2019
รู้สึก “ดีพอ”: 3 วิธีเอาชนะการมองตนเองในแง่ลบ
สิงหาคม 2019


คนหนุ่มสาว

รู้สึก “ดีพอ”: 3 วิธีเอาชนะการมองตนเองในแง่ลบ

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา

ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลทำให้สุขภาพของผมย่ำแย่และถึงกับมองตนเองแย่ลง แต่มีอยู่สามสิ่งที่ช่วยให้ผมรักตัวเองอีกครั้ง

ภาพ
man looking at sunset

“คุณไม่ดีพอ”

คำพูดเหล่านั้นแขวนอยู่บนผนังห้องใต้ดินในบ้านของผม ที่นั่นมีห้องเล็กๆ ที่ผมออกกำลังกาย และเมื่อความคิดลบๆ เข้ามาในสมอง ผมจะจดความคิดเหล่านั้นและปักไว้บนกระดาน นั่นเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงความลำบากที่ผมเคยประสบและตัวตนเดิมที่ผมทิ้งไว้เบื้องหลัง

ผมบอกตัวเองมานานว่าผมไม่ดีพอ ผมรู้สึกซึมเศร้า วิตกกังวล และนั่นทำให้สุขภาพย่ำแย่ ผมกลุ้มใจ รู้สึกไร้ค่า รู้สึกสิ้นหวัง ผมเชื่อว่าผมไม่คู่ควรได้รับความรักจากพระผู้เป็นเจ้าหรือจากใคร

หนุ่มสาวอย่างพวกเราหลายคนอาจจะเคยประสบเวลาที่เรารู้สึกเหมือนเราไม่ดีพอ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสุขภาพ พรสวรรค์ หรือในกรณีของผมคือการมองตนเอง เมื่อเร็วๆ นี้ผมท้าทายตนเองให้พูดออกมาและปัดฝุ่นหน้าที่ซ่อนไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของผม ระหว่างสำรวจ ผมพบบางอย่างที่บ่มเพาะภาพลบๆ ในใจผมมานาน แต่ผมค้นพบสามวิธีต่อไปนี้ด้วยเพื่อเอาชนะการมองตนเองในแง่ลบ

1. เลิกเปรียบเทียบ

ผมเคยอ่านคำอ้างอิงจากธีโอดอร์ รูสเวลท์ที่ว่า “การเปรียบเทียบเป็นตัวขโมยความสุข” ในโลกที่ทุกคนบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนได้อย่างเสรีผ่านสื่อสังคมทำให้ผมรู้สึกว่าผมถูกการเปรียบเทียบที่ไม่เป็นจริงกับเพื่อน ครอบครัว และคนดังในสังคมบีบคั้นอยู่เสมอ ปมด้อยที่สุดของผมคือการถูกเปรียบเทียบกับความสำเร็จสูงสุดของอีกคนหนึ่ง และผมมักถูกทิ้งให้รู้สึกว่าไม่ดีพอ เวลาคิดลบกับตนเองเช่นนี้ ผมรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนกระบวนความคิด

ผมพักจากสื่อสังคมทุกรูปแบบและเริ่มคิดบวกกับตนเองและมองส่วนดีที่สุดในผู้อื่น ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นความคิดผมเริ่มเปลี่ยน ผมเลิกเปรียบเทียบข้อเสียของผมกับข้อดีของผู้อื่นอย่างที่เคยทำบ่อยๆ อันที่จริง ผมเริ่มชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่นในใจ! การปฏิบัติเช่นนี้ทลายกำแพงของความจองหองและความริษยาที่ผมสร้างมานานทันที สิ่งที่ตามมาคือจิตใจผมใสสะอาดและผมสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ไกลถึงนิรันดร

2. เห็นพ้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

ประสบการณ์ของเราบนแผ่นดินโลกบางครั้งดูด้อยลงเพราะเราตระหนักอย่างเป็นทุกข์ว่าเราเป็นสัตภาวะที่ไม่ดีพร้อม การมองตนเองและร่างกายตนเองในแง่ลบจึงทำลายชีวิตผมทุกด้าน เมื่อผมรู้สึกว่าน้ำหนักของความไม่ดีพร้อมเพิ่มขึ้น ผมจะหันมาทำสิ่งที่เป็นภัยแทนที่จะหันไปพึ่งพระเจ้า การกระทำเหล่านั้นก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีพร้อมที่บางครั้งหนักจนผมรู้สึกว่าไม่คู่ควรมีชีวิตอยู่ สุดท้ายที่เดียวที่ผมจะหันไปพึ่งได้คือพระเจ้า โดยผ่านความอ่อนน้อมถ่อมตนและการกลับใจ ผมพยายามเสมอต้นเสมอปลายมากขึ้นในการอ่านถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ด้วยความตั้งใจและสวดอ้อนวอนขอให้เข้าใจสภาพแวดล้อมของผมด้วยดวงตาสวรรค์

ไม่มีการทดลองใดใหญ่เกินไปเมื่อเราหันไปพึ่งพระเจ้าและยอมรับพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ในทางตรงกันข้าม การทดลองจะทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์เมื่อเราพยายามยัดเยียดความประสงค์ของเราให้อยู่เหนือพระประสงค์ของพระองค์ ผมพบความชัดเจนมากขึ้นเมื่อยอมรับพระประสงค์ของพระองค์ และเริ่มเห็นคุณค่าในตนเองแทนที่จะอยู่กับสภาพของความไม่ดีพอต่อไป

3. พัฒนาความรักที่บริบูรณ์

ใน โมโรไน 8:16 บอกเราว่า “ความรักที่บริบูรณ์ย่อมขับความกลัวออกไปสิ้น” ความรักที่บริบูรณ์เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลมากที่สุดขณะมองดูตัวเราในกระจกและทำความเข้าใจเรื่องคุณค่านิรันดร์ของตัวเราเองและคนรอบข้าง คือการมองเห็นตัวเราในแบบที่เราเป็นไม่ใช่เอากล้องจุลทรรศน์มาส่องดูข้อบกพร่องของเรา ความรักที่บริบูรณ์ไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก คือการให้อภัยความผิดพลาดในอดีตของตัวเราเองและผู้อื่นแล้วเดินไปข้างหน้าโดยให้สายตาจับจ้องอยู่ที่แสงแห่งรัศมีภาพนิรันดร์

ผมพบว่าผมจะพยายามรักแค่นั้นไม่ได้ ผมต้องเต็มไปด้วยความรักและให้ความรักกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวผม ภายในกำแพงรักที่บริบูรณ์เราพบธรรมชาติแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า—และธรรมชาติอันสูงส่งของเราเองด้วย—และเส้นทางที่พระองค์ทรงสร้างให้เรา

สุขภาพที่ดีขึ้นทางใจ ร่างกาย และวิญญาณทำให้ผมมีศรัทธาแรงกล้ามากขึ้นในจังหวะเวลาของพระเป็นเจ้าและความรักนิรันดร์ที่ทรงมีต่อผม บางครั้งผมรู้สึกเศร้ามาก แต่เมื่อผมเลิกเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น ทำให้ความประสงค์ของผมไปในแนวเดียวกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมเรียนรู้ที่จะรักตัวเองจริงๆ จุดหมายนิรันดร์ของผมกระจ่างชัดและผมพบสันติสุข ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีพลังมหาศาล เมื่อเราช้าลงและใช้เวลาค้นหาความรักนั้น พระองค์จะทรงช่วยให้เราเห็นว่าเราดีพอแม้ในช่วงอ่อนแอที่สุดของเรา