การสอนเยาวชนและคนหนุ่มสาว
ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่: เรื่องเด่น


ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่: เรื่องเด่น

ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020

เอ็ลเดอร์เบดนาร์เตือนเราว่าการสอนไม่ใช่การบอก การสอนรวมถึงการฟัง การสังเกต และการแยกแยะ แน่นอน รวมถึงการอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สอนเราด้วย

คำถาม

ไม่นานมานี้ประธานเนลสันสอนเกี่ยวกับความสำคัญของการเปิดเผยส่วนตัว ท่านจะสอนอะไรเราเกี่ยวกับการรับการเปิดเผยส่วนตัว?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

เมื่อเราให้เกียรติพันธสัญญาของเรา เราสามารถมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนได้เสมอ เรามักสนทนากันราวกับว่าการได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าผ่านพระวิญญาณของพระองค์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก เราควรจดจ่อมากขึ้นกับการตระหนักว่าสิ่งใดทำให้พระวิญญาณจากไป แต่ถ้าคุณกับผมกำลังทำสุดความสามารถและไม่ล่วงละเมิดเรื่องร้ายแรง เราย่อมสามารถพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้นำทางเราได้เสมอ

ดูเหมือนว่าผู้คนมากมายจะเชื่อว่าการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเร้าใจ ใหญ่โต และฉับพลัน ความจริงคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเราในวิธีที่สงบ เล็กน้อย และค่อยเป็นค่อยไปตามเวลา บ่อยครั้งขณะที่คุณกำลังรับการเปิดเผย คุณจะไม่รู้ตัวว่ากำลังรับการเปิดเผย

นีไฟคือแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของเรื่องแบบนี้ เขาออกไปโดยไม่รู้ล่วงหน้าถึงสิ่งที่ควรทำ 1 เขา มุ่งหน้า ไปแต่ไม่รู้ในทุกกรณีที่เขากำลังได้รับการนำทาง เราควรเชื่อมโยงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนีไฟอาจเป็นวิธีที่การเปิดเผยทำงานกับเราในหลายกรณี

บางครั้งสมาชิกศาสนจักรเกรงว่าตนจะผิดพลาด จึงไม่มุ่งหน้าไป นีไฟและพี่น้องชายของท่านจับสลาก ซึ่งไม่ค่อยได้ผล สำหรับนีไฟประสบการณ์นั้นเป็นความผิดพลาดหรือไม่? ไม่ เขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญ เมื่อพวกเขาพยายามจะได้แผ่นจารึกทองเหลืองมาจากเลบันโดยใช้ทองคำและทรัพย์สมบัติที่มี นีไฟเรียนรู้บทเรียนอีกบทหนึ่งเพื่อเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

มีหลักธรรมหลายข้อเกี่ยวกับการได้รับการเปิดเผย ตัวอย่างเช่น ประธานแพคเกอร์กล่าวว่า “ครั้งหนึ่ง ประธานฮาโรลด์ บี. ลีบอกข้าพเจ้าว่าการดลใจมาง่ายขึ้นเมื่อคุณก้าวเข้าไปในสถานที่ที่จำเป็นต้องได้รับการดลใจ … ประธานลีพูดถูก!”2 นี่คือคุณค่าของการอยู่ในที่ที่ถูกต้อง การไตร่ตรอง การสวดอ้อนวอน และการแสวงหาความช่วยเหลือ

หลักธรรมนี้ส่งผลอย่างมากในแง่ของการปฏิบัติศาสนกิจ ผู้ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจหลายคนคิดว่าส่งข้อความก็พอ มีหลายครั้งที่คุณต้องอยู่ในบ้านนั้นและต้องมองเข้าไปในตาผู้คน คุณจะได้รับการกระตุ้นเตือนและการดลใจในบ้านนั้นที่คุณจะไม่มีวันได้ในวิธีอื่น

คำถาม

ท่านจะเสริมอะไรไหมครับเพื่อให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดเผยที่ได้รับโดยประธานเนลสันและผู้นำคนอื่นๆ ของศาสนจักร?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

สมาชิกหลายคนของศาสนจักรพูดว่าการเปิดเผยออกมามากมายเพียงใดตั้งแต่ประธานเนลสันเป็นประธานศาสนจักร การปรับปรุงที่กำลังออกมาขณะนี้ผ่านการสนทนาและการสวดอ้อนวอนในสภาต่อเนื่องมาหลายปีและแม้หลายสิบปี ในหลายกรณี การเปิดเผยไม่ใช่ต้องทำอะไร การเปิดเผยคือต้องทำเมื่อใด

คำถาม

นอกจากรับการเปิดเผยว่าต้องทำเมื่อใด บางครั้งเราจะได้รับการเปิดเผยว่าต้องทำอะไรด้วย ถูกหรือไม่?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

อย่าทำให้มันแยกกันครับ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หลายครั้งการเปิดเผยว่าต้องทำอะไรชัดเจนอยู่แล้ว แต่จังหวะเวลาว่าต้องทำเมื่อไรเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับหลายคน ดังนั้น ตามที่จำเป็น เราสามารถรับการเปิดเผยได้ทั้งต้องทำอะไรและต้องทำเมื่อใด—ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

คำถาม

ในฐานะครู เราเตรียมบทเรียนของเราและสวดอ้อนวอนให้นักเรียน เราจะรู้ชัดถึงการดลใจสำหรับผู้ที่เรากำลังสอนและปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างไร?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

ขณะที่คุณเตรียมและสวดอ้อนวอน มักจะมีความคิดแวบขึ้นมา การดลใจแบบฉับพลัน และคุณอาจมีชื่อหนึ่งเข้ามาในความคิดหรือแม้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นการ “ฉุกคิดขึ้นได้ในทันที” 3 เมื่อสิ่งนี้มาอย่างกะทันหัน คุณอาจรู้ชัดว่าคุณได้รับสิ่งที่ต้องการพอดี และกรณีเหล่านั้นน่าทึ่งมากทีเดียว

แหล่งข้อมูลเชิงลึกที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งที่คุณจะได้รับคือคำถามที่นักเรียนจะถาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสฝึกตอบคำถามจากเยาวชนและคนหนุ่มสาวหลายพันคน เนื่องจากผู้เข้าประชุมในการประชุมต่างๆ มีจำนวนมาก ผมจึงมักอนุญาตให้พวกเขาส่งข้อความคำถามมาที่ผมในวิธีที่ควบคุมได้ (ผมไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณทำสิ่งนี้ด้วยวิธีเดียวกันนั้นนะครับ) การอ่านคำถามที่ไม่ระบุชื่อผู้ถามเหล่านั้นเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ใครก็ตามจะมีได้ถ้าทำงานกับคนหนุ่มสาว พวกเขาถามสิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลใจและต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องพูดหรือสอนอะไรถ้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน?

คำถาม

ในการแสวงหาการเปิดเผย เราไม่ควรมีรายการที่เป็นข้อกำหนด—รายการที่บอกว่าเราควรทำสิ่งใดเมื่อใด ควรยึดหลักธรรมมากกว่า ถูกไหมครับ? กระนั้นเราก็ยังมีแบบอย่างของ นีไฟ โจเซฟ สมิธ และโจเซฟ เอฟ. สมิธ ในการอ่านพระคัมภีร์ ฟังศาสดาพยากรณ์ แล้วรับการเปิดเผย นั่นคือหลักธรรม หรือรูปแบบครับ?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

เราดื่มด่ำพระคำของพระผู้เป็นเจ้าจนเราสามารถได้ยินและรู้ชัดถึงสุรเสียงของพระเจ้า เมื่อเราเปลี่ยนการแสวงหาการเปิดเผยเป็นรายการ—ทำสิ่งเหล่านี้แล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้น—นั่นคือเวลาที่เราอยู่ในพื้นที่อันตรายแล้ว เราต้องรอคอยพระเจ้า คำนึงถึงและขานรับจังหวะเวลา ของพระองค์ —เราจะไม่เรียกร้องขอการเปิดเผยตามจังหวะเวลา ของเรา

คำถาม

เราจะดำเนินชีวิตในวิธีที่เราพร้อมรับการเปิดเผยทุกเมื่อที่พระเจ้าทรงพร้อมเทให้เราได้อย่างไร?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

วลี พร้อมรับ นี่สำคัญมาก เราควรดำเนินชีวิตให้พร้อมรับการเปิดเผยอยู่เสมอ—เพื่อเรา “จะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา” 4

อาจมีบางคนที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้อย่างสุดโต่ง กรุณาใช้สามัญสำนึก

คิดดูว่าออลิเวอร์ คาวเดอรีมาเป็นผู้จดคำแปลของโจเซฟ สมิธอย่างไร เขาได้ยินเรื่องแผ่นจารึกทองคำ เขาได้ยินเรื่องโจเซฟ สมิธ และเขาปรารถนาจะไปพบโจเซฟ เขาลงมือทำตามที่ปรารถนา

พระเจ้าทรงประกาศแก่ออลิเวอร์ว่า

“ตามจริงแล้ว, ตามจริงแล้ว, เรากล่าวแก่เจ้า, เจ้าเป็นสุขเพราะสิ่งที่เจ้าทำไป; เพราะเจ้าสอบถามเรา, และดูเถิด, บ่อยเท่าที่เจ้าสอบถาม เจ้าก็ได้รับคำแนะนำจากพระวิญญาณของเรา. หากไม่เป็นเช่นนั้น, เจ้าคงไม่ได้มาอยู่ตรงที่ซึ่งเจ้าอยู่ ณ เวลานี้.

“ดูเถิด, เจ้ารู้ว่า เจ้าสอบถามเรา และเราได้ทำให้ความนึกคิดของเจ้าสว่าง” 5

ประโยคต่อไปในข้อนี้จับใจผมที่สุด ออลิเวอร์ได้รับการดลใจ และเขาไม่รู้ว่าเขาได้รับการดลใจ เขากำลังรับการเปิดเผย และเขาไม่รู้ว่าเขากำลังรับการเปิดเผย การเปิดเผยจึงผ่านโจเซฟมาถึงออลิเวอร์เพื่อบอกเขาว่าเขาได้รับการดลใจแล้วและกำลังรับการเปิดเผย

“และบัดนี้เราบอกเจ้าเรื่องเหล่านี้เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเจ้าได้รับความสว่างโดยพระวิญญาณแห่งความจริง”6

นั่นคือสิ่งที่ผมหมายถึงเกี่ยวกับการมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา

คำถาม

ท่านกล่าวว่านีไฟและพี่น้องชายของท่านโยนเบี้ยเสี่ยงทายพื่อเลือกคนที่จะไปขอแผ่นจารึกทองเหลืองแล้วพยายามที่จะซื้อแผ่นจารึกด้วยทองและเงิน เมื่อเราต้องทำบางอย่าง เราจะให้แน่ใจได้อย่างไรว่าเราทำถูกจังหวะเวลา? เรารู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังทำถูกต้อง?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

นีไฟไม่ได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือตัดสินใจผิดเรื่องจังหวะเวลา นี่เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ บรรทัดมาเติมบรรทัด, กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ เขาได้รับการเตรียมโดยความพยายามแต่ละครั้ง—“โดยไม่รู้ล่วงหน้าถึงสิ่งที่ [เขา] ควรทำ”7

ถ้าเราทำดีที่สุดและพยายามอย่างหนักที่จะเป็นผู้อุทิศถวายและอุทิศตน เราจะไม่เป็นอิทธิพลต่อใครๆ อย่างไม่เหมาะไม่ควร สวรรค์รับผิดชอบงานนี้ ไม่ใช่คุณ ไม่ใช่ผม ในฐานะสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ผมมีงานมอบหมายที่รู้ว่าอาจไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อคุณทำสุดความสามารถ คุณจะโตขึ้นและเก่งขึ้น คุณจะไม่รู้แน่แก่ใจเสมอไปว่าเมื่อใดคือเวลาที่ถูกต้อง ขอเพียงให้คุณทำสุดความสามารถ

ประธานฮิงลีย์สอนบ่อยว่า “ทุกอย่างจะออกมาดี” ผมเชื่อเช่นนั้น และผมยังคิดอีกว่า “ไม่น่า ต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ” ยิ่งแก่ตัว ผมยิ่งเข้าใจว่านั่นคือคำตอบเดียวที่มี พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้คุณทำคนเดียวขณะคุณพยายามช่วยเหลือ บำรุงเลี้ยง และปฏิบัติศาสนกิจต่อบุตรธิดาของพระองค์ ถ้าคุณทำสุดความสามารถ ทำในความชอบธรรม สิ่งนั้นจะออกมาดี และคุณจะได้บทเรียนตลอดทาง

คำถาม

เราจะสอนนักเรียนที่อาจรู้สึกไม่ดีพอที่จะพร้อมรับการเปิดเผยตลอดเวลาอย่างไร? ซึ่งเรื่องเช่นนั้นดูเหมือนเป็นงานที่น่าหนักใจสำหรับพวกเขา

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

แทนที่จะคิดว่า “ฉันจะบอกอะไรพวกเขา?” ให้มุ่งเน้นที่ “ฉันจะถามอะไรพวกเขา?” และไม่ใช่แค่ “ฉันจะถามอะไรพวกเขา?” แต่ “ฉันจะเชื้อเชิญให้พวกเขาทำอะไร?” ด้วย

การถามคำถามนั้นกับพวกเขาคือการเชื้อเชิญให้พวกเขาลงมือทำ ถ้านักเรียนคนนั้นตอบ นั่นคือการแสดงศรัทธาในพระคริสต์ ศรัทธาเป็นหลักธรรมของการลงมือทำและพลัง เมื่อเราลงมือทำตามคำสอนของพระคริสต์ เราจะได้รับพรให้มีพลังของพระองค์ สิ่งที่เราเกือบทุกคนต้องการก่อนคือพลังเพื่อเราจะลงมือทำได้ การทำแบบนั้นไม่ได้ผล

เจตนาของเราไม่ควรเป็น “ฉันจะบอกอะไรพวกเขา?” แทนคำถามนั้น เราควรถามตนเองว่า “ฉันจะเชื้อเชิญให้พวกเขาทำอะไรได้บ้าง? ฉันจะถามคำถามดลใจอะไรซึ่งถ้าพวกเขายินดีตอบ จะเริ่มอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิตพวกเขา?” คำถามที่จะถามนั้นเรียบง่ายมากจริงๆ เช่น “คุณกำลังเรียนรู้อะไรบ้าง?” โดยการตอบคำถาม คนคนนั้นกำลังอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ทรงนำทางคำตอบของตน บทบาทของเราคือทำให้สนทนาเรื่องเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยและเชื้อเชิญให้พวกเขาลงมือทำเพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนได้

ถ้าคุณรักพวกเขา ถ้าคุณพยายามทำสิ่งที่สวรรค์ต้องการจริงๆ สวรรค์จะนำทางคุณไปในเส้นทางเรียบง่ายที่สุด คำถามไม่จำเป็นต้องซับซ้อน คุณพยายามค้นหาว่าพวกเขาเข้าใจว่าตนเองอยู่ตรงไหน เพราะคุณเป็นห่วงจริงๆ

อีกอย่างหนึ่งคือมีความกังวลอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับคนหนุ่มสาวที่ตกไปเสมอ มีหลายคนมากเกินไปที่ไม่ได้รับเชิญให้เรียนรู้เพื่อตนเอง พวกเขาเพียงพึ่งพาสิ่งที่คนอื่นบอก “ถ้าทั้งหมดที่ท่านหรือข้าพเจ้ารู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูคือสิ่งที่ผู้อื่นสอนหรือบอกเรา แสดงว่ารากฐานประจักษ์พยานของเราในพระองค์ … สร้างบนทราย”8 นั่นคือเหตุผลที่การเชื้อเชิญให้พวกเขาลงมือทำและเรียนรู้ด้วยตนเองช่วยให้พวกเขาสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งกว่า

คำถาม

ชายหนุ่มคนหนึ่งอ่านพระคัมภีร์มอรมอนเป็นครั้งแรกแล้วสรุปว่าเขาไม่รู้สึกถึงพระวิญญาณ บางทีเขาอาจกำลังรอให้เทพจากสวรรค์ลงมาประกาศว่าพระคัมภีร์เล่มนี้จริงก็ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้เราจะช่วยได้อย่างไร?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

มีสมาชิกศาสนจักรที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งหลายคนที่ไม่ได้คิดว่าพวกเขาดีพอเพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์เร้าใจอย่างบางคนที่เล่าให้กันฟังในการประชุมอดอาหารและแสดงประจักษ์พยาน ประสบการณ์เร้าใจไม่ใช่บรรทัดฐาน ถ้าคุณให้เกียรติพันธสัญญาของคุณและมุ่งหน้าไป คุณกำลังทำดี คือว่าคุณปรกติดี เซาโลไม่ได้เปลี่ยนใจเลื่อมใสโดยแสงสว่าง แอลมาผู้บุตรไม่ได้เปลี่ยนใจเลื่อมใสโดยเทพ

“ ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย, เมื่อนั้นความมั่นใจของท่านจะแข็งแกร่งขึ้นในการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า”9 ไม่ใช่ความมั่นใจในตัวคุณ—แต่มั่นใจในพระองค์ทั้งสอง เพื่อทำสำเร็จในสิ่งที่ไม่มีใครในพวกเราทำได้

บราเดอร์แชด เว็บบ์

สิ่งซึ่งชักชวนให้เราทำดีและเชื่อในพระคริสต์มาจากพระผู้เป็นเจ้า 10 สักวันหนึ่งเราอาจประหลาดใจที่พบว่าเรื่องที่คิดว่าเป็นความคิดของเรา จริงๆ แล้วมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราพยายามทำดี พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำความคิดของเราและความปรารถนาของเรา

เมื่อประธานเนลสันพูดเรื่องการเปิดเผย ท่านเชื้อเชิญให้เราทุ่มเทใจแด่พระบิดาบนสวรรค์ ทูลพระองค์ ตรงไปตรงมากับพระองค์ แล้วฟังพระองค์ ท่านขอให้เราจดการกระตุ้นเตือนที่เข้ามา แล้วลงมือทำ จากนั้นท่านกล่าวว่า “เมื่อท่านทำกระบวนการนี้ซ้ำวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ท่านจะ ‘เติบโตไปสู่หลักธรรมแห่งการเปิดเผย’”11

ส่วนตัวผมแล้ว การดลใจส่วนใหญ่ที่มาในชีวิตผมไม่ได้มาขณะผมสวดอ้อนวอน ผมสวดอ้อนวอน ไตร่ตรอง พยายามจดการกระตุ้นเตือนที่เข้ามา แต่เมื่อผมลงมือทำ การดลใจจะมา ระหว่างบทเรียน ขณะกำลังร้องเพลงสวด ขณะพูดกับบางคน หรือในสภาพแวดล้อมอื่น คำตอบการสวดอ้อนวอนเริ่มมา

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

ระวังไว้ข้อหนึ่ง: วิธีหรือแบบของการเปิดเผยอาจแตกต่างกันไปในผู้คนทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ในแอฟริกา ผู้คนมักมีความฝันที่น่าทึ่ง ไม่แปลกที่ผู้สอนศาสนาจะพบกับคนบางคนบนท้องถนนที่พูดว่า “ฉันเห็นคุณในฝัน และคุณมีข่าวสารจากพระผู้เป็นเจ้า ผมอยากฟังสิ่งที่คุณจะบอกผม” ผมไม่ฝันอย่างที่วิสุทธิชนผู้ซื่อสัตย์ในแอฟริกาฝัน

ส่วนใหญ่เราสอนจากประสบการณ์ของตนเอง ดังนั้นเราต้องระวังที่จะไม่ยัดเยียดรูปแบบประสบการณ์ของเราให้ผู้อื่้น ไม่ได้หมายความว่ารูปแบบของพวกเขาถูกต้องหรือมีประโยชน์น้อยกว่า จำไว้ว่ามีหลากหลายวิธีที่พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถเชื่อมโยงกับความคิดและใจของคน

กรุณาเปิดใจให้กว้างกับสิ่งต่างๆ ที่ท่านอาจเชื้อเชิญและชักจูงให้บางคนทำเพื่อพวกเขาจะลงมือทำและเรียนรู้ด้วยตนเองได้

คำถาม

มีวิธีใดที่เราจะเพิ่มความมั่นใจในความสามารถของเราที่จะรับการเปิดเผยส่วนตัวและไม่พึ่งพากระบวนการที่เราอาจได้ยินหรืออ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากผู้อื่น?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

ข้อความที่ยกมาจากประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญยิ่งสำหรับใครก็ตามที่กำลังเริ่มก้าวเดินไปสู่การได้รับความมั่นใจในการรับการเปิดเผย

“จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้ต้องอาศัยปาฏิหาริย์ เครื่องหมายและนิมิตเพื่อให้ตนยืนหยัดในศาสนจักร และข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นสมาชิกของศาสนจักรผู้ไม่อยู่ในสถานะอันดีต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและผู้กำลังเดินอยู่ในทางลื่น ปรากฎการณ์อันน่าอัศจรรย์ไม่ได้ทำให้เรามั่นคงในความจริง แต่โดยความอ่อนน้อมและการเชื่อฟังอย่างซื่อสัตย์ต่อพระบัญญัติและกฎของพระผู้เป็นเจ้า …

“สมัยเด็ก … บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าจะ … ทูลขอพระเจ้าให้ทรงแสดงสิ่งอัศจรรย์บางอย่างต่อข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประจักษ์พยาน แต่พระเจ้าทรงยับยั้งสิ่งอัศจรรย์ไว้จากข้าพเจ้า และแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความจริง บรรทัดมาเติมบรรทัด … จนกระทั่งทรงทำให้ข้าพเจ้ารู้ความจริงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนกระทั่งความสงสัยและความกลัวถูกลบล้างไปจากข้าพเจ้าจนหมดสิ้น พระองค์ไม่ทรงต้องส่งเทพจากสวรรค์ลงมาทำสิ่งนี้หรือตรัสด้วยแตรของเทพาดิเทพ แต่โดยการกระซิบของเสียงสงบแผ่วเบาจากพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์ประทานประจักษ์พยานที่ข้าพเจ้ามีอยู่”

“และโดยหลักธรรมกับอำนาจนี้ พระองค์จะประทานความรู้เรื่องความจริงให้ลูกหลานมนุษย์ทั้งปวงซึ่งจะอยู่กับพวกเขา และจะทำให้พวกเขารู้ความจริงดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ และทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงทำ และไม่มีปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ใดจะทำสิ่งนี้ได้”12

ใครก็ตามที่กำลังดิ้นรนอยู่สามารถเริ่มขั้นตอนแรกและทำสิ่งที่โจเซฟ เอฟ. สมิธทำได้เลย

สมาชิกศาสนจักรบางคนต้องการเห็นแสงบนถนนไปดามัสกัสก่อนจึงจะเชื่อ จริงหรือ? เซาโลอยู่ในสภาพที่จะรับรู้สุรเสียงสงบแผ่วเบาไหมครับ? เขาต้องถูกปลุกให้ตื่นทางวิญญาณ หลายคนคาดหวังจะได้เห็นเทพแบบที่แอลมาผู้บุตรเห็น จริงหรือ? แอลมาไม่อยู่ในสภาพที่จะรับรู้สุรเสียงสงบแผ่วเบา เขาต้องถูกปลุกให้ตื่นทางวิญญาณ และประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเป็นพยานว่า นั่นไม่ใช่ทั้งแสงหรือเทพ นั่นคือการรับรู้ถึงสุรเสียงสงบแผ่วเบาที่ทำให้เกิดความมั่นใจ ขอเพียงไปและทำ

ถ้าเราไม่รักษาพระบัญญัติ เราจะมีความมั่นใจนั้นไม่ได้ และเราจะไม่มีความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณ มีคนหนุ่มสาวที่ต้องกลับใจ และมีคนหนุ่มสาวที่กดดันตนเองมากไปจนไม่เคยคิดว่าตนเองดีพอ คุณไม่ต้องดีพร้อม คุณแค่ต้องกลับใจอย่างจริงใจ เป็นคนดี ทำสุดความสามารถ และมุ่งหน้าไป

คำถาม

ท่านพูดและเขียนไว้มากเกี่ยวกับการให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางและเน้นความก้าวหน้าของพวกเขา มีอะไรที่ท่านอยากจะสอนเราเพิ่มเกี่ยวกับการอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าสู่กระบวนการนั้นหรือไม่ครับ?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

“จงกำหนดผู้สอนในบรรดาพวกเจ้า, และอย่าให้ทุกคนเป็นผู้พูดพร้อมกัน; แต่ให้พูดทีละคนและให้ทุกคนฟังคำกล่าวของเขา, เพื่อว่าเมื่อทุกคนพูดเพื่อทุกคนจะรับการจรรโลงใจจากทุกคน, และเพื่อมนุษย์ทุกคนจะมีอภิสิทธิ์เท่าเทียมกัน.”13 เราไม่ใช่ครู พระวิญญาณบริสุทธิ์คือครู พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นการเตือนให้กำหนดพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครู และ “รูปแบบหนึ่ง”—แต่ไม่ใช่รูปแบบเดียว—คือให้พูดทีละคนและให้ทุกคนฟังสิ่งที่เขาพูด นั่นฟังเหมือนง่าย และอาจดูง่าย

เมื่อผู้คนรู้สึกปลอดภัย พวกเขาอาจส่งเสียงตอบคำถามบางข้อของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาไม่แน่ใจได้ พวกเขาไม่ได้เรียนจากคนอื่นๆ ในห้องนั้นอย่างเฉพาะเจาะจง แต่สิ่งที่บางคนพูดอาจเปิดทางให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนพวกเขาแต่ละคน พวกเขาต่างมีส่วนร่วมในการแสดงออกโดยรวมถึงศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ขณะที่ทุกคนในสภาพแวดล้อมนั้นกำลังขอ หา และเคาะ และในการใช้ศรัทธาของแต่ละคนและของทุกคนรวมกัน เราเชื้อเชิญ คำว่า กำหนด ไม่ได้หมายถึง แต่งตั้ง เราไม่สามารถแต่งตั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครูได้ แต่เราสามารถอัญเชิญและชักจูงพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นครูได้

ในการประชุมผู้สอนศาสนา เราสนทนากันหลายประเด็น และผมถามผู้สอนศาสนาว่า “คุณได้ยินอะไรที่ไม่มีใครพูดบ้าง?” ผู้สอนศาสนาอายุ 18 ปีคนหนึ่งซึ่งเพื่งอยู่ในสนามเผยแผ่ได้สี่สัปดาห์ตอบว่า “เอ็ลเดอร์เบดนาร์ครับ ถ้าผมได้ยินคำตอบในเสียงของคุณหรือในเสียงของผู้สอนศาสนาอีกคน นั่นคือข่าวสารสำหรับทุกคน ถ้าผมรู้สึกถึงสิ่งนั้นในใจผมหรือมีความคิดในจิตใจ นั่นมาจากพระผู้เป็นเจ้า และนั่นสำหรับผมเท่านั้น” คุณประทับใจคำตอบนั้นไหมครับ? จะใช้เวลาบรรยายให้บางคนฟังหรือสร้างบทบาทสมมติบางอย่างหรือประสบการณ์อื่นนานแค่ไหนกว่าจะทำให้คนวัย 18 ปีมีความเข้าใจทางวิญญาณที่ลึกซึ้งเช่นนั้นได้?

ดังนั้นการเชื้อเชิญให้คนอื่นลงมือทำ—เพื่อใช้ศรัทธาของพวกเขา—จะช่วยชักจูงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนพวกเขาโดยส่วนตัวและทุกคนโดยรวม

เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครู เรามีบทบาทต้องทำ เราทำในส่วนของการอัญเชิญ ชักจูง และนำทาง แต่จากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกำกับดูแลสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีที่น่าทึ่ง

คำถาม

สุภาพสตรีสาวคนหนึ่งถามว่าผมจำหลักธรรมข้อหนึ่งที่สอนเธอได้หรือไม่ เธอบอกว่าหลักธรรมนั้นเปลี่ยนชีวิตเธอตลอดกาล ผมจำสถานการณ์นั้นได้ และผมไม่ได้สอนเรื่องน้ั้นแก่เธอเลย ที่จริงเธอพลาดประเด็นที่ผมพยายามจะสอนไปด้วยซ้ำ พระวิญญาณทรงสอนเธอ เราจะช่วยอย่างไรให้นักเรียนรู้ตัวว่ากำลังรับการเปิดเผยเพื่อที่พวกเขาจะมีความมั่นใจในการแสวงหาการเปิดเผยให้ตนเองมากขึ้น?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

คุณจะเชื้อเชิญให้เธอทำอะไรเพื่อให้เธอมีตาที่มองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน?

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราจำทุกสิ่งได้ 14 เธอมีประสบการณ์อันน่าทึ่งที่เธอได้ยินบางอย่างที่เห็นชัดว่าไม่มีใครพูด คุณช่วยให้เธอมองออก ขอให้เธอนึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนะองและค้นพบอีกหนึ่งหรือสองเรื่องที่คล้ายเรื่องนั้น ช่วยให้เธอค้นพบรูปแบบในสองสามเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นแล้วค้นพบว่าสิ่งใดทำให้เกิดความเข้าใจทางวิญญาณอันลึกซึ้งนั้น

มีความหลากหลายมากมายยิ่้งในหมู่คนหนุ่มสาว และพวกเขามีเรื่องท้าทายรวมถึงปัญหาแทบทุกประเภท แต่เราควรคาดหวังว่าพวกเขาจะเป็นอย่างที่เราบอกว่าเขาเป็น และเราควรเชื้อเชิญให้พวกเขาลงมือทำ แล้วคุณจะเฝ้าพิศวงกับสิ่งที่พวกเขาทำ คิดถึงสิ่งที่จะเชื้อเชิญให้พวกเขาทำก่อนเพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้

คำถาม

ท่านสอนให้เราเข้าใจ หรืออาจจะเรียนรู้ วิธีฟังและสังเกตเก่งขึ้นได้ไหมครับ?

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

ผมขอแนะนำให้คุณหาพระคัมภีร์มอรมอนปกอ่อนถูกๆ สักเล่มแล้วอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ มองหาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ “ตาที่มองเห็นและหูที่ได้ยิน” หรือถ้อยคำทำนองเดียวกันนี้ ดูในหลักคำสอนและพันธสัญญาและในพันธสัญญาใหม่ด้วย เอาตัวคุณเองเข้าไปในพระคัมภีร์ในฐานะผู้กระทำ—ขอ หา และเคาะ—พร้อมคำถามของคุณคือ “ฉันจะเห็นสิ่งที่ปกติไม่เห็นได้อย่างไร? ฉันจะได้ยินสิ่งที่ปกติไม่ได้ยินได้อย่างไร?” เมื่อคุณเข้าไปในพระคัมภีร์ด้วยคำถามเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนคุณเป็นส่วนตัวและให้คำตอบของคำถามนั้น ผมไม่สามารถให้คุณได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเฉพาะคุณ ในที่ส่วนตัว และเป็นส่วนตัวว่าคำตอบสำหรับคุณคืออะไร

ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่าง ซูซาน ภรรยาผม เป็นผู้เยี่ยมสอนที่เปี่ยมด้วยศรัทธาอย่างยิ่งมาตลอด เมื่อปรับเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติศาสนกิจและประธานเนลสันขอให้ปฏิบัติศาสนกิจด้วยวิธีทื่ “สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น”15 ซูซานฟัง และอยากรู้ว่าคืออะไร หลังจากไตร่ตรองและสวดอ้อนวอน เธอมาถึงข้อสรุปที่น่าทึ่ง—ว่าเธอควรถามพี่น้องสตรีที่เธอได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจว่า “การปฏิบัติศาสนกิจของเราแบบสูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น มีความหมายต่อคุณอย่างไร?”

นั่นเป็นคำถามที่เรียบง่ายและชัดเจนที่สุดที่คุณจะถามได้ แต่คำตอบจากพี่น้องสตรีของเธอเป็นสิ่งเหลือเชื่อ ซิสเตอร์คนหนึ่งขอให้ไปพระวิหารด้วยกัน อีกคนขอให้อ่านคำพูดในการประชุมใหญ่สามัญแล้วมากินข้าวกลางวันด้วยกันเพื่อสนทนาสิ่งที่ได้เรียนรู้ ซูซานสงสัยว่าที่ผ่านมาเธอทำอะไรบางอย่างผิดไปหรือเปล่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น—ตาสว่างขึ้นเพื่อเห็นในวิธีที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

คำถาม

เวลาที่เหลืออีกสองสามนาทีนี้ ขอให้ท่านแบ่งปันเรื่องใดก็ได้ที่ท่านรู้สึกอยากแบ่งปันรวมถึงประจักษ์พยานของท่านด้วย

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

ผมรักพวกคุณ ผมรักสิ่งที่คุณเป็นและสิ่งที่คุณพยายามเป็น ผมรักสิ่งที่คุณทำ เราทุกคนดีขึ้นได้ แต่ผมขอบอกว่า “ขอบคุณ” ผมกล่าวขอบคุณแทนฝ่ายประธานสูงสุด โควรัมอัครสาวกสิบสอง และคณะกรรมการการศึกษาของศาสนจักร

การอยู่บนแผ่นดินโลกในช่วงนี้ของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาเป็นพรของชีวิต หลายปีก่อน ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์บอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เดวิด นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู” และท่านพูดได้ถูกต้องที่สุด

นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับพรให้เห็นสิ คิดดู ปีนี้เป็นปีที่เราฉลองนิมิตแรกครบ 200 ปี การประกาศสร้างพระวิหารในปาปัวนิวกีนีและในพนมเปญ กัมพูชา เรามีผู้สอนศาสนาในสหภาพโซเวียตและประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์และมีพระวิหารในยูเครน นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู

เรามีความรับผิดชอบเฉพาะเจาะจงในยุคนี้ ถ้าเราได้รับการสงวนไว้สำหรับยุคนี้ นั่นเพราะเรามีหลายอย่างต้องทำ และเรามีบทบาทในการช่วยให้อนุชนรุ่นหลังมีความพร้อม นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู—การต่อต้านที่รุนแรงที่สุดและโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในยุคนี้ เรามีโอกาสนี้ด้วยกัน ที่จะรับใช้ แสดงประจักษ์พยาน ปฏิบัติศาสนกิจ และช่วยเหลือ

ผมสวดอ้อนวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเติมช่องว่างระหว่างคำพูดที่ผมพูดออกมากับสิ่งที่ผมปรารถนาจะถ่ายทอด ผมเป็นพยานว่าพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธนเมื่อ 200 ปีก่อน ผมเป็นพยานว่าพระบิดาทรงเป็นพระบิดาของเรา และทรงเป็นผู้ลิขิตแผนแห่งความสุข ผมรู้ ผมยืนยัน และผมเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระบิดานิรันดร์ ผมเป็นพยานว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ อุโมงค์ว่างเปล่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”16

ผมเป็นพยานว่าโดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ อำนาจฐานะปุโรหิต กุญแจฐานะปุโรหิตได้รับการฟื้นฟูมายังแผ่นดินโลก การปรากฏของพระบิดาและพระบุตรเริ่มต้นการฟื้นฟูพระกิตติคุณ ผมเป็นพยานว่าการฟื้นฟูนั้นกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ผมกล่าวคำพยานนี้ และแสดงความรักต่อพวกคุณในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน