การถ่ายทอดประจำปี
สอนความจริงในภาษาแห่งความรัก


สอนความจริงในภาษาแห่งความรัก

การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2021

วันอังคารที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2021

พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะฟังและเรียนรู้! ดิฉันไม่ทราบว่าพวกท่านกี่คนเข้าร่วมการประชุมนี้ แต่ดิฉันขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อท่านคนที่เป็นครูสถาบันและเซมินารีที่ ได้รับเรียก เกือบ 56,000 คน และครูที่ เป็นลูกจ้าง CES มากกว่า 2,200 คนที่สอนคนกลุ่มสำคัญยิ่งนี้—อนุชนรุ่นหลัง! ขอบคุณสำหรับการรับใช้ที่ท่านอุทิศถวายและความพยายามอันกล้าหาญ เยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีค่ายิ่งของเราหลายคนกำลังเลือกที่จะซื่อสัตย์และอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา คำแนะนำทางวิญญาณและประสบการณ์ที่ท่านให้สำคัญยิ่งต่อการสร้างประจักษ์พยานของพวกเขา ดิฉันขอยกย่องและสรรเสริญเป็นพิเศษแก่ท่านวีรชนผู้ปิดทองหลังพระ: คู่สมรสของครูเหล่านี้ หากปราศจากการสนับสนุนทางอารมณ์ ทางวิญญาณ และทางบ้านอย่างต่อเนื่อง ความพยายามนี้คงไม่สำเร็จ ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่งจากหัวใจทั้งดวง

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่นี้—ซึ่งเราทุกคนหวังว่าจะทำให้เราได้มองโลกในแง่ดีสักหน่อยหรืออาจแค่ได้ถอนหายใจโล่งอกจากปีที่แล้ว—เป็นเรื่องดีที่จะมองสิ่งที่เรากำลังทำในมุมมองใหม่ๆ แน่นอนว่าเราต่างก็ต้องการเป็นมืออาชีพในงานของเรา แต่สำคัญที่สุดคือเราปรารถนาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิตนักเรียน

ขณะที่ท่านทำงานกับอนุชนรุ่นหลัง ท่านต้องการช่วยให้นักเรียนเข้าใจต้นกำเนิดอันสูงส่งของพวกเขา จุดประสงค์ของพวกเขาในความเป็นมรรตัย และคนที่พวกเขาเป็นได้ ความปรารถนาอันลึกซึ้งที่สุดของท่านคือช่วยให้พวกเขาบรรลุศักยภาพอันสูงส่ง จุดประสงค์ของเซมินารีและสถาบันที่กล่าวไว้อย่างเป็นทางการรวมถึงการช่วยนักเรียนให้เรียนรู้และพึ่งพาคำสอนและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ตลอดจนเตรียมพวกเขาสำหรับศาสนพิธีฐานะปุโรหิตของพระวิหารและชีวิตนิรันดร์ ขณะที่ท่านทำงานเพื่อทำให้จุดประสงค์เหล่านั้นเกิดสัมฤทธิผล ท่านกำลังติดอาวุธให้พวกเขาต้านทาน “ลูกศรเพลิงของปฏิปักษ์”1 รวมทั้งเสริมสร้างพวกเขาให้เป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ผู้รอคอยการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านกำลังช่วยพวกเขาเตรียมรับบทบาทในอนาคตในครอบครัว ศาสนจักร และชุมชนในฐานะผู้นำที่ชอบธรรมและแบบอย่างของความดี

ขณะที่ดิฉันคิดว่าหัวข้อใดอาจเป็นประโยชน์ในวันนี้ ดิฉันนึกถึงพรอันล้นเหลือของการมีหลักสูตรเซมินารีที่สอดคล้องกับ จงตามเรามา และความเข้มแข็งที่จะมีให้เยาวชนและครอบครัวของพวกเขา ดิฉันนึกถึงคนหนุ่มสาวที่กำลังอาศัยอยู่ไกลบ้านและการศึกษาพระกิตติคุณโดยมี “บ้านเป็นศูนย์กลาง” ที่สถาบันจะประยุกต์ใช้กับพวกเขาได้อย่างไร และดิฉันนึกถึงวิธีต่างๆ ที่จะทำให้สถาบันสำคัญต่อเยาวชนคนหนุ่มสาว หลังจากพิจารณา ดิฉันสรุปว่าโดยผ่านการแสวงหาการเปิดเผยของท่านเองและการปรึกษาหารือกับครูและผู้บริหารท่านอื่น ท่านสามารถพบคำตอบว่าจะบรรลุ “วิธีการ” เหล่านั้นได้อย่างไร

แต่ดิฉันอยากมุ่งเน้นไปที่หลักธรรมสองประการ หลักธรรมที่ดิฉันอยากสนทนาอยู่ในประเภทของ “สิ่งที่ฉันหวังว่า ฉัน รู้เมื่อฉันเป็นครูเซมินารี” การรับใช้เป็นครูเซมินารีช่วงเช้าตรู่เป็นเวลาหกปีคือโอกาสและพรอันล้ำเลิศ วอร์ดที่ดิฉันสอนมีกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่เรียนโรงเรียนมัธยมปลาย 10 แห่ง พวกเขาอยู่กระจัดกระจายกันในพื้นที่แต่เป็นหนึ่งเดียวกันในสัมพันธภาพ ดิฉันอยากพูดได้ว่าดิฉันเป็นครูที่วิเศษ แต่ดิฉัน สามารถ พูดได้ว่าดิฉันเรียนรู้บางอย่างในหลายปีนั้นและดิฉันอยากแบ่งปันหลักธรรมสองข้อที่เรียนรู้กับพวกท่าน

หลักธรรมแรกที่ดิฉันเรียนรู้คือการ ให้ “เนื้อ” ทางวิญญาณแก่นักเรียน เยาวชนและคนหนุ่มสาวในวันเวลาสุดท้ายนี้ต้องการ “เนื้อ” ทางวิญญาณของพระกิตติคุณเพื่อตอบคำถามยากๆ ที่เกิดขึ้นและช่วยต้านทานแรงกดดันที่อาจดึงพวกเขาออกไปจากเส้นทางพันธสัญญา พวกเขารับมือได้ พวกเขาต้องการมัน! เราต้องใช้เวลาเพื่อสวดอ้อนวอนและเตรียม—ไม่เพียงเนื้อหาบทเรียนเท่านั้น แต่ใช้เวลาเพื่อรู้จักกับนักเรียนด้วย เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการแล้วรู้ว่าจะใช้อะไรจากสิ่งที่เราเตรียมไว้แล้ว เราสามารถตอบการเรียกที่ว่า: “เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน”2 ดิฉันขอยกตัวอย่าง

เมื่อดิฉันเข้าเรียนเซมินารีสมัยเป็นวัยรุ่นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐ สมาชิกวอร์ดกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อันกว้างใหญ่ ในโรงเรียนมัธยมปลายที่ใหญ่มากมีนักเรียนอีกแค่สองคนไม่รวมพี่น้องของดิฉันที่เป็นสมาชิกศาสนจักร อิทธิพลด้านลบในสังคมมีอยู่มาก เป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์วุ่นวายและแตกแยก รวมถึงสถานการณ์ไม่สงบในเมืองซึ่งรุนแรงขึ้นจากการขัดแย้งกับผู้มีอำนาจ การจลาจลเรื่องเชื้อชาติเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ สงครามอีกด้านของโลกและการประท้วงต่อต้านสงครามที่บ้าน วิถีชีวิตแบบ “ความรักเสรี” และการนิยมใช้กัญชาและยาเสพติดเปลี่ยนอารมณ์ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เชิดชูความเป็นปัจเจกนิยมและการละทิ้งบรรทัดฐานทางศีลธรรมอย่างไม่ละอาย การลอบสังหารทางการเมืองและความคิดเห็นที่แตกต่างอย่างแพร่หลายว่ารัฐบาลควรทำหน้าที่อย่างไรแบ่งแยกผู้คนออกเป็นค่ายความคิดต่างๆ ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทศวรรษอันแปรปรวนจบลงด้วยดีในที่สุดเมื่อมนุษย์คนแรกไปเหยียบดวงจันทร์3 ฟังดูคล้ายกับสภาพสังคมที่เยาวชนคนหนุ่มสาวของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันไหมคะ?

สำหรับดิฉัน มัธยมปลายเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นพบและทำการเลือกในโลกที่กว้างกว่าบ้านและครอบครัว ดิฉันเจอปรัชญาทางโลกมากมายและเริ่มสงสัยความจริงของทุกสิ่งที่บิดามารดาผู้ซื่อสัตย์และครูศาสนจักรสอนมาในวัยเด็ก ครูเซมินารีคนแรกของดิฉันคือซิสเตอร์โธแมนเดอร์ สตรีผมสีดอกเลาผู้จริงจังซึ่งมีประสบการณ์มากมายในศาสนจักรและประจักษ์พยานอันลึกซึ้งในพระกิตติคุณ เธอท้าทายให้เราอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทั้งเล่มในปีนั้นและมาด้วยความพร้อมในแต่ละวันที่จะสนทนาสิ่งที่เราอ่าน

การสอนหลักคำสอนที่มาจากการดลใจและด้วยความเอาใจใส่ของซิสเตอร์โธแมนเดอร์ส่งผลต่อประจักษ์พยานดิฉันมาก ดิฉันรู้อย่างไม่สงสัยว่าเธอรู้ว่าศาสนจักรแท้จริงเนื่องจากเธอเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีเพื่อมาอธิบายแบบชัดเจนเกี่ยวกับข้อที่เราอ่าน และเธอเป็นพยานถึงความจริงเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเธอใช้เวลาเตรียมเพื่อแบ่งปันสิ่งที่เธอรู้สึกว่าจะส่งผลมากที่สุด ดิฉันจำไม่ได้เกี่ยวกับเกม งานเลี้ยงฉลอง หรือขนมต่างๆ แต่ดิฉัน จำ ได้ว่าได้รับการท้าทายทางวิญญาณ การหนุนใจทางวิญญาณ และการป้อนอาหารทางวิญญาณทุกวัน ทุกบทเรียนไม่ได้ตื่นตาตื่นใจ แต่ทุกวันประกาศยืนยันและให้ความมั่นใจขณะที่เธอตอบด้วยความอดทนและให้กำลังใจต่อคำถามที่จริงใจซึ่งนักเรียนถาม คำเชื้อเชิญอย่างตรงไปตรงมาและความคาดหวังสูงของเธอสร้างความแตกต่างในชีวิตดิฉันอย่างประเมินค่าไม่ได้ ซิสเตอร์โธแมนเดอร์เป็นคนหนึ่งที่ดิฉันต้องการพบและขอบคุณเมื่อดิฉันไปอีกด้านหนึ่งของม่าน!

ดิฉันเปรียบเทียบปีนั้นกับปีที่ดิฉันอยู่ในชั้นเรียนที่โตขึ้น ครูเซมินารีสนุกและเป็นมิตร แต่ดิฉันรู้สึกถึงการเชื่อมโยงจริงๆ เพียงเล็กน้อยอย่างน่าฉงน หลายสัปดาห์ผ่านไปที่เขาสอนเนื้อหาด้วยวิธีสบายๆ มากๆ เห็นได้ชัดว่านักเรียนไม่ได้สนใจอะไรเขามาก เด็กผู้หญิงรุ่นพี่ตะไบเล็บขณะนั่งอยู่แถวหลัง เด็กผู้ชายแกล้งกัน และพวกเราที่เหลือก็ส่งกระดาษข้อความกันไปมาเพื่อความสนุก แม้ว่าเราแน่ใจว่าเขามีประจักษ์พยานในพระกิตติคุณเพราะเขาเป็นอดีตผู้สอนศาสนา เราเรียนรู้ที่จะไม่ถามคำถามด้านหลักคำสอนเพราะคำตอบของเขามักเป็นไปตามหน้าที่หรือคลุมเครือและเราไม่แน่ใจว่าเขาตอบได้หรือจะตอบคำถามเหล่านั้นหรือไม่ เซมินารีบรรลุวัตถุประสงค์ทางสังคมที่สำคัญข้อหนึ่งแต่ไม่ใช่เรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ

ท่านคุ้นเคยกับคำถามของเปาโลใน 1 โครินธ์ที่ว่า: “ถ้าแตรให้เสียงไม่ชัดเจน ใครจะเตรียมตัวเข้าทำศึกสงคราม?”4 ในฐานะครูสอนพระกิตติคุณแก่อนุชนรุ่นหลัง เราต้อง “เป่าแตรให้ชัดเจน” ในสมัยพันธสัญญาเดิม แตรเป็น โชฟาร์ เขาแกะซึ่งมีเสียงเรียบง่ายและแน่ชัด แตรนี้ใช้เรียกผู้คนของพระเจ้าให้มารวมกันนมัสการ ใช้เตือนผู้คนถึงอันตรายที่มาถึง และใช้ส่งสัญญาณคำสั่งในช่วงสงคราม ในการสู้รบสมัยโบราณ เสียงอึกทึกครึกโครมของสงครามก่อให้เกิดความอลหม่าน หากผู้นำไม่สามารถสื่อสารอย่างชัดเจนกับกำลังทหาร กองทัพจะเผชิญกับความพ่ายแพ้แน่นอน ดังนั้น “แตรที่ชัดเจน” จึงถูกประดิษฐ์ขึ้น ทหารทุกคนได้รับการฝึกให้จดจำเสียงนั้น ถึงแม้ในช่วงเวลาแห่งความสับสน แต่ละคนจะรู้ว่าจะรุกคืบหรือถอยร่น โจมตีปีกซ้ายหรือปีกขวา5

ซิสเตอร์โธแมนเดอร์เป็นแตรนั้นสำหรับดิฉัน เราต้องเป็นแตรนั้นที่ส่งเสียงยืนยันความจริงนิรันดร์ในการเผชิญหน้าค่านิยมของโลกที่ผันเปลี่ยนรวดเร็ว เราต้องบอกนักเรียนของเราถึงความจริงและช่วยให้พวกเขาเข้าใจ เหตุผล พอๆ กับ สิ่งที่ต้องทำ เราทำเช่นนั้นได้ “ในความนุ่มนวลและในความอ่อนโยน”6 แต่เราต้องทำ ดังที่ครูเซมินารีคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่เป่าแตรใส่หูคนอื่น และเราก็ไม่ส่งข่าวสารของเราด้วยความไม่ระมัดระวังด้วย แต่เสียงเรียกควรเป็นเสียงที่อ่อนหวาน แน่นอน และชัดเจน”7 จากการสอนชั้นเรียนเซมินารีด้วยตัวเอง ดิฉันเรียนรู้ว่า ใช่ เยาวชนชอบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกและต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนๆ แต่ก็โหยหาคำตอบ แท้จริง ต่อคำถามพระกิตติคุณและแนวคิดที่ปฏิบัติได้เกี่ยวกับวิธีประยุกต์ใช้หลักธรรมพระกิตติคุณในชีวิตตัวเอง

หลักธรรมที่สองที่ดิฉันพบว่าสำคัญคือการ เชื่อมสัมพันธ์ด้วยความเอาใจใส่ที่จริงใจ เราจะเชื่อมสัมพันธ์กับนักเรียนในวิธีที่เหมาะสมและมีความหมายอย่างไร? ภาษาสร้างความแตกต่างได้อย่างแน่นอน อย่างเช่น หากดิฉันพยายามพูดภาษาเคคชิกับนักเรียนที่เข้าใจตากาล็อกเท่านั้น ดิฉันคงไม่ประสบความสำเร็จในการส่งข่าวสาร ต้องขอบคุณที่มีภาษานานาชาติสองภาษาที่เยาวชนคนหนุ่มสาวทั้งหมดเข้าใจ: ภาษาพระวิญญาณและภาษาความรัก

ภาษาแรกมาจากพระวิญญาณ เป็นที่รับรู้โดยทุกคนที่แสวงหาความจริง ดังที่เอ็ลเดอร์โจเซฟ บี. เวิร์ธลินสอนว่า: “ไม่มีอุปสรรคทางภาษาในศาสนจักร มีพลังอำนาจที่อยู่เหนือพลังข่าวสารที่สื่อโดยคำพูดเท่านั้น และนี่คือพลังข่าวสารที่สื่อโดยพระวิญญาณไปสู่ใจเรา … ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือสำเนียง นี่คือผู้ส่งสารสากลแก่ใจทุกดวงที่สอดคล้อง”8

พระวิญญาณทรงสื่อสารจากใจสู่ใจ ดังที่เปาโลเตือนวิสุทธิชนในกรุงโรมว่า “พระ‍วิญ‌ญาณ​นั้น​เป็น​พยาน​ร่วม​กับ​จิต‍วิญ‌ญาณ​ของ​เรา​ว่า เรา​เป็น​ลูก​ของ​พระ‍เจ้า”9 ขณะที่เราแสวงหา ฟัง และทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้รับการดลใจในวิธีที่จะพูดกับนักเรียนผ่านทางพระวิญญาณในลักษณะที่พวกเขาจะเข้าใจ การเตรียมที่ดีโดยใช้เนื้อหาบทเรียนที่ออกแบบโดยผู้เขียนหลักสูตรที่ได้รับการดลใจ ช่วยให้เรายึดมั่นกับหลักคำสอนพื้นฐานซึ่งเรารู้ว่ามีพลังมากที่สุดในการเปลี่ยนใจและชีวิต ที่สำคัญคือการแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัวว่าจะแบ่งปัน อะไร และแบ่งปันสิ่งที่ท่านเตรียมไว้ อย่างไร ภาษาพระวิญญาณจะสื่อสารไปได้ไกลกว่าที่ท่านพูด

อีกภาษาที่จะช่วยท่านเชื่อมความสัมพันธ์กับนักเรียนคือภาษาความรัก เนื่องจากความรักก็มีต้นกำเนิดอันสูงส่ง ความรักจึงพูดจากใจสู่ใจเช่นกัน อัครสาวกยอห์นผู้เห็นพระผู้ช่วยให้รอดแบ่งปันความจริงที่เรียบง่ายนี้: “เรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”10 สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็เป็นจริงเช่นนั้น ท่านเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “คนไม่สนใจว่าคุณรู้แค่ไหนจนกว่าเขาจะรู้ว่าคุณใส่ใจแค่ไหน“11 ในฐานะครู ผลระยะยาวของเราจะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากความรักเหมือนพระคริสต์ที่เรามีต่อนักเรียน

ท่านคงจะคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่อง “ภาษารัก”12 นี่เป็นวิธีแสดงความรักที่คนอื่นจะเข้าใจและยอมรับโดยขึ้นอยู่กับบุคลิกและอิทธิพลจากประสบการณ์ในอดีตของพวกเขา คนต่างกันอาจตอบสนองโดยไม่ลังเลต่อภาษารักประเภทหนึ่งมากกว่าประเภทอื่น แต่นักเรียนทุกคนจะรับรู้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของท่านอย่างน้อยหนึ่งในสามวิธีที่ดิฉันจะแบ่งปันวันนี้

ภาษารักประเภทหนึ่งคือ คำพูดยืนยัน เป็นวลีที่ให้กำลังใจและหนุนใจ เช่น “คุณทำได้” หรือ “คุณกำลังพัฒนาขึ้นจริงๆ” “ฉันภูมิใจที่คุณขยัน” คำพูดเหล่านี้สื่อสารกับนักเรียนว่าเขามีค่าและมีความสามารถ การยืนยันที่อ่อนโยนของพระผู้ช่วยให้รอดกับจอร์จ มิลเลอร์ ซึ่งบันทึกไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญา เป็นแบบอย่างอันอัศจรรย์เกี่ยวกับภาษารักประเภทนี้ ขณะทรงบรรยายว่าเขาเป็นชายที่ “ปราศจากมารยา” พระเยซูคริสต์ตรัสถึงเขาต่อไปว่า “เขาเป็นที่ไว้วางใจได้เนื่องจากความสุจริตใจของเขา; และเนื่องจากความรักซึ่งเขามีต่อประจักษ์พยานแห่งเรา เรา, พระเจ้า, รักเขา.”13 เราส่วนใหญ่ไม่ได้จำชื่อผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสยุคแรกคนนี้ แต่ดิฉันแค่จินตนาการว่าคำพูดยืนยันเหล่านั้นต้องเสริมสร้างประจักษ์พยานของจอร์จถึงพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูรวมทั้งความรักของเขาที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดเป็นแน่

คำที่มีพลังมากที่สุดบางคำคือ “ขอบคุณ” และคำแสดงความซาบซึ้งอื่นๆ ในฐานะผู้สังเกตการณ์และครูที่เปี่ยมด้วยความรักของเยาวชนคนหนุ่มสาว ท่านสามารถสังเกตสิ่งเรียบง่ายที่นักเรียนทำเพื่อท่านหรือคนอื่นในชั้นเรียน หรือคอยฟังสิ่งดีๆ ที่ท่านได้ยินว่าพวกเขาทำที่โรงเรียนหรือในชุมชน แล้วแสดงความขอบคุณออกไป การส่งกระดาษข้อความสั้นๆ ถึงบิดามารดาของนักเรียนเกี่ยวกับบางสิ่งที่ดีที่ท่านสังเกตเห็นเกี่ยวกับลูกวัยรุ่นของพวกเขาจะเพิ่มความรู้สึกถึงความสำเร็จและความมีคุณค่าในตนเองของนักเรียนคนนั้นด้วย คำพูดยืนยันทุกประเภทเหล่านี้ก่อร่างและเสริมสร้างสัมพันธภาพ เพิ่มความรู้สึกห่วงใยอย่างจริงใจระหว่างครูกับนักเรียนซึ่งจะกลับเสริมอิทธิพลของพระวิญญาณในชีวิตพวกเขา

ภาษารักอีกอย่างหนึ่งคือ การกระทำแห่งการรับใช้ การมีความพร้อมกับเนื้อหาที่หนุนใจและให้ความสว่างทางวิญญาณแต่ละวันเป็นการกระทำแห่งการรับใช้และความรักที่ยิ่งใหญ่! ของประทานแห่งเวลาและความพยายามของท่านอาจไม่ได้เป็นที่ตระหนักของเยาวชนในทุกๆ วันเสมอไป ความรู้สึกไวต่อเรื่องทางวิญญาณของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นและพวกเขาจะ “เรียก [ท่าน] เป็นพร”14 ดังที่ดิฉันเรียกซิสเตอร์โธแมนเดอร์ของดิฉัน

ดิฉันขอแบ่งปันว่าครูสองท่านแสดงแบบอย่างความรักผ่านการกระทำแห่งการรับใช้อย่างไร ครูเซมินารีท่านหนึ่งในซิมบับเวได้รับเรียกเพียงก่อนหน้าการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก นักเรียนตื่นเต้นที่จะไปเจอกันก่อนไปโรงเรียนทุกวันและเพิ่งจะคุ้นเคยกับตารางเวลานั้นเมื่อพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไปรวมตัวกันอีก ครูท่านนั้นเผชิญกับเหตุการณ์หนีเสือปะจระเข้ นั่นคือ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตที่บ้านจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชั้นเรียนออนไลน์ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนของเธอได้รับอาหารทางวิญญาณทุกวัน เธอเริ่มสร้างสรรค์บทเรียนด้วยพระคัมภีร์ คำถามชวนคิด มีม และวีดิทัศน์ที่เธอจะส่งไปทุกวันผ่าน WhatsApp ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่นักเรียนมีใช้กันอยู่แล้ว นักเรียนของเธอได้รับการ “บำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า”15 แม้ในเวลานี้ที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม16 พวกเขาตระหนักและซาบซึ้งต่อการกระทำแห่งการรับใช้เหล่านี้ว่าเป็นการแสดงความรักของเธอ พวกเขาตอบสนองด้วยความประทับใจทางวิญญาณของตนเองและกระตือรือร้นรอการนำทางและการหนุนใจทางวิญญาณรายวันซึ่งมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์

ครูคนหนึ่งในนอร์เวย์มีความท้าทายที่ตรงกันข้าม ชั้นเรียนของเธอเป็นแบบออนไลน์ เท่านั้น เนื่องจากนักเรียนกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ไม่ว่าเธอกำลังเดินทางไปอยู่แห่งหนใดในโลกหรือที่นั่นจะเป็นเวลากี่โมง เธอพร้อมสอนชั้นเรียนช่วงเช้าตรู่ด้วยความรักและความสนใจอย่างจริงใจ แม้ระยะทางที่ห่างไกลทางภูมิศาสตร์ระหว่างเธอกับพวกเขา—และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆ—แต่เธอรู้บางสิ่งเกี่ยวกับบุคลิกภาพและความสนใจของแต่ละคน ไม่ว่าเธอจะเห็นหน้าพวกเขาที่กล้องหรือไม่ เธอต้อนรับพวกเขาและขอให้พวกเขามีส่วนร่วม เธอให้ที่อันอบอุ่นปลอดภัยซึ่งนักเรียนสามารถถามคำถามโดยไม่ต้องกลัวว่าจะรู้สึกไม่เก่งพอ เธอให้อาหารทางวิญญาณซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการ สมบูรณ์ด้วยโอกาสบ่อยครั้งที่จะได้ยินประจักษ์พยานของเธอเกี่ยวกับหลักธรรมพระกิตติคุณ และเธอเชื้อเชิญให้พวกเขาแบ่งปันการเรียนรู้ทางวิญญาณของพวกเขา17 ครูเหล่านี้พูดภาษาแห่งความรักเช่นเดียวกับท่านผ่านการกระทำแห่งการรับใช้อันอุทิศตน

ภาษารักสุดท้ายที่ดิฉันจะพูดถึงคือการให้ เวลาคุณภาพ การทำให้เวลาชั้นเรียนมีค่าเท่าที่ท่านจะทำได้—โดยมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ทางวิญญาณ—เป็นของประทานที่จะเกิดผลไม่หยุด แทนที่จะใช้เวลาไปกับเกมที่เป็นเรื่องทางสังคมเท่านั้นหรือใช้เวลาเตรียมส่วนใหญ่ไปกับการทำใบงานอันซับซ้อนซึ่งอาจถูกทิ้งไว้ที่พื้นเมื่อนักเรียนจากไป ความสนใจที่ท่านมุ่งเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้วิธีตระหนักถึงพระวิญญาณและวิธีประยุกต์ใช้พระกิตติคุณในชีวิตพวกเขาจะให้ผลตอบแทนสูงสุด ขณะที่ท่านตอบคำถามด้วยคำตอบที่มีความหมาย เปี่ยมไปด้วยความคิด ความพยายามของท่านจะสื่อถึงความรักในวิธีที่ชัดเจน การเห็นค่าการมีส่วนร่วมของนักเรียน—การฟังความคิดเห็นและคำถามของพวกเขาด้วยความเคารพและตอบด้วยความคิดเห็นที่สมเหตุสมผล—ช่วยให้นักเรียนรู้ว่าท่านใส่ใจเกี่ยวกับข้อกังวลและความต้องการของพวกเขาแทนที่จะมุ่งสนใจแต่การนำเสนอเนื้อหาที่ท่าน ต้อง สอนให้จบในวันนั้น การเต็มใจออกนอกเรื่องเพื่อตอบคำถามที่ปกติจะไม่ได้ยินหรือทวนคำตอบในแบบที่ต่างไปจนกระทั่งแนวคิดนั้นเป็นที่เข้าใจในที่สุด สื่อถึงความปรารถนาอย่างจริงใจของท่านต่อความก้าวหน้าทางวิญญาณและส่วนตัวของพวกเขา—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สื่อความรักเหมือนพระคริสต์ของท่าน

อีกเรื่องหนึ่ง ในฐานะครูเซมินารี พรที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งสำหรับดิฉันคือการสามารถศึกษาและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระกิตติคุณจากสื่อการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยมซึ่งระบบการศึกษาของศาสนจักรจัดเตรียมไว้ให้ อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของการศึกษานั้นคือเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมเต็มที่เพื่อจะให้นักเรียนในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่เพื่อสามารถอธิบายความเกี่ยวกับการค้นพบส่วนตัวของดิฉันอย่างใจจดใจจ่อ ท่านได้รับพรและจะได้รับพรต่อไปจากโอกาสของท่านในการเรียนรู้และสอนพระกิตติคุณในเซมินารีและสถาบัน แต่นักเรียนของท่านจะได้รับพรยิ่งกว่ามากจากการที่ท่านมุ่งสนใจการเรียนรู้ของพวกเขาแทนที่จะเป็นของตนเอง

จากครูเซมินารีช่วงเช้าตรู่คนหนึ่งถึงท่านทุกคน ดิฉันเข้าใจความยากลำบากในการจัดสรรเวลาเพื่อความต้องการของครอบครัว หน้าที่รับผิดชอบในงานอาชีพ หรือชุมชน ดิฉันเข้าใจความท้าทายของการหาเวลาให้พอเพื่อเตรียม—หาเวลาให้พอเพื่อนอน—กับความรับผิดชอบอื่นๆ ของท่าน! ดิฉันเป็นพยานว่าพระเจ้าจะทรงช่วยท่านเมื่อท่านขอ หา และเคาะ ขณะท่านสวดอ้อนวอน ศึกษาและทำตามการกระตุ้นเตือนที่ท่านได้รับ ท่านจะสามารถให้เนื้อแห่งพระกิตติคุณแก่นักเรียนที่มีค่ายิ่งของท่าน—การบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณที่พวกเขาต้องการเพื่อเป็นผู้นำ บิดา และมารดาที่พวกเขาต้องการเป็นและต้องเป็นในยุคสุดท้ายนี้ ท่านจะสามารถสื่อสารความจริงผ่านภาษาแห่งพระวิญญาณและภาษาแห่งความรัก ท่านจะสามารถเชื่อมสัมพันธ์ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ โดยแสดงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงมีเพื่อพวกเขาผ่านคำพูดยืนยัน การกระทำแห่งการรับใช้ของท่าน และเวลาคุณภาพที่ท่านใช้ในการฟังและตอบคำถามที่พวกเขาใคร่รู้

ขอให้ท่านสอนความจริงและให้ความรักต่อไปในแบบที่จะสร้างประจักษ์พยานถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในอนุชนรุ่นหลัง ขอให้ท่านมุ่งมั่นเตรียมพวกเขาให้บรรลุศักยภาพทางวิญญาณขณะที่พวกเขารวบรวมอิสราเอลในวันเวลาสุดท้ายนี้ นั่นคือคำสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจและคำเชื้อเชิญของดิฉัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน