คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 10: เสริมกำลังตัวเราต้านทาน อิทธิพลชั่วร้าย


บทที่ 10

เสริมกำลังตัวเราต้านทาน อิทธิพลชั่วร้าย

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้พลังและ ป้ีองกันเราจากความชั่วร้ายในสมัยของเรา

จากชีวิตฃองสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

ประธานสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์สอนว่าการต่อสู้กับซาตานและ กองทัพของเขา “ไม่ใช่การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ กับคู่ต่อสู้ที่ใจเสาะ แต่เป็ีน การสู้รบครั้งใหญ่กับศัตรูที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความแข็งแกร่ง และมีระบบ จนเราอาจพ่ายแพ้ได้ถ้าเราไม่เข้มแข็ง รับการฝึกฝนมาอย่างดี และระมัดระวัง”1

สมัยเป็็นผู้สอนศาสนาหนุ่มรับใช้ในคณะเผยแผ่เซ็นทรัลสเตทส์ ท่านเขียน ประสบการณ์หนึ่งไวัในสมุดบันทึกประจำวันถึงความตั้งใจของท่านที่จะต้านทาน การล่อลวง ท่านกำลังโดยสารรถไฟไปชิคาโก อิลลินอยส์เมื่อชายคนหนึ่งเดินเข้า มาหา “[เขา] พยายามให้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือหยาบคายที่มีภาพอนาจาร ข้าพเจ้าบอกเขาว่าหนังสือไม่ดึงดูดใจข้าพเจ้า เขาเริ่มหว่านถ้อมให้ไปชิคาโกกับเขา และข้าพเจ้ารู้ว่าเขาจะพาไปลงนรก ข้าพเจ้าบอกให้เขาหยุดพูดแต่หลังจากเขาไป แล้วข้าพเจ้ารู้สีกว่าตนเองหน้าแดงร่วมหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าคิดว่า—‘โอ ซาตาน พยายามหนักเหลือเกินผ่านสมุนของเขาเพื่อนำคนหนุ่มสาวให้หลงผิด’ ข้าพเจ้า ขอบพระทัยพระเจ้าที่ข้าพเจ้ามีพลังเอาชนะ”2

คำสอนของสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

ซาตานมีจริงและจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำลายเรา

ในสมัยนี้ที่มีแต่ความนิยมทางโลกและความหลงผิด มนุษย์ไม่เพียงทำให้พระ ผู้เป็นเจ้าไม่มีตัวตนเท่านั้นแต่มารด้วย ภายใต้แนวคิดดังกล่าวซาตานก็คือตัว ละครในเทพนิยาย มีประโยชน์ต่อการทำให้ผู้คนเป็นคนดีในยุคสมัยที่มีความรู้ น้อย แต่ล้าสมัยในยุคของเราที่มีการศึกษา ไม่มีอะไรที่ห่างไกลจากความเป็นจริง ซาตานมีตัวตน ดำรงอยู่เป็นวิญญาณที่มีรูปร่าง แต่ไม่มีร่างกายอันเป็นมรรตัย ความปรารถนาอันชั่วร้ายของเขาที่จะผนึกเราแต่ละคนให้เป็นของเขามิได้แรง กล้าน้อยไปกว่าความปรารถนาอันชอบธรรมของพระบิดาที่จะดึงดูดเราให้เข้ามา ในอาณาจักรนิรันดร์ฃองพระองค์3

การรู้ว่าอันตรายอยู่ตรงไหนและสามารถมองออกไม่ว่าอันตรายจะปรากฎให้ เห็นในรูปแบบใดจะช่วยให้มีเครื่องป้องกัน คนชั่วคอยท่าอยู่ เขาพร้อมเสมอที่ จะหลอกลวงและอ้างว่าคนสะเพร่าทุกคน คนประมาททุกคน และคนดื้อรั้นทุก คนคือเหยื่อของเขา4

ไม่ว่าปรปักษ์จะสนใจใครเป็นพิเศษก็ตาม เขาจะพยายามทำให้ทุกคน “ทุกข์ ยากเหมือนกับตัวเขา” (2 นีไฟ 2:27) แท้จริงแล้ว เขาแสวงหา “ความทุกข์ ยากให้มนุษยชาติทั้งปวง” (2 นีไฟ 2:18) เขาจะไม่หันเหออกจากจุดมุ่งหมาย ของเขา เขาฉลาดและไม่ปรานีใครขณะดำเนินการตามจุดมุ่งหมายเหล่านั้น5

เปโตรเตือนเราว่า “ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของ ท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกิน ได้” (1 เปโตร 5:8)

และพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าผู้ถูกเลือกจะถูกลูซิเฟอร์หลอกถ้าอยู่ในวิสัยที่ ทำได้ [ดู โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:22] [ลูซิเฟอร์] จะใข้ตรรกของเขาเพื่อทำให้ สับสนและใข้การหาเหตุแก้ตัวเพื่อทำลาย เขาจะบดบังความหมาย เปิดประตูที ละนิ้ว และทำให้สีขาวบริสุทธิ์ที่สุดผ่านเงาสีเทาจนกลายเป็นสีดำสนิทที่สุด6

มักหลอกลวงตัวยงศึกษาทุกวิธีที่เป็นไปได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขา โดยใช้เครื่องมือทุกอย่างและอุบายทุกอย่างที่เป็นไปได้ เขาเข้าควบคุม บิดเบือน เปลี่ยนแปลง และอำพรางทุกสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์… ด้วยเหตุ นี้เขาจึงครอบงำความคิดและทำให้ร่างกายมนุษย์เสือมเสียและอ้างว่าคนเหล่า นั้นเป็นของเขา

เขาไม่เคยหลับ—เขาพากเพียรและบากบั่น เขาวิเคราะห์ปัญหาอย่างถี่ล้วน แล้วดำเนินการอย่างพากเพียรและมีระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เขาใช้ประ สาทสัมผัสทั้งห้าและความหิวกระหายตามธรรมชาติมนุษย์เพื่อชักจูงคนๆ นั้น เข้า้้้ลู่แนวทางที่ผิด เขานุ่งทำลายการต่อด้านและเสริมกำลังตนเพื่อเอาชนะการ ต่อด้านนั้น เขาใช้เวลา ช่วงว่าง และเวลาว่าง เขามุ่งบั่น โน้มน้าวเก่ง และชำนาญการ เขาใช้สิ่งที่มีประโยชน์ต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เครือง บิน และรถยนต์เพื่อบิดเบือนและก่อความเสียหาย เขาใช้การชอบสังคม ความ ว้าเหว่ และความต้องการทุกอย่างของมนุษย์เพื่อชักนำให้หลงผิด เขาทำงาน ในเวลาที่เอื้ออำนวยที่สุดในสถานที่น่าประทับใจที่สุดกับผู้มีอิทธิพลมากที่สุดเขาไม่มองข้ามสิ่งที่จะหลอกลวง บิดเบือน และทำให้เสื่อมเสีย เขาใช้เงิน อำนาจ กำลัง เขาหลอกล่อมนุษย์และโจมตีจุดอ่อนที่สุดของมนุษย์ เขาเอาสิ่งที่ ดีๆ ไปและสร้างความน่าเกลียด … เขาใช้ศิลปะการสอนทุกอย่างเพื่อบ่อนทำ ลายมนุษย์7

ปรป้กษ์มีอุบายแยบยล เขาฉลาดแกมโกง เขารู้ว่าจะชักนำชายหญิงที่ดีให้ ทำความชั่วที่ร้ายแรงทันทีไม่ได้ เขาจึงดำเนินการอย่างลับๆ โดยกระซิบความ จริงเพียงครึ่งเดียวจนกว่าจะมีเชลยที่เขาหมายใจจะให้ติดตาม8

ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า เราจะต้านทานอิทธิพลชั่วร้ายได้

หากเราอยากหนีรอดการจ้วงแทงถึงตายของคนชั่วคนนั้น แล้วทำให้บ้านและ ครอบครัวเป็นอิสระ ตลอดจนได้รับการเสริมกำลังต้านทานอิทธิพลอันตรายทุก อย่างที่แพร่กระจายอยู่รอบตัวเรา เราต้องได้รับความช่วยเหลือจาก … พระผู้ สร้าง มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นและนั่นคือผ่านพระกิตติคุณของพระเจ้าพระเยซู คริสต์และการเชื่อฝังคำสอนที่ลึกซึ้งและได้รับการดลใจของพระกิตติคุณ9

ในชีวิตทุกคนมีความชัดแย้งระหว่างความดีกับความชั่ว ระหว่างซาตานกับ พระเจ้า ทุกคนที่อายุครบหรือเกินแปดขวบซึ่งเป็นวัยที่รับผิดชอบได้ ผู้กลับใจ โดยสิ้นเชิงและได้รับบัพติศมาอย่างถูกต้อง จะไต้รับพระวิญญาณปริสุทธี้แน่นอน ฤ้าตั้งใจฝัง สมาชิกองค์นี้ในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์จะทรงนำทาง ดลใจ เตือน และจะทรงลบล้างการกระตุ้นเตือนของคนชั่วคนนั้น10

พระองค์ผู้ทรงมีพลังอำนาจยิ่งกว่าลูซิเฟอร์ พระองค์ผู้ทรงเป็นป้อมปราการ และกำลังของเราจะทรงคํ้าจุนเราในยามประสบการล่อลวงครั้งใหญ่ แบ้พระเจ้า จะไม่เคยใช้กำลังนำใครออกจากบาปหรือออกจากอ้อมแขนของผู้ล่อลวง แต่ พระองค์ทรงใช้พระวิญญาณของพระองค์เพื่อชักชวนคนบาปให้ทำสิ่งนั้นด้วย ความช่วยเหลือจากเบื้องบน มนุษย์ผู้ยอมต่ออิทธิพลและคำวิงวอนที่อ่อนหวาน ของพระวิญญาณและทำทั้งหมดในอำนาจของเขาเพื่อดำรงอยู่ในเจตคติของการ กลับใจจะได้รับความคุ้มครอง พลัง เสรีภาพ และความปีติยินดีแน่นอน11

ซาตาน … ต่อลู้ช่วงชิงความอ่อนน้อมของโมเสส …

“โมเสส บุตรของมนุษย์ จงนมัสการเรา” มารล่อลวง โดยสัญญาถึงโลก ความหรูหรา และอำนาจ …

… ศาสดาขอร้อง “ท่านจงออกไป ซาตาน …”(โมเสส 1:16) คนโป้ปด คนล่อลวง มาร โดยที่ไม่ยอมแพ้เหยื่อรายนี้จึง “ร้องด้วยเสืยงอันดัง [ด้วยความ โกรธเกรี้ยวและเดือดดาล] และดิ้นอยู่บนพื้นดิน และสั่งมีความว่า เราเป็น พระองค์เดียวที่ถือกำเนิด จงนมัสการเรา” (โมเสส 1:19)

โมเสสมองการหลอกลวงออกและเห็นพลังแห่งความมืดและ “ความขมขื่น ของนรก” นี่คืออิทธิพลที่จะรับมือหรือไล่ออกไปไม่ได้ง่ายๆ โดยที่หวาดกลัว ท่านจึงเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า แล้วบัญชาด้วยพลังใหม่

“ข้าพเจ้าจะไม่หยุดเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า … เพราะรัศมีภาพของพระองค์อยู่ บนข้าพเจ้าแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงจะตัดสินระหว่างพระองค์กับท่านได้… ใน พระนามของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิด จงออกไปซาตาน” (โมเสส 1:18, 21)

แม้แต่ลูซิเฟอร์… ศัตรูตัวฉกาจของมนุษยชาติก็ไม่สามารถต้านทานพลัง ฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าได้ เขาตัวสั่น สาปแช่ง ร้องไห้ รำพัน และขบ เขี้ยวเคี้ยวฟ้นไปจากโมเสสผู้มีชัย12

เราต้องพร้อมจะยืนหยัดอย่างกล้าหาญต่อหน้าซาตาน … และต่อด้านเทพผู้ ครองศักดิเทพ และเทพผู้ครองในโมหะแห่งความมืด เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้ง ชุดของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเราจะต้านทานได้ [ดู เอเฟซัส 6:12–13]13

“จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า” ดังที่เปาโลเตือน [เอเฟซัส 6:11] ด้วยอิทธิพลและความคุ้มครองจากเบื้องบน เราจะสามารถแยกแยะการหลอก ลวงของปรปักษ์ได้ทั้งในคำพูดหว่านล้อมและการหาเหตุแก้ตัว และเราจะสามารถ “ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้” [ดู เอเฟซัส 6:13]14

เราต้องไม่ยอมจำนนแม้ต่อการล่อลวงที่เล็กน้อยที่สุด

บาปร้ายแรงเข้าสู่ชีวิตเราเมื่อเรายอมต่อการล่อลวงเล็กๆ น้อยๆ ในทีแรก น้อยมักที่คนเราจะเข้าสู่การล่วงละเมิดที่ร้ายแรงขึ้นหากไม่ยอมจำนนต่อการล่วง ละเมิดที่น้อยกว่าในทีแรก ซึ่งเปีดประตูรับการล่อลวงที่ใหญ่หลวงกว่า มีคนยก ตัวอย่างบาปประเภทหนึ่งโดยกล่าวว่า “คนซื่อสัตย์จะไม่กลับกลายเป็นคนไม่ ซื่อสัตย์ในทันทีเช่นเดียวกับทุ่งโล่งจะไม่กลายเป็นทุ่งวัชพืชในทันที”

ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้ที่มารจะเข้าประตูที่ปิดอยู่ ดูเหมือนเขาจะไม่มืกุญ แจไขประตูที่ล็อคไว้ แต่ถ้าประตูแง้มเล็กน้อย เขาจะโผล่นิ้วเท้าเข้ามา และไม่ นานจะตามด้วยเท้า แล้วก็ขา ลำตัว หัว และสุดท้ายก็เข้ามาทั้งตัว

สถานการณ์ดังกล่าวชวนใท้นึกถึงนิทานสอนใจเรื่องอูฐกับเจ้าของซึ่งกำลังเดิน ทางข้ามเนินทรายแท้งผากขณะพายุพัดมา นักเดินทางตั้งกระโจมอย่างรวดเร็ว เข้าไปอยู่ข้างในและปิดประตูเพื่อหลบทรายที่ปลิวว่อนมาพร้อมๆ กับพายุโหม กระหนํ่า แน่นอนว่าอูฐถูกทิ้งให้อยู่ข้างนอก และเมื่อลมแรงพัดทรายถูกตัวมัน เข้าตาและจมูก มันทนไม่ไหวและสุดท้ายก็ต้องขอเข้าไปอยู่ในกระโจม

“มีที่ว่างสำหรับตัวฉันเท่านั้น” นักเดินทางบอก

“แต่ฉันขอเอาจมูกเข้าข้างในได้ไหม ฉันจะได้ไม่ต้องสูดอากาศที่มืทรายเข้า ไป” อูฐถาม

“ก็ได้ เอาจมูกเข้ามาก็ได้” นักเดินทางตอบ และเขาเปิดประตูเล็กน้อยให้ จมูกยาวๆ ของอูฐโผล่เข้ามา ตอนนิ้อูฐสบายแล้ว แต่ไม่นานอูฐก็รำคาญทราย ที่เข้าหูเข้าตาจนแสบไปหมด …

“ทรายที่พัดมาทำให้หัวฉันระคายเคืองไปหมด ฉันขอเอาหัวเข้าไปข้างในได้ ไหม”

อีกครั้งที่นักเดินทางหาเหตุแก้ตัวว่าล้ายอมตามนั้นคงไม่เสียหายอะไร เพราะ หัวอูฐจะใช้ที่ว่างช่วงบนของกระโจมซึ่งตัวเขาไม่ได้ใช้ อูฐจึงเอาหัวเข้ามาข้าง ในและเจ้าสัตว์พาหนะตัวนิ้รู้สึกพอใจอีกครั้ง—แต่เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น

“แด่ลำตัวด้านหน้าเท่านั้น” อูฐขอ และอีกครั้งที่นักเดินทางสงสารและไม่ นานไหล่และขาหน้าของอูฐก็เข้ามาอยู่ในกระโจม ในที่สุดการอ้อนวอนและการ ยอมจำนนแบบเดิมทำให้ลำตัวของอูฐ ส่วนหลังของมัน และทั้งตัวอยู่ในกระโจม แต่ตอนนี้แน่นเกินไปทั้งคนและอูฐ อูฐจึงเตะนักเดินทางออกไปอยู่ท่ามกลาง ลมและพายุ

เช่นเดียวกับอูฐ ลูซิเฟอร์กลายเป็นนายได้โดยง่ายเมื่อเรายอมตามคำป้อยอ ครั้งแรกของเขา ไม่นานหลังจากนั้นมโนธรรมจะสงบนิ่ง อำนาจชั่วร้ายมีอิทธิ พลเต็มที่ และประตูสู่ความรอดจะถูกปิดจนกว่าการกลับใจโดยสิ้นเชิงจะเปิด ประตูอีกครั้ง

แบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดเน้นความสำคัญของการไม่ให้ที่พักแก่การล่อ ลวงแม้แต่น้อย พระองค์ทรงมองอันตรายไม่ออกหรือเมื่อประทับบนภูเขาคับลูซิเฟอร์พี่น้องที่ตกแล้วของพระองค์ และถูกนักล่อลวงที่ชํ่าชองล่อลวงอย่างหนัก พระองค์จะทรงเปิดประตูและหยอกล้อกับอันตรายก็ได้โดยตรัสว่า “ตกลง ซาตาน เราจะฟังข้อเสนอของท่าน เราไม่ต้องการทำตาม เราไม่ต้องการจำนน เรา ไม่ต้องการยอมรับ—แต่เราจะฟ้ง”

พระคริสต์มิทรงหาเหตุแก้ตัว พระองค์ทรงปิดการสนทนาด้วยความเฉียบ ขาดทันที และทรงบัญชาว่า “จงออกไปซาตาน” นั่นอาจหมายความว่า “ออก ไปให้พัน—ออกไปให้พันหน้าเรา—เราจะไม่ฟัง—เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า” จากนั้นเราอ่านได้ว่า “มารจึงละพระองค์ไป” [บัทธิว 4:10–11]

นี่คือแบบฉบับที่ถูกต้องของเรา ฤ้าเราอยากป้องก้นบาปแทนที่จะเผชิญกับ งานที่ยากกว่านั้นมากนัก นั่นคือ การกลับใจ ขณะคึกษาเรื่องราวของพระผู้ไถ่ และการล่อลวงของพระองค์ ข้าพเจ้านั่นใจว่าพระองค์ทรงใช้พลังงานเสริมกำลัง ต้านทานการล่อลวงแทนที่จะลู้กับมัินเผื่อเอาชนะ15

การตัดสินใจที่ถูกต้องในตอนนี้จะช่วยให้เรา ต้านทานการล่อลวงในภายหลังได้

งานพื้นฐานอย่างหนึ่งสำหรับเราแต่ละคนคือการตัดสินใจ นับสิบครั้งต่อวันที่ เรามาถึงทางแยกและต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน ทางเลือกบางอย่างยาวไกล และยาก แต่จะนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องจนบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของเรา ทางเลือกอื่นสั้น กว้าง และน่าพอใจ แต่จะไปผิดทาง ที่สำคัญคือเราต้องมี วัตถุประสงค์สุดท้ายชัดเจนในความคิดเพื่อเราจะไม่งงงวยอยู่ตรงทางแยกโดย ถามนอกเรื่องว่า ทางไหนสะดวกกว่าหรือน่าพอใจมากกว่า หรือคนอื่นไปทาง ไหน

การตัดสินใจที่ถูกต้องทำได้ง่ายที่สุดเมื่อเราตัดสินใจไว้แล้วล่วงหน้า โดยมี วัตถุประสงค์สุดท้ายอยู่ในความคิด ซึ่งจะช่วยให้รอดพันจากความปวดร้าวมาก มายตรงทางแยกเมื่อเราเหน็ดเหนื่อยและถูกล่อลวงอย่างหนัก

สมัยยังเด็กข้าพเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ลิ้มลองนํ้าชา กาแฟ บุหรี่ หรือ เหล้า ข้าพเจ้าพบว่าเจตจำนงอันแน่วแน่ครั้งนี้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพันประสบ การณ์ต่างๆ มาหลายครั้ง มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าน่าจะจิบหรือแตะต้องหรือลอง แต่เจตจำนงอันแน่วแน่และมั่นคงได้ให้เหตุผลที่ดีและมีพลังต่อต้านที่ดี

… ถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดสินใจว่าเราจะไม่พอใจสิ่งใดนอกจากโอกาสที่จะได้ อยู่ชั่วนิรันดร์กับพระบิดาของเรา ทั้งนี้เพื่อเจตจำนงของเราที่จะไม่ยอมให้สิ่งใด ขัดขวาง การบรรลุเป้าหมายสุดท้ายนั้นมีผลต่อการเลือกทุกอย่างของเรา16

จงฟึกตนเองให้มีวินัยมากขึ้นทุกวันทั้งนี้เพื่อท่านจะไม่ต้องตัดสินใจหลายครั้ง ว่าจะทำอะไรเมื่อเผชิญกับการล่อลวงแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านต้องตัดสิน ใจเรื่องบางเรื่อง ครั้งเดียว เท่านั้น!

นับเป็นพรอย่างยิ่งที่ไม่ต้องวิตกกังวลกับการล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า การตัด สินใจแบบเดิมหลายๆ ครั้งทำให้เสียเวลาและเสี่ยงมาก17

เราสามารถผลักบางอย่างออกไปได้เลยและเลิกทำเด็ดขาด เราสามารถตัดสิน ใจได้ครั้งเดียวเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่องที่เราจะนำมาไวัในชีวิตเราแล้วทำให้เป็นการ ตัดสินใจของเรา—โดยไม่ต้องครุ่นคิดไตร่ตรองและตัดสินใจอีกร้อยครั้งว่าเราจะ ทำอะไรและเราจะไม่ทำอะไร

การไม่ตัดสินใจและความท้อใจคือสภาพที่ปรปักษ์ทำให้เกิดขึ้น เพราะเขา สามารถก่อเหตุเภทภัยมากมายในบรรดามนุษย์ไต้ในเวลาเช่นนั้น… หากท่าน ยังไม่ตัดสินใจ จงตัดสินใจว่าจะตัดสินใจ!18

จะวิเศษเพียงใดล้าเราสามารถทำให้เด็กชายหญิงสิทธิชนยุคสุดท้ายตัดสินใจ ในวัยเด็กไต้ว่า “ฉันจะไม่ยอมจำนนต่อซาตานหรือใครก็ตามที่ต้องการทำลายตัว ฉัน”19

เวลาที่ต้องออกจากทางชั่วมีอยู่ก่อนที่มันจะเริ่มต้น เคล็ดลับของชีวิตที่ดีอยู่ ในการคุ้มครองและป้องกัน คนที่ยอมจำนนต่อความชั่วโดยปกติคือคนที่เอาตน เองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม20

เราต่อต้านฟ้ายตรงข้ามเมี่อเรายอมรับ ความอ่อนแอและพยายามเอาชนะ

โดยที่โตมากับฟาร์ม ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าเมื่อหมูหนีรอดไปได้ อันดับแรกข้าพเจ้า ต้องมองหาช่องที่มันเคยใช้หลบหนี เมื่อวัวออกนอกทุ่งไปหาทุ่งหญ้าที่สดกว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าต้องมองหาสถานที่หลบหนีของพวกมันก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นที่ที่ มันเคยกระโดดข้ามรั้วมาแล้ว หรือตรงที่รั้วพัง ทำนองเดียวกัน มารรู้ว่าจะล่อ ลวงตรงจุดไหน จะโจมตีตรงจุดไหนจึงจะได้ผล เขาพบจุดอ่อน จุดไหนที่เราเคย อ่อนแอ จุดนั้นเราจะถูกล่อลวงอีกครั้งได้ง่ายที่สุด21

ดูเหมือนว่ามารจะอยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา… ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องระแวด ระวังเสมอ เราจะเรียบเรียงรายชื่อความอ่อนแอของเราและดำเนินการแก้ไขเพื่อ เอาชนะ22

พวกเราส่วนใหญ่มีจุดอ่อนซึ่งหายนะจู่โจมเราได้ทันทีเว้นแต่เราจะป้องกันและ สร้างภูมิคุ้มกันอย่างถูกต้อง…

ประวัติศาสตร์ให้ … แบบอย่างมากมายของความเข้มแข็งและความจองหอง ทั้งระดับบุคคลและประเทศชาติ ซึ่งพ่ายแพ้ต่อการโจมตีตรงจุดอ่อน แม้บ่อย ครั้งชุดอ่อนเหล่านี้จะเป็นชุดอ่อนทางร่างกาย อย่างน้อยก็ตามที่ปรากฎให้เห็น ภายนอก แต่ลูซิเฟอรีและผู้ติดตามเขารู้จักนิสัย ความอ่อนแอ และชุดอ่อนของ ทุกคน และฉวยโอกาสใช้สิ่งเหล่านี้นำเราไปสู่ความพินาศทางวิญญาณ คนคน หนึ่งอาจมืชุดอ่อนที่ความอยากดื่มสุรา อีกคนหนึ่งอาจมีชุดอ่อนที่ความหิวไม่รู้ จักอิ่ม อีกคนหนึ่งอาจยอมให้สิ่งเร้าทางเพศเข้าครอบงำ อีกคนหนึ่งรักเงินทอง ความหรูหราและความสบายที่เงินซื้อได้ อีกคนหนึ่งอยากมีอำนาจ และอื่นๆ23

ขอให้ผู้มีความโน้มเอียงในทางชั่วจงชื่อสัตย์และยอมรับความอ่อนแอของ ตน ข้าพเจ้าบอกท่านว่าพระเข้ามิได้ทรงวางบาปไว้ในชีวิตเรา พระองค์มิได้ทรง ทำให้มนุษย์ชั่วร้าย … พระองค์ทรงยอมให้บาปอยู่ในโลก และทรงยอมให้ซาตานล่อลวงเรา แต่เรามีสิทธิ้เสรี เราจะทำบาปหรือจะดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม ก็ได้ แต่เราจะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ การโทษว่าบาปของเราเป็นความผิดของ พระเจ้าโดยกล่าวว่ามันมีมาแต่กำเนิดและควบคุมไม่ได้ถือเป็นการกระทำที่น่า ดูถูกและขลาดเขลา การโทษว่าบาปของเราเป็นความผิดของบิดามารดาและ การอบรมเลี้ยงดูคือวิธีของคนที่หลบหนีความเป็นจริง บิดามารดาของคนคนนั้น อาจล้มเหลว ภูมิหลังของเราอาจน่าท้อใจ แต่ในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระชนม์เรามีอำนาจอยู่ในตัวที่จะอยู่เหนือสภาวการณ์ของเรา และเปลี่ยน ชีวิตเรา24

เราขอร้องคนของเราทุกแห่งหนให้ “น้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อลู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป” (ยากอบ 4:7) …

อาจมีบางคนที่รู้สึกไม่สบายใจเพราะสภาพของโลกและเงาของความชั่วที่แผ่ ขยายออกไป แต่พระเจ้าตรัสว่า “… หากเจ้าพร้อมเจ้าจะไม่กลัว” (ค.พ. 38:30) และอนึ่ง “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย … อย่าให้ใจของท่าน วิตกและอย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)25

ในฐานะสิทธิชนยุคสุดท้าย เราต้องตื่นตัวเสมอ วิเเที่เราแต่ดะคนและแต่ละ ครอบครัวจะป้องกันสายเหวี่ยงและลูกธทุของปรปักษ์และเตรียมรับวันอันยิ่ง ใหญ่ของพระเจ้าคือจับเหล็กเส้นใต้มั่น มีศรัทธามากขึ้น กลับใจจากบาปและ ข้อบกพร่อง และขวนขวายในงานแห่งอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก ซึ่งได้แก่ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ความสุขที่เท้จริง สำหรับลูกๆ ทุกคนของพระบิดาของเรามีอยู่ที่นี่เท่านั้น26

ฃ้อเสนอแนะสําหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • คำสอนใดของประธานคิมบัลล์เกี่ยวกับซาตานและวิธีการของเขาที่ท่านเห็น ว่าเป็นประโยชน์ เพราะเหตุใด (ดู หน้า 112–114)

  • อ่านทวนหัวฃ้อที่เริ่มต้นในหน้า 114 พระเจ้าทรงช่วยเราต้านทานความชั่ว ร้ายได้โดยวิธีใด (ดูตัวอย่างจากเรื่องราวในหน้า 112) ท่านเคยได้รับความ ช่วยเหลือแบบนี้เมื่อใด

  • อ่านทวนหัวฃ้อที่เริ่มตนในหน้า 114 พระเจ้าทรงช่วยเราต้านทานความชั่ว ร้ายไต้โดยวิธีใด (ดูตัวอย่างจากเรื่องราวในหน้า 112) ท่านเคยไต้รับความ ช่วยเหลือแบบนี้เมื่อใด

  • อ่านนิทานสอนใจในหน้า 116 ท่านคิดว่าเหตุใดนักเดินทางจึงยอมให้อูฐเข้า มาในกระโจมของเขา พิจารณาวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงต่อต้านการล่อลวง (ดู หน้า 116-117) มีวิธีใดบ้างที่บิดามารดาจะช่วยให้ลูกๆ มองออกและ ต่อต้านแบ้การล่อลวงที่เล็กที่สุด

  • อ่านทวนย่อหน้าที่สองในหน้า 117 เปรียบเทียบกระบวนการป้องกันบาปกับ กระบวนการกลับใจจากบาป

  • ประธานคิมนัลล์กล่าวว่า “การตัดสินใจที่ถูกต้องทำได้ง่ายที่สุดเมื่อเราตัดสิน ใจไว้แล้วล่วงหน้า” (หน้า 117) ชีวิตเราจะได้รับผลอย่างไรฤ้าเราตัดสินใจ แต่เนิ่นๆ ว่าจะรักษาพระบัญญัติต่างๆ เช่นพระวาจาแห่งปัญญา (ดูตัวอย่าง หน้า 117) ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับการดำเนิน ชีวิตตามพระกิตติคุณ

  • พิจารณาข้อสังเกตของประธานคิมบัลล์เกี่ยวกับหมูและวัวของท่าน (หน้า 118-119) เราได้ประโยชน์อะไรจากการยอมรับความอ่อนแอของเราและ ยอมรับผิดชอบความอ่อนแอเหล่านั้น

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: 1 โครินธ์ 10:13; 1 นัใฟ 15:23–25; ฮีลาบัน 5:12; อีเธอร์ 12:27; ค.พ. 10:5

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, Brisbane Australia Area Conference 1976, 19.

  2. ใน “The Mission Experience of Spencer W. Kimball,” Brigham Young University Studies, fall 1985, 126.

  3. The Miracle of Forgiveness, (1969), 21.

  4. The Miracle of Forgiveness, 213.

  5. “The Role of Righteous Women,” Ensign, Nov. 1979, 104.

  6. “President Kimball Speaks Out on Morality,” Ensign, Nov. 1980, 94.

  7. “How to Evaluate Your Performance,” Improvement Era, Oct. 1969, 12.

  8. “The Gospel of Repentance,” Ensign, Oct. 1982, 2.

  9. ใน Conference Report, Apr. 1979, 5; หรือ Ensign, May 1979, 6.

  10. The Miracle of Forgiveness, 14–15.

  11. The Miracle of Forgiveness, 176.

  12. Faith Precedes the Miracle (1972), 87, 88.

  13. “The Blessings and Responsibilities of Womanhood,” Ensign, Mar. 1976, 71.

  14. Faith Precedes the Miracle, 219.

  15. The Miracle of Forgiveness, 215–17.

  16. “Decisions: Why It’s Important to Make Some Now,” New Era, Apr. 1971, 3.

  17. “President Kimball Speaks Out on Planning Your Life,” New Era, Sept. 1981, 50.

  18. ใน Conference Report, Apr. 1976, 70; หรือ Ensign, May 1976, 46.

  19. ใน Conference Report, Manila Philippines Area Conference 1975, 5.

  20. The Miracle of Forgiveness, 15.

  21. The Miracle of Forgiveness, 171.

  22. The Miracle of Forgiveness, 209–10.

  23. The Miracle of Forgiveness, 218–19.

  24. An Apostle Speaks to Youth—Be Ye Clean: Steps to Repentance and Forgiveness (pamphlet, 1970), 13.

  25. ใน Conference Report, Apr. 1974, 6; หรือ Ensign, May 1974, 6.

  26. ใน Conference Report, Oct. 1982, 4; หรือ Ensign, Nov. 1982, 5.

ภาพ
woman thinking

“ประธานคิมบัอลล์สอนว่าหากเราจะมอม “ต่ออิทธิพลและคำวิงวอนที่อ่อนทํวานบองพระวิญญาณ” เราจะได้ร้บพรด้วย “ความคู้มครอง พล้ง เสรีภาพ และความปีติยินดี”

ภาพ
family studying scriptures

ประธานคิมบัอลล์กล่าวว่าเนเพื่อเราจะป้องกันฝ่ายตรงบัาม เราตัอง “จ้บเทํล็กเสันใทํ้มั่น”