2017
ได้พันธสัญญาของดิฉันคืน
มิถุนายน 2017


ได้ พันธสัญญาของดิฉันคืน

ดิฉันเรียนรู้ว่าต้องหวงแหนพันธสัญญาของดิฉันหลังจากประสบกับการสูญเสียพันธสัญญาเหล่านั้นผ่านการปัพพาชนียกรรม

ภาพ
distraught woman

ภาพประกอบโดย ดิลลีน มาร์ช

ดิฉันเติบโตในศาสนจักร รับบัพติศมาและการยืนยันเมื่ออายุแปดขวบ พระกิตติคุณเป็นวิถีชีวิตของดิฉันและของคนส่วนใหญ่รอบข้างดิฉัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสิ่งที่ดิฉันคุ้นเคยมากในชีวิต

เมื่อดิฉันได้รับปัพพาชนียกรรม ดิฉันรู้สึกว่าความรู้สึกที่แทบจับต้องได้ไปจากดิฉัน ดิฉันรู้สึกเหมือนกระบวนความคิดเสียไปและช้าลง การตัดสินใจสับสนและทำได้ยาก ดิฉันอยากมีสันติสุขอีกครั้งแต่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นยากมาก

ดิฉันไม่เคยรู้เลยว่าการสูญเสียสมาชิกภาพของดิฉันจะเปลี่ยนชีวิตดิฉันโดยสิ้นเชิง ดิฉันไม่สามารถสวมการ์เม้นท์พระวิหารหรือเข้าพระวิหารได้อีก ดิฉันไม่สามารถจ่ายส่วนสิบ รับใช้ในการเรียกใดๆ รับศีลระลึก หรือแสดงประจักษ์พยานหรือสวดอ้อนวอนในศาสนจักร ดิฉันไม่มีของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไป สำคัญที่สุดคือดิฉันไม่อยู่ในความสัมพันธ์แบบพันธสัญญากับพระผู้ช่วยให้รอดผ่านศาสนพิธีบัพติศมาและพระวิหาร

ดิฉันหมดสิ้นแล้วทุกอย่างและหวาดกลัว ลูกสามคนของดิฉันเวลานั้นอายุ 16 ปี 14 และ 12 ปี พวกเขาเป็นมรดกของดิฉัน และดิฉันต้องการฝากมรดกแห่งความหวังไว้ให้พวกเขา ดิฉันให้พวกเขานั่งลงและบอกพวกเขาว่าถ้าดิฉันตายก่อนได้รับบัพติศมาใหม่ ดิฉันต้องการให้พวกเขาประกอบศาสนพิธีให้ดิฉันอีกครั้งทันทีที่ทำได้ ดิฉันใจหายที่ดิฉันไม่มีพรของการรักษาพันธสัญญาบัพติศมาอีกแล้ว และดิฉันเป็นห่วงว่าดิฉันอาจไม่ได้รับการชำระล้างให้สะอาดอีกครั้ง

การเดินทางกลับ

ดิฉันไม่เคยมีคำถามว่าศาสนจักรจริงหรือไม่และพระกิตติคุณเป็นรูปแบบที่ดิฉันต้องการดำเนินชีวิตตาม ดิฉันจึงไปโบสถ์เหมือนเดิม ดิฉันต้องการให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าดิฉันรักพระองค์และดิฉันเสียใจมากกับการกระทำของดิฉัน ดิฉันไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ทั้งที่รู้ว่ายากมาก วอร์ดอึดอัดเมื่อดิฉันอยู่ที่นั่น และแทบไม่มีใครพูดกับดิฉัน แต่มีเยาวชนหญิงที่พิเศษคนหนึ่งชื่อฮอลลีซึ่งเป็นดาวน์ซินโดรม เธอแสดงความรักต่อดิฉัน ทุกวันอาทิตย์ขณะดิฉันเดินเข้าไปในโบสถ์ เธอจะวิ่งมาหา เหวี่ยงแขนโอบดิฉัน กอดดิฉันแน่น และพูดว่า “ดีจังที่ได้เจอคุณ! หนูรักคุณค่ะ!” ดิฉันรู้สึกประหนึ่งเธอกำลังทำแทนพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้ดิฉันรู้ว่าพระองค์ทรงมีความสุขที่ดิฉันอยู่ที่นั่น

ยากเป็นพิเศษที่จะปล่อยให้ศีลระลึกผ่านไปโดยไม่สามารถรับได้เพราะดิฉันรู้ว่าดิฉันไม่ได้รับพร การรับศีลระลึกเป็นพรอย่างยิ่ง เหลือเชื่อที่มีพรของการทำให้สะอาดผ่านเดชานุภาพของพระผู้ช่วยให้รอดและการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ ได้รับการอภัยบาปและข้อบกพร่องของเราสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เราทำพันธสัญญาด้วยความรักและความซื่อสัตย์อีกครั้งว่าจะระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดของเราตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์

เพราะการจ่ายส่วนสิบสำคัญต่อดิฉันมาก ดิฉันจึงเปิดบัญชีธนาคารและนำเงินส่วนสิบใส่ในบัญชีนั้นทุกเดือน ดิฉันต้องการให้พระเจ้าทรงทราบว่าถึงแม้เวลานี้พระองค์จะทรงรับส่วนสิบของดิฉันไม่ได้ แต่ดิฉันยังต้องการจ่ายส่วนสิบ ตอนนั้นดิฉันเป็นโสดและเลี้ยงลูกสาววัยรุ่นสามคน ดิฉันรู้สึกว่าต้องการพรเหล่านั้นเพื่อแสดงให้พระเจ้าทรงตระหนักว่าดิฉันเต็มใจจ่ายส่วนสิบ แม้จะจ่ายไม่ได้ ดิฉันแน่ใจว่าเราได้รับพรอย่างมากเพราะเหตุนี้

ฟื้นฟูพร

ภาพ
smiling woman

ดิฉันได้รับบัพติศมาอีกครั้งหลังจากรับปัพพาชนียกรรมได้ปีเศษ ดิฉันรู้สึกสบายใจขณะขึ้นมาจากน้ำโดยรู้ว่าเวลานี้พระเยซูทรงเป็นผู้แก้ต่างให้ดิฉัน ทรงเป็นหุ้นส่วนของดิฉัน พระองค์ทรงชำระบาปของดิฉัน และดิฉันอยู่ในความสัมพันธ์แบบพันธสัญญากับพระองค์อีกครั้ง ดิฉันเปี่ยมด้วยความสำนึกคุณ!

ดิฉันได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง ดิฉันรู้สึกถึงวิญญาณที่จับต้องได้อีกครั้ง เพื่อนรักของดิฉันกลับมาอยู่กับดิฉัน! ดิฉันต้องการพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยอีกทั้งนี้เพื่อพระองค์จะไม่ไปจากดิฉัน

ดิฉันปิดบัญชีส่วนสิบ เขียนเช็ค และมอบให้อธิการอย่างตื่นเต้น

ห้าปีต่อมาดิฉันสามารถฟื้นฟูพรพระวิหารของดิฉัน ดิฉันรู้สึกสบายใจและเปี่ยมด้วยความสำนึกคุณ อีกครั้งที่ดิฉันเปี่ยมด้วยความรักและได้รับความคุ้มครองจากพลังแห่งพันธสัญญาที่ดิฉันทำไว้ในพระวิหาร

เวลานี้ดิฉันได้รับการผนึกกับชายที่เคารพรักดิฉัน และดิฉันเคารพรักเขา เราช่วยกันทำให้การผนึกของเราเป็นความสัมพันธ์แบบพันธสัญญาที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร

พันธนาการของความรู้สึกผิด

ใน 20 ปีนั้นบางครั้งดิฉันรู้สึกผิดลึกๆ ในใจ ทำให้ดิฉันไม่มีความสุขและวิตกกังวล ดิฉันสงสัยว่าดิฉันได้ทำมากพอจะกลับใจหรือไม่ และดิฉันได้รับการให้อภัยจริงหรือ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกของดิฉันตรงกับของแอลมาผู้บุตร ดังที่บรรยายไว้ใน แอลมา 36:12–13ว่า

“พ่อถูกทรมานด้วยความทรมานนิรันดร์, เพราะจิตวิญญาณพ่อปวดร้าวจนสุดขีดและถูกทรมานด้วยบาปทั้งหมดของพ่อ.

“แท้จริงแล้ว, พ่อจำบาปและความชั่วช้าสามานย์ทั้งหมดของพ่อได้, ซึ่งทรมานพ่อด้วยความเจ็บปวดแห่งนรก; แท้จริงแล้ว, พ่อรู้ว่าพ่อกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้าของพ่อ, และว่าพ่อไม่ได้รักษาพระบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์.”

วันหนึ่ง ดิฉันคุกเข่าสวดอ้อนวอนและทูลถามว่า “พระบิดา ข้าพระองค์ทำมากพอแล้วหรือ ข้าพระองค์จะทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อให้พระองค์นำความทรมานนี้ไปจากข้าพระองค์” ต่อจากนั้นดิฉันรอและฟังด้วยใจ

คำตอบมาชัดเจนมาก “เจ้าทำมากพอแล้ว” ดิฉันหลุดพ้นด้วยปีติยิ่ง ดิฉันอดยิ้มไม่ได้ และน้ำตาแห่งความสุขไหลออกมา วันนั้นดิฉันเริงร่าเบิกบานทั้งวัน ความละอายใจและความรู้สึกผิดหายไปจนหมดสิ้น

ดิฉันใคร่ครวญประสบการณ์ของแอลมาผู้บุตรอีกครั้ง

“พ่อจำความเจ็บปวดของพ่อไม่ได้อีก; แท้จริงแล้ว, พ่อไม่ปวดร้าวด้วยความทรงจำถึงบาปของพ่ออีก.

“และโอ้, พ่อได้เห็นปีติ, และความสว่างอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น; แท้จริงแล้ว, จิตวิญญาณพ่อเปี่ยมด้วยปีติยิ่งเท่ากับความเจ็บปวดของพ่อ!” (แอลมา 36:19–20)

การเดินทางกลับมาเป็นสมาชิกในศาสนจักรและได้ความสัมพันธ์แบบพันธสัญญากับพระผู้ช่วยให้รอดคืนมาเป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจและละเอียดอ่อน ดิฉันออกจากการทดลองนี้โดยรู้ว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์มีค่ามากที่สุด ดิฉันใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะผ่านพ้นความละอายใจและความรู้สึกผิดของการปัพพาชนียกรรม และมีพลังแบ่งปันประสบการณ์ของดิฉันกับผู้อื่น ดิฉันหวังว่าประสบการณ์ของดิฉันจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าเปลี่ยนและยื่นมือช่วยเหลือคนที่ต้องการเปลี่ยน ดิฉันสามารถยืนเป็นพยานโดยไม่สงสัยว่าการชดใช้ของพระคริสต์เป็นจริง เดชานุภาพของพระองค์สามารถเปลี่ยนชีวิตท่านได้ไม่เพียงเป็นคนดีขึ้นเท่านั้นแต่เป็นคนดีที่สุด

ดิฉันรักการเป็นสมาชิกในศาสนจักรอย่างยิ่ง นั่นเป็นของประทานอันล้ำค่าและเป็นพรมหัศจรรย์ในชีวิตดิฉัน ดิฉันไม่ต้องการอยู่โดยไม่มีศาสนจักรอีก