การถ่ายทอดประจำปี
เทพและความฉงน


เทพและความฉงน

การถ่ายทอดการอบรมระบบการศึกษาของศาสนจักร • 12 มิถุนายน 2019 • หอประชุมชั้นหลักอาคารสำนักงานศาสนจักร

ในคำสวดอ้อนวอนเปิดของบราเดอร์พีเตอร์สัน ท่านใช้คำว่า “ครอบครัว” และข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันในเวลานั้นและรู้สึกตื้นตันในเวลานี้ด้วย ข้าพเจ้าตื่นเต้นที่ได้อยู่กับทุกท่านในเหตุการณ์ประจำปี ซึ่งสำหรับข้าพเจ้า คือครอบครัวได้มารวมกัน ข้าพเจ้าได้รับแรงบันดาลใจจากทุกถ้อยคำที่บราเดอร์เว็บบ์ ซิสเตอร์คอร์ดอน และเอ็ลเดอร์คลาร์กพูด และข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พูดได้สอดคล้องกับสิ่งที่ทั้งสามท่านได้กล่าวมา

เมื่อข้าพเจ้าทักทายท่านที่นี่โดยกล่าวถึงบราเดอร์พีเตอร์สัน ความคิดเรื่อง ครอบครัว หมายถึงครอบครัวจริงๆ และเป็นความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีต่อท่านจริงๆ และอยากให้ท่านเชื่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าทราบว่าความรู้สึกนี้มาจากเจ้าหน้าที่คณะกรรมการเช่นกัน แต่พิเศษมากจากข้าพเจ้า

แพทกับข้าพเจ้าเซ็นสัญญากับซีอีเอสครั้งแรกเมื่อ 54 ปีที่แล้วในฤดูร้อนเดียวกันนี้ และเรามีส่วนร่วมกับท่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเกือบจะทุกปีของชีวิตเรานับแต่นั้นมา—โดยทางใดทางหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่อแพทกับข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะพยายามใช้ชีวิต มีวิถีทางและดำเนินชีวิตโดยผ่านเซมินารีและสถาบัน เราไม่รู้ว่าสายใยที่ผูกพันเราไว้จะมั่นคงถาวรอย่างยิ่ง โดยที่เราเคยรู้สึกไม่มั่นคง หากไม่ใช่เพราะมิตรภาพและความรักฉันพี่น้องอย่างแท้จริงจากเพื่อนๆ ครู หัวหน้า ผู้บริหาร และคนอื่นๆ ที่มอบให้เราในช่วงปีแรกๆ ข้าพเจ้าคิดว่าเราอาจไม่มีความมั่นใจที่จะดำเนินต่อไป ความผูกพันเหล่านั้นจากช่วงเวลาแรกสุดในโปรแกรมยังคงเป็นมิตรภาพที่ชื่นใจที่สุดที่เรามีอยู่จนบัดนี้มากกว่าครึ่งศตวรรษให้หลัง แน่นอนว่า นั่นยังไม่รวมถึงนักเรียนหลายร้อยคน—และข้าพเจ้าเดาว่าน่าจะหลายพันคน—ที่เราสอนและรักตลอดมา ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราจะไม่มีวันสูญเสียความรู้สึกเป็นครอบครัวในระบบการศึกษาของศาสนจักร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องการรับใช้ที่นี่

และด้วยความรักที่ข้าพเจ้าพูดเปิดไปแล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องการสื่อสารวันนี้คือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่สามัญของศาสนจักร ทุกท่าน รักท่านและพึ่งพาท่านมากเพียงใด สภาและคณะกรรมการของเราใช้เวลามากพอสมควร โดยมีตัวแทนเป็นเจ้าหน้าที่องค์การช่วยสามัญหลายท่านอยู่ที่นี่วันนี้ เราทำสิ่งนี้ ด้วยกัน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเราใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ข้าพเจ้าขอเดา (พวกเขาอาจแก้ให้ถูกต้องในภายหลัง) น่าจะอยู่ที่ระดับ 30 หรือ 35 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่/เจ้าหน้าที่สามัญใช้ไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งพูดเรื่องคนหนุ่มสาวของศาสนจักร—ที่ท่านทำงานและได้รับการว่าจ้างให้สอนกลุ่มอายุเหล่านั้น บวกกับคนที่กำลังพร้อมจะมาหาท่าน เราพูดถึงโลกที่พวกเขาอยู่ ความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ ความเป็นจริงที่พิเศษเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะมาหาเยาวชนของเราเมื่ออายุยังน้อยเสมอ ไม่ใช่ว่าความเป็นจริงเหล่านั้นทั้งหมดเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่บางสิ่งใช่ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างที่พวกเขาพึงได้รับ และโชคดีที่พวกเขา สามารถ ได้รับ พระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือเรือลำนี้ และเรือจะเทียบท่าอย่างปลอดภัย พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นไว้แล้ว

ภาพ
โจเซฟ สมิธลและนิมิตแรก

ตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าเป็นเหตุบังเอิญที่เราเริ่มให้นักเรียนเข้าสู่โปรแกรมเซมินารีโดยมีอายุเท่ากับโจเซฟ สมิธเมื่อท่านได้รับนิมิตแรก ข้าพเจ้าคิดว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงรู้สึกว่าเมื่ออายุประมาณ 14 ปีโจเซฟมีระดับวุฒิภาวะเพียงพอที่จะให้ท่านเริ่มต้นเส้นทางแห่งพันธกิจของศาสดาพยากรณ์ เราอาจคิดอย่างนั้นเช่นกัน ว่าโดยทั่วไปนี่เกี่ยวกับอายุที่คนหนุ่มสาวคนอื่นๆ สามารถเริ่มต้นมีประจักษ์พยานที่เติบใหญ่ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เฝ้าดูประจักษ์พยานนั้นเติบโต (เราหวัง) ในอนาคตจนกลายเป็นพลังนำทางที่ทรงอำนาจดังที่พึงเป็นไปตลอดนิรันดรใช่หรือไม่

ภาพ
เยาวชนกำลังเดิน

แน่นอนว่านั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงดลใจให้จัดตั้งโปรแกรมของเราดังที่เป็นอยู่นี้—คือสัมผัสใจของเด็กชายหรือเด็กหญิงขณะพวกเขาเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสวยงาม เพิ่มการติดต่อกับพวกเขามากขึ้น ให้ประสบการณ์กลางสัปดาห์ที่มีสาระแก่พวกเขาแทนที่จะพึ่งพาแค่ประสบการณ์โรงเรียนวันสะบาโตเพียงอย่างเดียว ขณะที่ศาสนจักรมุ่งไปยังหลักสูตรการมีบ้านเป็นศูนย์กลางและศาสนจักรสนับสนุนมากขึ้น เราภูมิใจได้ว่าซีอีเอสที่มีการมุ่งเน้นช่วงวันระหว่างสัปดาห์และการศึกษาที่บ้านได้ให้ความสำคัญกับวิธีดังกล่าวตลอดมา การปรับเปลี่ยนในปัจจุบันนี้นำเซมินารีและสถาบันเข้าใกล้ความพยายามด้านหลักสูตรหลักของศาสนจักรมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์

และขณะข้าพเจ้าพูดถึงหัวข้อดังกล่าว ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ทราบถึงคำชมเชยจากเจ้าหน้าที่ควบคุมที่นี่ในการขอให้เรามีหลักสูตรเซมินารีที่สอดคล้องกับปฏิทินหลักสูตรพระคัมภีร์หมุนเวียนสี่ปีของศาสนจักร การได้รับคำชมเชยเช่นนั้นเป็นเรื่องหนึ่งสำหรับเรา แต่การได้รับจากประธานคณะกรรมการของเรานั้นช่างคุ้มค่าอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอเตือนความจำท่านว่าใครคือประธานคณะกรรมการของเรา นี่คือสิ่งที่ประธานเนลสันกล่าวเมื่อประกาศถึงพัฒนาการนี้:

“ในต้นปี 2020 หลักสูตรศึกษาของเซมินารีจะย้ายไปสู่ปฏิทินประจำปี ชั้นเรียนจะศึกษาพระคัมภีร์เล่มเดียวกับที่ใช้ในหลักสูตร จงตามเรามา การปรับเปลี่ยนนี้จะส่งเสริมวิธีการศึกษาพระกิตติคุณที่มีบ้านเป็นศูนย์กลางและศาสนจักรสนับสนุนผ่านการศึกษาที่เป็นหนึ่งเดียวกันที่บ้าน โรงเรียนวันอาทิตย์ และเซมินารี

“เมื่อท่านไตร่ตรองถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านพิจารณาถึงอนาคตของตนเอง การที่ท่านสามารถมีผลต่อโลกมากกว่าคนรุ่นก่อนล้วนขึ้นอยู่กับระดับการอุทิศตนของท่านต่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ แต่ละท่านมีหน้าที่รับผิดชอบช่วยสอนพระกิตติคุณของพระองค์ในบ้านท่านให้คนที่ท่านอาศัยอยู่ด้วย เซมินารีและสถาบันจะช่วยท่านปรับเปลี่ยนบ้านให้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งศรัทธา—สถานที่สอน เรียนรู้ ดำเนินชีวิต และรักพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์”

ข้าพเจ้าไม่ทราบท่านคิดอย่างไร แต่ข้าพเจ้าอยู่กับโปรแกรมนี้มานานมาก หลายปีแล้วที่ไม่มีประธานศาสนจักรกล่าวกับเราอย่างเจาะจงและให้กำลังใจในเรื่องนั้นชัดเจนและเป็นส่วนตัวสำหรับเราได้มากขนาดนี้ ข้าพเจ้าสำนึกคุณในเรื่องนี้ครับ ประธานเนลสัน กล่าวได้ว่าโดยผ่านช่วงเวลาปรับเปลี่ยนในปัจจุบันนี้ทั้งใหญ่และเล็ก ไม่มีช่วงเวลาใดที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ได้สนทนากัน ระดมความคิด และจัดการโดยตรงกับบุคคลากรรวมทั้งนโยบายเซมินารีและสถาบันมากไปกว่าช่วงเวลานี้ตามที่ข้าพเจ้าจำได้ตลอดหลายปีของการรับใช้ที่นี่ ช่างเป็นช่วงเวลาน่าตื่นเต้นที่ได้อยู่ในครอบครัวระบบการศึกษาของศาสนจักร

ต่อไป ข้าพเจ้าขอพูดถึงวัตถุประสงค์ของทั้งหมดนี้ เหตุผลที่เรามาประชุมกันวันนี้และเหตุผลที่เราสอนทุกวันและทุกสัปดาห์—นักเรียน ศูนย์กลางของความห่วงใยและความรักใคร่ของเรา

ภาพ
เยาวชนหญิงกำลังศึกษา

ขณะที่โลกออกห่างจากศาสนามากขึ้น เราต้องเรียนรู้วิธีช่วยเหลือและเป็นแบบอย่างแก่คนหนุ่มสาวของเรามากกว่าที่เคยเป็นมาผู้ที่ต้องปกป้องความเชื่อของตนเองขณะอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมที่มักจะปฏิเสธหรือแย่ไปกว่านั้น ลดคุณค่าความเชื่อ ช่องว่างระหว่างคนหนุ่มสาวที่ซื่อสัตย์ของเรากับโลกที่บางครั้งเป็นศัตรูรายรอบพวกเขาอยู่นั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันที่ผ่านไป อย่างน้อยก็ในลักษณะทั่วไปทั้งหมด แน่นอนว่านั่นคือ “สิ่งที่ต้องเกิดขึ้น” ในคำพยากรณ์ของยุคสุดท้าย แต่ไม่ได้ทำให้น่ารื่นรมย์มากนักที่จะกล่าวถึงหรือไม่สนุกเลยที่ต้องเผชิญ ในบทสรุปเล็กๆ ของโลก มีผู้เรียกนักเรียนของเราอย่างน่ารักว่าเป็น Generation Z (เจเนอเรชั่นซี) เพราะลักษณะบางอย่าง ลักษณะเหล่านี้เน้นความท้าทายบางอย่างของเราในการสอน:2

ภาพ
เยาวชนชายใส่หูฟัง
  • พวกเขาเชื่อมต่อสายกับบางสิ่งบางอย่างเสมอ “พวกเขาไม่เคยรู้จักโลกที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ [หรือหูฟัง] … กูเกิลมีอยู่ตลอดเวลา [สำหรับพวกเขา]”3 พวกเขาอาจไม่เคยเห็นโทรศัพท์แบบหมุนหรือโทรจากสิ่งที่เรียกว่าตู้ แต่นั่นไม่เป็นไรเพราะคนกลุ่มนี้ชอบส่งข้อความมากกว่า

  • ผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งนี้ พวกเขาสัมผัสกับสื่อลามกที่เสื่อมเสียและทำลายล้างตั้งแต่อายุยังน้อยมากๆ

  • พวกเขามักจะ “[สนับสนุน] การแต่งงานเพศเดียวกันและสิทธิการแปลงเพศ … [ว่าเป็น] ส่วนหนึ่งของชีวิตปกติ เป็นไปได้ยากมากที่คนรุ่น Z จะ ไม่มี เพื่อน [สนิท] ที่มาจากกลุ่ม LGBT”4 เพราะการชอบเข้าสังคมเช่นนี้ เส้นบางๆ ระหว่างมิตรภาพและพฤติกรรมที่ไม่ถือโทษเริ่มไม่ชัดเจนและขีดเส้นได้ยาก

  • “พวกเขาเป็นคนยุคหลังศาสนาคริสต์เป็นใหญ่ เกือบหนึ่งในสี่” (ซึ่งไม่ใช่นักเรียนแอลดีเอส แต่จริงๆ แล้วเรากำลังดูทั่วโลก) “ผู้ใหญ่ในอเมริกาเกือบหนึ่งในสี่ (23 เปอร์เซ็นต์)—และหนึ่งในสามของคนกลุ่มมิลเลนเนียล—‘ไม่มีศาสนา’ ไม่ระบุว่าตนนับถือศาสนาใดเลย คนกลุ่ม Z หลายคนเติบโตในบ้านที่ไม่มีศาสนา [ทำให้พวกเขา] ไม่มีประสบการณ์ [และไม่มีบริบทสำหรับ] ศาสนาเลย”5 ในชีวิตพวกเขา

  • การวิจัยล่าสุดเรื่องเจตคติที่เยาวชนชาวออสเตรเลียมีต่อศาสนาค้นพบเรื่องสำคัญอย่างยิ่งว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของพวกเขาทั้งหมดไม่ระบุว่าตนนับถือศาสนาใดและมีเพียง 37 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า6

  • บาทหลวงและนักเขียนนาม เจมส์ เอเมอรีย์ ไวท์ เขียนไว้อย่างครอบคลุมเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางวิญญาณของพวกเขา เขากล่าวว่า “ข้อแรก พวกเขาหลงทาง พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมยุคหลังศาสนาคริสต์เป็นใหญ่และไม่ได้รับการขัดเกลาในสภาพแวดล้อมนั้น พวกเขาไม่มีแม้แต่ความทรงจำถึงพระกิตติคุณ [หรือบริบทของพระกิตติคุณ] ระดับของการไม่มีความรู้ทางวิญญาณช่างน่าทึ่ง … [สอง] พวกเขาปราศจากผู้นำ มีการชี้นำน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลยจากครอบครัวพวกเขา และน้อยยิ่งกว่านั้นจากความพยายามเข้าถึงการนำทางจากอินเทอร์เน็ต”7

  • ตามบทความที่ตีพิมพ์ใน USA Today Generation Z (เจนซี) เป็นกลุ่มย่อยที่โดดเดี่ยวที่สุดที่เรารู้จักในสังคม8 บทความอ้างอิงการวิจัยของ BYU ซึ่งสรุปไว้ว่า “ความโดดเดี่ยวส่งผลกระทบต่อความเป็นมรรตัยเหมือนกับการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าโรคอ้วนเสียอีก”9

  • ประมาณ 53 เปอร์เซ็นต์ของเด็กหญิงชาวอเมริกันวัย 13 ปีไม่มีความสุขกับร่างกายของตนเอง จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 78 เปอร์เซ็นต์เมื่อพวกเธออายุ 17 ปี ยังหมายถึงเยาวชนของเรา มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของสาววัยรุ่นและ 30 เปอร์เซ็นต์ของหนุ่มวัยรุ่นใช้พฤติกรรมควบคุมน้ำหนักที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นการงดอาหารบางมื้อ อดอาหาร สูบบุหรี่ อาเจียน และใช้ยาระบาย10

  • สุดท้าย พวกเขามีสมาธิสั้น บางแห่งรายงานว่าค่าเฉลี่ยสมาธิของกลุ่ม Z คือประมาณแปด วินาที11 พวกเขาคงจะไม่สนใจข้าพเจ้าตั้งแต่สามจุดแรกที่เราแสดงไว้ที่นี่แล้ว

ครูเซมินารีและสถาบันจะไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดในข้ามคืน แต่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คาดหวังให้ท่านมีความรู้ เตรียมตัวอย่างดี มีพระวิญญาณ และสามารถตอบคำถามประเด็นเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีคำถามในวิธีและในเวลานั้น โดยการติดต่อกลางสัปดาห์ ท่านเข้าถึงนักเรียนได้มากกว่าครูคนอื่นๆ เกือบทั้งหมดในศาสนจักรจะทำได้ ดังนั้นจงใช้ปัญญาว่าจะทำอย่างไร แต่พึงมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ต้องการและคาดหวังความช่วยเหลือจากท่าน—ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในและนอกชั้นเรียน—ในการสอนนโยบาย และระเบียบปฏิบัติ และหลักคำสอนของศาสนจักร

จงเปิดรับ—จงเปิดรับพระวิญญาณอย่างเป็นพิเศษ มีพื้นที่ว่างให้ปรับเปลี่ยนได้ในแผนบทเรียนของท่าน ถ้าท่านต้องย่อบทเรียนให้สั้นลงเล็กน้อยเพื่อแสดงประจักษ์พยานของท่านและกระตุ้นการสนทนาเรื่องปัญหาร่วมสมัย ขอให้ทำเช่นนั้นเมื่อพระวิญญาณกระตุ้นเตือนและบอกท่านว่าเหมาะสม

แน่นอนว่า ท่านต้องทำ โดยไม่ ก้าวข้ามขอบเขตของท่านไปยังบทบาทกึ่งผู้นำฐานะปุโรหิตหรือกึ่งผู้นำองค์การช่วยที่ไม่ใช่บทบาทของเรา การเดินบนเชือกตึงนั้นเป็นความท้าทายในระบบของเรานับตั้งแต่เริ่มต้นการเดินนั้น และจะเป็นเสมอ ต้องใช้วิจารณญาณที่ดีและการนำทางจากพระวิญญาณจึงจะเดินได้ แต่เป็นความท้าทายที่คุ้มค่าแก่การรับไว้และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ปรกมือให้แก่ความพยายามของท่าน จำเป็นต้องมีทั้งหมด ข่าวสารทุกระดับต้องชัดเจนและสม่ำเสมอ

“ถ้าแตรให้เสียงไม่ชัดเจน ใครจะเตรียมตัวเข้าทำศึกสงคราม? … ก็จงพยายามเพิ่มพูนสิ่งที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น”12

เห็นได้ชัดว่า ด้วยพลังอันแรงกล้ากำลังทำงานอยู่ในสมัยของเรา จำเป็นต้องมีการสอนพระกิตติคุณที่ทรงพลังจนไม่มีสิ่งใดจะเขย่าศรัทธาหรือหันเหคนหนุ่มสาวของเราออกจากเส้นทางได้เมื่อพวกเขาเดินออกนอกชั้นเรียนและกลับเข้าสู่โลกอีกครั้ง การสอนแบบนั้นพูดง่ายกว่าทำ ข้าพเจ้าสัญญากับท่านและท่านก็ทราบดี แต่เราทุกคนสามารถทำได้ดีขึ้น เราสามารถเป็นครูที่มีพลังมากกว่าที่เป็นอยู่ในบางครั้ง ในการรับมือกับงานที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้น ขอให้จดจำสิ่งหนึ่งจากเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านวันนี้—จงจำไว้ว่านักเรียนไม่ใช่ภาชนะที่จะใส่ให้เต็ม นักเรียนคือไฟที่ต้องจุดให้ติด

ภาพ
ภาชนะว่างเปล่า
ภาพ
ไม้ขีดที่จุดไฟสว่าง

ในฐานะครูแห่งพระกิตติคุณ เราต้องเป็นนักวางเพลิงทางวิญญาณ บทเรียนของเราต้องเป็นอุปกรณ์เชื้อเพลิง เราต้องเป็นผู้คลั่งจุดไฟ ลบคำว่า “คลั่ง” ออก—เป็นแค่ “ผู้จุดไฟ” ก็พอ ข้าพเจ้าขออธิบายก่อนที่ท่านจะรายงานข้าพเจ้ากับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ หรือ กับตำรวจ โอเคไหมครับ

ข้าพเจ้าประทับใจตลอดมาว่าในสถานการณ์การสอนที่สำคัญเกือบทุกครั้งในพระคัมภีร์มอรมอน วลีที่บรรยายถึงชั่วขณะนั้นคือบุคคลได้รับการสอนด้วย “พลังอำนาจและสิทธิอำนาจ”13 นั่นคือความปรารถนาสูงสุดในการสอนของข้าพเจ้า และหวังว่าท่านจะมีเหมือนกัน

โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงการเพิ่มระดับเสียงของท่าน การนำเสนอด้วยลีลาท่าทางอย่างในละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ข้าพเจ้าพูดถึงบางสิ่งที่โดยพื้นฐานเป็นเพียงเรื่องทางวิญญาณ วิญญาณที่จะประจักษ์ชัดในหลายวิธีที่แตกต่างกันไปของครูแต่ละคน ท่านต้องเป็นตัวของท่านเอง ท่านไม่สามารถเป็นบรูซ แมคคองกี หรือบอยด์ แพคเกอร์ หรือรัสเซลล์ เนลสัน แต่ก็ดีที่เราจะถามตนเองว่าเหตุใดครูเหล่านั้นจึงมีอิทธิพลกับเราในวิธีที่พวกเขาทำ เรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จากครูที่ยอดเยี่ยม (ในอดีตและปัจจุบัน) แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว ท่านต้องสอนอย่างเป็นธรรมชาติ ท่านต้องสอนในวิธีของท่าน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีการสอนจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ควรเป็นการสอนที่มีสิทธิอำนาจและเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสองเรื่องที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มอรมอน ฮีลามัน 5:1 บอกเรื่องราวของนีไฟและลีไฮ ตั้งชื่อตามปู่รุ่นแรกของพวกท่าน ผู้ที่รับคำสั่งให้ไปสอนชาวเลมันในแผ่นดินแห่งเซราเฮ็มลา นอกจากการสอนคนที่น่าท้าทายกลุ่มนั้นแล้ว นีไฟและลีไฮยังสอน “ผู้แตกแยก” ชาวนีไฟผู้ละทิ้งความเชื่อที่ได้จากไปเข้าร่วมกับชาวเลมันในการต่อต้านศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร แต่คนสองกลุ่มนั้นหมายถึงผู้เรียนที่ไม่เป็นมิตรซึ่งข้าพเจ้าคงไม่ค่อยชอบไปเจอในเช้าวันจันทร์เป็นอย่างแรกเท่าใดนัก ณ จุดนี้ ชาวเลมันไม่เป็นมิตร โกรธ ตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะแก้แค้นชาวนีไฟเหนือข้อพิพาท ซึ่งที่มาของข้อพิพาทนั้นลืมเลือนไปนานแล้ว ต่อจากนั้น ราวกับยังไม่พอ ท่านยังมีอดีตมอรมอนเพื่อพระเยซู (พวกเขาเป็นคนใช้คำว่า “มอรมอน” ไม่ใช่ข้าพเจ้า) ผู้คนในท้องที่ซึ่งละทิ้งความเชื่อและครั้งหนึ่งเคยอยู่ในโควรัมปุโรหิต ผู้ซึ่งบางกรณีอาจเคยรับใช้งานเผยแผ่อย่างซื่อสัตย์มาแล้ว ต่อเมื่อเวลานี้ได้ออกนอกลู่นอกทาง พวกเขาเคยสอนให้เราและเดี๋ยวนี้พวกเขาสอน ต่อต้าน เรา ต่อต้านอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า

กระนั้นก็ตาม พระคัมภีร์พูดถึงนีไฟและลีไฮกับสองกลุ่มคนที่ท้าทายเหล่านั้นว่า “พวกท่านสั่งสอนด้วยพลังอันยิ่งใหญ่, ถึงขนาดที่ทำให้ผู้แตกแยกจากชาวนีไฟเป็นอันมากต้องจำนน … และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ [พวกท่าน] สั่งสอนชาวเลมันด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้น, เพราะพวกท่านมีพลังอำนาจและสิทธิอำนาจที่ประทานให้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะพูด, และพวกท่านมีเรื่องที่ประทานให้แก่พวกท่านด้วยว่าควรพูดอะไร”14 ในเวลานี้ขอให้หยุดสักครู่หนึ่งพร้อมกันกับข้าพเจ้า หยุดไตร่ตรองชั่วครู่ว่าจะวิเศษเพียงใดถ้าครูทุกคนในระบบการศึกษาของศาสนจักร—หรือในศาสนจักร—สามารถรู้สองสิ่งนั้นได้—รู้วิธีพูดและสิ่งที่จะพูดเมื่อท่านพูด นั่นจะเป็นของประทานแห่งการพูดภาษาอย่างแท้จริงแม้ว่าจะเป็นภาษาที่หนึ่งของท่านก็ตาม และตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ นั่นคือของประทานที่ท่านทั้งสองนี้ได้รับอย่างชัดเจนขณะพวกท่านสอน พวกท่านมี “พลังอำนาจและสิทธิอำนาจ [ยิ่งใหญ่] ที่ประทานให้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะพูด … ว่าควรพูดอะไร … ฉะนั้นพวกท่านพูด โดยยังความฉงนยิ่งนัก แก่ชาวเลมัน”15

คำว่า ความฉงน สะท้อนถึงสิ่งใดหรือไม่ต่อท่านจากเรื่องราวก่อนหน้านั้นในพระคัมภีร์มอรมอน พิจารณา โมไซยาห์ 27 ที่แอลมาและบุตรของโมไซยาห์ “กำลังเที่ยวไปกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า” ในข้อ 11 “เทพของพระเจ้ามาปรากฏแก่พวกเขา; และท่านลงมาประหนึ่งอยู่ในเมฆ; และท่านพูดประหนึ่งด้วยเสียงของฟ้าร้อง, ซึ่งทำให้แผ่นดินโลกที่พวกเขายืนอยู่สั่นสะเทือน”16

ภาพ
เทพปรากฎต่อแอลมา

ข้าพเจ้าขออภัยถ้าดึงท่านไปสู่ความเห็นเชิงแก้ไขเล็กน้อยในทันที ท่านคิดว่านั่นเป็นแผ่นดินไหวเต็มรูปแบบจริงๆ หรือไม่ ท่านคิดว่าถ้าท่านมีมาตราริกเตอร์ติดตั้งไว้ทุกๆ 40 ฟุต นั่นจะเป็นระดับห้าหรือหกหรือแปดหรือเก้า ก่อให้เกิดสึนามิในทะเลลึกและแผ่นดินโลกบนบกเปลี่ยนแปลงทั้งหมดหรือไม่ อาจจะใช่ อาจจะใช่ในอนาคต เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นแบบนั้น แต่เฉพาะกรณีนี้ ในบริบทนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ใช่ ข้าพเจ้าคิดว่านี่คือแผ่นดินไหวส่วนตัวที่พระเจ้าทรงส่งให้แต่ละคน เหมาะสมกับแต่ละคน ข้าพเจ้าคิดว่าแผ่นดินโลกสั่นสะเทือนสำหรับแอลมาและพวกบุตรของโมไซยาห์ แต่ใครเลยจะรู้ว่าสั่นสะเทือนสำหรับคนอื่นๆ อีกหรือไม่

แน่นอน แน่นอนว่าท่านต้องเคยมีประสบการณ์นั้นในการสอนชั้นเรียน บางสิ่งที่ท่านพูดส่งผลกับนักเรียนอย่างทรงพลังจนเขาหน้าซีดหรือร้องไห้หรือทั้งสองอย่าง สัมผัสกับจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง แต่นักเรียนที่อยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เป็นพิเศษเลย สิ่งนั้นเกิดขึ้นในสนามเผยแผ่ตลอดเวลา ท่านทราบดี ท่านเคยทำมาก่อน! ผู้สอนศาสนาคู่หนึ่งกำลังสอนครอบครัวในอพาร์ทเมนท์ที่ไหนสักแห่ง พวกเขามีบทเรียนเขย่าแผ่นดินโลกและเปลี่ยนแปลงใจมาสอนคู่สามีภรรยาที่ยกอพาร์ทเมนท์ห้อง 106 ออกจากฐานราก แต่คนห้อง 105 กำลังดู Americal Idol อย่างมีความสุข และคนในห้อง 107 กำลังหาคะแนนการแข่งขันระหว่างทีม Green Bay Packers กับ San Francisco 49er หากพูดในเชิงธรณีวิทยา ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวระดับริกเตอร์จะให้สัญญาได้หรือไม่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าและพระคัมภีร์ให้สัญญากับท่านได้แน่นอนว่าจะมีแผ่นดินไหวส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงนักเรียนไปจนถึงแก่นแท้ของตัวตนพวกเขา และแผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือนอยู่แทบเท้าพวกเขา แต่ขออภัย—ข้าพเจ้าออกนอกเรื่อง!

อ่านต่อไปในข้อ 12 ของ โมไซยาห์ 27:

ความฉงน ของ [แอลมาและพวกบุตรของโมไซยาห์] ใหญ่หลวงนัก” “ความฉงน ของพวกเขาใหญ่หลวงนัก, จนพวกเขาล้มลงกับพื้นดิน, และหาเข้าใจถ้อยคำซึ่ง [เทพ] พูดกับพวกเขาไม่ …

“ … และบัดนี้แอลมาและคนที่อยู่กับท่านล้มลงกับพื้นดิน, เพราะ ความฉงน ของพวกเขาใหญ่หลวง; เพราะด้วยดวงตาของตนเองพวกเขาได้เห็นเทพของพระผู้เป็นเจ้า; และ เสียงของท่านเหมือนดังฟ้าร้อง, ซึ่งทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน

“ … และบัดนี้ ความฉงน ของแอลมานั้นใหญ่หลวงนักจนท่านกลายเป็นใบ้, จนท่านอ้าปากไม่ได้; แท้จริงแล้ว, และท่านอ่อนเพลีย, แม้จนขยับมือของท่านไม่ได้”17

สิ่งที่ข้าพเจ้านึกถึง สวดอ้อนวอนขอ และหวังให้มาสู่ระบบการศึกษาของศาสนจักรคือการสอนที่สร้างความฉงนอย่างแท้จริง เราต้องทำให้นักเรียนเหล่านั้นฉงนและทำด้วย “พลังอำนาจและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า”18 ที่ประทานแก่ครู—มืออาชีพหรืออาสาสมัคร—ผู้สอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างกล้าหาญและซื่อสัตย์ ท่านรู้จักรากศัพท์ของคำว่า ฉงน หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าในภาษาอียิปต์ปฏิรูปหรือภาษาฮีบรูคือคำว่าอะไร แต่ในภาษาอังกฤษมาจากรากศัพท์ว่า “tonare”—หมายถึงฟ้าร้อง19

นั่นช่วยให้ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าเหตุใดหลังจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใสนี้ แอลมาจะบอกว่า “โอ้ หากข้าพเจ้าเป็นเทพ, และมีความปรารถนาได้ตามใจข้าพเจ้า, เพื่อข้าพเจ้าจะออกไปและพูดด้วยแตรของพระผู้เป็นเจ้า, ด้วยเสียงที่จะเขย่าแผ่นดินโลก, และป่าวร้องการกลับใจแก่ทุกผู้คน!

“แท้จริงแล้ว, ข้าพเจ้าจะประกาศแก่ทุกจิตวิญญาณ, ด้วยเสียงฟ้าร้อง, เรื่องการกลับใจและแผนแห่งการไถ่, ว่าพวกเขาควรกลับใจและมาหาพระผู้เป็นเจ้าของเรา, เพื่อจะไม่มีโทมนัสบนทั่วพื้นพิภพอีกต่อไป”20

เพื่อนซีอีเอสที่รักทั้งหลาย เห็นชัดว่าเหตุใดแอลมาต้องการอิทธิพลของเทพ เสียงฟ้าร้องที่ฟังเหมือนแตรของพระผู้เป็นเจ้าและเขย่าแผ่นดินโลก เป็นเรื่องเรียบง่าย—สิ่งที่ได้ผลกับเขาต้องได้ผลกับคนอื่นด้วย! นักเรียนนอนหงายกลับใจเป็นเวลาสามวัน การทำให้บริสุทธิ์นั้นยิ่งใหญ่มากจนพวกเขาไม่สามารถและจะไม่ออกจากอิทธิพลของสิ่งนั้นได้เลย ชีวิตที่อุทิศตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบต่อการสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าชั่วกาลนิรันดร์ นั่นคือการสอนที่ทรงพลัง เราจะตระหนักได้เหมือนแอลมาว่าเราไม่ใช่เทพ และเราจะไม่มีอิทธิพลเช่นนั้นทุกครั้งที่เราเผชิญหน้ากับกลุ่มนักเรียน แต่สิ่งที่ดีเกี่ยวกับการเรียกและงานอาชีพซีอีเอสของเราคือเรามีโอกาสที่จะ พยายาม ทำสิ่งนั้น กล่าวในเชิงเปรียบเทียบ เรามีสภาวะแวดล้อมของห้องเรียนให้ลองซ้ำได้

ภาพ
นีไฟและลีไฮพยากรณ์ต่อชาวเลมัน

กลับไปที่ ฮีลามัน 5 จำไว้ว่านีไฟและลีไฮไม่ใช่เทพเช่นกัน ท่านทั้งสองเป็นครูซึ่งเป็นมนุษย์ที่ดีผู้มีพันธกิจและข่าวสาร ผู้สอนด้วย “พลังอำนาจและสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่” สองท่านนี้เห็นชาวเลมัน 8,000 คน “บัพติศมาสู่การกลับใจ” และมาสู่ศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้า”21 ท่านจำเรื่องราวได้ ด้วยไฟที่ลงมาจากสวรรค์ และเปลวเพลิงแห่งพระวิญญาณเผาไหม้อยู่ภายใน การชุมนุมทั้งหมดของ “นักเรียน” จึงเป็นการจุดไฟจิตวิญญาณของพวกเขาด้วยความจริง ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า 8,000 คนน่าจะเป็นรายงานประจำสัปดาห์ที่ดีของโซนหนึ่งจากคู่ใดก็ได้ในสนามเผยแผ่แห่งใดก็ได้ ที่ใดก็ได้ในโลก

ข้าพเจ้าขอใช้เวลาชั่วครู่พูดถึงครูอีกหนึ่งคนผู้ที่จิตวิญญาณของเขาไม่ได้ลุกเป็นไฟเท่านั้นแต่ต้องจ่ายราคาด้วยชีวิตสำหรับการรับใช้ของเขาด้วยร่างกายที่ลุกเป็นไฟ

นับตั้งแต่สมัยข้าพเจ้าเป็นเยาวชน อบินาไดเป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชมมากที่สุดในงานมาตรฐานทั้งหมดของพระคัมภีร์ อบินาไดมาอยู่ในฉากโดยไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ได้อ้างตนว่ามีเชื้อสายของศาสดาพยากรณ์และไม่ได้เปิดเผยสายครอบครัวที่มีชื่อเสียงใดๆ เลย เหตุเพราะความเสื่อมทรามในกลุ่มชนที่ดื้อรั้นของซีนิฟ อบินาไดจึงได้รับเรียกให้ป่าวร้องการกลับใจแก่บุตรและผู้สืบทอดตำแหน่งที่น่าสมเพชของซีนิฟ กษัตริย์โนอาห์ ท่านทราบเรื่องนี้

โนอาห์ประกาศจับตายทันที และอบินาไดถูกบังคับให้หนี หลังจากซ่อนตัวอยู่สองปี อบินาไดก้าวออกมาสอนและเป็นพยานอีกครั้ง ข้าพเจ้าหยุดตรงนี้เพื่อยิ้มให้ความไร้เดียงสาเหมือนเด็กของศาสดาพยากรณ์ในเรื่องทั้งหมดนี้ ท่านแยกตัวออกไปเป็นเวลาทั้งหมด 24 เดือน บัดนี้ปลอมแปลงตนไม่ให้คนรู้จัก แต่เมื่อท่านกลับมาวลีแรกที่ออกจากปากของท่านคือ “พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้าดังนี้, ว่า—อบินาได, จงไปและพยากรณ์”22 ถึงจุดนี้ข้าพเจ้าสงสัยถึงประสิทธิผลของการปลอมแปลงตน แต่เราไม่สงสัยในศรัทธาและความเด็ดเดี่ยวของท่านแน่นอน

โดยพยากรณ์อย่างอาจหาญต่อความน่าชิงชังของกษัตริย์โนอาห์และสภาของเขา อบินาไดถูกจับกุมและนำมาอยู่ต่อหน้าศาลเดียวกันกับที่ท่านประณาม แม้สภานี้ไต่สวนท่านอย่างโหดร้าย แต่ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ “ตอบพวกเขาอย่างอาจหาญ, และแก้กระทู้ถามของพวกเขาได้ทุกข้อ … และทำให้พวกเขาจำนนสิ้นในทุกถ้อยคำ”23 จากนั้นเปลี่ยนจากการป้องกันเป็นการจู่โจม ท่านเริ่มต้นหลักคำสอนห้าบทครึ่งซึ่งจัดอันดับเป็นหนึ่งในหลักคำสอนที่ทรงพลังที่สุดที่ให้ไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนทั้งเล่ม เมื่อท่านเพิ่งจะเริ่ม โนอาห์ ด้วยความรู้สึกผิดและเกลียดชัง สั่งให้สังหารท่าน

ภาพ
อบินาไดเป็นพยานต่อศาลกษัตริย์โนอาห์

ทั้งหมดสร้างขึ้นเป็นฉากที่ตราตรึงอยู่ในจิตวิญญาณของข้าพเจ้าตลอดกาล ไม่ค่อยเหมือนกับที่อาร์โนลด์ ไฟรเบิร์กวาดไว้ในภาพวาดอันน่าอัศจรรย์ของเขา24 แต่ก็ใกล้เคียง อย่างไรก็ดีในฐานะนักโทษ แน่นอนว่าอบินาไดจะต้องถูกควบคุมตัวด้วยเครื่องพันธนาการบางอย่างที่ใช้กันจนถึงสมัยนี้ เราไม่ทราบอายุของท่าน ไฟรเบิร์กวาดภาพท่านเป็นชายชรา (หรือชรามาก) แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านอายุเท่าไหร่ มีร่างกายแข็งแรงหรือ เราไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านเพิ่งออกมาจากการซ่อนตัวเงียบๆ เป็นเวลาสองปีซึ่งไม่มีอาหารมากมายนัก ลองนึกถึงฝูงกาที่นำอาหารมาให้เอลียาห์25 ท่านเคยเห็นกรงเล็บของกาหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าสหายมีปีกตัวน้อยเหล่านั้นจะหิ้วอาหารจำนวนมากได้ขณะบิน เราไม่ทราบ แต่บางทีอบินาไดอาจจะหิว และเหนื่อย และอย่างน้อยร่างกายก็คงจะอ่อนแอ ดูจากสภาวการณ์ของท่าน

“เอาคนผู้นี้ไป, สังหารเสีย” กษัตริย์โนอาห์ตะโกน “เพราะเขามีประโยชน์อะไรกับเราเล่า …

“ … และคนพวกนี้ออกมาและพยายามจับท่าน; แต่ท่านขัดขืน, และกล่าวแก่พวกเขาว่า:

“อย่าแตะต้องข้าพเจ้า, เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงทัณฑ์ท่านหากท่านจับข้าพเจ้า, เพราะข้าพเจ้ายังมิได้แจ้งข่าวที่พระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาให้แจ้ง …

“ … เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน; และหน้าของท่านส่องสว่างด้วยความผ่องใสยิ่ง, แม้ดังที่โมเสสเคยเป็นเยี่ยงนี้ขณะอยู่บนภูเขาแห่งซีนาย, ขณะกำลังพูดกับพระเจ้า.

“และท่านพูดด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้า”26

“พลังอำนาจและสิทธิอำนาจ” วลีนี้อีกแล้ว เมื่อข้าพเจ้าเริ่มเขียนคำปราศรัยนี้และใช้เรื่องของอบินาได ข้าพเจ้าจำไม่ได้ หรือข้าพเจ้าอาจจะไม่รู้ ว่าเรื่องราวของท่านจบด้วยวลีเดียวกันนั้น ว่าท่านสอนด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจ เพื่อนๆ ทั้งหลาย เป็นเรื่องหนึ่งที่จะอ่านตัวหนังสือในหน้ากระดาษ แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเห็นภาพในความคิดและได้ยินในใจเช่นเดียวกับเสียงฟ้าร้องว่า “อย่าแตะต้องข้าพเจ้า, เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงทัณฑ์ท่านหากท่านจับข้าพเจ้า”27 ข้าพเจ้าแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เมื่ออ่านข้อความนั้น ข้อความนั้นยังคงดังก้องด้วยความยิ่งใหญ่ ความกล้าหาญ พละกำลังมากมายในใจข้าพเจ้า ไม่ได้ระบุไว้ว่าท่านตะโกนก้อง ไม่ได้ระบุไว้ว่าท่านเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ขณะผู้คุมพร้อมอาวุธควบคุมตัวท่าน แน่นอนว่าท่านคงเคลื่อนไหวไม่ได้มาก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ท่านพูดและวิธีที่ท่านพูดนั้นได้ผล ข้าพเจ้าบอกว่า “ดูเหมือนว่า” เพราะไม่ได้มีระบุไว้เลยว่ามีผู้คุมแม้แต่คนเดียวที่พยายามนำท่านออกไป หรือกษัตริย์โนอาห์กับปุโรหิตของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยในอีกสี่บทที่ตรึงใจหลังจากนั้น

เราไม่อาจครุ่นคิดถึงตัวอย่างอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดของการสอนแบบนั้นในพระคัมภีร์ แต่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนมองหาตัวอย่างเหล่านั้น ครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และทูลขอของประทานนั้นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับการเรียกของเรา

การสอนแบบนี้เป็นสิ่งที่เรียกร้องมากและยากจะเข้าใจ ถ้าข้าพเจ้ารู้วิธีสอนแบบนั้น แน่นอนว่าข้าพเจ้าจะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการสอน แต่ข้าพเจ้ารู้ดังนี้: หากท่านไม่รู้สึกชื่นชอบบางสิ่ง ท่านก็จะทำให้นักเรียนของท่านชื่นชอบสิ่งนั้นไม่ได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้าพเจ้าขอกล่าวซ้ำหากท่านไม่รู้สึกชื่นชอบบางสิ่ง ท่านก็จะทำให้นักเรียนของท่านชื่นชอบสิ่งนั้นไม่ได้ แน่นอนว่า แหล่งกำเนิดอันสูงสุดของความชื่นชอบนั้นคือสิ่งที่กล่าวถึงอบินาไดว่า “เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน; และหน้าของท่านส่องสว่างด้วยความผ่องใสยิ่ง”28

ถ้าพระวิญญาณคือกุญแจสู่การสอนที่ก่อเกิดความฉงน—ซึ่งใช่—มีความเสี่ยงสูงในการพูดจากโน้ตเก่าๆ หรือใช้ตัวอย่างหนึ่งของเพื่อนครูของท่านตลอดเวลา หรือการพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบไม่ชวนฟังในเรื่องที่ถอดความมาจากคำปราศรัยฉบับหนึ่งของการประชุมใหญ่สามัญ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องดีในกรณีที่ถูกกาลเทศะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดเป็นครั้งแรก ดังนั้นแน่นอนว่าท่านจะใช้ทุกสิ่งได้ เมื่อใดก็ได้ เพื่อนำชีวิตชีวาและความหลากหลายมาสู่การสอนของท่าน แต่สิ่งที่จะสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึก ที่ท่านมีเมื่อท่านกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ “โอ้หากข้าพเจ้าเป็นเทพ … เพื่อข้าพเจ้าจะ … พูด …ด้วยเสียงที่จะเขย่าแผ่นดินโลก!”29 จำไว้ว่านักเรียนไม่ใช่ภาชนะให้เติมเต็ม นักเรียนคือไฟที่ต้องจุดให้ติด และถ้าเราทำเช่นนั้นได้ดี วันหนึ่งเราอาจจะมีค่าควรพบกับคนเหล่านั้นผู้ถูกเผาที่เสาเพราะมีความสามารถเฉพาะเช่นนี้ในการครูดหินเหล็กไฟกับเหล็กกล้าเพื่อสร้างเปลวเพลิงขึ้นมา โปรดจงออกไป ท่านผู้เป็นเทพแห่งความรุ่งโรจน์ทั่วโลกนี้—นึกถึงนักเรียนที่เราสอน—โปรดออกไปทำให้นักเรียนของท่านฉงน ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของงานนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการเรียกของท่าน พี่น้องทั้งหลาย นี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ข้าพเจ้าไม่ทุ่มเทชีวิตให้เทพนิยาย ข้าพเจ้าและท่านไม่ได้ทุ่มเทชีวิตให้แก่สิ่งที่เปโตรพูดว่าเราจะถูกกล่าวหาว่าทำ นั่นคือการแสวงหาสิ่งเท็จ นิทาน สิ่งไม่จริงที่กุขึ้นมาอย่างแยบยล นี่คือความจริง ไม่ใช่นิทานที่แต่งขึ้นมาอย่างแยบยล ที่ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทชีวิตให้ ที่ท่านทุ่มเทชีวิตให้ ผู้คนที่ดีที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้จักได้ทุ่มเทและกำลังทุ่มเทชีวิตให้ นี่คือความจริงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ และขอให้ท่านได้รับพรตลอดไปในการสอนความจริงนี้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน