การถ่ายทอดประจำปี
เราไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้


เราไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้

การถ่ายทอดการอบรม S&Iประจำปีสำหรับปี 2020

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2020

ผมรู้สึกดีมากจริงๆ ที่เรามาอยู่รวมกัน เราหวังว่าท่านและครอบครัวท่านปลอดภัยและสุขภาพดี ตลอดปีนี้ เราฉลองนิมิตแรกครบ 200 ปี ผมสำนึกคุณต่อโจเซฟ สมิธและแบบอย่างศรัทธาและความปรารถนาจะรู้ความจริงของท่าน และผมสำนึกคุณที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงรักเรามากพอจะตอบคำสวดอ้อนวอนที่อ่อนน้อมของโจเซฟ เรารู้สึกถึงพลังของเนื้อเพลงเมื่อเราได้ยิน “สรรเสริญบุรุษผู้ติดต่อพระเยโฮวาห์”1 ผมขอเสริมว่า สรรเสริญพระเยโฮวาห์ที่ทรงติดต่อกับมนุษย์อีกครา ผมสำนึกคุณต่อความเป็นจริงของสิ่งที่โจเซฟประสบในป่าศักดิ์สิทธิ์

หลังจากนิมิตของท่าน โจเซฟกลับบ้าน ท่านพบคุณแม่และบอกเธอว่า “ทุกอย่างดี … ผมเรียนรู้ด้วยตนเอง”2 แบบฉบับที่โจเซฟใช้ค้นหาความจริงเป็นแบบฉบับเดียวกับที่นักเรียนของเราต้องทำตาม เช่นเดียวกับประสบการณ์ของโจเซฟช่วยให้ท่านเรียนรู้ด้วยตนเอง เราหวังว่านักเรียนทุกคนของเราจะเรียนรู้ด้วยตนเองว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักและรักพวกเขา ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ และว่าพระองค์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรในวันเวลาสุดท้ายนี้

ตั้งแต่เริ่มต้นเซมินารีและสถาบัน เราพูดกันมากแล้วเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู้ จากหลักสูตรที่วางแผนตามแผนการศึกษาศาสนจักรถึงหลักพื้นฐานของการสอนและการเรียนรู้ในปัจจุบัน แนวทางที่ได้รับการดลใจช่วยให้เราสอนพระกิตติคุณที่ฟื้นฟูตามที่พบในพระคัมภีร์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์อย่างมีประสิทธิภาพโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่ควรหันเหจากพื้นฐานเหล่านี้ แต่ก็ไม่ควรกลัวการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือเสริมความรู้ของเราเกี่ยวกับวิธีช่วยให้นักเรียนของเราเรียนรู้ด้วยตนเองได้ดีที่สุด

ผมสำนึกคุณต่อความก้าวหน้าที่เราทำอยู่ ในบางด้านผมรู้สึกเหมือนเราปีนเขาด้วยกัน เราจะปีนมาไกลขนาดนี้ไม่ได้หากไม่มีประสบการณ์และการเปิดเผยในอดีต แต่เราไม่ควรชะล่าใจและต้องไม่หยุดปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ผมคิดถึงวลีที่เอ็ลเดอร์ เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์กล่าวในการประชุมใหญ่สามัญครั้งล่าสุด “[เรา] ไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้” [Judith Mahlangu (multistake conference near Johannesburg, South Africa, Nov. 10, 2019), ใน Sydney Walker, “Elder Holland Visits Southeast Africa during ‘Remarkable Time of Growth,’Church News, Nov. 27, 2019, thechurchnews.com].3 เราปีนเขามาได้ครึ่งทางแล้ว และพระเจ้าทรงพร้อมประทานแก่เรามากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอ็ลเดอร์คิม บี. คลาร์กจึงขอให้เราพิจารณาไม่เพียงจะสอนอะไรและสอนอย่างไรเท่านั้น แต่จะเน้นผู้เรียนเน้นกระบวนการและผลของการเรียนรู้ให้มากขึ้นได้อย่างไร ท่านขอให้เราถามตัวเองว่า “นักเรียนของฉันต้องมีประสบการณ์อะไรบ้างจึงจะเพิ่มพลังความสามารถของพวกเขาในการเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง?” เมื่อผนวกประวัติอันน่าทึ่งของเรากับคำแนะนำล่าสุดเราอาจถามว่า “เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางและเน้นผู้เรียนมากขึ้น?”

เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ให้ตัวอย่างไว้น่าสนใจใน ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ว่าการเน้นผู้เรียนนั้นเป็นอย่างไร เห็นชัดว่าเจตนาของท่านไม่ใช่เพื่อบอกเราบางอย่างแต่เพื่อให้เราเรียนรู้บางอย่าง ท่านถามคำถาม สังเกต และฟังเพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจ ท่านสอนวิธีดำเนินการสอนด้วยเมื่อท่านพูดว่า “แทนที่จะคิดว่า ‘ฉันจะบอกอะไรพวกเขา?’ ควรเน้นว่า ‘ฉันจะถามอะไรพวกเขา?’ และไม่ใช่แค่ ‘ฉันจะถามอะไรพวกเขา?’ แต่ ‘ฉันจะเชื้อเชิญให้พวกเขาทำอะไร?’ ด้วย”4

เจคอบ นิวเซเนอร์อาจารย์ในศาสนายิวและศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงกล่าวไว้ว่า “ครูที่ยิ่งใหญ่ไม่สอน แต่ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้” แน่นอนว่ามีความสัมพันธ์เกื้อกูลกันระหว่างการสอนที่มีประสิทธิภาพกับการเรียนรู้ แต่ผมคิดว่าคำกล่าวของดร. นิวเซเนอร์แนะว่าเราควรขยายผลสิ่งที่เราคิดว่าเป็นการสอนที่มีประสิทธิภาพและเน้นมากขึ้น ไม่ใช่เน้นการบอก แต่เน้นการช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์ที่เชิญชวนให้เรียนรู้ สำหรับเรา นี่หมายถึงช่วยให้นักเรียนประสบการเป็นพยานถึงความจริงของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อพวกเขา หมายถึงเราสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยในการถามคำถาม ค้นพบความจริง ทำการเชื่อมโยงหลักคำสอน ฟังประจักษ์พยานจากเพื่อนวัยเดียวกัน ประเมินและพูดความคิด ความรู้สึก และความประทับใจในความจริงที่พวกเขากำลังเรียนรู้ออกมา หมายถึงเราสร้างประสบการณ์ที่ดลใจพวกเขาให้ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ รู้วิธีลงมือทำด้วยศรัทธา เรียนรู้จากความผิดพลาดของตน และพยายามอีกครั้งด้วยความหวังในพระคริสต์ นี่คือวิธีที่พวกเขาจะเรียนรู้ด้วยตนเอง

เพื่อเข้าใจประสบการณ์ที่นักเรียนต้องการขณะพวกเขาอยู่กับเราให้ถ่องแท้มากขึ้น วิธีดีที่สุดที่เราตัดสินใจทำคือถามพวกเขา ทีมวิจัยพูดคุยกับเยาวชนหลายพันคนในสี่ทวีป พวกเขาพบกับผู้เข้าเรียนและหลายคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียน เมื่อเราสรุปข้อมูลจำนวนมากออกมา เราแบ่งคำตอบออกเป็นสามหมวด

หมวดแรกเราเรียกว่า “การเปลี่ยนใจเลื่อมใส” เยาวชนและคนหนุ่มสาวบอกเราว่าพวกเขาต้องการและต้องมีประสบการณ์ที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าและกระชับความสัมพันธ์กับพระองค์ พวกเขาต้องการทำให้ศรัทธาและประจักษ์พยานในพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูลึกซึ้งขึ้น แน่นอนว่านั่นตรงกับที่เราต้องการให้พวกเขา

ข่าวดีคืองานวิจัยแสดงให้เห็นว่าชั้นเรียนของเรากำลังช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คนที่เข้าเรียนและมีส่วนในโอกาสการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอมีประจักษ์พยานเข้มแข็งขึ้นและมีศรัทธาในพระเยซูคริสต์เพิ่มขึ้น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลมากมายที่เราต้องการเชื้อเชิญให้เยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ขณะพวกเขาเรียนรู้กับท่าน ศรัทธาและประจักษ์พยานของพวกเขาเติบโต

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของพวกเขาลึกซึ้งขึ้น เราก้าวหน้ามากเมื่อเราใฝ่ใจในหลักธรรมการสอนที่ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง และผมเชื่อว่ายังมีอีกมากที่พระเจ้าเต็มพระทัยสอนเราเมื่อเราทูลขอการนำทางจากพระองค์ ขณะท่านไตร่ตรองความเป็นไปได้ ท่านจะพิจารณาประสบการณ์ที่นักเรียนจำเป็นต้องมีเพื่อเพิ่มพลังความสามารถให้เข้าใจแผนของพระบิดาบนสวรรค์และคำสอนและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ไหมครับ? คิดหาวิธีช่วยให้พวกเขาแสวงหา รับรู้ และลงมือทำตามอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วกระทำด้วยศรัทธา กลับใจ รวมทั้งทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ท้ายที่สุด ความหวังของเราคือ ขอให้ประสบการณ์ที่พวกเขามีช่วยพวกเขารู้และรักพระเยซูคริสต์และพยายามเป็นเหมือนพระองค์

หมวดสองที่มาจากการฟังผู้ร่วมงานวิจัยเราเรียกว่า “เกี่ยวพันกับการเติบโตส่วนตัวทางวิญญาณ” คนที่เราสำรวจบอกว่าชั้นเรียนรู้สึกมีความสำคัญเมื่อครูรับรู้และเห็นค่าความหลากหลายของสภาวการณ์และภูมิหลังของนักเรียน และปรับประสบการณ์การเรียนรู้ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละคน พวกเขาบอกว่าต้องการที่ที่พวกเขาสามารถถามคำถามที่จริงใจเกี่ยวกับหลักคำสอน ประวัติศาสนจักร และปัญหาสังคมที่สำคัญต่อพวกเขา พวกเขาไม่คิดจะโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ พวกเขามีคำถามจากใจจริงและต้องการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เปี่ยมด้วยศรัทธา และเปิดกว้างให้พวกเขาสำรวจ ต้องการครูที่จะตอบคำถามของพวกเขา ไม่เพียงด้วยศรัทธาเท่านั้นแต่ด้วยความจริงใจและความเห็นใจ อีกทั้งต้องการเรียนรู้วิธีเรียนรู้และพึ่งพาตนเองทางวิญญาณมากขึ้น พวกเขาต้องการพัฒนาทักษะที่ช่วยพวกเขาวิเคราะห์แนวคิดและเข้าใจพวกเขาในบริบทนิรันดร์ พวกเขาต้องการให้ช่วยรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าตนสามารถอธิบายหลักธรรมพระกิตติคุณและนโยบายศาสนจักรให้กับผู้อื่น และต้องการพัฒนาทักษะในการใช้หลักธรรมพระกิตติคุณช่วยแก้ไขความท้าทายประจำวัน

สิ่งที่นักเรียนต้องการและต้องมีล้วนสอดคล้องกับคำแนะนำที่เราได้รับเมื่อปีที่แล้วจากเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ ท่านเตือนเราว่า “นักเรียนไม่ใช่ภาชนะที่ต้องเติมให้เต็ม แต่นักเรียนคือไฟที่ต้องจุดให้ติด”5

บทบาทครูของเราคือช่วยนักเรียนบ่มเพาะความปรารถนาจะเรียนรู้ รับการเปิดเผย ค้นพบ เข้าใจ และดำเนินชีวิตตามความจริงที่พวกเขาได้มาด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงแจกจ่ายความรู้ที่เราได้มาจากการศึกษาหรือประสบการณ์ของเราเอง เราต้องจำไว้ว่าสิ่งที่ดูเหมือนสำคัญสำหรับเราอาจไม่มีความหมายต่อนักเรียนที่อยู่ในช่วงชีวิตต่างจากเรา เราจึงต้องฟังพวกเขาจริงๆ สังเกต และสวดอ้อนวอนขอการเล็งเห็น

น่าเสียดายที่เยาวชนและคนหนุ่มสาวจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าเรียน รู้สึกว่าชั้นเรียนของเราไม่สำคัญมากพอ พวกเขาเชื่อว่าเราห่วงเรื่องสอนเนื้อหาให้ครบตามที่เตรียมมามากกว่าจะสนองความต้องการจริงของพวกเขา พวกเขาบอกว่าบทเรียนเน้นอุดมคติบ่อยเกินไป ไม่ยอมรับความเป็นจริงของชีวิตพวกเขาหรือตอบคำถามของพวกเขามากพอ

ตัวอย่างเช่น สมมติครูสถาบันคนหนึ่งพูดถึงหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานซีเลสเชียลและรู้สึกว่าหัวข้อนี้สำคัญกับหนุ่มสาวโสดมาก นักเรียนในชั้นเชื่ออยู่แล้วในความสำคัญของการแต่งงานในพระวิหาร แต่บางคนไม่ทราบจะประยุกต์ใช้หลักคำสอนนี้ในชีวิตอย่างไร บางคนกลัวเพราะพวกเขามาจากบ้านที่แตกแยกและไม่มั่นใจว่าจะทำให้ชีวิตแต่งงานดีได้ หลายคนในชั้นเรียนสงสัยว่าพวกเขาจะมีเงินแต่งงานและเลี้ยงดูครอบครัวไหวไหม หลายคนอาจข้องใจว่าพวกเขาจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ หลายคนต่อสู้กับความเสน่หาเพศเดียวกันและสงสัยฐานะของตนในศาสนจักร บทเรียนเป็นไปตามแผนแต่ไม่ยอมให้นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ครูรู้สึกว่าเพราะหัวข้อนั้น เธอจึงเชื่อมโยงกับนักเรียนเป็นอย่างดี แต่ความจริงคือ แม้จะสอนหลักคำสอน แต่ไม่ได้สอนในแบบที่ยอมรับความสงสัยของนักเรียน ตอบรับความต้องการ หรือเชื่อมโยงกับความเป็นจริงของชีวิตพวกเขา ครูสูญเสียโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาเห็นความสำคัญของหลักคำสอนในสภาวการณ์เฉพาะของพวกเขา

ครูที่คำนึงถึงความก้าวหน้าทางวิญญาณของนักเรียนจะยอมพบพวกเขาตรงจุดที่พวกเขาอยู่ เธอให้ความหวัง ช่วยให้พวกเขาเห็นว่าการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณจะเป็นพรและช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าสู่เป้าหมายสูงสุดได้อย่างไร เธอช่วยพวกเขาพัฒนาความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายมีคำตอบให้กับคำถามเรื่องจิตวิญญาณของพวกเขา

เพื่อช่วยให้นักเรียนรับรู้ความสำคัญและความเกี่ยวพันของพระกิตติคุณในชีวิต ท่านจะคิดหาวิธีร่วมกับการสวดอ้อนวอนเพื่อกระตุ้นนักเรียนให้ถามคำถามที่จริงใจรวมทั้งแบ่งปันความเข้าใจลึกซึ้งและมุมมองของพวกเขาได้ไหมครับ? พวกเขาต้องวางใจว่าท่านรู้และเข้าใจพวกเขา ว่าท่านยอมปรับให้ตรงกับความต้องการของพวกเขา จัดหาประสบการณ์ที่ดลใจพวกเขาให้ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน และหันไปพึ่งการนำทางจากพระคัมภีร์และคำสอนของของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบัน ช่วยพวกเขาเรียนรู้ทักษะและรูปแบบของการได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณเพื่อพวกเขาจะเรียนรู้ด้วยตนเองได้

หมวดสามที่เราเข้าใจจากการฟังนักเรียนของเรา โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าร่วมคือพวกเขาต้องการให้เราสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง การเป็นส่วนหนึ่งสร้างผ่านความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับพระบิดาบนสวรรค์ กับครู และกับนักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียน ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกว่ามีคนต้อนรับ สนับสนุน ต้องการ และเห็นค่าของพวกเขา ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อนักเรียนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ที่มีความหมาย

ผมอยากขอบคุณอีกครั้งครับ ผมชื่นชมการตอบรับของท่านมากต่อการอบรม “See the One” และที่แต่ละท่านพยายามช่วยให้นักเรียนทุกคนรู้สึกว่ามีคนรักและเคารพพวกเขา เราต้องสานต่อความพยายามเหล่านี้เพราะคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ลงทะเบียนเรียนยังรู้สึกว่าพวกเขาไม่เป็นส่วนหนึ่ง พวกเขาหลายคนรายงานว่าชั้นเรียนเซมินารีและสถาบันมีไว้เฉพาะสำหรับคนที่พวกเขาเห็นว่าเป็นวิสุทธิชนที่ดีพร้อมผู้ไม่เคยมีปัญหาหรือคำถาม ความคิดผิดๆ นี้ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตนไม่เป็นส่วนหนึ่ง บางคนถึงกับรู้สึกว่าถ้าพวกเขาถามคำถามที่จริงใจหรือแบ่งปันมุมมองจากใจ คนอื่นจะตัดสินหรือคิดว่าพวกเขาไม่ค่อยมีศรัทธา พวกเขาพูดด้วยว่าพวกเขาอาจจะเข้าร่วมถ้าที่นั่นต้อนรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงศรัทธาภายในหรือรูปลักษณ์ภายนอก

เมื่อเร็วๆ นี้บราเดอร์ลินฟอร์ดเห็นเยาวชนหญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าอาคารหลังหนึ่งของเรา เขาแนะนำตัวและถามว่าเธอลงทะเบียนเรียนหรือยัง เธอตอบว่าเธอเป็นสมาชิกของศาสนจักรแล้ว และทราบเกี่ยวกับสถาบันแต่ไม่เข้าร่วม เธอเสริมว่า “ถ้าคุณรู้จักฉันและรู้อดีตของฉัน คุณจะรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น ฉันจะไม่เหมาะกับที่นั่น” โชคดีที่ หญิงสาวคนนี้รับคำเชิญของบราเดอร์ลินฟอร์ดให้เข้าไปข้างในซึ่งเธอได้รับการทักทายอย่างอบอุ่น เธอลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนและเริ่มเข้าเรียนทันที แต่ผมสงสัยว่ามีหนุ่มสาวกี่ร้อยกี่พันคนเคยยืนอยู่นอกอาคารของเราที่ต้องการสิ่งที่ชั้นเรียนของเราให้ แต่รู้สึกกลัวว่าพวกเขาไม่เป็นส่วนหนึ่ง

พวกเขาไม่เพียงต้องการสิ่งที่เราจะให้เท่านั้น แต่เราต้องการพวกเขาเช่นกัน ครูผู้สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งรับรู้จริงๆ ว่านักเรียนแต่ละคนมีบางสิ่งที่ให้ได้ซึ่งจะทำให้ชั้นเรียนมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น

ผมเห็นตัวอย่างที่ดีมากของเรื่องนี้เมื่อผมพบชายหนุ่มคนหนึ่งในชั้นของบราเดอร์แอนเดร ไมเคิลกลับจากเป็นผู้สอนศาสนาก่อนกำหนดเพราะเหตุผลด้านสุขภาพ ขณะเตรียมกลับไปรับใช้ เขาถูกรถชน กระดูกหักหลายแห่ง และอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ตอนออกจากโรงพยาบาลเขาเลิกฝันไปแล้วว่าจะทำงานเผยแผ่ให้จบ เขาทุ่มเทให้กับกีฬาผาดโผนและเหินห่างจากศาสนจักร วันหนึ่ง เขาอยู่คนเดียวและตัดสินใจปลดเชือกโรยตัวข้ามหุบเขาลึกโดยไม่มีตาข่ายนิรภัย ทันทีที่เขาข้าม เขารู้สึกอยากตะโกนและฉลอง แต่พอมองลงข้างล่างก็คิดได้ว่าถ้าเขาตกลงไป ชีวิตเขาจบสิ้นแน่นอน

ณ จุดนั้นเขาเริ่มคิดถึงคุณแม่และน้องสาว พวกเขาคงใจสลายถ้าเขาตาย ความคิดต่อมาคือพระผู้ช่วยให้รอดและทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำเพื่อเขา และพระวิญญาณสถิตในใจเขา เขาปีนลงผาและเริ่มต้นการเดินทางกลับเข้ามาในศาสนจักร เขาเข้าใจพระเมตตา ความรัก และพลังการไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอดในวิธีที่น่าทึ่ง

ต่อมาไม่นาน ไมเคิลอยู่ที่ชายหาดและนึกถึงสมัยเรียนสถาบันก่อนเป็นผู้สอนศาสนา เขาออกจากชายหาดทันทีและเดินเข้าไปในอาคารสถาบันก่อนชั้นเรียนเริ่มหลายนาที ในเวลานั้น บราเดอร์แอนเดรไม่รู้เรื่องส่วนใหญ่ที่ผมเพิ่งเล่าให้ท่านฟัง สิ่งที่เขารู้คือไมเคิลต้องอยู่ที่นั่นและเขามีอะไรมากมายมอบให้ บราเดอร์แอนเดรชวนไมเคิลอยู่ แต่ไมเคิลรู้สึกว่าคนอื่นอาจไม่ต้อนรับเขา เขาอยู่ในชุดว่ายน้ำและเสื้อกล้ามเปลือยแขน เผยให้เห็นรอยสักตั้งแต่ข้อมือถึงบ่า เขาบอกว่าจะไปแต่งตัวและสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวก่อนค่อยมาเรียน คำตอบของบราเดอร์แอนเดรคือ “ไม่มีใครสังเกตหรอก” ไมเคิลอยู่ แต่เมื่อนักเรียนคนอื่นเข้ามา ไม่มีใครนั่งข้างเขา หลังการให้ข้อคิดทางวิญญาณ บราเดอร์แอนเดรขอให้ไมเคิลมาหน้าชั้นและแนะนำไมเคิล เขาบอกนักเรียนคนอื่นว่าเขารักไมเคิล ไมเคิลมีอะไรมากมายที่จะมอบให้ และมีจิตใจดีมาก จากนั้นเขาขอให้ไมเคิลแบ่งปันประจักษ์พยาน ไมเคิลพูดด้วยน้ำตาคลอถึงความรัก ความกรุณา ความสงสาร และความเต็มพระทัยให้อภัยของพระผู้ช่วยให้รอด เราทุกคนที่นั่นวันนั้นได้รับพรจากประจักษ์พยานของไมเคิล

บราเดอร์แอนเดรเห็นบางอย่างในไมเคิลที่คนอื่นอาจไม่เคยเห็น ในฐานะครู เขาเห็นคุณค่าความหลากหลายของภูมิหลังและสภาวการณ์ และเข้าใจว่าทุกคนมีบางอย่างมอบให้ เขาจึงสร้างประสบการณ์ให้นักเรียนดึงพลังจากกันและจากความปรารถนาเดียวกันที่พวกเขาอยากเข้าถึงสันติสุข การเยียวยา และพระคุณของพระผู้ช่วยให้รอด อีกเหตุการณ์หนึ่งที่โดดเด่นเกิดขึ้นหลังชั้นเรียนนั้นเมื่อผมเห็นนักเรียนหลายคนห้อมล้อมไมเคิลเพื่อต้อนรับเขาและทำให้เขารู้ว่าคนอื่นต้องการเขา

ตามที่พูดมาก่อนหน้านี้ อีกส่วนหนึ่งของการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งคือการร่วมอุดมการณ์ที่มีความหมาย นักเรียนของเราปรารถนาจะเข้าร่วมอุดมการณ์ด้านมนุษยธรรม และยกผู้อื่นขึ้นสู่ชีวิตที่มีศักดิ์ศรี ความเท่าเทียม และโอกาส โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้หรือโอกาสที่ได้รับกับอุดมการณ์เช่นนั้น และถึงแม้อุดมการณ์ใหญ่สุดบนแผ่นดินโลกคืออุดมการณ์ของพระคริสต์และการรวบรวมอิสราเอลทั้งสองด้านของม่าน แต่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมโยงประสบการณ์ของตนในเซมินารีและสถาบันกับอุดมการณ์ดังกล่าว

ท่านจะพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ในการสอน การปฏิสัมพันธ์ และสภาพห้องเรียนของท่านเพื่อดึงดูดบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นได้หรือไม่? บางครั้งบางคราวท่านอาจต้องการใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าก็ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ท่านจะพยายามจัดหาประสบการณ์ร่วมกับการสวดอ้อนวอนที่ช่วยให้นักเรียนรู้สึกถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์ตลอดจนรับรู้ศักยภาพและอัตลักษณ์อันสูงส่งของตนได้หรือไม่? จงช่วยให้พวกเขารู้ว่าท่านห่วงใยและเห็นคุณค่าของพวกเขาแต่ละคน ช่วยพวกเขาเชื่อมสัมพันธ์กับสมาชิกในชั้นเรียน รู้สึกปลอดภัยและเป็นที่ต้องการ กระตุ้นพวกเขาให้ร่วมอุดมการณ์ของพระคริสต์โดยช่วยให้ผู้อื่นก้าวหน้าตามเส้นทางพันธสัญญา ขณะท่านส่งเสริมประสบการณ์แบบนั้น พวกเขาจะรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่ง

ผมเข้าใจ เราจะทำทั้งหมดนี้ทุกวันไม่ได้ แต่เราสามารถนึกถึงพวกเขาในการเตรียม การสอน และการปฏิสัมพันธ์ของเรากับนักเรียน ไม่สำคัญว่าท่านกำลังสอนเซมินารีหรือสถาบัน สอนต่อหน้าหรือออนไลน์ เช้าตรู่หรือตอนเย็น การนำหลักธรรมเหล่านี้มาใช้จะเป็นพรแก่นักเรียนและช่วยจัดหาประสบการณ์ที่พวกเขาต้องการ

สิ่งดีมากมายเกิดขึ้นอยู่แล้วและสิ่งดีที่สุดจะตามมา จำไว้ว่า เราไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ผมรู้ว่าเมื่อเราแสวงหาการเปิดเผยอย่างจริงใจ พระเจ้าจะทรงช่วยให้เรารู้วิธีเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระองค์ พระองค์ทรงพร้อมช่วยเราเป็นรายบุคคลและโดยรวมเพื่อจัดหาประสบการณ์ที่ทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสลึกซึ้งขึ้น เกี่ยวพันกับการเติบโตส่วนตัวทางวิญญาณ และสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง พระองค์ทรงพร้อมประทานแก่เรามากขึ้น คำสวดอ้อนวอนของผมคือขอให้เราหันไปหาพระองค์ในศรัทธาเพื่อรู้วิธีช่วยให้นักเรียนของเราเรียนรู้ด้วยตนเองจริงๆ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน