การถ่ายทอดประจำปี
พยายามเป็น


พยายามเป็น

การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2020

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2020

เอ็ลเดอร์อูลิส์เสส ซวาเรส: พี่น้องที่รัก ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้ากับภรรยาได้อยู่กับท่านวันนี้ ข้าพเจ้านำคำทักทายและความรักจากฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองมาให้ทุกท่าน ประธานเนลสันส่งความปรารถนาดีมายังท่าน และมักจะขอให้เราบอกความรู้สึกที่ดีที่สุดและความรักของท่านกับคนที่เราพบ อีกทั้งชื่นชมการรับใช้ของท่านทั้งหลายเพื่อบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง

เพื่อนร่วมงานที่รัก ก่อนเราไปต่อ ข้าพเจ้าขอแสดงความสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อการรับใช้ที่ยอดเยี่ยมของท่านในเซมินารีและสถาบัน ท่านได้รับสิทธิ์ให้สอนและช่วยอนุชนรุ่นหลังให้เดินตามรอยพระบาทพระผู้ช่วยให้รอดจนถึงนิรันดร ท่านสอนบางดวงวิญญาณประเสริฐสุดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสงวนไว้ให้มาแผ่นดินโลก ณ ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเราประธานเนลสันเรียกวิญญาณประเสริฐเหล่านี้ว่าเป็นทีมเก่งสุดของพระผู้เป็นเจ้า ผู้เล่นเก่งสุดของพระองค์ วีรบุรุษผู้ได้เข้าร่วมเหตุการณ์รวบรวมครั้งใหญ่และสุดท้ายนี้—การรวบรวมอิสราเอล1 ทีมใหญ่นี้สามารถทำเรื่องเหลือวิสัยและช่วยให้บรรลุจุดหมายของครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด2

โรซานา ภรรยาที่รักของข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมครั้งพิเศษนี้ด้วยวันนี้ เธอเป็นแสงสว่างของชีวิตข้าพเจ้ามา 39 ปี เพราะคุณความดีและแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของเธอ เธอจึงเป็นตัวเร่งในครอบครัวเราเพื่อช่วยให้เราแต่ละคนเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น โรซานากับข้าพเจ้าเป็นผู้รับพรที่เข้ามาในชีวิตเราจากการดำเนินชีวิตตามคำสอนที่เราได้รับในช่วงวัยเยาว์จากครูเซมินารีและสถาบันที่ทุ่มเทมาก การรับใช้อย่างซื่อสัตย์ของพวกเขามีผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตเราขณะเราเริ่มเดินก้าวแรกในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ครูที่อุทิศตนเหล่านี้ช่วยเราหล่อหลอมชีวิตเราตามความจริงของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และนำทางเราขณะเราพยายามเดินในเส้นทางกลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ ข้าพเจ้าขอเชิญหวานใจของข้าพเจ้ามาแบ่งปันความรู้สึกของเธอว่าเซมินารีและสถาบันเป็นพรแก่เธอสมัยเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ในศาสนจักรและในการพยายามพัฒนาคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์อย่างไร จะแบ่งปันความคิดเห็นของคุณได้ไหมครับ?

ซิสเตอร์โรซานา ซวาเรส: ขอบคุณที่รักที่เชิญดิฉันแบ่งปันประจักษ์พยาน

ครั้งแรกที่ดิฉันได้ยินเกี่ยวกับศาสนจักรดิฉันอายุราวเก้าขวบ นานแปดปีที่ดิฉันขออนุญาตคุณพ่อรับบัพติศมาและท่านปฏิเสธทุกครั้ง ท่านบอกว่าดิฉันเด็กเกินกว่าจะตัดสินใจในเรื่องสำคัญแบบนั้นได้และต้องพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าดิฉันต้องการอย่างนั้นจริงๆ

แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาสนจักรแต่ดิฉันเรียนเซมินารีประจำวันครบสี่ปี ชั้นเรียนเซมินารีสอนที่โบสถ์ตอนหกโมงเช้าทุกวัน คุณพ่อยอมให้ไปโดยมีเงื่อนไขว่าครูจะต้องมารับ โชคดีดิฉันมีครูที่ดีขับรถมารับดิฉันทุกวันตอนตีห้าครึ่ง คุณพ่อปลุกดิฉันทุกวันตอนตีห้า และดิฉันแต่งตัวรอครู ดิฉันง่วงมากตลอดและจะพูดกับตัวเองว่า “อย่ามาเลย อย่ามาเลย” แต่ครูมาโดยตลอด เขามาอย่างมีความสุขทุกครั้ง

ดิฉันรู้สึกเป็นพรมากและขอบคุณครูเซมินารีที่หมั่นเพียรผู้น่าจะหมดหวังกับดิฉันโดยง่าย แต่เขาไม่

สามสิบปีต่อมา ดิฉันมีโอกาสสอนเซมินารีให้กับลูกสาวช่วงหนึ่งที่บ้าน เธอไปเรียนเซมินารีที่โบสถ์ปีนั้นไม่ได้เพราะตารางเรียนของเธอ เธอเป็นเด็กที่มีพลังงานเยอะมากและไม่ตื่นเต้นกับการนั่งนิ่งๆ นาน 45 นาทีโดยเฉพาะกับดิฉันที่เป็นครูของเธอ ดิฉันจึงตัดสินใจเตรียมชั้นเรียนแหวกแนวและปฏิบัติต่อลูกสาวประหนึ่งเธอเป็นนักเรียนเซมินารีที่ดีที่สุดทั้งที่เธอเป็นนักเรียนคนเดียว ตอนปลายปีนั้นเธอมีความสุข เธอรู้สึกถึงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อเธอ และดิฉันรู้สึกแบบนั้นด้วย

พี่น้องคะเหมือนลูกสาวของดิฉัน ดิฉันทราบว่าพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าสามารถสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในความคิด เจตคติ วิธีที่เรามองตนเองและผู้อื่น

ดิฉันขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดอ้างอิงที่ไพเราะจากประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์

“ท่านผู้เป็นครูที่ยอดเยี่ยมได้พยายามและเสียสละมากแล้วในการเตรียมสอนพระวจนะ ในการสอนของท่าน และในการดูแลนักเรียนของท่าน … ตอนนี้ท่านสามารถเพิ่มศรัทธาได้ว่านักเรียนจำนวนมากขึ้นของเราจะทำการเลือกที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริง”3

ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

เอ็ลเดอร์ซวาเรส: ขอบคุณที่รักของผมสำหรับคำพูดน่าฟังของคุณ เธอยอดเยี่ยมใช่ไหมครับ?

ข้าพเจ้าหวังว่าท่านไม่ดูแคลนความสามารถของท่านในการชักจูงและชักชวนเยาวชนให้ดำเนินตามความชอบธรรมในชีวิตพวกเขา ดังประธานแพคเกอร์ที่รักของเราเคยกล่าว พวกเขากำลังเติบโตในแดนศัตรู การทุ่มเทรับใช้ของท่านในการสอนพวกเขาจะทำให้พวกเขาเติบโตในศรัทธาและการเชื่อฟัง และปรับตัวได้ดีทางวิญญาณ พวกเขาจะเรียนรู้วิธีรับมือและเอาชนะการล่อลวง

พี่น้องที่รักทั้งหลาย โปรแกรมเซมินารีและสถาบันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสองปัจจัยที่ส่งเสริมความมั่นคงและความเข้มแข็งของศาสนจักร ข้าพเจ้ารับรองได้ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำให้ “งานและรัศมีภาพของพระองค์สัมฤทธิผล—ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”4—ผ่านการรับใช้อันล้ำค่าของท่านต่อพระองค์และบุตรธิดาพระองค์ ด้วยเหตุนี้เป้าหมายหลักของท่านและของข้าพเจ้าจึงต้องเป็นความรอดและความสูงส่งของบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์เสมอ

ในคู่มือที่ดีเยี่ยมเล่มนี้สำหรับครูและผู้นำในเซมินารีและสถาบันศาสนา การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ เราพบข้อความที่น่าประทับใจนี้ “จุดประสงค์ของเซมินารีและสถาบันศาสนาคือช่วยให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวเข้าใจและพึ่งคำสอนตลอดจนการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ มีคุณสมบัติคู่ควรรับพรของพระวิหาร เตรียมตนเอง ครอบครัว และคนอื่นๆ ให้พร้อมมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระบิดาในสวรรค์”5

หน้าที่นี้สอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวไว้ใน คู่มือทั่วไป: การรับใช้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย: “เซมินารีและสถาบันศาสนา (S&I) ช่วยเหลือบิดามารดาและผู้นำศาสนจักรในการช่วยให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวเพิ่มพูนศรัทธาพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์”6

หนึ่งในความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดสำหรับเราผู้มีส่วนในงานวิเศษสุดนี้ของการช่วยจิตวิญญาณให้รอดคือการหมายมั่น เป็น หมายถึงเติบโตหรือกลายเป็นสานุศิษย์ในแบบที่พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็น จากนั้นพระเจ้าจะทรงเปิดทางให้เรามีผลต่อชีวิตคนที่เราสอนขณะพวกเขาเดินทางเส้นทางสำหรับชีวิตนิรันดร์ แนวคิดนี้ของ การเป็น เกี่ยวข้องโดยรวมกับองค์ประกอบหนึ่งในสามของวิธีบรรลุจุดประสงค์ของพระองค์ ดังอธิบายไว้ในคู่มือ การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ : “เราดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และแสวงหาความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณ ความประพฤติและสัมพันธภาพของเราเป็นแบบอย่างที่ดีในบ้าน ในชั้นเรียน และในชุมชน เราพยายามปรับปรุงสมรรถภาพ ความรู้ เจตคติ และอุปนิสัยของเราอยู่เสมอ”7

อัครสาวกเปาโลแนะนำเราเกี่ยวกับความสำคัญของการบรรลุความเป็นผู้ใหญ่เหมือนพระคริสต์ ในสาส์นถึงชาวเอเฟซัส ท่านกล่าวว่า

“และพระ‍องค์เองประ‌ทานให้บาง‍คนเป็นอัคร‌ทูต บาง‍คนเป็นผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ บาง‍คนเป็นผู้‍ประ‌กาศ‍ข่าว‍ประ‌เสริฐ บาง‍คนเป็นศิษยา‌ภิบาลและอา‌จารย์

“เพื่อเตรียมธรร‌มิก‌ชนสำหรับการปรน‌นิ‌บัติ และการเสริม‍สร้างพระ‍กายของพระ‍คริสต์

“จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์”8

คำถามสำคัญของเราอาจเป็นว่าเราจะบรรลุความเป็นผู้ใหญ่เต็มขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์ผ่านการรับใช้ขณะเราพยายามช่วยให้ผู้อื่นทำเหมือนกันได้อย่างไร พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้ความช่วยเหลือเราในเรื่องนั้น ขอให้เราพิจารณาหลักธรรมบางข้อด้วยกันในการพยายามตอบคำถามนี้

หลักธรรมพื้นฐานข้อแรกคือทำตามองค์ปรมาจารย์ พระเยซูคริสต์เสมอ การตั้งใจสะท้อนพระเยซูคริสต์ในเจตคติ คำพูด และการกระทำของเราจะเพิ่มความสามารถให้เราชักจูงและชักชวนผู้อื่นให้เตรียมและมีคุณสมบัติสำหรับชีวิตนิรันดร์กับพระบิดาในสวรรค์ ในการทำเช่นนั้น เราสามารถช่วยให้เยาวชนเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้า เพราะสิ่งที่พวกเขารักจะกำหนดสิ่งที่พวกเขาจะแสวงหา สิ่งที่พวกเขาจะแสวงหาจะกำหนดสิ่งที่พวกเขาจะคิดและทำ สิ่งที่พวกเขาจะคิดและทำจะกำหนดคนที่พวกเขาจะเป็น

ท่านและข้าพเจ้าเป็นตัวแทนศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในโลก ทุกอย่างที่เราทำและพูดสะท้อนภาพลักษณ์ของศาสนจักร ความจริง และพระผู้ช่วยให้รอดในท้ายที่สุด ขณะพยายามเข้าใจและทำชีวิตเราให้สอดคล้องมากขึ้นกับพระกิตติคุณเรามีแนวโน้มจะพยายามเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์เคยสอนไว้ว่า

“พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นแผนซึ่งทำให้เราสามารถเป็นอย่างที่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าพึงเป็น สภาพไม่มีมลทินและดีพร้อมจะเกิดจากความต่อเนื่องสม่ำเสมอของพันธสัญญา ศาสนพิธี และการกระทำ การสั่งสมการเลือกที่ดี และจากการกลับใจอย่างต่อเนื่อง”9

ข้าพเจ้าเพิ่งคุยกับเพื่อนสมัยเรียนเซมินารีและสถาบันบางคนจากบราซิลที่ข้าพเจ้าเติบโตมา ข้าพเจ้าประทับใจสิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับอิทธิพลเหมือนพระคริสต์ที่ครูมีต่อพวกเขาในช่วงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตพวกเขา เราลองมาฟังสิ่งที่พวกเขาบางคนพูด

ซิสเตอร์บาร์เรโต: โอเค ย้อนไปสมัยเป็นเยาวชน ดิฉันคิด—ไม่ได้คิดสิ ดิฉันแน่ใจ—ว่าการตัดสินใจทั้งหมดและทุกอย่างที่ดิฉันหวัง ฝันถึง ล้วนมีฐานมั่นคงเมื่อดิฉันศึกษาพระกิตติคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิฉันจำเซมินารีได้ชัดเจนมาก ดิฉันอายุน้อยมาก—ตอนเซมินารีเริ่มที่นี่ในบราซิล—ดิฉันยังจำครูที่ดีมากๆ และทุ่มเทได้ และดิฉันเริ่มรักพระผู้ช่วยให้รอด ดิฉันคิดว่าประจักษ์พยานที่ได้มาสมัยเป็นนักเรียนเซมินารีพัฒนาและเติบโต เติบโตมาก และดิฉันเป็นคนแบบนี้เพราะช่วงเวลาเหล่านั้น เพราะคำสอนเหล่านั้น เพราะครูเหล่านั้น และการตัดสินใจที่ดิฉันทำ

ซิสเตอร์ซิลลวา: สำหรับดิฉันครูของดิฉันสำคัญมากตอนนั้น เพราะช่วงนั้นดิฉันเพิ่งเปลี่ยนใจเลื่อมใส และเธอช่วยดิฉันมากให้เข้าใจหลักธรรมเหล่านั้นและวิธีประยุกต์ใช้ในชีวิต และแสวงหาคุณสมบัติที่พระเยซูคริสต์ทรงมี—เช่น ความอดทน การเพิ่มพูนความรู้ การเชื่อฟังศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ ทั้งหมดนี้ช่วยดิฉันตอนนั้นให้พัฒนาความสามารถในการได้ยินพระวิญญาณบริสุทธิ์ สุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ นี่จึงเป็นกุญแจสำหรับดิฉันเพราะดิฉันเพิ่งเปลี่ยนใจเลื่อมใส กุญแจนั้นคือครู เธอมีความรู้ดีมาก และช่วยให้นักเรียนหลายคนพัฒนาความรู้นั้นด้วย เธอตอบคำถามของเราและอื่นๆ นี่ช่วยให้ดิฉันมีประจักษ์พยานและอยู่เข้มแข็งในพระกิตติคุณ

เอ็ลเดอร์กอนซาลเวส: ทันทีที่ผมรับบัพติศมา เมื่อผมเข้าโบสถ์ครั้งแรก เยาวชนและครูเซมินารีเข้ามาเกี่ยวข้องทันที เธอชวนผมมาชั้นเรียน หลักสูตรเริ่มไปแล้ว ผมจึงต้องรีบทำงานบางอย่างให้ครบเพื่อจะสามารถได้เกียรติบัตรปีนั้น ผมไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการทำงานเหล่านั้นให้ครบ แต่ผมเรียนรู้ที่จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง ความเกี่ยวข้องนั้นจำเป็น ความเกี่ยวข้องนั้นสำคัญมากจนผมรู้สึกอยากเรียนพระคัมภีร์มากขึ้น ซึ่งผมไม่เคยคิดมาก่อนและผมยังไม่เข้าใจ หลังจากความตื่นเต้นตอนแรก ปีติของการเข้าร่วมเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม จนกลายเป็นเรื่องปกติ และผมรู้สึกปรารถนาจะรู้พระคัมภีร์มากขึ้น ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นที่ดูเหมือนจริงและเป็นพรมากแก่ชีวิตเยาวชนเหล่านั้นที่คุณเห็นได้ในการกระทำของพวกเขา เมื่อมองย้อนกลับไป ผมจำได้ว่าการกระทำของเยาวชนเหล่านั้นทำให้ผมเห็นบางอย่างที่เป็นความจริง

เอ็ลเดอร์ซวาเรส: สาส์นของอัครสาวกเปาโลถึงทิโมธีเตือนเราให้นึกถึงคำแนะนำสำคัญที่เราพึงใส่ใจเพื่อจะเป็นอิทธิพลดีต่อผู้อื่นจริงๆ “จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจา และการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์”10

หลักธรรมข้อสองที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงคือการสอนความจริงด้วยความกล้าหาญและความชัดเจน ท่านและข้าพเจ้าได้รับเรียกให้สอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่สอนความคิดหรือปรัชญาของเราเอง แม้จะสอนปนกับพระคัมภีร์ก็ตาม พระกิตติคุณเป็น “ฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อ … ความรอด11 และเรารอดผ่านพระเยซูคริสต์และกิตติคุณเท่านั้น ด้วยการนำทางและความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องสอนหลักธรรมของพระกิตติคุณตามที่พบในงานมาตรฐานของศาสนจักรและในถ้อยคำของอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันตามที่สอนเราในทุกวันนี้ เราต้องเป็นเครื่องมือของความจริงและสอนความจริงด้วยความชัดเจนจนพวกเขาจะไม่สับสนกับปรัชญาของโลก เป็นเรื่องดีที่จะอ่านว่าแอลมาพูดถึงพลังแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าในใจคนอย่างไรและพระวจนะนั้นเสริมสร้างศรัทธาอย่างไร มาอ่าน แอลมา 32:42 ด้วยกัน

“และเพราะความขยันหมั่นเพียรของท่านและศรัทธาของท่านและความอดทนของท่านต่อพระวจนะขณะบำรุงเลี้ยงมัน, เพื่อมันจะแตกรากในท่าน, ดูเถิด, ในไม่ช้าท่านจะเก็บผลจากมันได้, ซึ่งมีค่าที่สุด, ซึ่งหวานเหนือทุกสิ่งที่หวาน, และขาวเหนือทุกสิ่งที่ขาว, แท้จริงแล้ว, และพิศุทธิ์เหนือทุกสิ่งที่พิศุทธิ์; และท่านจะดื่มด่ำผลนี้แม้จนอิ่ม, เพื่อท่านจะไม่หิว, ท่านจะไม่กระหาย.”

พี่น้องทั้งหลาย พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เห็นพลังของความจริงที่รับไว้ในใจเยาวชนของเราได้และชักชวนพวกเขาให้ทำดีในชีวิต โปรดจำไว้ว่าการสอนที่มีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญของการเป็นผู้นำในศาสนจักร ชีวิตนิรันดร์จะมาก็ต่อเมื่อชายหญิงได้รับการสอนอย่างมีประสิทธิภาพจนเปลี่ยนและขัดเกลาชีวิตพวกเขา เราไม่สามารถบังคับพวกเขาให้เป็นคนชอบธรรมหรือไปสวรรค์ได้ พวกเขาต้องได้รับการนำ และนั่นหมายถึงการสอนที่มีประสิทธิภาพ12

ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเกี่ยวกับ “การฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์: ถ้อยแถลงต่อโลกเนื่องในวาระครบรอบสองร้อยปี” ท้ายข่าวสารของท่าน ท่านให้งานมอบหมายแก่ทั้งศาสนจักรศึกษาถ้อยแถลง ไตร่ตรองความจริงในนั้น และคิดถึงผลกระทบของความจริงเหล่านั้นต่อชีวิตเรา ข้าพเจ้าเชื่อว่าหน้าที่ของเรามีมากกว่างานมอบหมายนั้น ท่านและข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ได้รับมอบหมายให้นำความจริงที่ได้รับการดลใจของถ้อยแถลงนี้เข้าไปในใจเยาวชนและคนหนุ่มสาวของเรา ในแง่หนึ่ง ครูเซมินารีและสถาบันเป็นส่วนขยายของศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย 15 ท่านในบทบาทของการประกาศความจริงเหล่านี้ต่อเยาวชนในการเตรียมพวกเขาให้พร้อมเดินทางในโลกที่สับสนมาก ท่านและข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบสำคัญยิ่งต่อการทำให้พรของถ้อยแถลงนี้เป็นจริงในชีวิตพวกเขา เราทุกคนรู้ว่าเราอยู่ในช่วงเวลาท้าทาย ชาวโลกกำลังลืมความสำคัญและบทบาทของพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ในชีวิตพวกเขาและมองไม่เห็นธรรมชาติอันสูงส่งของตน ปรัชญาทางโลกเข้ามาแทนที่ความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในใจผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านและข้าพเจ้ามีโอกาสได้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นพรแก่เยาวชนและนำความจริงที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนและทรงพลังในถ้อยแถลงนี้เข้าไปในใจพวกเขา

ข้าพเจ้าขอแบ่งปันความคิดเห็นบางส่วนของเพื่อนที่ดีของข้าพเจ้าเกี่ยวกับความจริงที่สอนด้วยความชัดเจนและความกล้าหาญว่าทำให้พวกเขาฝังรากในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างไร

เอ็ลเดอร์ซิลวา: สำหรับผม สิ่งแรกที่ผมคิดได้คือแบบอย่างของครู เพราะนี่เป็นแหล่งที่เรามองดู และอยากเป็นเหมือนพวกเขา ผมคิดเสมอว่า “เป็นไปได้ไหมว่าสักวันผมจะมีครอบครัวแบบนั้น? เป็นไปได้ไหมว่าสักวันผมจะทำอย่างนั้นจริงๆ?” ผลบางอย่างของหลักคำสอน ของสิ่งที่สอนโดยตัวอย่างเป็นหลัก เหมือนที่พวกเขาบอก—เราจึงต้องนำหลักคำสอนมาใช้และปรับตามสถานการณ์และสภาวการณ์ของเรา ผมพยายามทำแบบนี้ให้ดีที่สุด ตามความสามารถของผม เพื่อผมจะเป็นคนดีขึ้นทุกวันและสามารถเลือกได้ดีที่สุดจริงๆ—เหมือนผมทำที่นี่กับการเลือกที่ดีที่สุดของผม การเลือกภรรยา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่ช่วยผมเหมือนกัน

ซิสเตอร์บาร์เรโต: ดิฉันมองครูเป็นแบบอย่างเสมอ ดิฉันยังจำครูคนหนึ่งได้เป็นพิเศษ เธออายุน้อยมาก ยังไม่แต่งงาน เป็นอดีตซิสเตอร์ผู้สอนศาสนา และเมื่อดิฉันมองดูเธอตอนเธอสอนเรา ดิฉันคิดว่า “ดิฉันอยากเป็นเหมือนเธอ ดิฉันอยากเป็นเหมือนเธอมากขึ้น” เพราะเธอเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด เธอรักเรามาก และทุกครั้งที่เธอสอนเรา ดิฉันรู้สึกถึงความรักของเธอและความทุ่มเทให้กับสิ่งที่เธอทำอยู่ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าสำคัญในชีวิตดิฉัน—ดิฉันไม่ใช่ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส แต่ดิฉันมีช่วงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของดิฉัน ดิฉันเกิดในศาสนจักร ด้วยเหตุนี้เมื่อเราคุยเรื่องของเรา เรื่องของดิฉันต่างนิดหน่อยเพราะดิฉันจำได้ว่าไม่เคยสงสัยหรือไม่เชื่อในศาสนจักรและพระกิตติคุณ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากสำหรับดิฉัน แต่ดิฉันคิด—ฉันแน่ใจว่าต้องมีสักครั้งที่คุณต้องรู้ด้วยตนเองและนั่นแหละ— นั่นคือเซมินารีและสถาบันของดิฉัน โดยเฉพาะช่วงเซมินารี เมื่อดิฉันกลับไปตรึกตรอง นั่นเป็นเวลาสำคัญยิ่งที่ดิฉันต้องตัดสินใจว่าทำไมอยู่ในศาสนจักร—ศาสนจักรจริงสำหรับดิฉันแน่หรือ ดิฉันมีประจักษ์พยานถึงพระกิตติคุณและประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์หรือเปล่า ดิฉันเป็นดิฉันตอนนี้ได้เพราะวันเหล่านั้น

ซิสเตอร์กอนซาลเวส: ตอนแรก เมื่อเรามีครูและผู้นำ ไม่ใช่ว่าพวกเขาดีพร้อม แต่เราเห็นภาพตัวเราเป็นเหมือนพวกเขา มีครอบครัวเหมือนพวกเขา และทำตามแบบอย่างของพวกเขา มีความเข้าใจเหมือนกัน ได้ความรู้นั้น มีผู้นำหลายคนที่มีอิทธิพลต่อดิฉันและเป็นแบบอย่างจนดิฉันพูดว่า “ดิฉันอยากเป็นเหมือนพวกเขาเมื่อโตขึ้น” นี่ทำให้ดิฉันพยายามเลือกอย่างฉลาดในชีวิตเสมอ ดิฉันก้าวไปทีละก้าว ตามที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์พูดไว้เกี่ยวกับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสว่าไม่ได้เกิดขึ้นทันที เกิดขึ้นทีละขั้น การเปลี่ยนจิตใจ การเปลี่ยนความคิด การเปลี่ยนพฤติกรรม และจดจ่อกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ามาก่อน จากนั้นครูเหล่านี้ช่วยให้ดิฉันเข้าใจพระคัมภีร์ เรียนรู้ที่จะรักพระคัมภีร์ นี่จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิฉัน ดิฉันพยายามเลือกอย่างฉลาดตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

เอ็ลเดอร์ซวาเรส: อีกหลักธรรมหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงวันนี้คือคำบัญชาให้เราสอนนักเรียนโดยพระวิญญาณ ท่านและข้าพเจ้า เราอยู่กับธุระของพระเจ้า เราเป็นตัวแทนของพระองค์ ได้รับมอบอำนาจและมอบหมายให้เป็นตัวแทนพระองค์และปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ ในฐานะตัวแทน เราจึงมีสิทธิ์รับความช่วยเหลือของพระองค์ แน่นอนว่าพระองค์ทรงคาดหวังให้เราเตรียมบทเรียนแต่ละบท เชี่ยวชาญเทคนิคการสอนหลากหลาย และเรียนรู้วิธีช่วยให้นักเรียนใช้สิทธิ์เสรีในความชอบธรรม แต่เห็นชัดว่าเพื่อให้ได้ความช่วยเหลือของพระเจ้าผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ในบทเรียนที่เราสอน เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตให้คู่ควรรับความช่วยเหลือนั้น

ในการพูดกับครูของศาสนจักร ฝ่ายประธานสูงสุดกล่าวว่า “ส่วนสำคัญที่สุดในการรับใช้ของท่านคือการเตรียมพร้อมทางวิญญาณในแต่ละวัน รวมถึงการสวดอ้อนวอน ศึกษาพระคัมภีร์ และเชื่อฟังพระบัญญัติ เราใคร่ขอให้ท่านอุทิศตนในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณด้วยความตั้งใจมากกว่าแต่ก่อน”13 จากนั้นเราขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และพระองค์จะประทานพระวิญญาณให้เรารู้ว่าต้องทำอะไร โปรดจำไว้เสมอว่าการสอนโดยพระวิญญาณช่วยให้เราสอนสมาชิกชั้นเรียนในวิธีที่พวกเขาจะเข้าใจหลักธรรมของพระกิตติคุณได้ดีขึ้นแล้วเกิดแรงจูงใจให้ประยุกต์ใช้ในชีวิต “ดังนั้น, คนที่สั่งสอนและคนที่รับ, เข้าใจกัน, และทั้งสองได้รับการจรรโลงใจและชื่นชมยินดีด้วยกัน”14 นี่อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ารับรองได้ว่านักเรียนของเราจะได้รับความจริงนิรันดร์ผ่านพระวิญญาณเมื่อสอนโดยพระวิญญาณเท่านั้น

ข้าพเจ้าชอบวิธีที่นีไฟอธิบายแนวคิดที่ดีนี้: “และบัดนี้ข้าพเจ้า, นีไฟ, เขียนเรื่องทั้งหมดที่สอนไว้ในบรรดาผู้คนของข้าพเจ้าไม่ได้; ทั้งข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในการเขียน, เหมือนในการพูด; เพราะเมื่อคนใดพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมนำถ้อยคำไปสู่ใจลูกหลานมนุษย์”15 พระวิญญาณทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสอนของเรา คือนำความจริงไปสู่ใจลูกหลานมนุษย์!

พี่น้องที่รัก เราอาจจะพูดเก่งมากและสามารถพูดได้ดีในที่สาธารณะ แต่หากปราศจากพระวิญญาณ ความสามารถของเราย่อมไม่สร้างความแตกต่างใดๆ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “ไม่มีเวลาใดจำเป็นมากไปกว่าเวลานี้ที่ต้องรู้ว่าพระวิญญาณตรัสกับ [เรา] อย่างไร” ท่านเสริมว่า “ในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์คือผู้ส่งสาร พระองค์จะทรงนำความคิดที่พระบิดาและพระบุตรทรงต้องการให้ [เรา] ได้รับเข้ามาสู่จิตใจ [เรา] พระองค์ทรงเป็นพระผู้ปลอบโยน พระองค์จะทรงนำความรู้สึกสงบมาสู่ใจ [เรา] พระองค์ทรงเป็นพยานถึงความจริงและจะทรงยืนยันสิ่งที่เป็นจริงขณะ [เรา] ฟังและอ่านพระคำของพระเจ้า”16

หลักธรรมข้อสี่ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงคือการสอนจากใจ มีครูที่สามารถแต่งประโยคคำพูดสวยหรูจนน่าประทับใจและน่าฟัง แต่ครูที่มีแนวคิดน่าสนใจผู้พูดอย่างจริงใจคือครูผู้สามารถดลใจเราให้ทำตามสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จริงๆ ครูบางคนเหล่านี้อาจไม่ได้รับการขัดเกลาให้พูดในที่สาธารณะ แต่เมื่อนักเรียนฟังพวกเขา นักเรียนเงี่ยหูฟังเพื่อเข้าใจมากขึ้น ครูเหล่านี้สามารถปลูกความปรารถนาในใจและในความคิดของนักเรียนซึ่งจะชักจูงและชักชวนนักเรียนให้ค้นหาความดีและแสวงหาความสูงส่ง ครูที่มีอิทธิพลมากสุดต่อชีวิตข้าพเจ้าคือครูที่สอนข้าพเจ้าจากใจพวกเขา พวกเขาไม่เชี่ยวชาญที่สุดในเทคนิคการสอน แต่พวกเขาสามารถพูดอย่างจริงใจ อิทธิพลของพวกเขาแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับการทำตามแผนบทเรียนที่วางไว้หรือทฤษฎีการศึกษาอย่างเครื่องจักร แต่เกี่ยวข้องกับความห่วงใยจริงๆ ความจริงใจ ใจรัก และความเชื่อมั่นมากกว่า ดังพาร์คเกอร์ พอลเมอร์นักประพันธ์และนักการศึกษาชาวอเมริกันกล่าว “ครูที่ดีมีความสามารถในการเชื่อมโยง … ความเชื่อมโยงโดยครูที่ดีไม่ได้อยู่ในวิธีสอนของพวกเขาแต่อยู่ในใจพวกเขา—หมายถึง ใจ ในความหมายดั้งเดิมของมัน อันเป็นที่ซึ่งสติปัญญา อารมณ์ วิญญาณ และความประสงค์มารวมกันอยู่ในตัวมนุษย์”17

พระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเราทรงเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ของหลักธรรมนั้น พระองค์ทรงทิ้งรอยพระบาทไว้บนผืนทรายของฝั่งทะเลแต่ทิ้งรอยทางวิญญาณของคำสอนพระองค์ไว้ในใจและในชีวิตทุกคนที่ทรงสอน พระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ในวันนั้นและตรัสกับเราเหมือนกันว่า “จงตามเรามาเถิด”18

เรามาฟังความคิดเห็นสุดท้ายของเพื่อนร่วมชั้นและสหายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่ายังไม่ได้แนะนำพวกเขากับท่าน สามคู่นี้คือกลอเซียกับเรอนัลโด บาร์เรโต ลูเซเลียกับมาอูโร กอนซาลเวส และซีเลีย มาเรียกับรามิลโฟ ซิลวา ข้าพเจ้ารู้จักคนดีๆ เกือบทั้งหมดนี้ตั้งแต่เด็ก ข้าพเจ้าเฝ้าดูพวกเขาในช่วงชีวิตพวกเขาและได้เรียนรู้จากแบบอย่างอันชอบธรรมของพวกเขา พวกเขาเป็นสมาชิกที่เปี่ยมด้วยศรัทธา อดทน และภักดีของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เลี้ยงดูครอบครัวในพระกิตติคุณ และรับใช้สุดหัวใจในความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงเรียก

เอ็ลเดอร์บาร์เรโต: ผมมีแบบอย่างที่ดีมากในชีวิตผมจากอาจารย์สถาบัน ครูเซมินารี จากผู้ประสานงานและผู้อำนวยการเซมินารีและสถาบันด้วย เรามีมิตรภาพที่ดีมากกับพวกเขานับแต่นั้น ผมไม่สามารถขอบคุณพวกเขาและแบบอย่างของพวกเขาได้มากพอในชีวิตผม พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากด้วย ผมรู้สึกมั่นใจเสมอว่าผมสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ทุกเรื่อง พวกเขาแนะนำผม พวกเขาสอนผม พวกเขาสอนพระกิตติคุณ แต่แบบอย่างของพวกเขาดีเยี่ยม พวกเขามีอิทธิพลต่อผมมาก

ซิสเตอร์กอนซาลเวส: ดิฉันปลื้มปีติที่มีพระกิตติคุณและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวในพระกิตติคุณ เห็นผลของงานทั้งหมดวันนี้ที่เราทำมาตั้งแต่อายุยังน้อย ดิฉันจำครั้งหนึ่งได้ตอนอยู่หน้าพระวิหารเมื่อวันอุทิศ และดิฉันมีโอกาสร้องเพลงที่นั่นกับประธานคิมบัลล์ ซิสเตอร์โลโบเป็นผู้นำเพลงของเรา มีไม่กี่คนที่ได้เข้าไปในห้องซีเลสเชียล และสามารถรู้สึกในพระวิหารว่าทุกอย่างที่ดิฉันเรียนรู้ที่นั่น ทุกอย่างที่ดิฉันได้เรียนรู้ในวัยเยาว์ ล้วนคุ้มค่า ทำให้ดิฉันอยากดำเนินต่อเนื่องจนถึงนิรันดร ทุกอย่างในชีวิตมีจุดประสงค์ และจุดประสงค์ของดิฉันคือการได้กลับไปที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์พร้อมครอบครัวและเพื่อนๆ

เอ็ลเดอร์ ซิลวา: ความคิดแรกสุดของผมคือความสำนึกคุณต่อครูที่องอาจเหล่านั้น คนเหล่านั้นผู้เต็มใจอุทิศและยังคงอุทิศเวลาเพื่อเตรียมตนเองให้พร้อมสอน ผมไม่สามารถประเมินอิทธิพลดีที่ครูสามารถมีและมีต่อนักเรียนของพวกเขา บางครั้งเราค้นพบอิทธิพลนั้นในอีกหลายปีต่อมา แต่พวกเขาเลือกทำสิ่งถูกต้องและอยู่บนเส้นทางจริงๆ ผมซาบซึ้งจริงๆ ผมมีประจักษ์พยานว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมเคยมีประสบการณ์บางอย่างที่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์มอรมอนคือพระคำของพระผู้เป็นเจ้า ปัจจุบันเรามีศาสดาพยากรณ์ผู้นำทางเราและได้รับการเปิดเผย และผมรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงกำกับดูแลศาสนจักรของพระองค์อยู่ นี่คือความคิดของผม ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

เอ็ลเดอร์ซวาเรส ขอบคุณครับเพื่อนรัก ขอพระเจ้าอวยพรคุณทุกคนขณะยังคงเป็นแบบอย่างที่ดีของสิ่งที่คุณเรียนรู้เมื่อเยาว์วัยและยังคงนิยามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในใจผู้อื่น

หลักธรรมสุดท้ายและสำคัญมากที่ข้าพเจ้าต้องการแบ่งปันคือการเป็นพยานถึงสิ่งที่เรารู้ว่าจริง เพื่อนรักทั้งหลายในพระกิตติคุณ พลังแห่งประจักษ์พยานที่เข้มแข็งของท่านจะเปลี่ยนชีวิตนักเรียนตลอดกาล สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเราแต่ละคน หรือบรรพชนของเรา ตอนได้ยินผู้สอนศาสนาแบ่งปันประจักษ์พยาน ประจักษ์พยานที่เข้มแข็งผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังค้ำจุนชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ให้สันติสุข ความสบายใจ และความมั่นใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเมื่อเชื่อฟังคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างสม่ำเสมอ ชีวิตจะสวยงาม อนาคตจะมั่นคง และจะสามารถเอาชนะความท้าทายที่ขวางทางเรา ประจักษ์พยานที่เข้มแข็งของท่านจะค้ำจุนศรัทธาของนักเรียนและจะช่วยพวกเขาพัฒนาประจักษ์พยานของตนในพระกิตติคุณ ประจักษ์พยานของพวกเขาจะเป็นเสาหลักหนึ่งเสาที่จะช่วยให้พวกเขารับรู้พลังแห่งการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ในชีวิตพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาปฏิบัติตามประจักษ์พยานของตนในความชอบธรรม ข้าพเจ้ารับรองกับท่านได้ว่าประจักษ์พยานของพวกเขาจะกลายเป็นโล่ป้องกันไม่ให้ปฏิปักษ์บั่นทอนศรัทธาของพวกเขาและใส่ความไม่เชื่อไว้ในจิตใจพวกเขาตลอดชีวิต รากฐานนี้จะทำให้พวกเขากล้าประกาศความจริงของพระกิตติคุณต่อโลกอย่างองอาจ

เพลงปฐมวัยกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าพระบิดาทรงพระชนม์และรักฉัน / พระวิญญาณทรงกระซิบให้ฉันรู้ว่านี่เป็นความจริง / บอกว่านี่เป็นความจริง”19

ด้วยเจตนารมณ์นี้ ข้าพเจ้าประสงค์จะทิ้งท้ายคำพูดวันนี้โดยแบ่งปันประจักษ์พยานของข้าพเจ้าเองกับท่าน ประจักษ์พยานที่สร้างเป็นบรรทัดมาเติมบรรทัดและเติบโตต่อเนื่องขณะข้าพเจ้าค้นคว้าอย่างต่อเนื่องด้วยใจจริงเพื่อเข้าใจพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าอย่างถ่องแท้มากขึ้น เมล็ดแห่งประจักษ์พยานนั้นปลูกในใจข้าพเจ้าครั้งแรกโดยผู้สอนศาสนาที่ยอดเยี่ยมผู้สอนครอบครัวข้าพเจ้าในวัยเด็ก และบำรุงเลี้ยงต่อจากนั้นโดยบิดามารดาที่ซื่อสัตย์ผู้สอนข้าพเจ้าผ่านแบบอย่างและความภักดีของท่านต่อพระเจ้า ในที่สุดเมล็ดแห่งประจักษ์พยานนั้นออกดอกขณะข้าพเจ้าฟังคำสอนของครูเซมินารีที่น่าพิศวงและรู้สึกว่าต้องทำตามคำสอนเหล่านั้นในชีวิตข้าพเจ้าเมื่ออายุยังน้อย

ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ รู้ว่าพระทรงพระชนม์ รู้ว่าพระองค์ทรงทนทุกข์เพราะบาปของข้าพเจ้า ทรงฟื้นคืนพระชนม์ และประทานโอกาสให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนพฤติกรรม ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงลืมตนเองเพื่อข้าพเจ้า ทรงทิ้งความปรารถนาของพระองค์เองและทำสิ่งที่พระบิดาทรงขอให้ทำ แม้ในขณะทนทุกข์ใหญ่หลวง พระองค์ทรงปฏิเสธพระองค์เองและทรงทำสิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์ให้ทำ

ข้าพเจ้ารู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงพระชนม์และทรงฟังคำสวดอ้อนวอนของเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อท่านว่าพระองค์เข้าพระทัยความเจ็บปวด ข้าพเจ้ารู้ว่านี่คือศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์บนโลก พระเจ้าทรงเริ่มการฟื้นฟูพระกิตติคุณและฐานะปุโรหิตของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธจริงๆ ข้าพเจ้ารักพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์ และรักที่จะรับใช้พระองค์ ข้าพเจ้าพยายามแสดงความรักต่อพระเจ้าที่รักมาตลอดชีวิตผ่านการรับใช้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งต่อครูเซมินารีและครูสถาบันของข้าพเจ้าผู้มีอิทธิพลต่อข้าพเจ้าไม่หยุดยั้งผ่านการทุ่มเทรับใช้พระเจ้าด้วยความรัก ทุกอย่างเริ่มตอนนั้น และข้าพเจ้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้ารักท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารักโอกาสที่ได้อยู่กับท่านวันนี้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อพระเจ้าและผู้คนของพระองค์บนโลกนี้ ข้าพเจ้ากล่าวสิ่งเหล่านี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกับเวนดี้ ดับเบิลยู. เนลสัน “ความหวังอิสราเอล” (การให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาวทั่วโลก, 3 มิ.ย. 2018) ส่วนเสริมใน New Era Aug. 2018.

  2. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “The Lord Uses the Unlikely to Accomplish the Impossible” (การให้ข้อคิดทางวิญญาณที่มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์–ไอดาโฮ 27 ม.ค. 2015), byui.edu.

  3. Henry B. Eyring, “We Must Raise Our Sights,” ใน Scott C. Esplin and Richard Neitzel Holzapfel, eds., The Voice of My Servants: Apostolic Messages on Teaching, Learning, and Scripture, (2010), 17.

  4. โมเสส 1:39.

  5. ดู การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ: คู่มือสำหรับครูและผู้นำในเซมินารีและสถาบันศาสนา (2012), x.

  6. คู่มือทั่วไป: การรับใช้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (2020), 15.0.

  7. การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ, x.

  8. เอเฟซัส 4:11–13.

  9. ดัลลิน เอช.โอคส์, “การท้าทายเพื่อที่จะเป็น,” เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 44.

  10. 1 ทิโมธี 4:12.

  11. โรม 1:16.

  12. ดู “How to Be a Teacher When Your Role as a Leader Requires You to Teach” (การประชุมคณะกรรมการฐานะปุโรหิตสามัญ, 5 ก.พ. 1969)

  13. การสอนพระกิตติคุณในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด: คู่มือ จงตามเรามา: แหล่งข้อมูลการเรียนรู้สำหรับเยาวชน (2012), 2.

  14. หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:22.

  15. 2 นีไฟ 33:1.

  16. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ฟังพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2020, 90.

  17. Parker J. Palmer, The Courage To Teach: Exploring the Inner Landscape of a Teacher’s Life (1998), 11.

  18. ยอห์น 21:22.

  19. ฉันรู้ว่าพระบิดาทรงพระชนม์,” หนังสือเพลงสำหรับเด็ก, 8.