2017
มาตรฐานอันสูงส่งของความซื่อสัตย์
สิงหาคม 2017


มาตรฐานอันสูงส่งของ ความซื่อสัตย์

จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ความซื่อสัตย์—หัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2011 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ speeches.byu.edu

สำหรับสานุศิษย์ของพระคริสต์ ความซื่อสัตย์เป็นหัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ

ภาพ
man choosing between two paths

ภาพประกอบโดย ซิโมน ชิน

พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์สัตภาวะที่มีความซื่อสัตย์และความจริงอันดีเลิศ เพียบพร้อม และสมบูรณ์ เราเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า จุดหมายของเราคือเป็นเหมือนพระองค์ เราพยายามเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรงอย่างดีเลิศเหมือนพระบิดาของเราและพระบุตรของพระองค์ ความซื่อสัตย์เป็นอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า (ดู อิสยาห์ 65:16) ด้วยเหตุนี้ความซื่อสัตย์จึงเป็นหัวใจของการเติบโตทางวิญญาณและของประทานฝ่ายวิญญาณของเรา

พระเยซูทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6; ดู ยอห์น 18:37; คพ. 84:45; 93:36)

พระเจ้าตรัสถามพี่ชายของเจเร็ดว่า “เจ้าเชื่อถ้อยคำที่เราจะพูดหรือไม่?”

พี่ชายของเจเร็ดทูลตอบว่า “เชื่อ, พระองค์เจ้าข้า, ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์รับสั่งความจริง, เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งความจริง, และตรัสเท็จไม่ได้” (อีเธอร์ 3:11, 12)

และนี่คือพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เอง “เราคือพระวิญญาณแห่งความจริง” (คพ. 93:26; ดู ข้อ 24 ด้วย) “เราจะบอกความจริงกับพวกท่าน” (ยอห์น 16:7; ดู ข้อ 13 ด้วย)

ในทางกลับกัน ซาตานได้ชื่อว่าเป็นบิดาของความเท็จ “และเขากลายเป็นซาตาน, แท้จริงแล้ว, แม้มาร, บิดาของความเท็จทั้งปวง, ที่จะหลอกลวงและทำให้มนุษย์มืดบอด, และชักนำพวกเขาไปเป็นทาสตามความประสงค์ของเขา, แม้มากเท่าที่จะไม่สดับฟังเสียงของเรา” (โมเสส 4:4)

พระเยซูตรัสว่า “มาร … ไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา” (ยอห์น 8:44; ดู คพ. 93:39ด้วย)

พระผู้ช่วยให้รอดทรงตำหนิคนเหล่านั้นที่แสดงตนต่อหน้าสาธารณชนอย่างหนึ่งแต่ดำเนินชีวิตอีกอย่างหนึ่งในใจตน (ดู มัทธิว 23:27) พระองค์ทรงสรรเสริญคนที่ดำเนินชีวิตปราศจากการหลอกลวง (ดู คพ. 124:15) ท่านเห็นความแตกต่างชัดเจนหรือไม่ ด้านหนึ่งมีการพูดเท็จ การหลอกหลวง ความหน้าซื่อใจคด และความมืด อีกด้านหนึ่งมีความจริง ความสว่าง ความซื่อสัตย์ และความสุจริตใจ พระเจ้าทรงลากเส้นแบ่งชัดเจน

ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวไว้ว่า

“ครั้งหนึ่งมาตรฐานของศาสนจักรกับมาตรฐานของสังคมสอดคล้องกันแทบทุกอย่าง แต่บัดนี้มีความแตกต่างกว้างขึ้นระหว่างเรา ซึ่งกำลังกว้างออกไปเรื่อยๆ …

“พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติทรงดำเนินพระชนม์ชีพในโลกแต่ไม่ทรงเป็นของโลก [ดู ยอห์น 17:14; คพ. 49:5] เราสามารถอยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลกได้เช่นกันเมื่อเราปฏิเสธแนวคิดและคำสอนผิดๆ และแน่วแน่ต่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา”1

ภาพ
man with world

โลกจะบอกเราว่าความจริงกับความซื่อสัตย์นิยามได้ยาก โลกเห็นเป็นเรื่องขบขันในการพูดเท็จแบบไม่ตั้งใจและแก้ตัวทันควันโดยเรียกว่าการหลอกลวงแบบ “ไร้เดียงสา” ความแตกต่างระหว่างถูกกับผิดไม่ชัดเจน และผลของความไม่ซื่อสัตย์ลดน้อยลง

เพื่อได้รับพระวิญญาณแห่งความจริง—พระวิญญาณบริสุทธิ์—อยู่เสมอ เราต้องเติมชีวิตเราด้วยความจริงและความซื่อสัตย์ เมื่อเราซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ ดวงตาทางวิญญาณของเราจะเปิดรับความสว่างทางปัญญามากขึ้น

ท่านจะเข้าใจได้โดยง่ายว่าพลังทางวิญญาณดังกล่าวยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียนของท่านอย่างไร แต่ท่านจะเห็นได้เช่นกันว่าหลักธรรมนี้ประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจสำคัญๆ ได้อย่างไร เช่น ท่านใช้เวลาอย่างไร ท่านใช้เวลากับใคร และท่านวางแผนชีวิตท่านอย่างไร

ให้คำมั่นว่าจะซื่อสัตย์ในตนเอง

ท่านจะแยกการประสาทความจริงทางวิญญาณที่ท่านจำเป็นต้องมีและต้องการออกจากการเป็นคนมีความซื่อสัตย์และความจริงไม่ได้ ความจริงที่ท่านแสวงหาสัมพันธ์กับตัวตนที่ท่านเป็น ความสว่าง คำตอบทางวิญญาณ และการนำทางจากสวรรค์ล้วนเชื่อมโยงอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้กับความซื่อสัตย์และความจริงของท่าน ความพึงพอใจอันยั่งยืนส่วนใหญ่ในชีวิตท่านจะเกิดขึ้นเมื่อท่านให้คำมั่นว่าจะซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ

รอย ดี. อัทคินเล่าเรื่องต่อไปนี้

“หลังจากนักศึกษาจำนวนหนึ่งลาออกหลังจากเรียนปีหนึ่ง คณะทันตแพทย์ที่ข้าพเจ้าเรียนยิ่งแข่งขันกันหนักกว่าเดิม ทุกคนพยายามจะเป็นที่หนึ่งของรุ่นให้ได้ เมื่อการแข่งขันเพิ่มขึ้น นักศึกษาบางคนตัดสินใจว่าหนทางสู่ความสำเร็จคือโกง สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจมาก …

“… ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าโกงไม่ได้ ข้าพเจ้าอยากถูกต้องกับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยากเป็นทันตแพทย์

“[ระหว่าง] เรียนปีสาม มีคนเสนอจะให้สำเนาข้อสอบวิชาสำคัญที่ข้าพเจ้าจะสอบ นั่นหมายความว่าเพื่อนร่วมชั้นบางคนรู้ข้อสอบล่วงหน้า ข้าพเจ้าปฏิเสธสิ่งที่เสนอ เมื่อได้กระดาษข้อสอบที่ตรวจแล้วคืน คะแนนเฉลี่ยของชั้นปีสูงมาก ทำให้คะแนนของข้าพเจ้าต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย อาจารย์ขอพูดกับข้าพเจ้า

“‘รอย’ อาจารย์พูด ‘ปกติคุณทำข้อสอบได้ดีนี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ’

“‘ครับ’ ข้าพเจ้าบอกอาจารย์ ‘สอบคราวหน้า ถ้าอาจารย์ให้ทำข้อสอบที่ไม่เคยใช้สอบมาก่อน ผมเชื่อว่าผมจะทำได้ดีมากครับ’ ไม่มีคำตอบ

ภาพ
pencil and test

“เรามีสอบอีกครั้งในวิชาเดียวกัน ขณะแจกข้อสอบ มีเสียงพึมพำแสดงความผิดหวัง เพราะเป็นข้อสอบที่อาจารย์ไม่เคยใช้สอบมาก่อน เมื่อรับคืนข้อสอบที่คิดคะแนนแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ได้คะแนนสูงสุดในชั้นปี นับจากนั้นเป็นต้นมาข้อสอบทั้งหมดเป็นข้อสอบใหม่”2

เพราะเราเป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์ มาตรฐานอันสูงส่งของความซื่อสัตย์จึงงอกงามในเรา ในพระคัมภีร์มอรมอน คำตักเตือนของกษัตริย์เบ็นจามินให้ “ทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชน” (โมไซยาห์ 3:19) เป็นส่วนหนึ่งของคำขอร้องให้สร้างสำนึกในความซื่อสัตย์และความจริงมากขึ้น

อัครสาวกเปาโลแนะนำชาวเอเฟซัสให้ “ทิ้งตัวเก่า … ซึ่งถูก … ทำให้พินาศไป … และให้วิญญาณและจิตใจของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่” จากนั้นเปาโลให้คำแนะนำที่เจาะจงเรื่องการสวม “สภาพใหม่” สิ่งแรกที่เขาบอกให้คนเหล่านั้นทำคือ “ละทิ้งความเท็จ ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริง” (ดู เอเฟซัส 4:22–25; ดู โคโลสี 3:9; 3 นีไฟ 30:2 ด้วย)

ข้าพเจ้าชอบนิยามของความซื่อสัตย์ที่ว่า “ความซื่อสัตย์ถูกต้อง ตรงไปตรงมา และเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง” ความสุจริตคือ “[การ] มีความกล้าหาญทางศีลธรรมเพื่อให้ความประพฤติของ [ท่าน] สอดคล้องกับความรู้ผิดชอบชั่วดีของ [ท่าน]”3

ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดเคยเล่าเรื่องการสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารของกองทัพสหรัฐ ท่านกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าถูกเรียกตัวไปอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการสอบข้อมูล คุณสมบัติของข้าพเจ้ามีไม่กี่อย่าง แต่ข้าพเจ้าเคยเรียนมหาวิทยาลัยสองปีและจบการเป็นผู้สอนศาสนาของศาสนจักรในอเมริกาใต้

“คำถามที่คณะกรรมการถามข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก แทบทุกคนมุ่งความสนใจมาที่ความเชื่อของข้าพเจ้า ‘คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า’ ‘คุณดื่มเหล้าไหม’ ‘คุณคิดอย่างไรกับคนที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้า’ ข้าพเจ้าไม่กังวลใจเลยขณะตอบคำถามเหล่านี้

“‘คุณสวดอ้อนวอนหรือเปล่า’ ‘คุณเชื่อไหมว่าทหารควรสวดอ้อนวอน’ คนที่ถามคำถามเหล่านี้เป็นทหารอาชีพที่กรำศึกมานาน เขาดูเหมือนไม่ใช่คนที่สวดอ้อนวอนบ่อยนัก … ข้าพเจ้าอยากเป็นทหารมาก …

“ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่พูดอ้อมค้อม ข้าพเจ้ายอมรับว่าสวดอ้อนวอนและรู้สึกว่าทหารน่าจะขอการนำทางจากพระเจ้าเหมือนนายพลคนสำคัญบางคนเคยทำมาแล้ว …

“คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นตามมา ‘ในช่วงสงคราม ไม่ควรหย่อนมาตรฐานทางศีลธรรมหรอกหรือ ความตึงเครียดของสงครามไม่สมควรให้ผู้ชายได้ทำสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำขณะอยู่บ้านภายใต้สถานการณ์ปกติหรอกหรือ

“… ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่กำลังถามคำถามนี้ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่ข้าพเจ้าได้รับการสอนมา ข้าพเจ้าคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าบางทีข้าพเจ้าน่าจะพูดว่าข้าพเจ้ามีความเชื่อของตนเอง แต่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะยัดเยียดให้ใคร แต่ดูเหมือนจะมีใบหน้าของหลายคนที่ข้าพเจ้าเคยสอนเรื่องกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศสมัยเป็นผู้สอนศาสนาแวบเข้ามาในความคิด ข้าพเจ้าพูดออกไปในที่สุดว่า ‘ผมไม่เชื่อว่ามาตรฐานทางศีลธรรมมีสองมาตรฐาน’

“ข้าพเจ้าออกจากห้องพิจารณาพร้อมกับยอมรับว่าทหารที่กรำศึกมานานเหล่านี้จะ … ให้คะแนนข้าพเจ้าต่ำมากแน่นอน ไม่กี่วันต่อมาเมื่อประกาศคะแนน ยังความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าสอบผ่าน ข้าพเจ้าอยู่ในกลุ่มแรกที่ได้เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร!”

และโดยทราบดีว่าการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ จะมีผลอันใหญ่หลวงได้อย่างไร ประธานเฟาสท์จึงกล่าวต่อจากนั้นว่า “นี่เป็นทางแยกที่สำคัญมากทางหนึ่งของชีวิตข้าพเจ้า”4

ความซื่อสัตย์ ความสุจริต และความจริงเป็นหลักธรรมนิรันดร์ที่หล่อหลอมประสบการณ์ในความเป็นมรรตัยของเราอย่างมากและช่วยกำหนดจุดหมายนิรันดร์ของเรา สำหรับสานุศิษย์ของพระคริสต์ ความซื่อสัตย์เป็นหัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ

ให้เกียรติคำพูดของท่าน

ความซื่อสัตย์ครอบคลุมทุกส่วนของชีวิตประจำวันของท่าน แต่ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างสักสองสามเรื่อง ในสมัยเป็นนักศึกษา ข้าพเจ้าจำได้ว่าดัลลิน เอช. โอ๊คส์อธิการบดีมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์สมัยนั้น ปัจจุบันเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ได้แบ่งปันคำพูดอ้างอิงต่อไปนี้จากคาร์ล จี. เมเซอร์ “เพื่อนหนุ่มสาวทั้งหลาย มีคนถามข้าพเจ้าว่าคำสัตย์ปฏิญาณหมายถึงอะไร ข้าพเจ้าจะบอกท่าน จงวางข้าพเจ้าไว้หลังกำแพงคุก—กำแพงหินสูงมาก หนามาก หยั่งลงไปในดินลึกมาก—มีความเป็นไปได้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถหนีออกไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ให้ข้าพเจ้ายืนบนพื้นนั่นและใช้ชอล์กขีดวงรอบข้าพเจ้าและให้ข้าพเจ้ากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ข้ามเส้นนั้น ข้าพเจ้าจะออกจากวงนั้นไหม ไม่ ไม่เด็ดขาด ข้าพเจ้าขอตายก่อน!”5

ภาพ
man standing in circle

มีหลายครั้งที่เราทำตามคำมั่นสัญญาเพียงเพราะเรารับปากว่าจะทำ ท่านจะมีสถานการณ์ในชีวิตเมื่อท่านจะถูกล่อลวงให้ไม่สนใจข้อตกลงที่ทำไว้ ท่านจะทำข้อตกลงในตอนแรกเพียงเพราะท่านประสงค์จะได้บางอย่างตอบแทน ต่อมา เพราะสภาวการณ์เปลี่ยน ท่านจะไม่ต้องการทำตามเงื่อนไขของข้อตกลงนั้นอีก จงเรียนรู้เสียแต่ตอนนี้ว่าเมื่อท่านรับปากใคร เมื่อท่านสัญญากับใคร เมื่อท่านลงนาม ความซื่อสัตย์และความสุจริตของตัวท่านผูกมัดท่านไว้กับคำพูด คำมั่นสัญญา และข้อตกลงของท่าน

เราซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่าน “เชื่อในการเป็นคนซื่อสัตย์” (หลักแห่งความเชื่อข้อ 13) ที่ท่านพูดความจริง ที่ท่านจะไม่โกงการสอบ ขโมยผลงานของผู้อื่น หรือหลอกลวงกัน พระเจ้ารับสั่งกับเราว่า

“และความจริงคือความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น;

“และสิ่งใดก็ตามที่มากหรือน้อยกว่านี้เป็นวิญญาณของคนชั่วคนนั้น ซึ่งเป็นผู้กล่าวเท็จมานับจากกาลเริ่มต้น” (คพ. 93:24–25)

ความท้าทายของเรามักเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดเล็กๆ น้อยๆ —การล่อลวงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้ซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ สมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ข้าพเจ้าติดข้อความที่ประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ (1873-1970) ยกมาพูดบ่อยๆ ไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ อ่านว่า “การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิตเกิดขึ้นภายในห้องอันเงียบสงัดของจิตวิญญาณ”6

ท่านคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อเราตัดสินใจเรื่องยากๆ เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ มีพลังทางวิญญาณมากมายในการเป็นคนแน่วแน่และซื่อสัตย์ทั้งที่ผลของความซื่อสัตย์อาจจะดูเหมือนเป็นความเสียเปรียบ แต่ละท่านจะเผชิญการตัดสินใจเช่นนั้น ช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้จะทดสอบความสุจริตของท่าน เมื่อท่านเลือกความซื่อสัตย์และความจริง—ไม่ว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างที่ท่านหวังหรือไม่—ท่านจะตระหนักว่าทางแยกสำคัญๆ เหล่านี้กลายเป็นเสาหลักของความเข็มแข็งในการเติบโตทางวิญญาณของท่าน

“จงเป็นคนชอบธรรมในความมืด”

ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) เคยกล่าวไว้ว่า “เราต้องฝึกเป็นคนชอบธรรมในความมืด”7 นิยามหนึ่งของข้อความนี้คือเราต้องฝึกเป็นคนซื่อสัตย์แม้เมื่อไม่มีใครรู้ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าท้าทายให้ท่านเป็นคน “ชอบธรรมในความมืด” จงเลือกเส้นทางที่พระผู้ช่วยให้รอดจะทรงเลือก

กวีเอ็ดการ์ เอ. เกสต์เขียนว่า

ข้าไม่ต้องการเก็บความลับมากมาย

เกี่ยวกับตนเองไว้บนหิ้งในห้องลับ

และหลอกตัวเองไปวันๆ

ให้คิดว่าใครที่ไหนเลยจะล่วงรู้8

จงจดจำถ้อยคำที่ไพเราะของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ “ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้, และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบเรื่องนี้, และข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้, ทั้งข้าพเจ้าไม่กล้าปฏิเสธเรื่องนี้; อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้ว่าโดยการทำเช่นนั้นข้าพเจ้าจะทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงขุ่นเคือง, และจะอยู่ภายใต้การกล่าวโทษ” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:25)

ภาพ
man in vice

มีแรงกดดันให้ทำจนสำเร็จ แรงกดดันให้ทำเกรดสูงๆ แรงกดดันให้หางานทำ แรงกดดันให้หาเพื่อน แรงกดดันให้เอาใจคนรอบข้าง แรงกดดันให้เรียนจนจบ อย่ายอมให้แรงกดดันเหล่านี้ทำลายอุปนิสัยความซื่อสัตย์ของท่าน จงซื่อสัตย์เมื่อผลลัพธ์ดูเหมือนไม่ส่งผลดีต่อท่าน จงสวดอ้อนวอนให้มีความซื่อสัตย์มากขึ้น นึกถึงด้านที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านซื่อสัตย์มากขึ้น และกล้าทำสิ่งจำเป็นเพื่อยกวิญญาณท่านให้มีความตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นว่าจะซื่อสัตย์อย่างครบถ้วน

ประธานมอนสันเคยเตือนเราว่า “ขอให้เราเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์สุจริตไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำสิ่งใดก็ตาม”9 ท่านอาจจะติดคำแนะนำนี้ของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าไว้ในที่ซึ่งท่านจะเห็นได้บ่อยๆ

เอ็ลเดอร์โอ๊คส์แนะนำดังนี้ “เราไม่ควรใช้ขันติธรรมกับตนเอง เราควรอยู่ใต้กฎเกณฑ์ข้อเรียกร้องของสัจธรรม”10 จงอย่าอะลุ้มอล่วยกับตนเอง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24)

ข้าพเจ้าจบตรงที่เริ่มไว้ พระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์ทรงเป็นองค์สัตภาวะที่มีความซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราและพระบุตรที่รักของพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรู้จักท่านเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงรักท่าน จุดหมายของท่านในฐานะบุตรหรือธิดาของพระผู้เป็นเจ้าคือเป็นเหมือนพระองค์ เราเป็นสานุศิษย์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ขอให้เรากล้าติดตามพระองค์

อ้างอิง

  1. โธมัส เอส. มอนสัน “อำนาจฐานะปุโรหิต” เลียโฮนา พ.ค. 2011, 84.

  2. รอย ดี. วัทคิน, “I Wouldn’t Cheat,” New Era, Oct. 2006, 22–23.

  3. เยาวชนหญิง ความก้าวหน้าส่วนบุคคล (จุลสาร, 2009), 61.

  4. เจมส์ อี. เฟาสท์, “ความซื่อสัตย์—เข็มทิศทางศีลธรรม,” เลียโฮนา, ม.ค. 1997, 48.

  5. ใน แอลมา พี. เบอร์ตัน, Karl G. Maeser: Mormon Educator (1953), 71; ดู ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “Be Honest in All Behavior” (Brigham Young University devotional, Jan. 30, 1973), 4, speeches.byu.edu ด้วย

  6. ดู เจมส์ แอล. กอร์ดอน, The Young Man and His Problems (1911), 130.

  7. Brigham Young’s Office Journal, Jan. 28, 1857.

  8. เอ็ดการ์ เอ. เกสต์, “Myself,” in The Best Loved Poems of the American People (1936), 91.

  9. โธมัส เอส. มอนสัน, “ยามเราจากกัน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 146.

  10. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “สร้างสมดุลสัจธรรมและขันติธรรม,” เลียโฮนา, ก.พ. 2013, 32.