คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 6:ค้นพบพระคัมภีร์ด้วยตัวเราเอง


บทที่ 6

ค้นพบพระคัมภีร์ด้วยตัวเราเอง

เราแต่ละคนสามารถชื่นชมพรของการใฟ่ใจศึกษาพระคัมภีร์ได้

จากชีวิตฃองสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

เมื่อสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์อายุ 14 ปี ท่านได้ยินชูซา ยัง เกทส์ บุตรสาวของบริคัม ยังพูดที่การประชุมใหญ่สเตคเรื่องการอ่านพระคัมภีร์ ท่าน จำได้ว่า “เธอให้คำพูดปลุกจิตสำนึกเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์และการรู้จักพระ คัมภีร์ แล้วเธอก็หยุดพูดเพื่อถามผู้เข้าร่วมประชุมทั้งชายหญิงและเด็กประมาณ หนึ่งพันคนว่า ‘มีกี่คนที่อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลจบแล้ว’

“… ความรู้สึกผิดเพราะถูกตำหนิครอบงำข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าอ่านหนัง สือหลายเล่ม เรื่องตลก และหนังสืออ่านเล่น แต่ในใจนึกตำหนิตนเองว่า ‘นาย สเป็นเซอร์ คิมนัลล์ นายไม่เคยอ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นเลย ทำไม’ ข้าพเจ้ามองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า และทั้งสองด้านของห้องประชุมเพื่อดูว่าข้าพเจ้าเป็น คนเดียวที่ไม่อ่านหนังสือศักดิ์ล่ิทธี้เล่มนั้นหรือไม่ จากหนึ่งพันคนอาจจะมีสักครึ่ง โหลที่ยกมืออย่างภาคภูมิใจ ข้าพเจ้านั่งหงอยเหงาเศร้าซึม ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึง คนอื่นที่ไม่ได้อ่าน หากแต่นึกตำหนิตนเอง ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าคนอื่นทำและคิด อะไรอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินคำเทศนาอีกเลย คำเทศนานั้นได้ผล เมื่อการประ ชุมสิ้นสุด ข้าพเจ้ามองหาประตูทางออกที่ใหญ่เป็นสองเท่าและรีบกลับบ้านซึ่ง อยู่ห่างจากโบสถ์ไปทางตะวันออกหนึ่งช่วงตึก และข้าพเจ้าคัดฟันพูดกับตนเอง ว่า ‘ฉันจะอ่าน ฉันจะอ่าน ฉันจะอ่าน’

“พอเข้าประตูหลังบ้าน ข้าพเจ้าก็ไปที่ชั้นเก็บตะเกียงนํ้ามันก๊าดในครัวเลือกตะเกียงที่มีนํ้ามันอยู่เต็มและมีไส้ตะเกียงที่เพิ่งตัดใหม่แล้วปีนบันไดขึ้นไป บนห้องใต้หลังคา ที่นั่นข้าพเจ้าเปิดพระคัมภีร์ไบเบิลและเริ่มอ่านปฐมกาลบท ที่หนึ่งข้อหนึ่ง ข้าพเจ้าอ่านจนดึกเกี่ยวคับแอคัมและอีฟ เคนกับเอบัล อีนิค โนอา ไปจนถึงนํ้าท่วม แบ้ถึงเอบราแฮม”1

อีกประมาณหนึ่งปีให้หลัง สเป็นเซอร์ก็อ่านไบเบิลจบ “ข้าพเข้าพึงพอใจเป็น อย่างยิ่งที่รู้ว่าข้าพเจ้าได้อ่านไบเบิจตั้งแต่ต้นจนจบ นับเป็นความปรืดืยิ่งของวิญ ญาณ นับเป็นความปีติยินดียิ่งที่ข้าพเจ้าได้ภาพรวมทั้งหมดจากเนื้อหาในนั้น”2 ประสบการณ์ดังกล่าวสร้างความประทับใจไม่เสื่อมคลาย แดะต่อมาในชีวิตท่าน พูดถึงประสบการณ์นั้นม่อยครั้งในการประชุมใหญ่สามญและการประชุมใหญ่ เขต

ประธานคิมบัลล์ยังคงชื่นชมพรของการศึกษาพระค้มภีร์ตลอดวันเวลาของ ท่านและกระตุ้นผู้อื่นให้ทำเช่นเดียวกัน เอ็ลเดอร้ริชเร์ด จี. สก็อตต์ ผู้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองในเวลาต่อมาจำได้ว่า “เอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมมัลล์ดูแลเขตของเราสมัยข้าพเจ้าเป็นประธานคณะเผยแผ่ ข้าพเจ้าสังเกตว่า ท่านเข้าใจและใช้พระคัมภีร์มอรมอนได้เป็นอย่างดีในข่าวสารที่จรรโลงใจของ ท่านถึงสมาชิกและผู้สอนศาสนา… ที่การประชุมโซนผู้สอนศาสนาครั้งหนึ่ง ท่านพูดว่า ‘ริชาร์ด วันนี้คุณใช้พระคัมภีร์มอรมอนข้อหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะใช้ แบบนั้นมาก่อน’ นั่นคือการเตรียมอย่างรอบคอบสำหรับบทเรียนอันสำคัญยิ่งที่ ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ ท่านกล่าวต่อจากนั้นว่า ‘และลองคิดดู ผมอ่าน หนังสือเล่มนั้นมามากกว่าเจ็ดสิบหกรอบ’ ท่านไม่ต้องบอกเลยว่าข้าพเจ้ารู้พระ คัมภีร์น้อยมาก และว่าข้าพเจ้าด้องใช้เวลาชั่วชีวิตในการไตร่ตรองและประยุกต์ ใช้ ความเห็นดังกล่าวผลักดันข้าพเจ้าให้ตั้งเป้าหมายชั่วชีวิตว่าจะเพิ่มความเข้า ใจในพระคำอันคักตั้สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า”3

คำสอนฃองสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

พระคัมภีร์เป็นสมบัติลํ้าค่าที่เราแต่ละคนต้องค้นพบด้วยตัวเราเอง

บางครั้งดูเหมือนว่าเราเห็นคุณค่าของพระคัมภีร์น้อยนักเพราะเราไม่ตระหนัก ว่าช่างลํ้าค่าเพียงใดที่ได้ครอบครองพระคัมภีร์ และเราได้รับพรอย่างยิ่งเพราะเรา มีพระคัมภีร์ ดูเหมือนเราจะสุขสบายเกินไปกับประสบการณ์ของเราในโลกนี้และ เคยชินคับการไค้ยินพระกิตติคุณที่สอนในบรรดาพวกเราจนเราไม่อาจนึกภาพให้ เป็นอื่นไปไค้

แต่เราต้องเข้าใจว่าไม่นานเลยตั้งแต่โลกโผล่ออกมาจากคํ่าคืนอันยาวนานของ ความมืดทางวิญญาณที่เราเรียกว่าการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ เราต้องรู้สึกบ้าง ถึงความมืดสนิทของความมืดทางวิญญาณที่มือยู่ทั่วไปก่อนวันนั้นในฤดูใบไม้ผลิ ของปี 1820 เมื่อพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธ—ความมืด ซึ่งศาสดานีไฟเห็นล่วงหน้าและเรียกว่า “สภาพแห่งความตาบอดอันน่าพรั่น พรึง” ซึ่งพระกิตติคุณถูกกันไว้จากมนุษย์ (ดู 1 นีไฟ 13:32)

… ข้อเท็จจริงที่ว่าข้าพเจ้าไม่ได้เกิดในช่วงเวลาของความมืดทางวิญญาณซึ่ง สวรรค์เงียบงันและพระวิญญาณถอนตัวทำให้จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปียมด้วยความ กดัญญ แท้จริงแล้วการไม่มีพระคำของพระเจ้านำทางเราคือการเป็นเหมือนผู้ ระหกระเหินอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างและไม่พบหลักเขตคุ้นตา หรือในความมืด ทึบของถํ้าใหญ่ที่ไม่มืแสงไฟล่องทางออกให้เรา …

… อิสยาห์กล่าวถึงที่สุดของความมืดและการออกมาของพระคัมภีร์มอน [ดู อิสยาห์ 29:11–12]…

และงานอัศจรรย์จึงเริ่มขึ้นดังนั้น “แม้งานอัศจรรย์และการแปลกประหลาด” ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงเริ่มดำเนินการ (ดู อิสยาห์ 29:14)

ตั้งแต่เริ่มด้นการฟื้นฟูพระกิตติคุณผ่านศาสดาโจเซฟ สมิธ เราพิมพ์และแจก จ่ายพระคัมภีร์มอรมอน [หลายล้านเล่ม]… เราพิมพ์ไบเบิลนับไม่ถ้วน ใน ปริมาณที่มากกว่างานพิมพ์อื่นทั้งหมด เรามีดำสอนและพันธสัญญาและไข่มุก อันลํ้เาค่าด้วย นอกจากจะมีงานลํ้าค่าเหล่านี้ของพระคัมภีร์แล้ว เรายังมีการศึกษา และความสามารถที่จะใช้พระคัมภีร์เหล่านั้นด้วยซึ่งไม่เคยมีช่วงเวลาใดในประ วัติศาสตร์โลกรู้จัก ถ้าเราจะทำ

ศาสดาสมัยโบราณรู้ว่าหลังจากความมืดจะมีความสว่าง เรามีชีวิตอยู่ในความ สว่างนั้น—แต่เราเช้าใจถ่องแท้หรือไม่ โดยที่มีดำสอนแห่งความรอดอยู่ในวิสัย ที่เราจะคว้าไว้ไค้ ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าบางคนยังคงถูกครอบงำด้วย “ใจที่เซื่องซึม. … ตาที่มองไม่เห็น หูที่ฟ้งไม่ไค้ยิน” (โรม 11:8)

… ข้าพเจ้าขอให้เราทุกคนประเมินการปฏิบัติของเราอย่างซื่อสัตย์ในการ ศึกษาพระคัมภีร์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ตอนล่องลอยอยู่ใน ความคิดเรา และด้วยเหตุนี้เราจึงเช้าใจผิดคิดว่าเรารู้พระกิตติคุณมาก ในแงนี้ การมีความรู้เล็กน้อยจะเป็นปัญหาไค้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ชั่วระยะเวลาหนึ่งใน ชีวิตเรา เราแต่ละคนต้องค้นพบพระคัมภีร์ด้วยตัวเราเอง—และไม่เพียงค้นพบ ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ค้นพบครั้งแล้วครั้งเล่า4

คำมั่นสัญญาที่จะรับใช้พระเจ้าจะลึกซึ้งขึ้น เมื่อเราหันไปหาพระคัมภีร์

เรื่องราวของกษัตริย์โยสิยาห์ในพันธสัญญาเดิมใช้ “เปรียบ… กับ [ต้วเรา]” (1 นีไฟ 19:24) ได้ดีที่สุด สำหรับข้าพเจ้าแล้วนึ่คือเรื่องเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งใน พระคัมภีร์ทั้งหมด

โยสิยาห์อายุเพียงแปดขวบเมื่อท่านเริ่มปกครองยูดาห์ และแม้บรรพบุรุษสาย ตรงของท่านจะชั่วร้ายมาก แต่พระคัมภีร์บอกเราว่า “พระองค์ได้ทรงกระทําสีง ที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษ ของพระองค์ และพระองค์บิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ” (2 พงศ์กษัตริย์ 22:2) เรื่องนี้ยังความแปลกใจมากขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ว่าสมัยนั้น (เพียง สองชั่วอายุก่อนการทําลายล้างเยรูซาเล็มเมื่อ 587 ก่อนคริสต์ศักราช) กฎที่เป็น ลายลักษณ์อักษรของโมเสสสูญหายและไม่มีใครรู้จักอย่างแท้จริง แม้แต่ปุโรหิต ของพระวิหาร!

แต่ในปีที่สิบแปดแห่งการปกครองของเขา โยสิยาห์สั่งให้ซ่อมแซมพระวิหาร ตอนนั้นฮิลคียาห์มหาปุโรหิตพบหนังสือธรรมบัญญัติซึ่งโมเสสวางไว้ไนหีบพันธสัญญา และมอบให้กษัตริย์โยสิยาห์

เมื่ออ่านหนังสือกฎให้โยสิยาห์ฟัง เขา “ฉีกฉลองพระองค์” และร้องไห้ต่อ พระพักตร์พระเจ้า

“พระพิโรธของพระเจ้าซึ่งพลุ่งขึ้นต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่หลวงนัก” เขากล่าว “เพราะว่าบรรพบุรุษของเรามิได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ กระทำทุกสิ่งซึ่ง เขียนไว้เกี่ยวกับเราทั้งหลาย” (2 พงศ์กษัตริย์ 22:13)

จากนั้นกษัตริย์ก็อ่านหนังสือต่อหน้าคนทั้งปวง และเวลานั้นพวกเขาทั้งหมด ได้ทำพันธสัญญาว่าจะเชื่อฟังพระบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้า “[สุดจิตสุดใจ ของเขาทั้งหลาย]” (2 พงศ์กษัตริย์ 23:3) แล้วโยสิยฺาห์ก็เริ่มกวาดล้างอาณา จักรยูดาห์โดยกำจัดเครื่องบูชาและรูปเคารพทั้งหมดรวมทั้งอาเชราห์ ปูชนียสถาน สูง และสิ่งน่าชิงชังทั้งหลายที่สั่งสมมาระหว่างการปกครองของบรรพบุรุษซึ่งทำ ให้แผ่นดินและผู้คนนัวหมอง…

“ก่อนพระองค์หามีพระราชาองค์ใดเหมือนพระองค์ไม่ ผู้ซึ่งหันหาพระเจ้า ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัย และด้วยสิ้นสุดพระคำลังตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของ โมเสส หรือผู้ที่เกิดมาทีหลังพระองค์ก็ไม่มีใครเหมือนพระองค์” [2 พงศ์กษัตริย์ 23:25]

ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเราทุกคนต้องหันไปหาพระคัมภีร์เช่นเดียวกับ กษัตริย์โยสิยาห์และให้พระคัมภีร์ทำงานมากๆ ในตัวเรา โดยผลักดันเราให้มี ปณิธานแน่วแน่ว่าจะรับใช้พระเจ้า

โยสิยาห์มีกฎของโมเสสเท่านั้น ในพระคัมภีร์ของเรา เรามีพระกิตติคุณของ พระเยซูคริสต์ครบล้วนบริบูรณ์ และฤ้าเพียงแค่ชิมก็หวานแล้ว การได้กินทั้งหมด ย่อมเกิดปีติ

พระเจ้าไม่ทรงล้อเล่นกับเราเมื่อพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้เรา เพราะ “ผู้ ใดได้รับมากจะต้องเรียกเอาจากผ้นั้นมาก” (ลูกา 12:48) การมีสิ่งเหล่านี้หมาย ถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้ เราต้องศึกษาพระคัมภีร์ตามพระบัญชาของ พระเจ้า (ดู 3 นีไฟ 23:1–5) และเราต้องให้พระคัมภีร์ปกครองชีวิตเราและ ชีวิตลูกๆ ของเรา5

เราเรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิตผ่านการศึกษาพระคัมภีร์

บทเรียนทุกบทในมาตรฐานจริยธรรมและในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องทาง วิญญาณมีอยู่ในงานมาตรฐาน เราจะพบรางวัลแห่งความชอบธรรมและบทลง โทษของบาปในนั้นด้วย6

เราเรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิตได้อย่างง่ายดายและแน่นอนถ้าเราเห็นผลของ ความชั่วร้ายและความชอบธรรมในชีวิตผู้อื่น… การได้รู้จักโยบอย่างดีและอย่าง ละเอียดคือการเรียนรู้ที่จะธำรงศรัทธาไว้มั่นในยามทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส การได้รู้จักความเข้มแข็งของโยเซฟในความหรูหราของอียิปต์สมัยโบราณเมื่อ เขาถูกสตรีนางหนึ่งผู้ลุ่มหลงในกามารมณ์ล่อลวงและการได้เห็นชายหน่มที่ สะอาดคนนี้ต่อต้านพลังอำนาจทุกอย่างของความมืดในบุคคลทรงเสน่ห์ผู้นี้ควร เสริมความแข็งแกร่งให้ผู้อ่านที่มีวิจารณญาณต้านบาปเช่นนั้นได้ การได้เห็นความ ทรหดอดทนของเปาโลเมื่อท่านสละชีวิตเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจคือการให้ความ กล้าแก่ผู้ที่รู้สึกว่าตนได้รับบาดเจ็บและถูกทดลอง ท่านถูกเฆี่ยนหลายครั้ง ถูกจำ คุกบ่อยครั้งเพื่ออุดมการณ์ ถูกหินขว้างเจียนตาย เรือล่มสามครั้ง ถูกปล้น เกือบ จมนํ้าตาย เป็นเหยื่อของพี่ห้องจอมปลอมที่ไม่ภักดี แม้จะอดอยาก หายใจไม่ ออก เย็นจนแข็ง สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ แต่เปาโลก็ยังมั่นคงในการรับใช้ ท่าน ไม่เคยหวั่นไหวสักครั้งหลังจากประจักษ์พยานมาถึงท่านตามหลังประสบการณ์ เหนือธรรมชาติของท่าน การได้เห็นเปโตรเติบโตโดยมีพระกิตติคุณเป็นเสมือนตัว เร่งที่ผลักด้นท่านจากชาวประมงตํ่าต้อย—ไร้วัฒนธรรม ไร้การศึกษา และโง่เขลา เบาปัญญา ตามที่พวกเขาจัดประเภทให้ท่าน—ให้กลายเป็นผู้สร้างองค์กรที่ยื่ง ใหญ่ เป็นศาสดา ผู้นำ นักเทววิทยา ครู…

ลูกๆ ของเราอาจจะเรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิตผ่านความมานะบากบั่นและความ เข็มแข็งส่วนตัวของนืไฟ ความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของชาวนืไฟสามคน ศรัทธา ของเอบราแฮม พลังอำนาจของโมเสส ความหลอกลวงและการทรยศหักหลัง ของอานาเนีย ความกล้าหาญแม้จนถึงความตายของชาวแอมันที่ไม่มีใครต้าน อยู่ ศรัทธาที่ปราศจากความสงสัยของมารดาชาวเลมันซึ่งถ่ายทอดมาถึงบุตรชาย ทรงพลังจนช่วยให้ทหารหนุ่มของฮีลามันรอด ไม่มีลักคนเสียชีวิตในสงครามครั้ง นั้น

พระคัมภีร์พรรณนาให้เห็นจรีงเห็นจังถึงความอ่อนแอและความเข้มแข็งทั้ง หมดของมนุษย์ บันทึกรางวัลและการดงโทษเอาไว้ คนเราจะตาบอดแน่นอนถึา ไม่เรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องจากการอ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคดว่าในทั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระ คัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา” (ยอห์น 5:39) พระเจ้าและพระอาจารย์องค์เดียว กันนี้คือผู้ที่เราพบคุณสมบัดิทุกประการของความดีในพระชนม์ชีพของพระองค์: ความเป็นพระผู้เป็นเจ้า ความเข้มแข็ง การควบคุม ความดีพร้อม นักคืกษาจะ ศึกษาเรื่องสำคัญนี้โดยไม่จับประเด็นบางอย่างมาไว้ในชีวิตเขาได้อย่างไร7

ที่นี่ [ในงานมาตรฐาน] คือชีวประวัติของศาสดา ของผู้นำ และของพระเจ้า พระองค์เอง โดยยกตัวอย่างและให้การชี้นําเพื่อมนุษย์จะถูกทำให้ดีพร้อม มี ความสุข เปี่ยมปีติ มีเป้าหมายและความคาดหวังในความเป็นนิรันดร์โดยหาตาม ตัวอย่างเหล่านั้น8

ความรู้ทางวิญญาณมาถึงทุกคนที่ศึกษา และค้นคว้าพระคัมภีร์

ยังมีสิทธิชนอีกมากที่ไม่อ่านและไตร่ตรองพระคัมภีร์เป็นประจำ และมีความ รู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวคับคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าต่อลูกหลานมนุษย์ หลาย คนรับบัพติศมาและได้รับประจักษ์พยานแล้ว และ “เข้าไปในทางตรงและแคบ นี้แล้ว” แต่ล้มเหลวไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าตามที่เรียกร้องให้ “บุ่งหน้า ชื่นชม อยู่ด้วยคำของพระคริสต์ และอดทนจนถึงที่สุด” (2 นีไฟ 31:19, 20 เน้นตัว เอน)

เฉพาะผู้ซื่อสัตย์เท่านั้นจึงจะได้รับรางวัลที่สัญญาไว้ ซึ่งคือชีวิตนิรันดร์ เพราะ คนเราจะรับชีวิตนิรันดรใม่ได้หากไม่เป็น “คนที่ประพฤติตามพระวจนะ” (ดู ยากอบ 1:22) และเป็นอัศวินในการเชื่อพีงพระบัญญ้ติของพระเจ้า คนเราจะ เป็น “คนที่ประพฤติตามพระวจนะ” ไม่ได้หากไม่เป็น “ผู้ฟัง” ก่อน และการ เป็น “ผู้ฟัง” ไม่ใช่แค่ยืนอยู่เฉยๆ และรอรับข้อนุลเล็กๆ น้อยๆ แต่คือการ แสวงหา ศึกษา สวดก้อนวอน และทำความเข้าใจ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัส ว่า “ใครที่หารับเสียงของเราไม่ย่อมไม่คุ้นเคยคับเสียงของเรา และมิใช่ของเรา” (ค.พ. 84:52)9

วันเวลาสอนข้าพเจ้าว่าถ้าเราจะดำเนินตามเป้าหมายส่วนตัวคันมีค่านี้ [ศึกษา พระคัมภีร์] อย่างกระตือรีอร้นด้วยความตั้งใจและมีสติ เราจะพบคำตอบของ ปัญหาและสันติสุขในใจเรา เราจะรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังขยายความ เข้าใจของเรา พบข้อคิดใหม่ๆ พบเห็นแบบฉบับที่พระคัมภีร์ทั้งหมดค่อยๆ เผย ออกมา และคำสอนของพระเจ้าจะมีความหมายต่อเรามากกว่าที่เราเคยคิดว่าจะ เป็นไปได้ ผลก็คือเราจะมีปัญญามากขึ้นซึ่งจะนำทางตัวเราและครอบครัวเรา10

ข้าพเจ้าขอให้ทุกท่านเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความจริงใจนับแต่บัดนี้ถ้าท่าน ยังไม่ได้ทำ11

เมื่อเราใฝ่ใจศึกษาพระคัมภีร์ เราจะรู้จักและ รักพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าพบว่าเมื่อข้าพเจ้ามีความสัมพันธ์เพียงผิวเผินคับพระผู้เป็นเจ้าและ เมื่อดูเหมือนว่าไม่มีพระกรรณคอยสดับฟังและไม่มีสุรเสืยงรับสั่ง ข้าพเจ้าก็กำลัง ห่างไกลออกไปทุกที ถ้าข้าพเจ้าใฝ่ใจศึกษาพระคัมภีร์ระยะทางจะแคบเข้าและ ความเข้มแข็งทางวิญญาณจะกลับคืนมา ข้าพเจ้าพบว่าตนเองกำลังรักคนที่ผึงรัก จริงจังมากขึ้นด้วยสุดใจ ความคิด และกำลังของข้าพเจ้า และรักพวกเขามาก ขึ้น ข้าพเจ้าพบว่าข้าพเจ้าทำตามคำแนะนำของคนเหล่านั้นง่ายขึ้น12

ข้าพเจ้าพบว่าทั้งหมดที่ข้าพเจ้าต้องทำเพื่อเพิ่มความรักต่อพระผู้สร้าง พระ กิตติคุณ ศาสนาจักร และพี่น้องของข้าพเจ้าคืออ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าให้เวลา ศึกษาพระคัมภีร์หลายชั่วโมง … ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าคนที่อ่านพระคัมภีร์ออกจะ ไม่พัฒนาประจักษ์พยานในพระผู้เป็นเจ้าของเขาและความศักดี้สิทธิ์ในงานของ พระเจ้าได้อย่างไร ใครคือผู้แถลงในพระคัมภีร์หรือ13

คนสามสี่พันล้านคน [บน] แผ่นดินโลกสามารถเดินคับพระผู้เป็นเจ้าได้เช่น เดียวกับแอดัม เอบราแฮม และโมเสส แต่ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ พระคัมภีร์มี ให้จิตวิญญาณแทบทุกดวง และโดยผ่านพระคัมภีร์ มนุษย์จะคุ้นเคยคับพระบิดา บนสวรรค์ พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ กับเงื่อนไข โอกาส และความ คาดหวังสำหรับชีวิตนิรันดร์14

ไม่มีการศึกษาใดของมนุษย์ด้นพบพระผู้เป็นเจ้าได้ แต่ทรงเปิดเผยพระองค์ ต่อเหล่าศาสดาผู้รับใช้ของพระองค์ และพวกท่านสอนเราให้รู้ถึงพระลักษณะ ของพระองค์ เราแต่ละคนจะได้รับการยืนยันความจริงผ่านการอดอาหาร และ การสวดอ้อนวอนของเรา แน้จะมีพายุทางเทววิทยารอบตัวแต่เราจะพบความ สงบในใจกลางมรสุมโดยอาศัยความรู้อันเรียบง่ายและแน่นอนในพระบิดาและ พระบุตรที่ได้มาจากพระคัมภีร์สมัยโบราณและปัจจุบัน และได้รับการยืนยัน โดยพระวิญญาณ ในความรู้นี้เราจะมีความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์15

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • ไตร่ตรองเรื่องราวในหน้า 65–67 เรื่องเหล่านี้มีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร ถาม ตัวท่านว่าท่านกำลังทำอย่างไรในการอ่าน ทำความเข้าใจ และประยุกต์ใข้พระ คัมภีร์ พิจารณาเป้าหมายส่วนตัวของท่านสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์

  • ขณะอ่านทวนหมวดที่เริ่มต้นในหน้า 67 ให้นึกภาพว่าถ้าไม่มีพระคัมภีร์ชีวิต ท่านจะต่างจากนี้อย่างไร อะไรคือผลลัพธ์บางประการของการ “เห็นคุณค่า” ของพระคัมภีร์ “น้อยนัก”

  • เหตุใดการมีข้อความพระคัมภีร์ที่ชอบ “ล่องลอยอยู่ในความคิดเรา” สอง สามข้อจึงไม่เพียงพอ (หน้า 68) ท่านคิดว่าการค้นพบพระคัมภีร์ด้วยตัวเรา เองและ “ค้นพบครั้งแล้วครั้งเล่า” หมายความว่าอะไร

  • ประธานคิมบัลล์กระตุ้นเราให้เปรียบเรื่องราวของกษัตริย์โยสิยาห์คับตัวเรา (หน้า 68–70; ดู 2 พงศ์กษัตริย์ 22–23 ด้วย) ท่านเห็นความคล้ายคลึง และความแตกต่างอะไรระหว่างชีวิตท่านคับชีวิตของกษัตริย์โยสิยาห์และ ผู้คนของเขา

  • ลองคิดถึง “บทเรียนแห่งชีวิต” บางบทที่ท่านเรียนรู้ผ่านการศึกษาพระคัมภีร์ (ดูตัวอย่างหน้า 70–72)

  • อ่านทวนย่อหน้าที่สามในหน้า 72 มีข้อความพระคัมภีร์ตอนใดบ้างที่ช่วยให้ ท่านพบคำตอบของปัญหาและสันติสุขในใจ

  • อ่านย่อหน้าที่หนึ่งและสองในหน้า 73 การศึกษาพระคัมภีร์ส่งผลอย่างไรต่อ ความสัมพันธ์ของท่านกับพระผู้เป็นเจ้า ต่อความสัมพันธ์ของท่านกับสมาชิก ครอบครัว ต่อการรับใช้ของท่านในการเรียกในศาสนาจักร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: อาโมส 8:11–12; 1 นีไฟ 19:23; แอลมา 37:8; ค.พ. 1:37; 18:33–36

อ้างอิง

  1. “Read the Scriptures,” Friend, Dec. 1985, inside front cover; see also “What I Read as a Boy,” Children’s Friend, Nov. 1943, 508.

  2. Children’s Friend, Nov. 1943, 508.

  3. “The Power of the Book of Mormon in My Life,” Ensign, Oct. 1984, 9.

  4. “How Rare a Possession-the Scriptures!” Ensign, Sept. 1976, 2, 4.

  5. Ensign, Sept. 1976, 4–5.

  6. “The Power of Books” (written with Camilla E. Kimball), Relief Society Magazine, Oct. 1963, 729.

  7. The Teachings of Spencer W. Kimball, ed. Edward L. Kimball (1982), 131, 132–33.

  8. Relief Society Magazine, Oct. 1963, 729.

  9. Ensign, Sept. 1976, 2.

  10. “Always a Convert Church: Some Lessons to Learn and Apply This Year,” Ensign, Sept. 1975, 3.

  11. Ensign, Sept. 1976, 5.

  12. The Teachings of Spencer W. Kimball, 135.

  13. The Teachings of Spencer W. Kimball, 135.

  14. Relief Society Magazine, Oct. 1963, 730.

  15. Faith Precedes the Miracle (1972), 67.

ภาพ
young President Kimball reading bible

สมัยหนุ่ม สเป็นเซอร์ ดับเบิลยฺู.ถิมบัลลัตั้งใจว่าจะอ่านพระถัมกึร์ ไบเบิลทั้งเล่บ

ภาพ
President Kimball reading scriptures

“บ้ๅพเจ้าเชื่อมั่นว่า ชั่วระยะเวลาหนึ่งในชิวิตเรา เราเเต่ละถนต้องถ้นพบพระถัมภึร์ด้วยตัวเราเองเเละไม่เพียงถ้นพบถรั้งเดียวเท่านั้น เเต่ถ้นพบถรั้งเเล้งถรั้งเล่า”