คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 8: นำพระกิตติคุณไปให้ชาวโลก


บทที่ 8

นำพระกิตติคุณไปให้ชาวโลก

“เราอยู่ในงานของการช่วยจิตวิญญาณให้รอด ของการเชื้อเชิญผู้คนให้มาหาพระคริสต์”

จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

คริสต์ศักราช 1979 เอ็ลเดอร์ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกโคว-รัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่ออย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้เราจะเห็นความก้าวหน้ามากที่สุดบางอย่างในการกระจายพระกิตติคุณไปยังชนทุกชาติซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยการประทานนี้หรือสมัยการประทานก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเราจะสามารถหวนนึกถึงความหลัง … และบันทึกได้เช่นเดียวกับลูกาว่า ‘การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น’ (กิจการของอัครทูต 6:7)1

สมัยที่เอ็ลเดอร์ฮันเตอร์พูดถ้อยคำเหล่านี้ มีข้อจำกัดทางการเมืองห้ามผู้สอนศาสนาสอนพระกิตติคุณในประเทศส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกและในสหภาพโซเวียต ภายใน 10 ปี ข้อจำกัดหลายข้อเริ่มถูกยกเลิก คริสต์ศักราช 1989 และ 1990 กำแพงเบอร์ลินซึ่งแยกเยอรมันตะวันตกกับเยอรมันตะวันออกเกือบ 30 ปีถูกทุบทิ้ง ประธานฮันเตอร์กำลังรับใช้เป็นประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองเวลานั้น และท่านแสดงความคิดต่อไปนี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นและการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกว่า

“ความสนใจส่วนใหญ่ในช่วงนี้ทุ่มเทให้แก่กำแพงเบอร์ลิน แน่นอนว่าเราทุกคนดีใจที่ได้เห็นว่ากำแพงพังลงมา เพราะนั่นหมายถึงเสรีภาพที่เกิดขึ้นใหม่ … ขณะที่เราพยายามเข้าใจวิญญาณของความปรองดองที่คนทั่วโลกรู้สึกและให้ความหมายในบริบทพระกิตติคุณ เราต้องถามตัวเราว่า ไม่ใช่พระหัตถ์ของพระเจ้าหรอกหรือที่กำลังขจัดอุปสรรคทางการเมืองและเปิดช่องในกำแพงที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถรุกรานได้ให้แก่การสอนพระกิตติคุณตามแผนและตารางเวลาของพระองค์”2

ประธานฮันเตอร์รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้วางความรับผิดชอบสำคัญไว้ให้สมาชิกของศาสนจักร ท่านกล่าวว่า ยิ่งหลายประเทศเปิดรับงานเผยแผ่ศาสนามากเท่าใด เรายิ่งต้องการผู้สอนศาสนามากเท่านั้นเพื่อทำงานมอบหมายในการนำพระกิตติคุณไปสู่ชาวโลกให้เกิดสัมฤทธิผล3

ความกระตือรือร้นของประธานฮันเตอร์ในการยื่นมือช่วยเหลือบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือศาสนา ประจักษ์ชัดในงานของท่านในตะวันออกลาง ฝ่ายประธานสูงสุดให้งานมอบหมายสำคัญแก่ท่านในเยรูซาเล็ม รวมไปถึงการควบคุมดูแลงานก่อสร้างอุทยานอนุสรณ์ฮอร์สัน ไฮด์ และศูนย์เยรูซาเล็มมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์เพื่อการศึกษาเรื่องตะวันออกใกล้ ถึงแม้เขตดังกล่าวจะไม่อนุญาตให้เผยแพร่ศาสนา แต่ประธานฮันเตอร์สร้างมิตรภาพอันยั่งยืนในหมู่คนที่ท่านทำงานด้วย ทั้งชาวยิวและชาวอาหรับ “จุดประสงค์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือทำให้เกิดความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และภารดรภาพขั้นสูงสุด” ท่านกล่าว4

ในการทำงานของท่านกับบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าทั่วโลก ข่าวสารของประธานฮันเตอร์เหมือนเดิม “เราเป็นพี่น้องของท่าน—เราไม่ได้มองประเทศหรือชนชาติใดเป็นพลเมืองชั้นสอง เราเชื้อเชิญคนทั้งปวงให้ … ตรวจสอบข่าวสารของเราและรับมิตรภาพของเรา”5

ภาพ
ผู้สอนศาสนาในแอฟริกา

“พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ … เป็นความเชื่อสำหรับทั่วโลกและเป็นข่าวสารสำหรับทุกคน”

คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

1

พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้่นฟูมีไว้สำหรับทุกคน บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่าทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณที่เราสอนและศาสนพิธีที่เราประกอบ เป็นความเชื่อสำหรับทั่วโลกและเป็นข่าวสารสำหรับทุกคน ไม่ถูกจำกัดหรือเอนเอียงหรือขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์หรือสมัยนิยม แก่นสารของพระกิตติคุณเป็นจริงในสากลโลกและชั่วนิรันดร์ ข่าวสารของพระกิตติคุณมีไว้สำหรับคนทั้งโลก ได้รับการฟื้นฟูในยุคสุดท้ายเพื่อสนองความต้องการพื้นฐานของทุกประชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คนบนแผ่นดินโลก พระกิตติคุณได้รับการสถาปนาอีกครั้งเช่นที่เป็นมาในกาลเริ่มต้น—เพื่อสร้างความเป็นพี่น้อง ปกปักรักษาความจริง และช่วยจิตวิญญาณให้รอด …

ในข่าวสารของพระกิตติคุณ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวที่สืบตระกูลมาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ชายหญิงทั้งปวงไม่เพียงมีเชื้อสายทางกายย้อนกลับไปถึงอาดัมและเอวาบิดามารดาทางโลกคนแรกของพวกเขาเท่านั้น แต่มีมรดกทางวิญญาณย้อนกลับไปถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ด้วย ด้วยเหตุนี้ทุกคนบนแผ่นดินโลกจึงเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริงในครอบครัวของพระผู้เป็นเจ้า

การเข้าใจและยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของทุกคนจะทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นค่าความห่วงใยที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อพวกเขาและความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อกันได้ดีที่สุด นี่เป็นข่าวสารแห่งชีวิตและความรักที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับประเพณีทั้งหมดบนพื้นฐานของเชื้อชาติ ภาษา จุดยืนทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ระดับการศึกษา หรือภูมิหลังทางวัฒนธรรม เพราะเราทุกคนมีเชื้อสายเดียวกันทางวิญญาณ เรามีต้นตระกูลอันสูงส่ง ทุกคนเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า

ในทัศนะพระกิตติคุณ ไม่มีช่องว่างสำหรับทัศนะที่คับแคบหรือมีอคติ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ความรักเป็นคุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และผู้ปรารถนาจะเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าควรแสดงให้เห็นคุณลักษณะดังกล่าว คนที่เปี่ยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าไม่พอใจเพียงเป็นพรแก่ครอบครัวตนเท่านั้น แต่จะขยายขอบเขตไปทั่วโลกเพราะเขาปรารถนาจะเป็นพรแก่เผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของมนุษย์” [คำสอนของประธานศาสนาจักร:โจเซฟ สมิธ (2007), 357] …

พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูเป็นข่าวสารแห่งความรักสำหรับคนทั้งปวงทุกแห่งหน บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน ข่าวสารในเบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาถ่ายทอดไว้อย่างไพเราะในคำแถลงของฝ่ายประธานสูงสุดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978

“ตามการเปิดเผยสมัยโบราณและปัจจุบัน ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายยินดีสอนและประกาศหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ว่าชายหญิงทุกคนเป็นพี่น้องกัน ไม่เฉพาะโดยความสัมพันธ์ตามสายโลหิตจากบรรพบุรุษที่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นลูกทางวิญญาณของพระบิดานิรันดร์ด้วย” [คำแถลงของฝ่ายประธานสูงสุดเกี่ยวกับความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ, 15 ก.พ. 1978]

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีวิธีที่สร้างสรรค์และครอบคลุมในการปฏิบัติต่อคนที่นับถือศาสนาต่างจากเรา เราเชื่อว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงของเราอย่างแท้จริง เราเป็นบุตรและธิดาของพระบิดาบนสวรรค์องค์เดียวกัน เรามีเชื้อสายเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า6

2

ศาสนจักรมีพันธกิจในการสอนพระกิตติคุณแก่ทุกประชาชาติ

ศาสนจักรเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก มีพันธกิจต่อทุกประชาชาติ “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

“และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้” (มัทธิว 28:19-20) พระดำรัสเหล่านี้จากพระโอษฐ์ของพระอาจารย์ไม่มีขอบเขตด้านเชื้อชาติ ไม่จำกัดเฉพาะเผ่าพันธุ์หรือวัฒนธรรมใด ไม่มีประชาชาติหนึ่งเป็นที่โปรดปรานเหนือประชาติอื่น พระดำรัสเตือนชัดเจน—“สอนชน ทุก ชาติ” …

ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเจ้า เราต้องยกวิสัยทัศน์ของเราเหนืออคติส่วนตัว เราต้องค้นพบความจริงอันล้ำเลิศที่ว่าโดยแท้แล้วพระบิดาของเราไม่ทรงลำเอียง บางครั้งเราทำให้พี่น้องชายหญิงประชาชาติอื่นขุ่นข้องหมองใจมากเกินไปด้วยการคบคนชาติหนึ่งมากกว่าคนอีกชาติหนึ่ง …

ลองนึกภาพบิดาที่มีบุตรชายหลายคน แต่ละคนมีนิสัยใจคอ ความถนัด และคุณลักษณะทางวิญญาณต่างกัน เขารักบุตรชายคนหนึ่งน้อยกว่าอีกคนหนึ่งไหม บางทีบุตรชายที่อ่อนแอทางวิญญาณมากที่สุดอาจได้รับความเอาใจใส่ การสวดอ้อนวอน และคำขอร้องจากบิดามากกว่าคนอื่นๆ นี่หมายความว่าเขารักคนอื่นน้อยกว่าอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักลูกหลานเชื้อชาติหนึ่งมากกว่าอีกเชื้อชาติหนึ่งไหม ในฐานะสมาชิกศาสนจักร เราต้องเตือนตนเองด้วยคำถามท้าทายของนีไฟ “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีประชาชาติมากกว่าหนึ่งประชาชาติ?” (2 นีไฟ 29:7) …

ถึงพี่น้องของเราทุกเชื้อชาติ เรากล่าวคำพยานอย่างเป็นทางการและเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัสในวันและเวลาของเราแล้ว พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มา พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยพระดำริและพระประสงค์ของพระองค์ต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ …

เฉกเช่นพระบิดาของเราทรงรักบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ เราต้องรักทุกคน—ทุกเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม และเชื้อชาติ—สอนหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณแก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะน้อมรับและมาสู่ความรู้เรื่องความเป็นพระเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอด7

ขณะที่เราพยายามสร้างความเป็นพี่น้องและสอนความจริงที่ได้รับการเปิดเผยด้วยความอ่อนน้อม เรากำลังกล่าวกับคนของโลกถึงสิ่งที่ประธานจอร์จ อัลเบิร์ต สมิธแนะนำไว้ด้วยความรักว่า

“เราไม่ได้มาเพื่อนำความจริงและคุณธรรมที่ท่านครอบครองไปจากท่าน เราไม่ได้มาเพื่อจับผิดท่านหรือวิพากษ์วิจารณ์ท่าน … จงรักษาความดีทั้งหมดที่ท่านมี และขอให้เรานำความดีมาให้ท่านมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อท่านจะมีความสุขมากขึ้นและทั้งนี้เพื่อท่านจะพร้อมเข้าไปในที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์”8

เราอยู่ในงานแห่งการช่วยจิตวิญญาณให้รอด การเชื้อเชิญผู้คนให้มาหาพระคริสต์ และนำพวกเขาเข้าสู่น้ำบัพติศมาเพื่อพวกเขาจะก้าวหน้าต่อไปตามเส้นทางที่นำสู่ชีวิตนิรันดร์ โลกนี้ต้องการพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณให้หนทางเดียวที่โลกจะรู้จักสันติสุข9

ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราหมายมั่นจะนำความจริงทั้งมวลมารวมกัน เราหมายมั่นจะขยายแวดวงความรักความเข้าใจในหมู่คนทั้งผองของแผ่นดินโลก ด้วยเหตุนี้เราจึงพยายามสถาปนาสันติภาพและความสุข ไม่เฉพาะในศาสนาคริสต์เท่านั้นแต่ในบรรดามนุษยชาติทั้งปวงด้วย …

ว่าโจเซฟ [สมิธ] เป็นเครื่องมือในการสถาปนา แม้ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ซึ่งเวลานี้เป็นศาสนาที่ออกไปทั่วโลก ไม่เพียงเพราะมีสมาชิกอยู่ทั่วโลกเท่านั้น แต่หลักๆ คือเพราะศาสนจักรมีข่าวสารครอบคลุมกว้างขวางบนพื้นฐานการยอมรับความจริงทั้งหมดที่ได้รับการฟื้นฟูเพื่อสนองความต้องการของมวลมนุษยชาติ

… เราส่งข่าวสารแห่งความรักและความหวังนี้ให้คนทั้งโลก จงมาหาพระผู้เป็นเจ้าแห่งความจริงทั้งมวล ผู้ยังคงตรัสกับบุตรธิดาของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ จงฟังข่าวสารของพระองค์ผู้ยังคงทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์มาสั่งสอนพระกิตติคุณอันเป็นนิจแก่ทุกประชาชาติ, ตระกูล, ภาษา, และผู้คน จงมารับประทานอาหารบนโต๊ะที่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายวางไว้ตรงหน้าท่าน จงร่วมกับเราขณะที่เราหมายมั่นจะติดตามพระเมษบาลผู้ประเสริฐผู้ทรงจัดเตรียมอาหาร10

ภาพ
ผู้สอนศาสนากำลังศึกษา

“เราอยู่ในงานแห่งการช่วยจิตวิญญาณให้รอด”

3

คนที่เคยประสบพรแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดที่จะแสดงประจักษ์พยานถึงพระองค์

การชดใช้เกี่ยวข้องอะไรกับงานเผยแผ่ศาสนา ทุกครั้งที่ประสบพรแห่งการชดใช้ในชีวิต เราอดไม่ได้ที่จะห่วงใยความผาสุกของ [ผู้อื่น]

ตัวอย่างมากมายในพระคัมภีร์มอรมอนแสดงให้เห็นหลักธรรมนี้ เมื่อลีไฮรับส่วนผลของต้นไม้อันเป็นสัญลักษณ์ของการรับส่วนการชดใช้ เขากล่าวว่า “พ่อเริ่มปรารถนาให้ครอบครัวของพ่อได้รับส่วนของผลนั้นด้วย” (1 นีไฟ 8:12) เมื่ออีนัสประสบกับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสและได้รับการอภัยบาปเพราะศรัทธาของเขาในพระเยซูคริสต์ เขากล่าว่า “ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกปรารถนาให้ชาวนีไฟ, พี่น้องของข้าพเจ้ามีความผาสุก” (อีนัส 1:9) จากนั้นเขาสวดอ้อนวอนให้ชาวเลมัน ศัตรูที่ไม่ปรานีชาวนีไฟ จากนั้นมีตัวอย่างของบุตรสี่คนของโมไซยาห์—แอมัน แอรัน ออมเนอร์ และฮิมไน—ผู้ได้รับการอภัยบาปผ่านการชดใช้แล้วทำงานหนักเป็นเวลาหลายปีท่ามกลางชาวเลมันเพื่อนำพวกเขามาสู่พระคริสต์ บันทึกกล่าวว่าพวกเขาทนไม่ได้กับความคิดที่ว่าจิตวิญญาณใดจะต้องพินาศ (โมไซยาห์ 28:3)

แบบอย่างอันสูงส่งของคนที่ทำพันธสัญญาซึ่งปรารถนาจะแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นนั้นแสดงออกได้อย่างดีที่สุดจากแบบอย่างของแอลมาผู้บุตร ข้าพเจ้าประสงค์จะอ่านประจักษ์พยานของเขาให้ท่านฟัง …

“… นับแต่เวลานั้นมาแม้จนถึงบัดนี้, พ่อทำงานโดยไม่หยุด, เพื่อพ่อจะได้นำจิตวิญญาณมาสู่การกลับใจ; เพื่อพ่อจะนำพวกเขามาลิ้มรสของปีติยิ่งซึ่งพ่อลิ้มรสแล้ว; เพื่อพวกเขาจะได้เกิดจากพระผู้เป็นเจ้าด้วย, และเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” [แอลมา 36:24; ดู แอลมา 36:12–23ด้วย]

ตัวบ่งชี้อันสำคัญที่บอกถึงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของบุคคลคือความปรารถนาจะแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่น ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงมอบภาระหน้าที่ให้สมาชิกทุกคนของศาสนจักรเป็นผู้สอนศาสนา

จงฟังพันธสัญญาที่คนรับไว้เมื่อเขารับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักร

“เมื่อท่านปรารถนาจะเข้ามาสู่คอกของพระผู้เป็นเจ้า และเรียกว่าเป็นผู้คนของพระองค์ และเต็มใจจะแบกภาระของกันและกัน เพื่อมันจะได้เบา;

“แท้จริงแล้ว และเต็มใจที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า; แท้จริงแล้ว และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน และยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาและในทุกสิ่ง และในทุกแห่งที่ท่านอยู่ แม้จนถึงความตาย เพื่อท่านจะได้รับการไถ่จากพระผู้เป็นเจ้า และนับอยู่กับบรรดาคนของการฟื้นคืนชีวิตครั้งแรก เพื่อท่านจะมีชีวิตนิรันดร์” (โม-ไซยาห์ 18:8–9)

เราต้องยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา [และ] ในทุกแห่งแม้จนถึงความตาย เราต่อพันธสัญญานั้นระหว่างศีลระลึกเมื่อเราทำพันธสัญญาว่าจะรับพระนามของพระคริสต์ไว้กับเรา

การรับใช้งานเผยแผ่เป็นวิธีสำคัญวิธีหนึ่งที่เรารับพระนามของพระองค์ไว้กับเรา พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าถ้าเราปรารถนาจะรับพระนามของพระองค์ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว เราจะได้รับเรียกให้ไปทั่วโลกเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณของพระองค์แก่ชาวโลกทั้งปวง (ดู คพ. 18:28) …

พวกเราที่รับส่วนการชดใช้ล้วนมีภาระหน้าที่ต้องแสดงประจักษ์พยานอย่างซื่อสัตย์เกี่ยวกับพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา … การขอให้แบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรามีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์และต่อพระผู้ช่วยให้รอดตลอดจนสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา11

4

ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างที่ขัดขวางการแบ่งปันพระกิตติคุณ

ขณะที่กำแพงในยุโรปตะวันออก … และอีกหลายภูมิภาคของโลกพังทลายลง ความต้องการให้ผู้สอนศาสนาทำงานมอบหมายในการนำพระกิตติคุณไปให้ชาวโลกจึงมากตามไปด้วย! เราพร้อมจะตอบรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นหรือไม่

เพื่อตอบรับความต้องการใหม่ในงานเผยแผ่ศาสนาอันสำคัญยิ่งนี้ของวันเวลาสุดท้าย บางทีพวกเราบางคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นสูงอายุที่ลูกๆ โตหมดแล้ว) จำเป็นต้องประเมินอย่างจริงจังเพื่อดูว่าเราต้องพัง “กำแพง” ที่เราสร้างไว้ในจิตใจเราหรือไม่

ตัวอย่างเช่น “กำแพงความสบาย” ที่ดูเหมือนขัดขวางสามีภรรยาหลายคู่และคนโสดหลายคนไม่ให้ไปทำงานเผยแผ่ “กำแพงการเงิน” ของหนี้ที่ทำให้สมาชิกบางคนไปไม่สามารถไปได้ หรือ “กำแพงหลานๆ” หรือ “กำแพงสุขภาพ” หรือ “กำแพงของการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง” หรือ “กำแพงความพอใจตนเอง” หรือ “กำแพงการล่วงละเมิด” หรือกำแพงแห่งความกลัว ความสงสัย หรือความพึงพอใจ มีใครสงสัยสักนาทีหรือไม่ว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าเขาสามารถทำให้กำแพงเหล่านั้นพังลงได้

เราได้รับสิทธิพิเศษให้เกิดมาในวันเวลาสุดท้ายนี้ ตรงข้ามกับบางสมัยการประทานก่อนหน้านี้ ให้ช่วยนำพระกิตติคุณไปทั่วแผ่นดินโลก ไม่มีการเรียกใดในชีวิตยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ถ้าเราพอใจจะซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงที่เราสร้างขึ้นเอง แสดงว่าเรายอมทิ้งพรที่เป็นของเรา พระเจ้าทรงอธิบายความต้องการเร่งด่วนในการเปิดเผยยุคปัจจุบันดังนี้

“เพราะดูเถิด ทุ่งขาวพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว; และดูสิ, คนที่ยื่นเคียวเข้ามาด้วยเรี่ยวแรงของเขา, คนคนนั้นย่อมสะสมไว้เพื่อเขาจะหาพินาศไม่, แต่นำความรอดมาสู่จิตวิญญาณของเขา” (คพ. 4:4)

พระเจ้าทรงอธิบายต่อไปในการเปิดเผยเดียวกันถึงคุณสมบัติที่เราต้องมีเพื่อเป็นผู้สอนศาสนาที่ดี โดยทราบความอ่อนแอและข้อจำกัดของเราเป็นอย่างดีขณะที่เรายืนหน้าประตูบานใหญ่ของกำแพงที่เราสร้างขึ้นเอง พระองค์ทรงรับรองกับเราว่าจะทรงช่วยเราเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายถ้าเราจะเพียงทำส่วนของเรา ด้วยพระสัญญาเรียบง่ายนี้ “ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า.” (คพ. 4:7)

ขอพระเจ้าประทานพรเราอย่าให้กำแพงของจิตใจเราขัดขวางไม่ให้เราได้รับพรที่จะเป็นของเรา12

ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัย พระเจ้าทรงขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นทั้งคำเชื้อเชิญและคำท้าทาย กับเปโตรและอันดรูว์ พระคริสต์ตรัสว่า “จงตามเรามา และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” (มัทธิว 4:19) …

ศาสดาพยากรณ์ก่อนหน้านี้ได้สอนว่าเยาวชนชายที่สามารถและมีค่าควรทุกคนควรรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา ข้าพเจ้าเน้นย้ำความต้องการนี้ในปัจจุบัน เราต้องการมากเช่นกันอยากให้คู่สามีภรรยาที่สามารถและมีวุฒิภาวะรับใช้ในสนามเผยแผ่ พระเยซูรับสั่งกับเหล่าสาวกว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” (ลูกา 10:2)13

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ไตร่ตรองคำสอนของประธานฮันเตอร์ในเรื่องที่ว่าพระกิตติคุณมีไว้สำหรับทุกคนบนพื้นฐานของความจริงที่ว่าเราทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า (ดู หัวข้อ 1) เมื่อเราแบ่งปันพระกิตติคุณ จะช่วยให้เราจำได้อย่างไรว่าแต่ละคนเป็นพี่น้องเราจริงๆ

  • เราเรียนรู้อะไรบ้างจากคำสอนของประธานฮันเตอร์ในหัวข้อ 2 ที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับบุตรธิดาของพระองค์ ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อรักทุกคนและแบ่งปันพระกิตติคุณกับพวกเขาได้ดีขึ้น

  • ท่านจะตอบคำถามของประธานฮันเตอร์อย่างไรว่า “การชดใช้เกี่ยวข้องอะไรกับงานเผยแผ่ศาสนา” (ดู หัวข้อ 3) ท่านจะเพิ่มความปรารถนาในการแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นได้อย่างไร พรใดมาถึงท่านเมื่อท่านแบ่งปันพระกิตติคุณกับคนบางคน—หรือเมื่อมีคนแบ่งปันพระกิตติคุณกับท่าน

  • หลังจากศึกษาหัวข้อ 4 ให้พิจารณา “กำแพง” ที่ขวางกั้นไม่ให้ท่านได้รับพรของงานเผยแผ่ศาสนา สนทนาวิธีเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

อาโมส 9:9; 2 นีไฟ 2:6–8; โมไซยาห์ 28:1–3; แอลมา 26:37; คพ. 18:10–16; 58:64; 68:8; 88:81; 90:11; 123:12; โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:31

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“พระวิญญาณบริสุทธิ์อาจกระตุ้นเตือนคนที่ท่านสอนหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นให้เสนอความคิดที่ผู้อื่นต้องการได้ยิน จงเปิดรับการกระตุ้นเตือนที่ให้เชิญคนนั้น ท่านอาจรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าต้องถามบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้อาสาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของเขา” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 63)

อ้างอิง

  1. “All Are Alike unto God,” Ensign, June 1979, 74.

  2. “Walls of the Mind,” Ensign, Sept. 1990, 9–10.

  3. ดู “Walls of the Mind,” 10.

  4. “All Are Alike unto God,” 74.

  5. “All Are Alike unto God,” 74.

  6. “The Gospel—A Global Faith,” Ensign, Nov. 1991, 18–19.

  7. “All Are Alike unto God,” 72–74.

  8. “The Gospel—A Global Faith,” 19; คำแถลงของจอร์จ อัลเบิร์ต สมิธใน คำสอนของประธานศาสนาจักร: จอร์จ อัลเบิร์ต สมิธ (2011), 152.

  9. “Follow the Son of God,” Ensign, Nov. 1994, 88.

  10. “Come to the God of All Truth,” Ensign, Sept. 1994, 73.

  11. “The Atonement of Jesus Christ” (คำปราศรัยที่การสัมมนาประธานคณะเผยแผ่ 24 มิถุนายน 1988), 4–7, Church History Library, Salt Lake City; ดู The Teachings of Howard W. Hunter, ed. Clyde J. Williams (1997), 248–49 ด้วย.

  12. “Walls of the Mind,” 10.

  13. “Follow the Son of God,” 88.