรับผิดชอบในการแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์กับชาวโลก

พรของการแบ่งปันพระกิตติคุณครอบคลุมถึงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นและให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยในชีวิตเรา28 เราเป็นพรให้ผู้อื่นประสบ “การเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง” ในใจ29 มีปีตินิรันดร์จริงๆ ในการช่วยนำจิตวิญญาณมาหาพระคริสต์30 การทำงานเพื่อให้ตัวเองและคนอื่นๆ เปลี่ยนใจเลื่อมใสเป็น ภารกิจอันสูงส่ง31 ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ข้าพเจ้ารับใช้ในคณะเผยแผ่บริติชตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1960 จนถึงวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1962.

  2. ชายหนุ่มคนอื่นต้องไปเกณฑ์ทหาร.

  3. หลังกลับจากงานเผยแผ่ โจสำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์และเป็นแพทย์ที่ประสบความสำเร็จ งานเผยแผ่เตรียมเขาให้พร้อมเป็นอธิการ ประธานสเตค ผู้แทนเขต และประธานคณะเผยแผ่เช่นกัน.

  4. ดู โมโรไน 10:4. ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนแล้ว เนื่องด้วยความจริงจังของปัญหานี้ในครอบครัวเรา ข้าพเจ้าจึงสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริง.

  5. ดู วิสุทธิชน: เรื่องราวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย เล่ม 1, มาตรฐานแห่งความจริง, 1815–1846 (2018), และ vol. 2, No Unhallowed Hand, 1846–1893 (2020).

  6. การแปลเริ่มต้นวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1829 และเสร็จสมบูรณ์ราววันที่หนึ่งของเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1829 ดีมากๆ ที่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแปล ข้าพเจ้าชื่นชอบการอ่านต้นฉบับของผู้พิมพ์และต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์มอรมอนที่จัดพิมพ์เป็นเล่ม 3 และ 5 ในชุด Revelations and Translations ของ The Joseph Smith Papers ทั้งสองเล่มมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์.

  7. Frederic W. Farrar, Eternal Hope: Five Sermons Preached in Westminster Abbey, November, and December 1877 (1892), xxii.

  8. นิมิตรวมถึงคนที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องพระคริสต์ในชีวิตนี้ เด็กที่เสียชีวิตก่อนวัยที่รับผิดชอบได้ และคนที่ไม่มีความเข้าใจ.

  9. หลักคำสอนและพันธสัญญา 76:89.

  10. ดู ยอห์น 5:29.

  11. ฟาร์ราร์ศึกษาที่วิทยาลัยคิงส์ที่ลอนดอน และวิทยาลัยทรินิตี้ที่แคมบริดจ์ เขาเป็นนักบวชนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ (แองกลิกัน) ผู้ช่วยบาทหลวงแห่งเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ เจ้าคณะมหาวิหารแคนเทอร์เบอรี และอนุศาสนาจารย์ในราชวงศ์.

  12. ดู Frederic W. Farrar, The Life of Christ (1874).

  13. ดู Farrar, Eternal Hope, xxxvi–xxxvii. เฟรเดอริก ฟาร์ราร์รู้สึกว่าต้องแก้ไขคำสอนเรื่อง “สภาพการลงทัณฑ์” และ “นรก” เขาประกาศหนักแน่นในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ข้อเท็จจริงอันเรียบง่าย ไม่อาจปฏิเสธได้ และไม่อาจโต้แย้งได้ … คำกริยา ‘ลงทัณฑ์’ และคำที่มาจากรากศัพท์เดียวกันไม่เคยปรากฏสักครั้งในพันธสัญญาเดิม ไม่มีคำถ่ายทอดความหมายเช่นนั้นในภาษากรีกของพันธสัญญาใหม่” เขาอธิบายต่อไปว่าคำว่า สภาพการลงทัณฑ์ นั้นเป็น “การแปลผิดมหันต์ … [และ] บิดเบือนและปิดบังความหมายแท้จริงของพระดำรัสของพระเจ้า” (Eternal Hope, xxxvii). ฟาร์ราร์ชี้ให้เห็นเช่นกันว่าแสนยานุภาพท่วมท้นของพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักซึ่งมีอยู่ทั่วพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่านิยามของ นรก และ สภาพการลงทัณฑ์ ที่ใช้ในงานแปลภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง (ดู Eternal Hope, xiv–xv, xxxiv, 93; ดู เควนทิน แอล. คุก, “แผนของพระบิดาของเรา—เหมาะสมสำหรับลูกทุกคนของพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 41–45) ด้วย.

  14. ความสัมพันธ์ระหว่างการกลับใจกับการชดใช้อธิบายไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 19:15–18, 20 นอกจากนี้ โทษอันหาได้สิ้นสุดไม่ยังอธิบายไว้ชัดเจนใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 19:10–12 ด้วย.

  15. หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:23.

  16. ดู โมไซยาห์ 27:25; หลักคำสอนและพันธสัญญา 112:13; ดู เดล อี. มิลเลอร์, “นำสันติสุขและการเยียวยามาให้จิตวิญญาณท่าน,” เลียโฮนา, พ.ย. 2004, 12–14 ด้วย.

  17. ดู โมไซยาห์ 2:41.

  18. ดู ดัลลิน เอช.โอ๊คส์, “การท้าทายเพื่อที่จะเป็น,” เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 48; ดู 2 โครินธ์ 5:17; คู่มือพระคัมภีร์, “เปลี่ยนใจเลื่อมใส (การ)” ด้วย.

  19. หลักคำสอนและพันธสัญญา 123:12.

  20. หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:17, 23.

  21. ถ้านั่นเป็นความปรารถนาของเรา เราย่อม “ได้รับเรียกมายังงาน” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 4:3; ดู โธมัส เอส. มอนสัน, “ได้รับเรียกให้ทำงาน,” เลียโฮนา, มิ.ย. 2017, 4–5 ด้วย).

  22. มัทธิว 28:19.

  23. หลักคำสอนและพันธสัญญา 112:28.

  24. หลักคำสอนและพันธสัญญา 110:10.

  25. หลักคำสอนและพันธสัญญา 110:11.

  26. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ประกาศพระกิตติคุณแห่งสันติสุข,” เลียโฮนา, พ.ค. 2022, 6–7; ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ความหวังอิสราเอล” (การให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับเยาวชนทั่วโลก, 3 มิ.ย. 2018), HopeofIsrael.ChurchofJesusChrist.org ด้วย.

  27. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 444.

  28. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัย,” เลียโฮนา, พ.ย. 2020, 92–95.

  29. แอลมา 5:14.

  30. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:15; ดู ยากอบ 5:19–20 ด้วย.

  31. ดู แอลมา 26:22; หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:13–16; ดู คู่มือพระคัมภีร์, “เปลี่ยนใจเลื่อมใส (การ)” ด้วย.