การถ่ายทอดประจำปี
ในแสงความรักของพระองค์


ในแสงความรักของพระองค์

การถ่ายทอดการอบรมของระบบการศึกษาของศาสนจักร • 12 มิถุนายน 2019 • อาคารสำนักงานของศาสนจักร หอประชุมชั้นหนึ่ง

พี่น้องทั้งหลาย ดิฉันยินดีมากที่ได้อยู่กับท่านในวันนี้

เป็นพรอย่างยิ่งที่เราได้รับฟังถ้อยคำของบราเดอร์แชด เว็บบ์ เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงรักเรามากเพียงใด หัวใจของบราเดอร์แชด เว็บบ์และของข้าพเจ้าด้วยได้รับการดลใจด้วยหัวข้อเรื่องความรักนี้ น่าสนใจที่เราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อกันมาในเรื่องเดียวกัน ดิฉันหวังว่าท่านจะใช้เวลาสักหนึ่งนาทีและจดบันทึกความประทับใจที่ท่านได้รับวันนี้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องความรัก

ดิฉันขอขอบคุณเอ็ลเดอร์คิม บี. คลาร์กและบราเดอร์แชด เว็บบ์อย่างยิ่งเช่นกันที่ทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณในการสวดอ้อนวอนอยู่เสมอเพื่อทูลขอให้เยาวชนเข้มแข็ง เมื่อเราได้รับการเน้นย้ำจากศาสดาพยากรณ์เรื่องการเรียนรู้พระกิตติคุณที่มีบ้านเป็นศูนย์กลาง เจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านนี้ถามว่า “เยาวชนจะเป็นเครื่องมือที่ดีขึ้นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้บ้านได้อย่างไร” ท่านทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น พวกท่านทำงานผ่านตารางสอนของโรงเรียนที่แตกต่างกันสิบเอ็ดแห่งทั่วโลกเพื่อวางหลักสูตรเซมินารีให้เป็นแนวเดียวกันกับพระคัมภีร์ที่ใช้ในแต่ละปีสำหรับหลักสูตรจงตามเรามา การเปลี่ยนแปลงที่มาจากการดลใจนี้เป็นปาฏิหาริย์โดยแท้

ดิฉันปลาบปลื้มเมื่อนึกถึงภาพเยาวชนและคนหนุ่มสาวกำลังนำความจริงของพระกิตติคุณจากชั้นเรียนเข้าไปในบ้าน พวกเขาจะมีความมั่นใจทั้งในความเข้าใจของตนเองและในความสามารถที่จะแบ่งปันพระกิตติคุณ การได้ยินถ้อยคำของตนเองประกาศความจริงของพระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นประสบการณ์ที่สร้างประจักษ์พยานอันทรงพลังต่อไป

ดิฉันขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณและช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของการเติบโตนี้

ดิฉันขอบคุณคู่สามีภรรยาและคนอื่นๆ เช่นกันที่สนับสนุนท่านคุณครูที่ยอดเยี่ยม—ท่านที่รับฟังแนวคิดของบทเรียน ท่านที่มีผู้แบ่งปันเรื่องส่วนตัวของท่าน (หวังว่าจะได้รับอนุญาตจากท่านแล้ว) และหลายท่านที่ครัวและโรงรถถูกบุกเข้าไปค้นหาสิ่งของสำหรับใช้ประกอบบทเรียน ดิฉันหวังว่าท่าน จะไม่ประเมินค่าอิทธิพลดีของท่านน้อยกว่าที่ควร

กล่าวกันว่า “สถานการณ์การสอนทุกเรื่องที่หนีไม่พ้น … และพบได้มากที่สุดคือเรื่องการแต่งงาน … เมื่อแต่งงานกันย่อมเป็นที่รู้กันว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงใจที่จะเรียนรู้จากกันและกัน”1 เดอเรค สามีดิฉัน เป็นความช่วยเหลือและอิทธิพลดีที่ดิฉันวางใจ แม้เขาจะไม่ค่อยได้ยืนเคียงข้างดิฉันในโอกาสของการสอน ขณะท่านแนะนำและเรียนรู้ด้วยกัน คนหนุ่มสาว เยาวชน และครอบครัวของพวกเขาจะได้รับพรจากอิทธิพลดีของท่าน ท่านเป็นส่วนสำคัญของงานยิ่งใหญ่นี้

วันนี้ ดิฉันขอเริ่มข่าวสารด้วยข้อความหนึ่งบรรทัดจากเพลงปฐมวัยที่คุ้นเคย ดิฉันจะเริ่ม แล้วพวกท่านร้องต่อให้จบ “สอนฉันเดิน ...”

