การถ่ายทอดประจำปี
การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า


การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า

การถ่ายทอดการอบรมประจำปีของเซมินารีและสถาบันศาสนา • 13 มิถุนายน, 2017

ข้าพเจ้าดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดการให้ข้อคิดทางวิญญาณกับพวกท่านในวันนี้ ผู้ที่นำและสอนในเซมินารีและสถาบันศาสนารวมถึงคู่สามีภรรยาที่รักของท่าน เราเคยพบท่านหลายคนทั่วโลก และท่านยอดเยี่ยมมาก ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีเหตุผลสองประการในเรื่องนี้ หนึ่ง ศาสนจักรจ้างเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมผู้มีค่าควรถือใบรับรองพระวิหาร พิสูจน์แล้วว่ามีความสามารถในการสอน ตลอดจนได้รับการรับรองและเห็นชอบในหลายระดับ รวมถึงโดยคณะกรรมการการศึกษา พวกท่านที่ได้รับเรียกเป็นครูอาจไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดเหมือนผู้ที่ได้รับว่าจ้างให้ทำงาน แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า ผู้นำในท้องที่เรียกคนดีที่สุดให้มาสอนในเซมินารีและสถาบันศาสนา สอง ท่านใฝ่ใจศึกษาหลักคำสอนของพระคริสต์ ซึ่งนีไฟประกาศว่าเป็น “หลักคำสอนเดียวและแท้จริงของพระบิดา, และของพระบุตร, และของพระวิญญาณบริสุทธิ์”1 การสอนหลักคำสอนนี้นำมาซึ่งกำลังใจอย่างต่อเนื่องในการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านจึงเก่งมาก ขอให้เป็นแบบนั้นต่อไป!

เราเป็นครอบครัวเซมินารี! ข้าพเจ้าได้รับเรียกเป็นประธานสเตคโฮโนลูลู ฮาวายเมื่อ 32 ปีที่แล้ว ลูกคนสุดท้องของเรามีอายุได้ 18 เดือนและคนโตสุดจากทั้งหมดสี่คนอายุ 11 ขวบ ข้าพเจ้ามีอาชีพการงานที่ต้องการความทุ่มเท และดูเหมือนว่าขีดจำกัดของเราถึงที่สุดแล้ว จากนั้นมีคนที่ประสานงานเรื่องเซมินารีในสเตคของเรามาหาข้าพเจ้าและถามอย่างไม่มั่นใจเพราะสภาวการณ์ครอบครัวลูกเล็กของเราว่า “คุณคิดว่า เอ่อ เป็นไปได้ไหม เอ่อ ที่ซิสเตอร์ฮอลล์สตรอมจะ เอ่อ สอนเซมินารี” เราไม่คุ้นเคยกับการปฏิเสธการเรียก เราจึงสูดลมหายใจลึกๆ และบอกว่า “แน่นอน”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่เรียกร้องมากแต่ให้การตอบแทนอย่างมากเช่นกันสำหรับครอบครัวเรา ไดแอนภรรยาข้าพเจ้า ตื่นตี 4 ครึ่งทุกวันธรรมดาเพื่อเตรียมสอนเซมินารีเวลา 6 โมงเช้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องตื่นมาปลุกเด็กๆ เช่นกัน ช่วยพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมอาหารเช้าและทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยเมื่อไดแอนกลับถึงบ้านเวลา 7 โมงเช้า ข้าพเจ้าจะได้ออกไปทำงานและเธอจะได้ส่งเด็กๆ ไปโรงเรียน

เราทำแบบนี้เป็นเวลาแปดปี จนกระทั่งไดแอนได้รับเรียกเป็นประธานเยาวชนหญิง หลังจากห้าปีผ่านไป ผู้ประสานงานเซมินารีมาเคาะประตูบ้านเราอีกครั้งพร้อมคำวิงวอน “เรามีชั้นเรียนปีสุดท้ายที่ยากมาก ซิสเตอร์ฮอลล์สตรอมสอนเซมินารีอีกครั้งได้ไหม” ดังนั้นจึงเพิ่มไปอีกสามปีจากแปดปี และต้องให้ประธานฮิงค์ลีย์โทรมาปลดเธอ ข้าพเจ้าได้รับเรียกเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ และเราได้รับงานมอบหมายงานแรกให้ไปที่ญี่ปุ่น ดังนั้นพวกท่านที่ได้รับเรียกเป็นครู จงระวังเวลาที่ท่านหวังจะได้รับการปลด—ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านจะเจออะไรต่อ!

เรามองย้อนไปยังช่วงเวลาที่ลำบาก วุ่นวาย ยุ่งเหยิงนั้นด้วยความชื่นชมและความสำนึกคุณ ไดแอน รัก นักเรียนเซมินารีของเธอมากที่สุด (และนักเรียนรักเธอ) เธอสอนลูกของเราแต่ละคนในเซมินารีด้วย รวมถึงหลานชายหลานสาวของเรา ซึ่งหนึ่งในนั้นปัจจุบันนี้เป็นผู้อำนวยการสถาบัน และข้าพเจ้าหวังว่าเขากำลังรับชมการถ่ายทอดนี้ นอกจากนั้น การสอนอย่างเข้มข้นทำให้ความรู้พระกิตติคุณและประจักษ์พยานของไดแอนลึกซึ้งขึ้น—ซึ่งส่งผลดีต่อข้าพเจ้าและครอบครัวของเราอย่างใหญ่หลวง ทั้งยัง “ช่วย” ให้ข้าพเจ้าได้อยู่กับลูกๆ อย่างสม่ำเสมอทุกวันในช่วงเวลาเดียวที่ข้าพเจ้าว่าง—นั่นคือเช้าตรู่วันธรรมดา สิ่งนั้นเป็นพรที่สำคัญยิ่งต่อข้าพเจ้า และเชื่อว่าเป็นพรต่อพวกเขาด้วย ดังนั้นท่านเห็นไหมว่า ภาระหนักที่สุดบางอย่างของเรากลับกลายเป็นพรประเสริฐสุดได้อย่างแท้จริง 

วันนี้ข้าพเจ้ายินดีที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมงานผู้ที่ข้าพเจ้าเคารพอย่างยิ่ง ในฐานะสมาชิกคณะกรรมการการศึกษาและคณะกรรมการฝ่ายบริหาร ข้าพเจ้าประชุมเดือนละสองครั้งกับกรรมาธิการผู้ยอดเยี่ยมของเรา เอ็ลเดอร์คิม บี. คลาร์ก และผู้บริหารเซมินารีและสถาบันศาสนาผู้ยอดเยี่ยม แชด เอช. เว็บบ์ ทุกท่านที่ทำงานหรือรับใช้ในเซมินารีและสถาบันได้รับการนำอย่างดี ดังที่ท่านทราบ ประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นประธานคณะกรรมการการศึกษา ซึ่งรวมถึงประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์และประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์เป็นสมาชิกในคณะกรรมการและเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายบริหารเช่นกัน สมาชิกคนอื่นๆ ของคณะกรรมการและคณะกรรมการฝ่ายบริหารได้แก่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ ซิสเตอร์จีน บี. บิงแฮม และซิสเตอร์บอนนี่ แอล. ออสคาร์สัน ข้าพเจ้าประทับใจอย่างต่อเนื่องถึงความสำคัญและแหล่งช่วยเหลือที่มีให้แก่การศึกษาในศาสนจักร

ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่งปันความคิดกับท่านผู้มีบทบาทสำคัญในการศึกษาทางวิญญาณของเยาวชนศาสนจักร ข้าพเจ้ากล่าวถึงหลักคำสอนอันลึกซึ้งของพระคริสต์ไปแล้ว ศาสนจักรนี้ช่วยให้สมาชิกเข้าใจและดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนนี้อย่างไร หรือถามคำถามนี้ในอีกวิธีหนึ่ง “อะไรคือลำดับความสำคัญของอัครสาวกในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย” 

วิธีหนึ่งในการเรียนรู้ลำดับความสำคัญเหล่านี้คือการเข้าใจ “งานแห่งความรอด” นิยามที่กระชับที่สุดของงานแห่งความรอดมีอยู่ใน คู่มือเล่ม 2 จงจำไว้ว่าคู่มือของศาสนจักรได้รับอนุมัติโดยฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสอง ในนั้นกล่าวว่า “สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ออกไป ‘เพื่อทำงานในสวนองุ่นของพระองค์เพื่อความรอดของจิตวิญญาณมนุษย์’ (คพ 138:56) งานแห่งความรอดนี้ได้แก่งานเผยแผ่ศาสนาของสมาชิก การรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่ การทำให้สมาชิกแข็งขันน้อยกลับมาแข็งขัน งานพระวิหารและประวัติครอบครัว และการสอนพระกิตติคุณ”2

ข้อคิดอีกข้อหนึ่งของลำดับความสำคัญเหล่านี้คือข้อความในคู่มือศาสนจักรใต้หัวข้อ “จุดประสงค์ของศาสนจักร” ซึ่งอ่านว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดตั้งศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเพื่อช่วยงานของพระองค์ในการทำให้เกิดความรอดและความสูงส่งแก่บุตรธิดาของพระองค์ ศาสนจักรเชื้อเชิญให้ทุกคน ‘มาหาพระคริสต์, และได้รับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์’ (โมโรไน 10:32; ดู คพ. 20:59 ด้วย) คำเชื้อเชิญให้มาหาพระคริสต์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งที่เคยมีชีวิตอยู่หรือจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”3 

คู่มือเล่มนี้กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการช่วยบุคคลและครอบครัวให้คู่ควรแก่การรับความสูงส่ง ศาสนจักรจึงมุ่งเน้นหน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด อันได้แก่ การช่วยให้สมาชิกดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ การรวบรวมอิสราเอลโดยผ่านงานเผยแผ่ศาสนา การดูแลคนยากจนและคนขัดสน ตลอดจนเปิดโอกาสให้คนตายได้รับความรอดโดยการสร้างพระวิหารและประกอบศาสนพิธีแทนคนตาย”4

ฉะนั้น “งานแห่งความรอด” และ “หน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด” เหล่านี้โดยแท้แล้วเป็นสิ่งเดียวกัน และควรนำทางทุกสิ่งที่เราทำในศาสนจักร รวมถึง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง) การสอนเยาวชนของเรา

สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งที่เราทำ—เพื่อตนเอง เพื่อครอบครัว และในตำแหน่งปัจจุบันของท่าน—คือการสอน “งานแห่งความรอด” และ “หน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด” เพื่อช่วยในการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า คือการสอนเหมือนแอรันและพี่น้องของท่านแอมัน ออมเนอร์ และฮิมไน—เพื่อสอน “ตามวิญญาณแห่งการเปิดเผยและการพยากรณ์, และเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า” ทั้งนี้เพื่อผู้คนมากเท่าที่เชื่อ “ในคำสั่งสอน [ของท่าน], และเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาหาพระเจ้า, จะไม่เคยตกเลย”5

ดังที่ฝ่ายประธานสูงสุดกล่าวแก่บิดามารดาและผู้นำเยาวชน “ท่านได้รับเรียกจากพระเจ้าให้ช่วยเยาวชนเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระกิตติคุณ”6  โดยทำตามแบบอย่างวิธีการสอนของพระผู้ช่วยให้รอด เรามั่นใจว่าเยาวชนของเราจะเรียนรู้ในวิธีที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนใจเลื่อมใส

ฉะนั้น การให้การศึกษาแก่เยาวชนของเราไม่ใช่เพียงการสอนประวัติศาสตร์ แต่คือการสอนหลักคำสอนที่สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขากระทำ บทบาทของเราคือ “เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า” 7  เพื่อพวกเขาจะไม่เพียง ได้ยิน เท่านั้น แต่พวกเขาจะ รู้สึก ด้วยและเพื่อพวกเขาจะ ทำ บทบาทของเราคือ “แนะนำและจรรโลงใจกัน”8 ทั้งนี้เพื่อเราจะ “ผูกมัดตนให้กระทำในความบริสุทธิ์อย่างหมดจด”9 บทบาทของเราคือเพื่อสอน “ศรัทธาสู่การกลับใจ”10

เราจะทำให้การสอนในรูปแบบนี้เกิดสัมฤทธิผลได้อย่างไร แบบแผนที่ได้รับการสถาปนาไว้ในศาสนจักรของพระเจ้าคือเรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการนมัสการในที่สาธารณะ การนมัสการในครอบครัว และการนมัสการส่วนตัว ข้าพเจ้าขออรรถาธิบายองค์ประกอบแต่ละอย่าง

การนมัสการในที่สาธารณะ

การนมัสการในที่สาธารณะคือเมื่อเรามาชุมนุมกันในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นดังพี่น้อง กลุ่มวิสุทธิชน การประชุมเหล่านี้บางครั้งมีขนาดใหญ่ เช่นการประชุมใหญ่สเตคหรือการประชุมใหญ่สามัญ บางครั้งมีขนาดเล็ก เช่นการประชุมโควรัมหรือเยาวชนหญิงหรือสมาคมสงเคราะห์หรือชั้นเรียนเซมินารีและสถาบัน การมาชุมนุมกันในการให้ข้อคิดทางวิญญาณวันนี้ก็เป็นการนมัสการในที่สาธารณะรูปแบบหนึ่ง ในการประชุมแต่ละครั้ง เราสวดอ้อนวอน เราสอน เราเป็นพยาน และเราจรรโลงใจ—ด้วยจุดประสงค์ในการเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระบิดาในสวรรค์ พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเรามีหน้าที่รับผิดชอบที่จะเปลี่ยนความรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นให้กลายเป็นปัญญา—เพื่อลดช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรารู้และวิธีที่เราดำเนินชีวิต

การนมัสการพระวิหารเป็นรูปแบบที่ศักดิ์สิทธิ์ของการนมัสการในที่สาธารณะเพราะการนมัสการนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับศาสนพิธีและพันธสัญญาซึ่งเชื่อมโยงเรากับพระผู้เป็นเจ้า ท่านเชื่อมโยงกับพระวิหารและพันธสัญญาของท่านมากเพียงใด ท่านใช้รูปแบบการนมัสการในที่สาธารณะซึ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นประจำเพื่อเสริมสร้างความรู้และปัญญาของท่านหรือไม่ ท่านช่วยให้คนที่ท่านสอนเชื่อมโยงกับพระวิหารหรือไม่ ท่านกระตุ้นให้เยาวชนของเรามีค่าควรถือใบรับรองพระวิหารแบบจำกัดการใช้และให้ใช้เมื่ออยู่ในวิสัยที่ทำได้หรือไม่ การมีส่วนร่วมในงานแห่งความรอดโดยการค้นคว้ารายชื่อครอบครัวและไปพระวิหารเพื่อรับบัพติศมาและการยืนยันแทนบรรพชนเปิดโอกาสให้ได้รับการนำทางทางวิญญาณ

การประชุมนมัสการในที่สาธารณะที่สำคัญที่สุดของเรา อย่างน้อยก็นอกพระวิหาร คือการประชุมศีลระลึก นอกจากกิจกรรมนมัสการที่เป็นส่วนหนึ่งของเกือบทุกการประชุมในศาสนจักร การประชุมนี้มุ่งเน้นศาสนพิธีที่ดำรงอยู่ของศีลระลึก เมื่อเราเริ่มและจบการประชุม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเตรียมรับส่วนศีลระลึกศักดิ์สิทธิ์ เราร้องเพลงและสวดอ้อนวอน เรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่หรือไม่ ความคิดและใจเราอยู่ที่นั่นหรือไม่ หรือล่องลอยไปที่อื่น เราปิดโทรศัพท์ของเราไหม เราส่งข้อความหรือทวีต (สำหรับคนสูงวัยอย่างเรา อีเมล) ในระหว่างศาสนพิธีหรือช่วงใดช่วงหนึ่งในการประชุมหรือไม่ เมื่อผู้พูดกำลังพูดอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่เชี่ยวชาญในการพูด เราหยุดการเชื่อมต่อด้วยความทะนงตนพลางคิดว่า “ฉันได้ยินมาหมดแล้ว” หรือไม่

หากเรามีข้อผิดพลาดเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราทำอยู่คือการลด—อาจจะกำจัด—ความสามารถของพระวิญญาณที่จะสื่อสารกับเรา เราจึงสงสัยว่าทำไมเราไม่ได้รับการจรรโลงใจจากการประชุมศีลระลึกและการประชุมอื่นๆ ของศาสนจักร

การนมัสการในที่สาธารณะเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยเราทุกคน รวมถึงเยาวชน ให้เดินตามเส้นทางแห่งการเปลี่ยนใจเลื่อมใส

การนมัสการในครอบครัว

การนมัสการในที่สาธารณะควรส่งเสริมการนมัสการในครอบครัว ในปี 1999 ฝ่ายประธานสูงสุดแนะนำบิดามารดาและลูกๆ “ให้ความสำคัญสูงสุดแก่การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว การสังสรรค์ในครอบครัว การศึกษาและการสอนพระกิตติคุณ ตลอดจนกิจกรรมที่ดีงามของครอบครัว แม้อาจจะมีข้อเรียกร้องหรือกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมและทรงคุณค่า แต่ต้องไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาแทนหน้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้เฉพาะบิดามารดาและครอบครัวเท่านั้นที่จะทำได้ดีพอ”11 แน่นอนว่าหลักธรรมเดียวกันนี้ได้รับการสอนหลายครั้งโดยผู้นำศาสนจักรหลายคนในวิธีต่างๆ นับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เราอาศัยอยู่ในโลกที่ยุ่งเหยิง ในการเดินทางทั่วศาสนจักร บางครั้งข้าพเจ้าถามผู้นำในท้องที่เป็นการส่วนตัว—พวกเขาเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ดี—ว่าท่านสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวและจัดสังสรรค์ในครอบครัวหรือไม่ ท่านศึกษาพระกิตติคุณเป็นครอบครัวหรือไม่ บ่อยครั้งข้าพเจ้ามองเห็นสีหน้าอึดอัดใจพร้อมทั้งคำอธิบายว่า “พวกเรายุ่งมาก โรงเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตรของลูกเรา การเรียนดนตรีและอื่นๆ ตารางงานสังคม และงานศาสนจักรทำให้เราไม่มีเวลาว่าง ผมกับภรรยามีงานรัดตัว พร้อมกับงานที่โบสถ์และข้อผูกมัดอื่นๆ เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว” เจตนารมณ์ของคำแนะนำจากฝ่ายประธานสูงสุดคือหากการทำแม้แต่สิ่งดีๆ ทำให้เรายุ่งมากจนไม่มีเวลาทำสิ่งที่สำคัญ เมื่อนั้นเราต้องหาทางแก้ไข

เมื่อลูกๆ ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสผู้สร้างแบบแผนของการนมัสการในครอบครัว พวกเขามีโอกาสมากที่จะสัมผัสถึงอิทธิพลของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขณะยังเป็นเด็กและทำตามแบบอย่างอันชอบธรรมนี้ตลอดไป เมื่อนั้นการสอนของเราในศาสนจักรจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมของการเป็นระบบสนับสนุนการสอนที่เกิดขึ้นในครอบครัว

นอกจากการนมัสการอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพในครอบครัวของเราแล้ว ครูเยาวชนต้องกระตุ้นด้วยความละเอียดอ่อนและเหมาะสมให้มีการนมัสการในครอบครัวนักเรียนของเรา บางคนมาจากครอบครัวที่ทำแบบนั้นอยู่แล้ว และท่านทำได้โดยยืนอยู่ข้างๆ และให้กำลังใจเงียบๆ เท่านั้น สำหรับบางคนสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย—ตั้งแต่นักเรียนเป็นสมาชิกศาสนจักรคนเดียวในครอบครัว (หรือเป็นสมาชิกที่แข็งขันคนเดียว) จนถึงพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เข้าร่วมการประชุมศาสนจักรเป็นประจำแต่ยังไม่เล็งเห็นความสำคัญของการนมัสการในครอบครัว โดยที่ไม่รับเอาสิทธิอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำทางศาสนาและบิดามารดา เราทำได้โดยเป็นแบบอย่างและสอนแบบแผนที่ชอบธรรม และช่วยให้เยาวชนของเราค้นพบวิธีที่พวกเขาจะเป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจให้ครอบครัวเสริมสร้างนิสัยของการนมัสการในครอบครัวเป็นประจำ

การนมัสการส่วนตัว

สุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเป็นเรื่องส่วนตัว การนมัสการในที่สาธารณะนำไปสู่การนมัสการในครอบครัว ซึ่งนำเราไปสู่การนมัสการส่วนตัว ได้แก่การสวดอ้อนวอนส่วนตัว การศึกษาพระกิตติคุณส่วนตัว และการไตร่ตรองส่วนตัวถึงความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า “เพราะคนจะรู้จักผู้เป็นนายซึ่ง … เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา, และอยู่ไกลจากความนึกคิดและเจตนาของใจเขาได้อย่างไร?”12

เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันกล่าวว่า “ความสำคัญของการมีความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งนี้—หากใครคนหนึ่งไม่เห็นความสำคัญของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป เมื่อขาดความรู้สึกคารวะ เจตคติของการทำตามอารมณ์จะมากขึ้นเรื่อยๆ และขาดความเข้มงวดในการประพฤติปฏิบัติ เขาจะล่องลอยออกจากที่พักพิงซึ่งพันธสัญญาของเขากับพระผู้เป็นเจ้าจะให้ได้ ความรู้สึกรับผิดชอบที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าจะลดลงและจากนั้นจะถูกลืม หลังจากนั้น เขาจะสนใจเฉพาะความสะดวกสบายของตนเองและการสนองตอบต่อความหิวกระหายที่ควบคุมไม่ได้ของเขาเองเท่านั้น ในที่สุด เขาจะเกลียดชังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า และแล้วเขาจะเกลียดชังตนเอง”13

เราจึงเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ทำนายความสำเร็จทางวิญญาณได้แม่นยำที่สุด (วัดโดยการแต่งตั้งสู่ฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค การรับเอ็นดาวเม้นท์ การรับใช้งานเผยแผ่ การแต่งงานในพระวิหาร และการเลี้ยงดูครอบครัวที่ชอบธรรม) คือการที่ชายหนุ่มหรือหญิงสาวจะมีประสบการณ์ทางวิญญาณส่วนตัวในช่วงวัยเยาว์ของพวกเขา—ที่พวกเขาจะ รู้สึก ถึงอิทธิพลของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นมากกว่าการแข็งขันในศาสนจักร สิ่งนี้คือการแข็งขันในพระกิตติคุณ!

เป้าหมายของท่านสำหรับแต่ละชั้นเรียนที่ท่านสอน แต่ละการสนทนาที่ท่านนำ แต่ละการปฏิสัมพันธ์ตามทางที่ท่านมีคือการให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นครูที่แท้จริง ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอน “แต่​องค์‍ผู้‍ช่วย​คือ​พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์​ซึ่ง​พระ‍บิดา​จะ​ทรง​ใช้​มา​ใน​นาม​ของ​เรา​นั้น​จะ​ทรง​สอน​พวก‍ท่าน​ทุก‍สิ่ง และ​จะ​ทำ‍ให้​ระลึก‍ถึง​ทุกสิ่ง”14 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถปรับแต่งข่าวสารให้เหมาะสมสำหรับบุคคลแต่ละคนเพื่อจะ “ได้รับความสว่างโดยพระวิญญาณแห่งความจริง”15 ฉะนั้น เมื่อเราสอนงานแห่งความรอดและหน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด เราทำในวิธีที่จรรโลงใจ ยกระดับจิตใจ สร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งทำให้คนที่เราสอนเสริมสร้างศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์และในพระเยซูคริสต์ตลอดจนการชดใช้ของพระองค์

สำหรับท่านนักการศึกษาด้านศาสนาผู้ยอดเยี่ยม เราขอกล่าวว่า ขอบคุณครับ! ขอบคุณครับ! ขอบคุณครับ! ในนามของผู้นำศาสนจักร ขอบคุณครับ! จงดำเนินชีวิตที่มีค่าควรส่วนตัว ดูแลครอบครัว และรับใช้พระเจ้า—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอให้เอาใจใส่อนุชนรุ่นหลังผู้ล้ำค่า การมีส่วนร่วมในงานแห่งความรอดและหน้าที่รับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด ภายใต้การกำกับดูแลและกุญแจของอัครสาวก จะยกระดับเราและเป็นแรงจูงใจให้เรา

ข้าพเจ้าประกาศถึงความสง่างามของมรดกแห่งสวรรค์และสมรรถภาพของเราที่จะได้รับ “ชีวิตนิรันดร์, ซึ่งของประทานนี้สำคัญที่สุดในบรรดาของประทานทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า”16 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระยาห์เวห์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ถือกำเนิดเป็นพระเยซู ทรงพระนามว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ “ทรงเจิม” ไว้แล้ว17 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงการชดใช้อันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์ซึ่งทำให้เราทุกคนและทุกคนที่เราสอนจะเอาชนะโลกได้—ที่จะผ่านพ้นสภาวการณ์ทางโลกที่ยากลำบากที่สุดได้ด้วย “ความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง”18 ด้วยพรของพระกิตติคุณและศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นในการช่วยให้เราได้ยิน รู้สึก และทำ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน