เพื่อความเข้มแข็งของเยาวชน
กำลังพยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณโดยไม่มีพระเยซูคริสต์หรือไม่?
กุมภาพันธ์ 2024


“กำลังพยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณโดยไม่มีพระเยซูคริสต์หรือไม่?,” เพื่อความเข้มแข็งของเยาวชน, ก.พ. 2024.

กำลังพยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณโดยไม่มี พระเยซูคริสต์ หรือไม่?

ฉันรู้สึกไม่เต็มอิ่มในโบสถ์จนกระทั่งตระหนักว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่โบสถ์—จริงๆ แล้วเกิดจากการที่ฉันไม่ได้จดจ่ออยู่กับพระผู้ช่วยให้รอด

ภาพ
ภาพวาดพระเยซูคริสต์และเปโตรเดินบนน้ำ โดยตัดภาพพระเยซูคริสต์ออก

พระหัตถ์แห่งความรอด โดยไมเคิล มาล์ม

ตอนที่ฉันอยู่มัธยมปลาย ฉันรู้สึกห่างเหินจากพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์เกือบตลอดเวลา ทุกคนรอบตัวฉันดูมีความเข้มแข็งทางวิญญาณมากกว่าและมีประสบการณ์ทางวิญญาณที่ดี

ฉันไม่เข้าใจว่าฉันทำอะไรผิดไป ฉันไปโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ สวดอ้อนวอน และไปพระวิหารเมื่อวอร์ดวางแผนจะเดินทางไปพระวิหาร แต่ฉันยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

จนกระทั่งเมื่อได้รับใช้งานเผยแผ่ ทำให้ฉันรู้ว่าส่วนที่ขาดหายไปคือ พระเยซูคริสต์

ฉันจดจ่อกับ การทำสิ่งต่างๆ มากกว่าจดจ่อกับ พระผู้ช่วยให้รอด และการเป็นผู้ติดตามที่ภักดีของพระองค์

นิสัยชอบธรรมเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติตามพระบัญญัติช่วยนำเราไปหาพระเยซูคริสต์ แต่บางครั้งเราหมกมุ่นอยู่กับ “งานของศาสนจักร” มากจนเรานำพระผู้ช่วยให้รอดออกจากกิจกรรมที่ช่วยนำเรามาหาพระองค์ สิ่งนี้เองที่อาจทำให้เรารู้สึกว่างเปล่าทางวิญญาณ

อยู่ในศาสนจักร แต่ขาดพระคริสต์

เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของฉันบางคนที่ออกจากศาสนจักรบอกฉันว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขและมีสันติสุขมากเท่านี้มาก่อน นั่นทำให้ฉันสับสนมาก! ถ้านี่คือศาสนจักรของพระคริสต์ พวกเขาจะรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร?

เมื่อฉันได้ฟังประสบการณ์และข้อกังวลของเพื่อนๆ ฉันตระหนักว่าการออกจากศาสนจักรไม่ได้ทำให้พวกเขามีสันติสุข แต่การทำเช่นนั้นเป็นการละทิ้งรายการสิ่งที่ต้องทำซึ่งพวกเขารู้สึกว่าต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาออกจากศาสนจักร นั่นหมายความว่าพวกเขาละทิ้งรายการสิ่งที่ต้องทำทางวิญญาณอีกด้วย

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงตั้งพระทัยไว้ตอนที่ทรงก่อตั้งศาสนจักรและประทานพระบัญญัติ

เอ็ลเดอร์โดนัลด์ แอล. ฮอลล์สตรอม แห่งสาวกเจ็ดสิบเคยสอนว่า “บางคนคิดว่าความแข็งขันในศาสนจักรเป็นเป้าหมายสูงสุด มีอันตรายแฝงอยู่ เป็นไปได้ว่าอาจแข็งขันในศาสนจักรและแข็งขันน้อยในพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าขอย้ำว่าความแข็งขันในศาสนจักรเป็นเป้าหมายอันพึงปรารถนาสูงสุด แต่ไม่เพียงพอ”1

เป็นไปได้ที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องแต่กลับมองข้าม เหตุผล โดยสิ้นเชิง

อันตรายจากการมองข้ามพระคริสต์

ซิสเตอร์เทรซี วาย. บราวนิงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานปฐมวัยสามัญ มีข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับชาวอิสราเอลในพันธสัญญาใหม่ว่า “เช่นเดียวกับเราทุกวันนี้ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเชื้อเชิญให้ผู้คนสมัยโบราณมองชีวิต ผ่านพระองค์ เพื่อจะได้เห็น พระองค์มากขึ้น ในชีวิต แต่เมื่อถึงยุคปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอด ชาวอิสราเอลมองข้ามพระคริสต์ในการถือปฏิบัติ …

“… พงศ์พันธุ์อิสราเอลในสภาพนี้เชื่อว่าข้อปฏิบัติและพิธีกรรมต่างๆ ของกฎเป็นหนทางสู่ความรอดส่วนบุคคล และในทางหนึ่งก็ลดกฎของโมเสสลงไปเป็นระเบียบการที่ใช้ปกครองชีวิตพลเรือน สภาพเช่นนี้ต้องมีพระผู้ช่วยให้รอดมาฟื้นฟูจุดโฟกัสและความกระจ่างชัดในพระกิตติคุณของพระองค์”2

บางครั้งซาตานไม่ได้หันเหความสนใจของสมาชิกศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระคริสต์เพื่อให้พวกเขาทำบาปร้ายแรง แต่เขากลับเอาสิ่งที่เราคิดว่าดีมาโน้มน้าวให้เราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง

ดังที่ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่า “บางครั้งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ … เริ่มจดจ่อกับ ‘ส่วนประกอบ’ แทนหลักธรรมพื้นฐาน กล่าวคือ ซาตานล่อลวงเราให้เขวจากข่าวสารที่ชัดเจนและเรียบง่ายของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู”3

บางครั้งความพยายามในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอาจส่งผลให้เกิดความเครียดและความคับข้องใจ แทนที่จะนำสันติสุขมาให้เรา นี่คือสิ่งที่ซาตานต้องการให้เรารู้สึกเกี่ยวกับพระกิตติคุณ หากเขาไม่สามารถล่อลวงให้เราทำบาป เขาจะโน้มน้าวใจเราว่าการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณนั้นยากเกินไป เหน็ดเหนื่อยเกินไป และเกินกว่าที่เราจะประสบความสำเร็จได้

ภาพ
พระเยซูคริสต์

มุ่งเน้นประจักษ์พยานของเราในพระคริสต์

ย้อนกลับไปตอนมัธยมปลาย ฉันคิดว่าฉันยังทำได้ไม่ดีพอ ความกลัวที่เกิดจากความรู้สึกไม่ดีพอนั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันจึงไม่เข้มแข็งทางวิญญาณเหมือนกับคนอื่นๆ รอบตัวฉัน

แม้ว่าการกระทำของเราอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนใจเลื่อมใส แต่เราไม่สามารถปล่อยให้กิจกรรมภายนอกกำหนดความเข้มแข็งทางวิญญาณของเราโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น เราอาจเริ่มวางน้ำหนักแห่งความรอดไว้บนบ่าของเราเองแทนที่จะพึ่งพาพระเยซูคริสต์

ประธานเนลสันกระตุ้นให้เรามุ่งไปที่ “พระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์ 4 สิ่งนี้ทำให้เราเปลี่ยนจากรายการสิ่งที่ต้องทำทางวิญญาณเป็นการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอันมีปีติและสันติสุขในศาสนจักรของพระองค์ “ไม่มีสิ่งใดอัญเชิญพระวิญญาณได้มากไปกว่าการมุ่งจดจ่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์” 5