“ ... ในแสงความรักของพระองค์

“สอนฉันเดินในแสงความรักของพระองค์”2 หลักธรรมสองข้อนี้ แสงและความรัก เป็นเพื่อนเดินทางในใจของดิฉันขณะไตร่ตรองถึงเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันวันนี้ การผสานคำสองคำนี้ปรากฏอยู่ในบรรทัดแรกของคำพูดจากประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าวันนี้พวกเราทุกคนจะรู้สึกถึงความรักและแสงสว่างจากพระผู้เป็นเจ้า”3 เป็นความปรารถนาที่จะเริ่มชั้นเรียนที่เรียบง่ายแต่มีพลัง ดิฉันหวังว่านักเรียนทุกคนจะรู้สึกถึงความรักและแสงสว่างจากพระผู้เป็นเจ้า สัญญานิรันดร์รอพวกเขาและครอบครัวอยู่ขณะพวกเขาเรียนรู้ที่จะรู้สึกถึงความรักและแสงสว่างจากพระองค์

ดิฉันถามดัลลิน ลูกชาย ว่า “อะไรโดดเด่นสำหรับลูกมากที่สุดจากเซมินารี” ดิฉันคาดว่าคำตอบน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอนหรือการอ่านพระคัมภีร์มอรมอนจบ ดิฉันประหลาดใจที่ได้ยินเขาตอบอย่างครุ่นคิดว่า

“คุณครูครับ”

“ครูหรือ” ดิฉันถาม

เขาอธิบายว่า “มีครูบางคนที่เราบอกได้เลยว่าเขารักเราจริง”

ประสบการณ์นี้ยืนยันต่อดิฉันถึงผลอันยั่งยืนที่ความรักมีต่อใจของแต่ละคน

ท่านมีปีติจากการสอนเยาวชนและคนหนุ่มสาวที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ของศาสนจักรและเป็นพยานถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อพวกเขา ดิฉันรักพวกเขาและดิฉันทราบว่าพวกท่านก็รักพวกเขาเช่นกัน พวกเขาเป็นดังที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวไว้อย่างแท้จริง “ดวงวิญญาณที่สูงส่ง … ทีมที่ดีที่สุด—[ที่สงวนไว้] สำหรับระยะสุดท้ายนี้” ของพระบิดาบนสวรรค์4

หลายปีก่อน ดิฉันเคยเป็นครูสอนเซมินารีในช่วงเวลาสั้นๆ ใจดิฉันนึกถึงพวกท่านอยู่เสมอและพอเข้าใจอยู่บ้างถึงความรับผิดชอบของท่าน ในปี 2008 ดิฉันได้รับเรียกเป็นครูเซมินารีเช้าตรู่ในยูทาห์ เมื่อประธานสเตคเรียกดิฉัน ดิฉันคิดว่า “ในยูทาห์ไม่มีใครสอนเต็มเวลาหรือ” ดีที่ไม่ได้พูดความคิดนั้นออกมา ดิฉันพบว่าตนเองอยู่กับกุญแจชุดหนึ่งพร้อมหน้าที่รับผิดชอบที่จะเปิดอาคารเซมินารีทุกเช้าตรู่เวลาตีห้าสี่สิบห้านาที ขอบอกว่า เวลาตีห้าสี่สิบห้าของช่วงฤดูหนาวที่ยูทาห์ หนาวมาก

ช่วงเวลาที่ดิฉันสอนเซมินารี ประสบการณ์นี้ยืนยันต่อดิฉันโดยตรงว่าพระเจ้าทรงรักนักเรียนแต่ละคนของพระองค์มากเพียงใด ดิฉันตระหนักว่าเยาวชนบางคนโชคดีมากที่มีบิดามารดาซื่อสัตย์และรักพวกเขา ดิฉันรู้ชัดเช่นกันถึงเยาวชนที่ไม่ได้รับความรักความสนใจที่จำเป็นต่อพวกเขาและทั้งที่พวกเขาปรารถนาจะได้รับอย่างยิ่งยวด เราพบการถวิลหาความรักแบบเดียวกันกับหนุ่มสาวโสดของเรา

ดิฉันรู้ดีว่าอุปนิสัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของครูคือความสามารถที่จะรัก—ความรักที่ยอห์นกล่าวไว้ว่า “ท่านที่‌รักทั้ง‌หลาย ขอให้เรารักกันและกัน เพราะ‌ว่าความรักมาจากพระ‌เจ้า และทุก‌คนที่รักก็เกิดจากพระ‌เจ้า และรู้‌จักพระ‌เจ้า ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้‌จักพระ‌เจ้า เพราะ‌ว่าพระ‌เจ้าทรงเป็นความรัก”5

ในฐานะครู เราควรแสวงหาวิธีเพิ่มพูนความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและถ่ายทอดความรักของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่เยาวชนและคนหนุ่มสาวที่เราได้รับเรียกให้สอน

ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีพลังมหาศาล ดิฉันจะพิจารณาความรักนี้เป็นสามด้านดังนี้ รักในชีวิต รักในบ้าน และรักในห้องเรียนของเรา

ข้อแรก พลังแห่งรักในชีวิตส่วนตัวของเรา เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราต้องเชื่อและวางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรา นักเรียนของเราจะไม่รู้สึกถึงความรักของพระเจ้าผ่านเราถ้าเราไม่รู้สึกถึงความรักของพระเจ้าในตนเองก่อน ดิฉันอัศจรรย์ใจกับพระคัมภีร์ข้อนี้ “‌พระ‌เจ้า ทรง รักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระ‌บุตรองค์เดียวของพระ‌องค์”6 เราไตร่ตรองและรู้สึกถึงความสำคัญของความรักนี้หรือไม่ บางครั้งดิฉันสงสัยว่าเราพยายามมากพอที่จะรู้สึกถึงความรักนั้นหรือไม่ เรารู้หรือไม่ว่าเราเป็นใครและเป็นของใคร7 ดิฉันเชื้อเชิญให้ท่านทูลขอพระองค์ในการสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจเพื่อช่วยให้รู้สึกถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน

ภาพ
พระคริสต์ในสวนเกทเสมนี

ลิขสิทธิ์ ไซมอน ดูวี 2019 อนุญาตโดย Altus Fine Art

เพราะโลกเสื่อมทราม ทำให้เขว และเรียกร้อง จึงง่ายที่จะไม่มีส่วนร่วมหรือเปลี่ยนไปตั้งระบบการบินอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัวให้ตนเอง สำคัญมากที่เราจะแบกแอกของพระองค์อย่างแข็งขัน8 และพยายามรู้สึกถึงความรักของพระองค์ ขณะเราพยายามเรื่องนี้ พระองค์จะทรงเทความรักมากมายของพระองค์ลงมา

สอง ความรักของพระผู้เป็นเจ้าต้องสถิตในบ้านเรา ดิฉันขอใช้เรื่องเล่าเพื่อแสดงให้เห็นหลักธรรมข้อนี้ เย็นวันหนึ่งดิฉันกับเดอเรคสามีเกิดความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องหนึ่ง เราเข้านอนทั้งที่ยังมีปัญหา แต่ดิฉันรู้ว่าดิฉันเป็นฝ่ายถูก

เช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันคุกเข่าสวดอ้อนวอน ทูลขอพระวิญญาณอย่างมากขณะเตรียมสอนชั้นเรียนเซมินารี ดิฉันทูลวิงวอนขอให้เยาวชนรู้สึกถึงความรักของพระเจ้าผ่านดิฉัน แม้จะพร้อมแล้วสำหรับวันนั้น แต่หลายครั้งที่ดิฉันยังคงนึกถึงปัญหาความขัดแย้งเมื่อคืน ขณะขึ้นรถพร้อมความลำพองในใจและรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก ดิฉันให้เหตุผลตนเองว่าคงจะยังสอนและรักได้ด้วยพระวิญญาณ ดิฉันยังคงทูลขอการนำทางจากสวรรค์ขณะขับรถไปยังอาคารเซมินารี ตลอดทาง ดิฉันพยายามตลอดเวลาที่จะกลบเสียงยืนกรานหนักแน่นของพระวิญญาณด้วยการหาเหตุผลที่ชัดเจนและมั่นใจมาแก้ต่างให้ตนเอง แต่ไม่ว่าการให้เหตุผลของดิฉันจะแข็งแกร่งดุจศิลาเพียงใดพระวิญญาณยังทรงกระซิบว่า “กลับไป พูดว่าขอโทษ ไม่สำคัญว่าใครถูก จงกลับใจและ ทำให้ ถูกต้อง”

“ได้!” ในที่สุดดิฉันก็ฝืนใจยอมกลับรถ ขณะเดินเข้าไปในห้องนอน นาฬิกาบอกเวลาตีห้ายี่สิบนาที คุณเดอเรคยังหลับอยู่ ใจของดิฉันเริ่มอ่อนลงขณะค่อยๆ ย่องเข้าไป “เดอเรค ฉันขอโทษเรื่องเมื่อคืน” นี่เป็นเรื่องปกติของเดอเรค เขาตอบอย่างอ่อนโยนว่า “ผมให้อภัยและลืมไปแล้ว” ใจดิฉันพองโตด้วยความรัก และรู้สึกถึงพระเมตตามากมายของพระเจ้า

วันนั้นมีความรักและพระวิญญาณท่วมท้นในชั้นเรียน ความรักในบ้านเรามีอิทธิพลดีไกลออกไปพ้นรั้วบ้าน

และสาม ครูเซมินารีและครูสถาบันมีโอกาสพิเศษที่จะแบ่งปันความรักของพระผู้เป็นเจ้า ชั้นเรียนของท่านคือโอกาสที่จะรัก คน ดิฉันไม่ได้สอนชั้นเรียนที่มีนักเรียน 34 คน ดิฉันสอนคน 34 คน ดิฉันคิดว่านี่คือความรักที่ดัลลินลูกชายดิฉันรู้สึก—ไม่ใช่ผ้าห่มแห่งรักที่ห่มทั้งชั้นเรียน แต่เป็นความรู้สึกที่แต่ละคนรู้ว่ามีคนรู้จักเขาและรักเขา เพราะนั่นคือวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงรัก เราจะรักนักเรียนจริง เราต้องเห็นพวกเขาดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็น พระองค์ทรงรักสิ่งใดในพวกเขาแต่ละคน พระองค์ทรงให้ของประทานใดแก่พวกเขา ทรงเห็นศักยภาพใดในพวกเขา โดยรักพวกเขาจริง เราจะช่วยนำพวกเขาไปหาพระผู้ช่วยให้รอด

ภาพ
ชั้นเรียนเซมินารี

เมื่อเราจดจำว่าพระคริสต์ทรงเป็นแหล่งที่มาของความรักทั้งมวล เราไปหาพระองค์เพื่อรู้สึกถึงความรักที่เพิ่มพูนในชีวิตส่วนตัว ความรักในบ้าน และความรักในชั้นเรียนของเราจริงๆ เราสร้างความรักไม่ได้—ความรักมาจากพระองค์เท่านั้นมาสู่เราและผ่านเรา หนังสือโมโรไนสอนเราว่า “จงสวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อท่านจะเปี่ยมด้วยความรักนี้, ซึ่งพระองค์ประทานให้ทุกคนซึ่งเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์”9 ดิฉันสวดอ้อนวอนให้เราทุกคนยอมรับคำเชื้อเชิญของโมโรไน

ประธานอายริงก์เชื้อเชิญให้เรารู้สึกถึงทั้ง “ความรักและแสงสว่างจากพระผู้เป็นเจ้า”10 เป็นเรื่องง่ายที่จะพิจารณาถึงความรักและแสงสว่างไปพร้อมๆ กันเมื่อเราจดจำว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นเพียงแหล่งที่มาของความรักทั้งมวลเท่านั้น พระองค์ ทรงเป็นแสงสว่างด้วย พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพยานด้วยพระองค์เอง “เราเป็นแสงสว่าง และเป็นชีวิตของโลก11 ขณะเข้าใกล้พระองค์ ทรงเปิดเผยแสงสว่าง ความจริงและความรักแก่เรามากขึ้น

ต่อไปนี้ ขอย้อนกลับไปยังพื้นที่แห่งความรักทั้งสามที่สนทนากันมาแล้วพอสังเขปเพื่อพิจารณาถึงผลที่เกิดขึ้นทั้งจากความรักและแสงสว่าง:

  • เมื่อท่านรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้า ในชีวิตของท่านเองแล้ว แสงสว่างแบบใดจะเกิดขึ้น โดยส่วนตัวท่านได้รับวิสัยทัศน์และความเข้าใจแบบใด

  • การเจริญเติบโตแบบใดมาสู่การแต่งงานและครอบครัวของท่านเมื่อท่านรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าและประสบกับแสงสว่างที่เพิ่มพูนขึ้น

  • ในชั้นเรียนของท่าน เมื่อนักเรียนรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าผ่านท่าน แสงสว่างแบบใดจะส่องเข้าไปในชีวิตพวกเขา พวกเขาจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • ความมืดแบบใดถูกขจัดออกไปขณะพวกเขารู้จักและแสวงหาแสงสว่างด้วยตนเอง

    ภาพ
    แสงสว่างของพระคริสต์

    ลิขสิทธิ์ ไซมอน ดูวี 2019 อนุญาตโดย Altus Fine Art

ไม่น่าแปลกใจที่ศาสดาพยากรณ์ของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เชิญให้เรา “เพิ่มพูนความสามารถทางวิญญาณ [ของเรา] ในการรับการเปิดเผยส่วนตัว”12 เมื่อเรารู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้า เราเปี่ยมด้วยแสงสว่างและความหวังของพระองค์ เมื่อเราแสวงหาแสงสว่างและการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า เรารู้สึกถึงความรักมากมายของพระองค์ เป็นการผสมผสานที่มีพลังยิ่ง

ประสบการณ์การสอนช่วงเช้าตรู่ของดิฉันมีชายผู้ซื่อสัตย์ชื่อจอห์น ลันด์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ยักษ์ใหญ่ทางวิญญาณ (ทางร่างกายด้วย) คนนี้สอนดิฉันบางอย่างเกี่ยวกับการมีความรักและแสงสว่างอยู่เคียงข้างเรา ดิฉันขอแบ่งปันตัวอย่างสองเรื่องกับท่านวันนี้

ภาพ
ซิสเตอร์คอร์ดอนกับจอห์น ลันด์

นักเรียนเซมินารีเช้าตรู่ของเราคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งท้าทายเล็กน้อย ปฏิกิริยาของดิฉันในเวลานั้นคงคือกลอกตา แต่จอห์น เลือกที่จะรักและแสวงหาแสงสว่าง ขณะเราประชุมหารือเกี่ยวกับนักเรียนคนนี้ จอห์นเริ่มโดยพูดว่า “เมื่อคืนผมสวดอ้อนวอนให้เขา” คำพูดเปิดการประชุมที่ดูไม่เป็นทางการนี้ทำให้ดิฉันฉุกคิด จอห์นนำชื่อของเยาวชนชายคนนี้เข้าบ้าน ซึ่งมีรักมากมายและทูลถามพระบิดาบนสวรรค์ถึงวิธีที่จะรู้และเข้าใจนักเรียนคนนี้ได้ดีขึ้น เพื่อที่จะรักนักเรียนของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรักอย่างที่พระเจ้าทรงรัก ต้องแสวงหาการเปิดเผยและลงมือทำตามนั้น

ดิฉันจะแบ่งปันเรื่องที่สองด้วยถ้อยคำของจอห์น:

“พระเจ้าทรงทราบเกี่ยวกับนักเรียนของพระองค์อย่างแท้จริง ผมนึกถึงเยาวชนชายคนหนึ่งที่มีปัญหา เขาก่อกวนผมมาหลายเดือน ที่จริง เขาเป็นตัวแสบเลยล่ะ

“ผมเตรียมบทเรียน และตื่นเต้นมากกับวิธีที่สิ่งต่างๆ จะผสมผสานกันออกมา ผมค้นพบแม้บทเรียนที่ใช้อุปกรณ์จริงซึ่งคาดว่าจะเป็นบทเรียนชั้นยอด พอผมมาถึงอาคารเซมินารีพระวิญญาณทรงสะกิดใจ โดยตรัสกับผมว่า ‘จอห์น เธอต้องสอนเรื่องการสวดอ้อนวอนนะ’ สวดอ้อนวอนหรือ จริงๆ แล้ว ผมอยากสอนบทเรียนที่ยอดเยี่ยม ของผม นะ ผมไม่ได้เตรียมบทเรียนเรื่องการสวดอ้อนวอนเลย

“ผมยืนอยู่หน้าชั้นและพูดว่า ‘ผมไม่รู้ว่ามันจำเป็นสำหรับใครในวันนี้ แต่ผมกำลังจะเปลี่ยนบทเรียน’ เราทุกคนต้องสนทนาเรื่องสวดอ้อนวอนเพื่อใครสักคนในห้องนี้’ บทเรียนเรียบง่ายนี้เริ่มโดยถามว่า ‘ทำไมเราต้องสวดอ้อนวอน’”

คืนนั้นมีคนมาเคาะประตูบ้านจอห์น และเรื่องราวทั้งหมดที่เหลือจะเล่าต่อโดยคนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านจอห์น ดูเหมือนว่าคืนก่อนหน้านั้น เพื่อนหญิงของนักเรียนที่กำลังประสบปัญหาได้เชื้อเชิญเขา—เธอขอให้เขาสวดอ้อนวอนเพื่อรู้ว่าศาสนจักรจริงหรือไม่ คำเชื้อเชิญของเธอ ผสานกับบทเรียนที่ไม่ได้คาดไว้เรื่องการสวดอ้อนวอนของบราเดอร์ลันด์ นำเด็กหนุ่มคนนี้ให้ลงมือกระทำ เมื่อเวลาผ่านไป จอห์นเห็นด้วยตาตนเองว่านักเรียนของเขาเปลี่ยนไปเมื่อมีประจักษ์พยานมั่นคงในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูและในที่สุดเขาได้ผนึกในพระวิหารกับเพื่อนหญิงที่ซื่อสัตย์และให้กำลังใจเขา

การเรียนรู้ว่าความประทับใจเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้ามั่นใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อนักเรียนของเรา เราสามารถลงมือทำตามการเปิดเผยอันทรงพลัง และมอบแสงสว่างให้บุตรธิดาที่รักของพระองค์ได้

เมื่อเราแสวงหาการเปิดเผยที่จะรักดังที่พระองค์ทรงรัก เราจะได้รับการนำทางให้เอื้อมออกไปสอนนักเรียนแต่ละคน ผลที่ตามมาเป็นเรื่องของแต่ละคนจริงๆ พระเจ้าทรงสาธิตการทำงานในลักษณะนี้กับนีไฟเมื่อท่านพยายามไปเอาแผ่นจารึก นีไฟเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าได้รับการนำโดยพระวิญญาณ, โดยหารู้ล่วงหน้าไม่ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าควรทำ. กระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็เข้าไป”13

ภาพ
นีไฟเตรียมสังหารเลบัน

เลบันคืออุปสรรคระหว่างนีไฟกับแผ่นจารึก พระเจ้าทรงแนะนำให้นีไฟสังหารเลบัน ท่านทำตามด้วยความปวดร้าวใจอย่างยิ่ง คืนนั้นโซรัมก็เข้ามาขวางระหว่างนีไฟกับแผ่นจารึกเช่นกัน แต่ทำไมนีไฟจึงไม่นำการเปิดเผยเหมือนที่ได้รับเกี่ยวกับเลบันมาใช้กับโซรัม ทำไมนีไฟไม่ชักดาบออกจากฝักอีกครั้ง

พระเจ้าทรงรู้จักโซรัม นีไฟรู้จักพระเจ้าและวางใจการนำทางของพระวิญญาณ พระเจ้าทรงทราบว่าโซรัมจะเป็น “เพื่อนแท้ของ … นีไฟ”14 เราไม่สำนึกคุณเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นหรือ ที่นีไฟแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัวและได้รับ “การนำโดยพระวิญญาณ”15

ภาพ
โซรัม

ในฐานะครู เราอาจรู้สึกกังวลกับความรับผิดชอบที่จะรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อนักเรียนแต่ละคนและรับการเปิดเผยถึงวิธีที่จะช่วยเป็นรายบุคคล เราจะได้รับการปลอบโยนเมื่อคิดว่าการเรียกและความรับผิดชอบของเราเป็นหุ้นส่วนกับพระคริสต์

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ขอให้เรา “ทำงานเคียงข้างกันกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของสวนองุ่น ร่วมมือร่วมใจช่วยพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราในงานที่มากล้นของการตอบคำสวดอ้อนวอน ให้การปลอบโยน เช็ดน้ำตา และเสริมกำลังเข่าที่อ่อนล้า หากเราจะทำเช่นนั้น เราจะเป็นเหมือนสานุศิษย์ [และครู] ที่แท้จริงของพระคริสต์มากขึ้นดังที่เราพึงเป็น”16

เยาวชนและคนหนุ่มสาวของเราจำเป็นต้องรู้สึก รู้ และวางใจความรักและแสงสว่างของพระเจ้า เมื่อท่านยอม ความรักของพระผู้ช่วยให้รอดจะเข้ามาสู่นักเรียนของท่านผ่านทางท่าน เมื่อนักเรียนของท่านรู้สึกถึงความรักของพระองค์ พวกเขาจะได้รับและรู้ชัดถึงการเปิดเผยส่วนตัว พวกเขาจะค้นพบความหมายของการ “เดินในแสงความรักของพระองค์”17 ดิฉันเป็นพยานว่าความรักและแสงสว่างนี้จะช่วยให้พวกเขาเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอด และเดินในเส้นทางพันธสัญญากลับไปหาทั้งสองพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานดังนี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน