หนุ่มสาวรายสัปดาห์
มีความสามารถในการปรับอารมณ์
กุมภาพันธ์ 2024


คนหนุ่มสาว

มีความสามารถในการ ปรับอารมณ์

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในเซบียา สเปน ◼

ฉันไม่เคยมีอาการวิตกกังวลมาก่อนจนกระทั่งกลับมาบ้านจากงานเผยแผ่ ฉันจึงไม่แน่ใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ภาพ
smiling young woman

ถ่ายภาพประกอบโดยใช้ผู้แสดงแบบ

ชีวิตเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ฉันกำลังจะจบการรับใช้งานเผยแผ่ ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ประจักษ์พยานของฉันเข้มแข็งขึ้น และวิสัยทัศน์ของฉันเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดขยายกว้างขึ้น ฉันไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์มากเท่านี้มาก่อนเลย ชีวิตดูเหมือนมีความสุขดี

แน่นอนว่าฉันกับครอบครัวกำลังประสบกับการทดลองร่วมกัน แต่โดยรวม ฉันรู้สึกตื่นเต้นและมีแผนมากมายสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่แล้วฉันก็ต้องกลับบ้าน และการเปลี่ยนแปลงนั้นค่อนข้างรุนแรงมาก ฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันอีกครั้ง ฉันกังวลเกี่ยวกับการเลือกที่ดีและการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันกดดันตนเองอย่างมากให้อยู่ในระดับสูงทางวิญญาณอย่างที่ฉันมีตลอดงานเผยแผ่เพราะกลัวว่าหากไม่ทำเช่นนั้นฉันจะถดถอยทางวิญญาณ

เมื่อฉันกดดันตัวเองมากขึ้น ฉันก็เริ่มมีอาการวิตกกังวลและตื่นตระหนก อาการเหล่านั้นเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ

น่าเสียดายที่ฉันซ่อนความรู้สึกของฉันไม่ให้ครอบครัวและเพื่อนๆ รู้ ฉันรู้ว่าความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่ฉันรู้สึกไร้การควบคุมและหลงทางจนไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่ประสบอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างไร

โชคดีที่พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเพื่อนำทางเราเมื่อเราหันไปหาพระองค์ หลังจากไตร่ตรองและสวดอ้อนวอน ฉันรู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นเตือนให้เปิดใจกับพี่ชายและภรรยาของเขา พวกเขาช่วยให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ “บ้า” อย่างที่คิดและปัญหาเรื่องอารมณ์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

ซิสเตอร์เรย์นา ไอ. อะบูร์โต ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญเป็นพยานถึงความจริงนี้ว่า “เพื่อนที่รักทั้งหลาย สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้—โดยเฉพาะเมื่อผู้เชื่อในแผนแห่งความสุขอย่างเราวางภาระที่ไม่จำเป็นไว้กับตนเองโดยคิดว่าเราต้องดีพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ความคิดเช่นนั้นจะทำให้เรารู้สึกหนักใจ การบรรลุถึงความดีพร้อมเป็นกระบวนการที่จะเกิดขึ้นตลอดชีวิตมรรตัยและหลังจากนั้น—และโดยผ่านพระคุณของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”1

หลักสูตรที่ได้รับการดลใจ

ขณะสวดอ้อนวอนขอการนำทางจากพระบิดาบนสวรรค์ ฉันตระหนักว่าจำเป็นต้องใช้แหล่งข้อมูลที่พระองค์ประทานแก่เราให้เป็นประโยชน์ ฉันจำเป็นต้องเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ต้องขอบคุณที่ตอนนั้นฉันมีโอกาสเข้าร่วมหลักสูตรความสามารถในการปรับอารมณ์ของศาสนจักร โอกาสดูเหมือนจะมาในเวลาที่เหมาะสม และฉันไม่เชื่อว่านั่นเป็นเรื่องบังเอิญ

ในคู่มือหลักสูตรความสามารถในการปรับอารมณ์มีอธิบายไว้ดังนี้

  • “ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับความท้าทายทางอารมณ์ด้วยความกล้าหาญและศรัทธาที่มีศูนย์กลางในพระเยซูคริสต์

  • “ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้ดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้

  • “ขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น”2

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสามารถในการปรับอารมณ์คือสิ่งที่เรา ทุกคน ต้องการ

สำหรับฉัน หลักสูตรที่ได้รับการดลใจนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบถึงการทดลองที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงต้องการช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางกลับไปหาพระองค์ การได้เห็นแง่มุมที่สวยงามมากมายของหลักสูตรนี้ช่วยให้ฉันตระหนักว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักเราแต่ละคนและทรงรู้จักความต้องการของเราลึกซึ้งเพียงใด และฉันรู้สึกถึงสันติทันทีเมื่อเริ่มศึกษาหลักสูตรนี้ หลักสูตรนี้สอนความจริงนิรันดร์ที่ชัดเจนและทรงพลังที่สามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราเมื่อต้องรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเองหรือคนที่เรารัก

คำสอนข้อหนึ่งที่ทำให้ฉันชอบอยู่ในบทที่ 9 เรื่อง “การให้ความเข้มแข็งแก่ผู้อื่น” บทนี้คือบทที่ช่วยให้ฉันติดต่อขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในที่สุด บทนี้สอนหลักธรรมของการรับใช้ซึ่งกันและกัน ฉันเรียนรู้ว่าการรับใช้ผู้อื่นมีความสำคัญเพียงใดโดยการช่วยให้ผู้อื่นรู้สึกว่าความรู้สึกและความคิดของตนมีมูล และยื่นมือช่วยเหลือด้วยความเอาใจใส่และความเข้าใจ ฉันยังตระหนักอีกว่าฉันต้องเชื่อใจให้ผู้อื่นช่วยฉันก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไป

เมื่อฉันสามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติและเปิดใจบอกครอบครัวและเพื่อนๆ ให้รู้ปัญหาสุขภาพจิตของฉันได้แล้ว ฉันรู้สึกประหลาดใจที่พวกเขาเห็นอกเห็นใจและไม่ตัดสินฉัน ฉันได้รับการสนับสนุนมากมายจากพวกเขา

ฉันรู้สึกว่าความวิตกกังวลของฉันคงยิ่งแย่ลงถ้าฉันไม่ได้บอกเล่าเรื่องความท้าทายให้กับคนที่ฉันรักรู้ ประสบการณ์นี้ช่วยให้ฉันเอื้อมออกไปช่วยเหลือและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเกี่ยวกับความกังวลและปัญหาของพวกเขาด้วย

เราสามารถเผชิญกับอนาคตได้ด้วยความหวัง

ฉันรู้สึกตลกที่เมื่อกลับจากงานเผยแผ่มาแล้วรู้สึกกังวลมากกับการสูญเสีย “ความก้าวหน้าทางวิญญาณ” ที่ฉันได้รับระหว่างงานเผยแผ่ เพราะตอนนี้ฉันตระหนักว่าการกลับบ้านเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบทใหม่ซึ่งฉันสามารถค้นพบวิธีใหม่ๆ ในการทำให้ศรัทธาของฉันลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความสัมพันธ์ส่วนตัวของฉันกับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์เติบโตและลึกซึ้งยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ฉันกลับบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะหลักธรรมที่ฉันเรียนรู้ในหลักสูตรความสามารถในการปรับอารมณ์นี้และผ่านการพึ่งพาพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อขอความช่วยเหลือ ฉันรู้สึกว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงและทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของฉันมากขึ้น

ฉันเรียนรู้และยอมรับว่าในฐานะลูกของพระผู้เป็นเจ้า เราเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าตลอดชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลง แต่พระบิดาบนสวรรค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่ได้ทรงคาดหวังให้ฉันดีพร้อมในงานเผยแผ่ และตอนนี้พระองค์ไม่ได้ทรงคาดหวังสิ่งนั้น พระองค์ทรงรักฉันและต้องการให้ฉันมุ่งมั่นที่จะใกล้ชิดพระองค์มากขึ้นและเดินทางกลับไปหาพระองค์อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้สึกกังวลหรือตื่นตระหนกหรือไม่มีช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกกลัวอนาคตอีกต่อไปเพียงเพราะฉันเรียนหลักสูตรความสามารถในการปรับอารมณ์นี้ ฉันยังรู้สึกอยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้ ฉันตระหนักถึงรูปแบบเหล่านี้แล้วและได้เรียนรู้เครื่องมือที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ในทางที่ดีขึ้น รวมถึงปรับปรุงคุณภาพชีวิตในแต่ละวันของฉันให้ดีขึ้น

ในท้ายที่สุด หลักสูตรนี้ก็สอนให้ฉันรู้จักกลไกการเผชิญปัญหาในช่วงเวลาที่ฉันประสบกับความวิตกกังวลและความท้าทาย หลักสูตรนี้สอนให้ฉันอดทนและเห็นอกเห็นใจตัวเองและความไม่สมบูรณ์แบบของฉัน ฉันเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมองฉันอย่างไรและไม่หวาดหวั่นด้วยสิ่งที่ไม่รู้ในอนาคต

ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญและจากสวรรค์ทำให้ฉันตระหนักว่าเรามีเครื่องมือที่จำเป็นในการรู้วิธี “กระทำ…และมิถูกกระทำ” (2 นีไฟ 2:26) จากอารมณ์และความรู้สึกของเรา ขณะที่เรามุ่งสู่พระคริสต์ต่อไป

อ้างอิง

  1. เรย์นา ไอ. อะบูร์โต, “ยามทุกข์หรือสุข โปรดทรงสถิตกับข้า!,” เลียโฮนา, พ.ย. 2019, 58.

  2. Finding Strength in the Lord: Emotional Resilience (2021), 8, ChurchofJesusChrist.org.