การถ่ายทอดประจำปี
ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำและพลังอำนาจ


ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำและพลังอำนาจ

การถ่ายทอดการอบรมประจำปีของเซมินารีและสถาบันศาสนา • 13 มิถุนายน 2017

ผมเฝ้าปรารถนาจะได้อยู่กับท่านที่การชุมนุมสำคัญครั้งนี้ ขณะเตรียมการประชุมนี้ผมอ้อนวอนพระเจ้าขอให้รู้ว่าทรงประสงค์ให้เราทำอะไรให้บุตรธิดาของพระองค์ผู้นั่งในห้องเรียนและในบ้านของเรา ในชั่วขณะที่เงียบสงบนั้นผมรู้สึกว่าพระองค์พอพระทัยในความพยายามอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและการเสียสละนับไม่ถ้วนของท่าน ผมรู้สึกเช่นกันว่าพระองค์ทรงยินดีจะอวยพรท่านและครอบครัว ผมรู้สึกว่าพระองค์ทรงปรารถนาจะอวยพรนักเรียนของท่านให้รักและมีประจักษ์พยานถึงพระบุตรที่รักของพระองค์

โปรแกรม หลักสูตร การอบรม หรือเทคโนโลยีที่มากขึ้นหรือดีขึ้นเพียงอย่างเดียวจะบรรลุผลสำเร็จไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านั้นจะไม่มีวันแทนที่รอยสัมผัสอันน่าอัศจรรย์ของสวรรค์ในชีวิตนักเรียนของเรา สิ่งที่เราหวังมีเพียงของขวัญจากพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงรักเราเท่านั้น ซึ่งจะเรียกร้องเดชานุภาพการแสดงปาฏิหาริย์ ของพระองค์ในชีวิตแต่ละคน

สิ่งที่เรียกร้องจากเราคือใช้ศรัทธามากขึ้นเพราะศรัทธามาก่อนปาฏิหาริย์ทั้งหมด เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์กล่าวว่า “‘มีศรัทธาแต่ไม่ประพฤติตามก็ไม่มีประโยชน์’ [ท่านเสริมว่า] ‘แต่ประพฤติตามโดยไม่มีศรัทธายิ่งไร้ประโยชน์กว่า’”1 อีกนัยหนึ่งคือ งานหนักของเราทั้งหมดจะไม่ทำให้เกิดผลที่เราปรารถนาหากกระทำโดยไม่มีศรัทธา นั่นเป็นเพราะว่าศรัทธาเป็นทั้งหลักธรรมแห่งการกระทำและหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ การเพิ่มพูนศรัทธาของเราเป็นเครื่องหมายต่อพระเจ้าว่าเราพึ่งพาพระองค์และวางใจเดชานุภาพในการดลใจ ทำให้เปลี่ยนใจเลื่อมใส เพิ่มพลัง เตรียม และคุ้มครองอนุชนรุ่นหลัง การเพิ่มพูนศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอดจะเพิ่มพลังการสอนของเรา เพิ่มพลังการเชิญชวนเยาวชนและคนหนุ่มสาวให้เข้าเรียนเซมินารีหรือสถาบันหรืออ่านพระคัมภีร์ และแม้กระชับความสัมพันธ์ของเรากับผู้ปกครองและผู้นำฐานะปุโรหิต ฉะนั้น ในสัปดาห์และเดือนต่อๆ ไป ท่านยินดีจะร่วมมือกับข้าพเจ้าทูลขอให้พระบิดาในสวรรค์ทรงเพิ่มพูนศรัทธาของเราไหม ผมเชื่อว่าพระองค์ทรงพร้อมช่วยเหลือ ขอให้เราเพียงแค่ทูลขอ

การใช้ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำ

โจเซฟ สมิธสอนว่าการใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเรียกร้องให้เรามี “ความคิด ที่ถูกต้อง ใน เรื่องอุปนิสัย ความดีพร้อม และคุณลักษณะของพระองค์” และมี “ความรู้ว่าเส้นทางชีวิตที่ [เรา] ดำเนินอยู่นั้นสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์”2 ความจำเป็นทั้งสองนี้เรียกร้องให้เราใช้ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำ3

ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งล่าสุด ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแบ่งปันวิธีหนึ่งซึ่งเราจะบรรลุข้อกำหนดข้อแรกในสองข้อนี้

“ยิ่งเรารู้เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจและพระพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอดมากเท่าใด—ยิ่งเราเข้าใจหลักคำสอนและสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรามากเท่าใด—เราจะยิ่งรู้ว่าพระองค์จะประทานพลังอำนาจที่เราต้องการให้ชีวิตเรามากเท่านั้น

“ต้นปีนี้ ข้าพเจ้าขอให้คนหนุ่มสาวของศาสนจักรอุทิศถวายเวลาในแต่ละสัปดาห์ศึกษา ทุกอย่าง ที่พระเยซูตรัสและทรงทำดังที่บันทึกไว้ในงานมาตรฐาน ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้พวกเขาทำให้พระคัมภีร์อ้างอิงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ในคู่มือพระคัมภีร์กลายเป็นหลักสูตรศึกษาส่วนตัว

“ข้าพเจ้าท้าทายเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้ายอมรับคำท้านั้นแล้ว ข้าพเจ้าอ่านและขีดเส้นใต้ ทุก ข้อที่อ้างอิงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ดังที่ระบุไว้ใต้หัวข้อหลักและหัวข้อย่อย 57 ข้อในคู่มือพระคัมภีร์ เมื่อข้าพเจ้าทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นนั้นจบ ภรรยาถามว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมีผลอะไรต่อคุณบ้าง ข้าพเจ้าบอกเธอว่า ‘ผมไม่เหมือนเดิม!’”4

ผมต้องการเตือนให้ท่านนึกถึงคำเชื้อเชิญนี้เพราะผมมองเห็นประโยชน์ของการศึกษาแบบเจาะจงและรู้ว่ายิ่งเราเข้าใจและรักพระผู้ช่วยให้รอดมากเท่าใด ศรัทธาที่เรามีต่อพระองค์จะยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น

ดังที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่าองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งของศรัทธาคือการฝึกดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่ออธิบายเรื่องนี้ ผมขอยกตัวอย่างซึ่งจะตรงกับคุณแม่หลายท่านที่นี่

เซเลสต์ เดวิสเป็นคุณแม่วัยสาวของลูกสามคนที่ลูกน้อยของเธอตื่นบ่อยทุกคืน เธอเริ่มสวดอ้อนวอนขอให้เธอกับลูกน้อยนอนหลับได้ตามต้องการ แต่คำสวดอ้อนวอนดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ เป็นเหตุให้เธอต้องการเข้าใจการสวดอ้อนวอนมากขึ้นและสาเหตุที่เธอไม่ได้รับความช่วยเหลือ เธอเรียนรู้จาก Bible Dictionary ว่า “เรา สวดอ้อนวอนในพระนามของพระคริสต์เมื่อความคิดเราเป็นพระดำริของพระคริสต์ และความประสงค์ของเราเป็นพระประสงค์ของพระคริสต์ … จากนั้นเราทูลขอสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้ได้ คำสวดอ้อนวอนหลายครั้งไม่ได้รับคำตอบเพราะไม่ได้สวดอ้อนวอนในนามของพระคริสต์ จึงไม่มีทางเป็นพระดำริของพระองค์แต่เกิดจากความเห็นแก่ตนเองของใจมนุษย์”5

ด้วยเหตุนี้เซเลสต์จึงตัดสินใจเขียนรายการสิ่งที่เธอสวดอ้อนวอนขอ การเขียนครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าคำสวดอ้อนวอนของเธอส่วนใหญ่จะทูลขอพระบิดาบนสวรรค์ในสิ่งที่ เธอ ต้องการ เพื่อให้พระองค์ทรงเปลี่ยนสภาวการณ์ของเธอ เธอจึงตัดสินใจเขียนอีกรายการหนึ่ง จดสิ่งที่เธอแน่ใจว่าพระบิดา บนสวรรค์ทรงประสงค์จะให้เธอ แน่นอนว่าทั้งสองรายการต่างกันโดยสิ้นเชิง—พระองค์ทรงรักเราและทรงต้องการให้เรามีความสุข แต่การทำสิ่งเล็กน้อยนี้สอน ความจริงที่สำคัญ ถึงแม้เธอต้องการเปลี่ยนสภาวการณ์ของตนเอง แต่พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยน เธอ เธอจึงตัดสินใจปรับ วิธีสวดอ้อนวอนให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้น เธอเขียนว่า

“ดิฉันคิดสูตรเล็กๆ ไว้ช่วยดิฉันในการสวดอ้อนวอน สูตรนั้นคือ—เมื่อใดก็ตามที่คุณทูลขอบางสิ่งที่คุณต้องการและไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จะให้คุณหรือไม่ ให้เพิ่มวลี ‘แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น’ และเพิ่มบางสิ่งที่คุณแน่ใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จะให้คุณ

“ตัวอย่างเช่น ‘[พระบิดาบนสวรรค์] คืนนี้ ขอทรง ช่วยให้ข้าพระองค์ได้นอนหลับบ้าง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีเรี่ยวแรงทำงานและสุขใจ’ ‘[พระบิดาบนสวรรค์] ขอพระองค์ทรงอวยพรให้ลูกๆ ของข้าพระองค์ หาย ป่วยและรู้สึกดีขึ้น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ขอทรงช่วยให้พวกข้าพระองค์วางใจพระองค์และอดทนซึ่งกันและกัน’ ‘[พระบิดาบนสวรรค์] ขอทรงอวยพรให้ข้าพระองค์ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อน แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น แม้ข้าพระองค์รู้สึกเป็นส่วนเกิน ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์อ่อนโยนและใจกว้างด้วยเถิด’” 

เธอเขียนต่อไปว่า

“ดิฉันลองทำเช่นนี้ มาประมาณหนึ่งปี และบอกได้ว่าอัตราความสำเร็จของการสวดอ้อนวอนเพิ่มขึ้นมาก …

“ดิฉันรู้สึกว่าสุดท้ายก็บรรลุจุดประสงค์แท้จริงของการสวดอ้อนวอน ซึ่งไม่ต้องต่อรองความปรารถนาของดิฉัน แต่ทำให้ตนเองสอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า …

“ประโยชน์ที่ไม่คาดคิดคือดิฉันไม่กลัวสถานการณ์ยากๆ หรือไม่ได้อยากได้มาก เท่าที่เคยเพราะดิฉันเห็นและรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำสวดอ้อนวอน—ทั้งความปรารถนาและ ‘แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น’” ของดิฉัน6

ประสบการณ์ของเซเลสต์ให้แบบฉบับที่ช่วยเราได้เรื่องการสวดอ้อนวอนและการพยายามใช้ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำ กล่าวให้ชัดเจนคือศรัทธาจะไม่ช่วงชิงสิทธิ์เสรีของลูกๆ หรือนักเรียนของเรา และจะไม่ปัดเป่าการทดลองและความท้าทายทั้งหมดในชีวิตเรา แต่จะช่วยให้เรา อดทนด้วยดีและเรียนรู้จากสภาวการณ์ยากๆ ศรัทธาเปลี่ยนวิธีที่เรามองนักเรียน (และลูกๆ ของเรา) วิธีที่เราสวดอ้อนวอนให้พวกเขา ศรัทธาจะเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ของเราในห้องเรียนและบ้านของเรา จะช่วยให้เรายืนหยัดด้วยความหวัง ความสุข และการมองโลกในแง่ดีในโลกที่มืดมนลงทุกขณะ ศรัทธาจะสร้างโอกาสสำหรับการเปิดเผยส่วนตัว นำพลังมาสู่การสอนของเรา และนำประจักษ์พยานของเราไปสู่ใจคนที่เรารัก

ศรัทธาที่แท้จริงขจัดการเข้าข้างตนเอง นำไปสู่การสำรวจตนเอง ซึ่งนำไปสู่การกลับใจอย่างจริงใจและการเติบโตอย่างมีความหมาย ศรัทธาบังคับให้เราเลี่ยงกับดักของการคาดว่าจะพบทางออกหากคนอื่นเปลี่ยน เช่นเมื่อเราพูดว่า “ถ้าพ่อแม่หรือผู้นำศาสนจักรสนับสนุนฉันมากกว่านี้ สภาพบางอย่างคงจะดีขึ้น” วิธีดังกล่าวไม่พึ่งพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุนี้จึงเข้าไม่ถึงเดชานุภาพของพระองค์ จะไม่เกิดปาฏิหาริย์ที่เราต้องการ เราต้องทำและเราจะทำงานของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงหากเรามีศรัทธามากพอจะทูลขออย่างจริงใจให้พระองค์ทรงเปลี่ยนเราและปั้นเราให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์

นี่เป็นความจริงแม้เมื่อเรารู้สึกไม่คู่ควรและหนักใจ ผมเรียนรู้บทเรียนนี้สมัยเตรียมเป็นผู้สอนศาสนา ผมคิดเสมอว่าผมจะรับใช้ แต่ในวัยเยาว์ความคิดเรื่องนี้ทำให้ผมกังวลมาก ผมไม่สบายใจเลยเมื่อพูดต่อหน้าผู้คน คุณป้าผมยังพูดอยู่เลยว่าเธอไม่เห็นดวงตาผมจนผมเป็นวัยรุ่นเพราะผมชอบเดินก้มหน้า สมัยเรียนมัธยมต้นผมได้เกรด 1 วิชาการละคร เกรดต่ำสุดที่ถือว่าผ่าน ผมไม่สามารถยืนหน้าชั้นได้ แม้กระทั่งอ่านสคริปต์ที่เตรียมไว้ซึ่งคุณครูให้ผมมา

หลังจากได้รับหมายเรียกไปเม็กซิโก ผู้นำขอให้ผมกับพี่ชายพูดที่ไฟร์ไซด์เยาวชน ผมพูดประมาณห้า นาที ส่วนเขาใช้เวลาที่เหลือทั้งหมด ผมคิดว่าผมไม่ได้กล่าวเกินจริงถ้าจะบอกว่าคำพูดของผม แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในศาสนจักรนี้ เมื่อจบไฟร์ไซด์ เยาวชนหลายคนยืนต่อแถวขอบคุณพี่ชายผม คนจิตใจดีคนหนึ่งออกจากแถวมาพูดกับผมว่า “ขอบคุณ คุณพูดได้ดี” ผมนึกในใจว่า “คุณใจดี แต่คุณเป็นคนโกหก” ผมกลับบ้านด้วยความท้อใจ พลางสงสัยว่าผมหวังจะรับใช้งานเผยแผ่ได้อย่างไร ผมรู้สึกไม่คู่ควรจะสอนพระกิตติคุณเป็นภาษาอังกฤษ ไหนจะภาษาสเปนที่ผมยังต้องเรียนอีก

สองสามวันต่อมา ผมยังคงรู้สึกหนักใจ ผมเปิดพระคัมภีร์และอ่านเรื่องของเอโนค เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาเอโนคให้ป่าวร้องการกลับใจ ข้อ 31 กล่าวว่า “ท่านน้อมกายลงสู่พื้นดิน, ต่อพระพักตร์พระเจ้า, และทูลต่อพระพักตร์พระเจ้า, โดยกล่าวว่า: เหตุใดเล่าข้าพระองค์จึงได้รับความโปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์, และเป็นเพียงคนหนุ่ม, และผู้คนทั้งปวงเกลียดชังข้าพระองค์; เพราะข้าพระองค์เชื่องช้าในการพูด; เหตุใดข้าพระองค์จึงได้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์?”7 เพื่อตอบความสงสัยตนเองของเอโนคและเห็นชัดว่าเขาขาดความมั่นใจในการเรียกของเขา พระเจ้าตรัสตอบอย่างไพเราะและอุ่นใจในข้อ 34 ว่า “ดูเถิด พระวิญญาณของเราอยู่กับเจ้า, ดังนั้นถ้อยคำทั้งหมดของเจ้าเราจะรับรอง; และภูเขาจะหลบหนีไปต่อหน้าเจ้า, และแม่น้ำจะหันไปจากวิถีของมัน; และเจ้าจะอยู่กับเรา, และเรากับเจ้า; ฉะนั้นจงเดินกับเรา”8

กังวล ไม่แน่ใจในตนเอง และไม่พร้อมรับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แต่ยึดถ้อยคำเหล่านั้นเหมือนเป็นสายชูชีพ ผมขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตไปรับใช้ที่เม็กซิโก ที่นั่นผมเรียนรู้ว่าหากเราเต็มใจ เราจะได้เดินกับพระเจ้าจริงๆ ผมเรียนรู้ว่าประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันพูดจริง “ชายและหญิงผู้ผันชีวิตมาหาพระผู้เป็นเจ้าจะค้นพบว่าพระองค์ทรงสามารถสร้างจากชีวิตพวกเขาได้มากกว่าพวกเขาจะสร้างเอง”9

การใช้ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ

จากเรื่องราวของเอโนค ผมเรียนรู้อีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับศรัทธาเช่นกัน จงฟังคำสาธยายถึงเด็กหนุ่มคนนี้ที่พูดช้าและผู้คนพากันเกลียดชัง โมเสส 7:13 อ่านว่า “ศรัทธาของเอโนคมั่นคงยิ่งนักจนเขานำผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า, และศัตรูของพวกเขามารบกับพวกเขา; และเขาพูดพระคำของพระเจ้า, และแผ่นดินโลกสั่นสะเทือน, และภูเขาหลบหนีไป, แม้ตามคำสั่งของเขา; และบรรดาแม่น้ำที่มีสายน้ำเบนไปจากวิถีของมัน; และเสียงคำรามของฝูงสิงโตได้ยินออกมาจากแดนทุรกันดาร; และประชาชาติทั้งปวงหวาดกลัวยิ่งนัก, คำของเอโนคทรงพลังยิ่ง, และพลังของ ภาษา ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้เขาทรงอานุภาพยิ่ง”10 ทั้งหมดนั้นไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่พูดช้าเลย แต่เหมือนบุรุษแห่งศรัทธาผู้เคลื่อนภูเขาขณะเดินกับพระเจ้า

บางครั้งเราใช้วลี “หมุนหน้าปัด” หรือ “หมุนเข็ม” แทนความหมายของการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ที่จำเป็นแต่พระเจ้าไม่ทรงเชื้อเชิญให้เราหมุนเข็ม พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราเคลื่อนภูเขา พระองค์ตรัสว่า “ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”11

ศรัทธาให้เคลื่อนภูเขา—ไม่ว่าภูเขาจริงหรือการเปรียบเทียบด้วยภาพพจน์—เป็นอีกระดับหนึ่งของศรัทธา ดังที่เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันสอน

“[มี] ระดับของศรัทธาที่ประกอบด้วยความมั่นใจทางวิญญาณและที่สร้างสรรค์งานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อฟังหลักธรรมและพระบัญญัติของพระกิตติคุณ นี่คือศรัทธาแท้จริงในพระคริสต์ …

“อย่างไรก็ดี มีระดับของศรัทธาที่ไม่เพียงควบคุมพฤติกรรมของเราเท่านั้น แต่ ให้อำนาจเราเพื่อเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ และทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นซึ่งจะไม่เกิดขึ้นด้วยวิธีอื่น ข้าพเจ้ากำลังพูดว่าศรัทธาไม่เพียง เป็นหลักธรรมแห่งการกระทำเท่านั้นแต่ เป็นหลักธรรมแห่งพลังอำนาจด้วย”12

ศรัทธาเช่นนี้บรรยายไว้ใน ฮีบรู 11 ซึ่งเอโนค อับราฮัม ซารา และโมเสสใช้ นี่เป็นศรัทธาซึ่งศาสดาพยากรณ์ใช้ “พิชิตอาณาจักรต่างๆ ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากสิงโต ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ได้เปลี่ยนจากคนอ่อนแอมาเป็นคนเข้มแข็ง … [และ] พวกผู้หญิงก็ได้คนของพวกนางที่เป็นขึ้นจากความตาย”13

ศรัทธาเช่นนี้บรรยายไว้ใน อีเธอร์ 12 โดยกล่าวถึงแอลมา อมิวเล็ค นีไฟ ลีไฮ และแอมัน14 นี่คือศรัทธาที่เห็นได้จาก “พี่ชายของเจเร็ด [ผู้] กล่าวแก่ภูเขาซีรินว่า, จงเคลื่อน—และมันเคลื่อน. และหากท่านไม่มีศรัทธามันก็ไม่เคลื่อน”15 และสุดท้าย “มีหลายคนซึ่งศรัทธาของพวกเขามั่นคงยิ่งนัก, แม้ก่อนที่พระคริสต์เสด็จมา, ซึ่งถูกกันให้พ้นจากภายในม่านไม่ได้”—และจากนั้นจงฟังวลีนี้—“แต่เห็นอย่างแท้จริงด้วยดวงตาของพวกเขาถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้เห็นด้วยดวงตาแห่งศรัทธา”16

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างน่าจดจำของศรัทธาอันเป็นหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ แต่ตัวอย่างสุดท้ายตรึงใจผมอย่างยิ่ง พวกเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ ด้วยดวงตาแห่งศรัทธาก่อนจะเห็น ด้วยดวงตาจริงๆ มีตัวอย่างยุคปัจจุบันของเรื่องนี้จากประธานบริคัม ยังก์ เมื่อพูดถึงผืนดินที่ตั้งพระวิหารซอลท์เลค ท่านกล่าวว่า: “ข้าพเจ้าจะไม่พูดมากเกี่ยวกับการเปิดเผยหรือนิมิต แต่จะพูดเพียงว่า … ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ และเห็นพระวิหารในวิญญาณ — ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ดินผืนนั้น แต่เห็นนิมิตของที่นั่น”17

การเห็นนิมิตว่าจะเป็นอะไร พระเจ้าทรงปรารถนาอะไร เป็นส่วนจำเป็นของการใช้ศรัทธาเป็นหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ

ท่านเห็นปาฏิหาริย์ที่เราต้องการด้วยดวงตาแห่งศรัทธาของท่านได้ไหม ท่านเห็นตัวท่านกำลังสอนชั้นเรียนด้วยความวางใจมากขึ้นในพระเจ้า พระคำของพระองค์ และนักเรียนของท่านได้ไหม ท่านเห็นนักเรียนของท่านออกจากห้องเรียนโดยพึ่งพาคำสอนและการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น ต่อต้านบาปมากขึ้น และพร้อมทำทุกอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้พวกเขาทำได้ไหม และท่านเห็นคนหนุ่มสาวทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิกตอบรับคำเชื้อเชิญของเราให้มาร่วมในปาฏิหาริย์ครั้งนี้มากขึ้นด้วยดวงตาแห่งศรัทธาของท่านได้ไหม พระเจ้าจะทรงทำอะไรหากเราใช้ศรัทธาของเราให้เป็นทั้งหลักธรรมแห่งการกระทำและหลักธรรมแห่งพลังอำนาจ

“พระยาเวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”

ก่อนจบ ผมจะขอยก ตัวอย่างสุดท้าย ผมมี งานแกะสลักจากไม้มะกอกในห้องทำงานของผม เกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่ผมชื่นชอบเรื่องหนึ่ง และเตือนใจผมเสมอว่าผมต้องมีศรัทธา งานนั้นสลักเป็นรูปคาเลบกับโยชูวาผู้ที่โมเสสมอบหมายให้ไปกับชายอีก 10 คน ไปสอดแนมแผ่นดินคานาอันและกลับมารายงาน ชาย 10 คนนั้นกลับมาบอกว่า “คนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก เมืองของพวกเขาก็มีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก”18

“แต่คาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสสแล้วกล่าวว่าให้เราขึ้นไปทันทีและยึดแผ่นดินนั้นเพราะเรา จะชนะแน่นอน

“แต่คนทั้งหลายที่เข้าไปสอดแนมด้วยกล่าวว่า เราไม่สามารถเข้าไปและชนะคนเหล่านั้นได้เพราะพวกเขามีกำลังมากกว่าเรา”19

เพราะขาดศรัทธา “พวกเขายังกล่าวร้ายเรื่องแผ่นดิน … ว่า … ที่เราเห็นล้วนเป็นคนรูปร่างใหญ่โต … ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตน”20

แต่โยชูวากับคาเลบตอบว่า “พระยาเวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย”21

แต่ประชาชนเป็นเหมือนคนสอดแนมไร้ศรัทธา 10 คนนั้น พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้าเต็มพระทัยทำและไม่ยอมติดตามโยชูวากับคาเลบ เพราะขาดศรัทธาประชาชนจึงระหกระเหินในแดนทุรกันดารอีก 39 ปี จากกลุ่มนั้นเหลือโยชูวากับคาเลบเท่านั้นที่รอดชีวิตและได้รับอนุญาตให้เข้าไปแผ่นดินที่สัญญาไว้ ท่านคงจำวาทะอันเลื่องลือของคาเลบได้เมื่อเขากับโยชูวายืนอยู่หน้าภูเขาเฮโบรนสถานที่ซึ่งพวกเขาสอดแนมเมื่อหลายปีก่อน คาเลบกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรงเช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป …

“เพราะฉะนั้นขอมอบแดนเทือกเขานี้ … ให้แก่ข้าพเจ้า”22

เพราะศรัทธาของเขา เขากับครอบครัวหลายรุ่นจึงสืบทอดภูเขาลูกนี้ในแผ่นดินที่สัญญาไว้

มีความท้าทายอยู่ข้างหน้า เราอาจถูกล่อลวงให้สงสัยและกลับมารายงานข่าวร้ายที่เต็มไปด้วยความกลัวและความสงสัย การขาดความวางใจพระเจ้าเช่นนี้จะไม่พาเราไปถึงแผ่นดินที่สัญญาไว้ เฉกเช่นคาเลบและโยชูวา เราต้องขับความกลัวและใช้ศรัทธาทวงพรที่พระองค์ทรงรอประทานแก่เรา เราต้องมองการท้าทายและการทดลองทุกอย่างในชีวิตเราว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้ศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์หยั่งรากลึกยิ่งขึ้น

พระเจ้าจะทรงทำอะไรหากพวกเราแทนที่ความกลัวและความสงสัยด้วยความหวังและศรัทธา ผมเชื่อว่าพระองค์จะไม่เพียงหมุนเข็มเท่านั้นแต่จะเคลื่อนภูเขาด้วย—ทั้งนี้เพื่อปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นในชีวิตเยาวชนและคนหนุ่มสาวของศาสนจักร เมื่อศรัทธาของเราเพิ่มขึ้น ศรัทธาของคนที่เราสอนจะเพิ่มตาม ผมรู้ว่าพระบิดาในสวรรค์จะทรงอวยพรท่านและทรงอวยพรนักเรียนของท่านเมื่อเราใช้ศรัทธาในพระบุตรที่รักและดีพร้อมของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่ และพระผู้ทรงปลดปล่อยโลก ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. Dallin H. Oaks, “Challenges to the Mission of Brigham Young University” (BYU Leadership Conference, Apr. 21, 2017), 8.

  2. Lectures on Faith (1985), 38; Lectures on Faith จัดทำภายใต้การกำกับดูแลของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ.

  3. ศรัทธาเป็นของประทานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เป็นรางวัลตอบแทนความชอบธรรมส่วนตัว เราได้รับเสมอเมื่อมีความชอบธรรม และยิ่งระดับการเชื่อฟังกฎของพระผู้เป็นเจ้ามากเท่าใด เราจะยิ่งได้รับศรัทธามากเท่านั้น” (บรูซ อาร์. แมคคองกี, Mormon Doctrine, 2nd ed. [1966], 264).

  4. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ดึงพลังของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2017, 39.

  5. Bible Dictionary, “Prayer.”

  6. Celeste Davis, “How to Pray in a Way God Can Answer,” Apr. 12, 2016, blog.lds.org.

  7. โมเสส 6:31.

  8. โมเสส 6:34.

  9. เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “Jesus Christ—Gifts and Expectations,” Ensign, Dec. 1988, 4.

  10. โมเสส 7:13; เน้นตัวเอน.

  11. มัทธิว 17:20.

  12. ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สัน, “สร้างศรัทธาในพระคริสต์,” เลียโฮนา, ก.ย. 2012,  15; ดู โมโรไน 7:33 ด้วย.

  13. ฮีบรู 11:33–35.

  14. ดู อีเธอร์ 12:13–15.

  15. อีเธอร์ 12:30.

  16. อีเธอร์ 12:19.

  17. บริคัม ยังก์, “Minutes of the General Conference,” Deseret News, Apr. 30, 1853, 150.

  18. กันดารวิถี 13:28.

  19. กันดารวิถี 13:30–31.

  20. กันดารวิถี 13:32–33.

  21. กันดารวิถี 14:9.

  22. โยชูวา 14:11–12.