2017
การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด: รากฐานของคริสต์ศาสนาที่แท้จริง
เมษายน 2017


การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด: รากฐานของคริสต์ศาสนาที่แท้จริง

จากคำปราศรัยเรื่อง “การชดใช้” ระหว่างการสัมมนาประธานคณะเผยแผ่คนใหม่ที่ศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนาโพรโวเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2008

เราทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตและเป็นอมตะเพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

ภาพ
Savior in Gethsemane painting

เกทเสมนีโดย เจ. เคิร์ก ริชาร์ดส์

มีคนถามศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ (1805–1844) ว่า “อะไรเป็นหลักธรรมพื้นฐานของศาสนาคุณ” โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของเหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว”1

ข้าพเจ้าต้องการเป็นพยานยืนยันคำกล่าวของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ ศูนย์กลางของทั้งหมดที่เราเชื่อคือพระผู้ช่วยให้รอดของเราและการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์—“พระจริยวัตรอันอ่อนน้อมของพระผู้เป็นเจ้า” (1 นีไฟ 11:16) ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงส่งพระบุตรมาแผ่นดินโลกเพื่อทำการชดใช้ให้สำเร็จ จุดประสงค์หลักสำหรับพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์คือพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ให้สมบูรณ์ การชดใช้เป็นรากฐานของคริสต์ศาสนาที่แท้จริง

เหตุใดการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดจึงเป็นหลักธรรมพระกิตติคุณศูนย์กลางในศาสนจักรและในชีวิตเรา

หลักแห่งความเชื่อ 1:3

หลักแห่งความเชื่อข้อ 3 อ่านว่า “เราเชื่อว่าโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์, มนุษยชาติทั้งมวลจะรอดได้, โดยการเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีทั้งหลายของพระกิตติคุณ.”

“รอด” ในบริบทนี้หมายถึงการบรรลุถึงรัศมีภาพระดับสูงสุดในอาณาจักรซีเลสเชียล การฟื้นคืนชีวิตมอบให้ทุกคนที่มาแผ่นดินโลก แต่เพื่อรับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นพรอันสมบูรณ์ของความก้าวหน้านิรันดร์ แต่ละบุคคลต้องเชื่อฟังกฎ รับศาสนพิธี และทำพันธสัญญาแห่งพระกิตติคุณ

เหตุใดพระเยซูคริสต์ และพระองค์เดียวเท่านั้นจึงทรงชดใช้บาปของโลก พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติทั้งหมด

พระผู้เป็นเจ้าทรงรักและทรงวางใจพระองค์

พระเยซูประสูติจากพระบิดามารดาบนสวรรค์ในโลกก่อนเกิด พระองค์ทรงเป็นพระบุตรหัวปีของพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระองค์ทรงได้รับเลือกตั้งแต่ต้น พระองค์ทรงเชื่อฟังพระประสงค์ของพระบิดา พระคัมภีร์กล่าวบ่อยครั้งถึงปีติที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีในพระบุตร

ในมัทธิวเราอ่านว่า “และนี่แน่ะ มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 3:17)

ลูกาบันทึกว่า “แล้วมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” (ลูกา 9:35)

และที่พระวิหารในแผ่นดินอุดมมั่งคั่งหลังจากพระผู้ช่วยให้รอดฟื้นคืนพระชนม์ ผู้คนได้ยินสุรเสียงของพระบิดาดังนี้ “จงดูบุตรที่รักของเรา, ผู้ที่เราพอใจมาก” (3 นีไฟ 11:7)

ทั้งหมดนั้นทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่ออ่านว่าขณะพระเยซูทรงทนทุกข์ในสวนเกทเสมนี เนื่องด้วยความรักและเมตตาสงสารพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระบิดาจึงทรงส่งเทพมาปลอบโยนและช่วยชูกำลังพระองค์ (ดู ลูกา 22:43)

พระเยซูทรงใช้สิทธิ์เสรีเชื่อฟัง

ภาพ
Christ before the crowd

คนนี้ไงล่ะโดย เจ. เคิร์ก ริชาร์ดส์

พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราด้วยความเต็มพระทัย

ในสภาใหญ่ในสวรรค์ ลูซิเฟอร์ “โอรสแห่งรุ่งอรุณ” (อิสยาห์ 14:12; คพ. 76:26–27) กล่าวว่า

“ดูเถิด, ข้าพระองค์อยู่นี่, ทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด, ข้าพระองค์จะเป็นบุตรของพระองค์, และ ข้าพระองค์จะไถ่มนุษยชาติทั้งปวง, จนสักจิตวิญญาณหนึ่งก็จะไม่หายไป, และแน่นอนข้าพระองค์จะทำ; ดังนั้นทรงให้เกียรติของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด

“แต่, ดูเถิด, บุตรที่รักของเรา, ซึ่งเป็นที่รักและที่เลือกแล้วของเรานับแต่กาลเริ่มต้น, กล่าวแก่เรา—พระบิดา, ขอให้บังเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด, และให้รัศมีภาพเป็นของพระองค์ตลอดกาล” (โมเสส 4:1–2; ดู อับราฮัม 3:27 ด้วย)

เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระบุตรทรงมีต่อพระบิดาและต่อเราแต่ละคน พระองค์จึงตรัสว่า “ทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด” เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด” พระองค์ทรงใช้สิทธิ์เสรีของพระองค์

“เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ …

“เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก

“ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:15, 17–18)

หากพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนา เหล่าเทพคงจะรับพระองค์จากกางเขนกลับบ้านไปหาพระบิดาของพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้สิทธิ์เสรีพลีพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเรา เพื่อทำให้พระพันธกิจในความเป็นมรรตัยของพระองค์สำเร็จ และทรงอดทนจนกว่าพระชนม์ชีพจะหาไม่โดยพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ให้สำเร็จ

พระเยซูทรงต้องการเสด็จมาแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงมีคุณสมบัติคู่ควร และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 6:38)

พระเยซูทรงรับการแต่งตั้งล่วงหน้า

เปโตรสอนว่าพระเยซู “ทรงถูกกำหนดไว้ก่อนทรงสร้างโลก” (ดู 1 เปโตร 1:19–21)

ศาสดาพยากรณ์ในทุกสมัยการประทานทำนายการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์และบอกว่าพระพันธกิจของพระองค์จะเป็นอะไร โดยผ่านศรัทธาอันยิ่งใหญ่ เอโนคเห็นนิมิตอันน่าอัศจรรย์ของการประสูติ การสิ้นพระชนม์ การเสด็จขึ้นสวรรค์ และการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด

“และดูเถิด, เอโนคมองเห็นวันแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, แม้ในเนื้อหนัง; และจิตวิญญาณเขาชื่นชมยินดี, โดยกล่าวว่า : พระผู้ชอบธรรมทรงถูกยกขึ้น, และพระเมษโปดกทรงถูกประหารนับแต่การวางรากฐานของโลก …

“และพระเจ้าตรัสกับเอโนค : จงมองดูเถิด, และเขามองดูและเห็นบุตรแห่งพระมหาบุรุษถูกยกขึ้นบนกางเขน, ตามวิธีของมนุษย์;

“และเขาได้ยินเสียงอุโฆษ; และฟ้าสวรรค์ถูกม่านปิดไว้; และงานสร้างทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้าโศกเศร้า; และแผ่นดินโลกคร่ำครวญ; และศิลาแยกเป็นเสี่ยง ๆ; และวิสุทธิชนลุกขึ้น, และรับการสวมมงกุฎทางพระหัตถ์ขวาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, ด้วยมงกุฎแห่งรัศมีภาพ …

“และเอโนคมองเห็นบุตรแห่งพระมหาบุรุษเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบิดา …

“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ เอโนคมองเห็นวันแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, ในวันเวลาสุดท้าย, ที่จะทรงพำนักบนแผ่นดินโลกในความชอบธรรมเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหนึ่งพันปี” (โมเสส 7:47, 55–56, 59, 65)

ราว 75 ปีก่อนการประสูติของพระคริสต์ อมิวเล็คเป็นพยานว่า “ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, ว่าข้าพเจ้ารู้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาในบรรดาลูกหลานมนุษย์, เพื่อทรงรับเอาการล่วงละเมิดของผู้คนของพระองค์ไว้กับพระองค์, และว่าพระองค์จะทรงชดใช้บาปของโลก; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งไว้” (แอลมา 34:8)

พระเยซูทรงมีคุณสมบัติพิเศษ

ภาพ
Mary at the tomb

พวกเขาพาพระองค์ไปที่ใดโดยเจ. เคิร์ก ริชาร์ดส์

เฉพาะพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้—โดยประสูติจากมารีย์มารดามรรตัย และได้รับพลังแห่งชีวิตจากพระบิดาของพระองค์ (ดู ยอห์น 5:26) เพราะพลังแห่งชีวิตนี้ พระองค์จึงทรงเอาชนะความตาย พลังของหลุมศพไร้ผล และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้เป็นสื่อกลาง และองค์ควบคุมการฟื้นคืนพระชนม์—หนทางที่ทำให้เราทุกคนได้รับความรอดและความเป็นอมตะ เราทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตและเป็นอมตะเพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

พระเยซูทรงเต็มพระทัยชดใช้บาปดั้งเดิม

หลักแห่งความเชื่อข้อสองกล่าวว่า “เราเชื่อว่ามนุษย์จะได้รับโทษเพราะบาปของตน, และมิใช่เพราะการล่วงละเมิดของอาดัม.”

โดยผ่านการใช้สิทธิ์เสรี เราเลือกใช้ศรัทธาของเรา ด้วยความขยันหมั่นเพียรเราสามารถกลับใจ หากปราศจากการชดใช้เรากลับใจไม่ได้

ในโมเสสเราเรียนรู้ว่า “จากเหตุนี้เองมีการกล่าวขวัญไปทั่วในบรรดาผู้คน, ว่าพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าทรงชดใช้ความผิดดั้งเดิม, ซึ่งในนั้นบาปของบิดามารดาจะตอบไว้บนศีรษะของลูกไม่ได้” (โมเสส 6:54)

ใน 2 นีไฟเราได้รับคำสอนอันสำคัญยิ่งว่า

“เพราะเนื่องจากความตายมีแก่มนุษย์ทั้งปวง, เพื่อให้แผนซึ่งเต็มไปด้วยพระเมตตาของพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่เกิดสัมฤทธิผล, จึงจำเป็นต้องมีพลังแห่งการฟื้นคืนชีวิต, และการฟื้นคืนชีวิตจำเป็นต้องมาสู่มนุษย์โดยเหตุของการตก; และการตกมาโดยเหตุของการล่วงละเมิด; และเพราะมนุษย์กลายเป็นคนตกพวกเขาจึงถูกตัดขาดจากที่ประทับของพระเจ้า.

“ดังนั้น, จำเป็นต้องมีการชดใช้อันไม่มีขอบเขต—เว้นแต่จะเป็นการชดใช้อันไม่มีขอบเขตความเน่าเปื่อยนี้จะสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อยไม่ได้. ด้วยเหตุนี้, การพิพากษาแรกซึ่งมาสู่มนุษย์จำเป็นต้องคงอยู่ต่อไปเป็นเวลาอันหาได้สิ้นสุดไม่. และหากเป็นดังนั้น, เนื้อหนังนี้คงต้องนอนลงเพื่อเน่าเปื่อยและสลายสู่แผ่นดินแม่ของมัน, เพื่อจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไป” (2 นีไฟ 9:6–7)

พระเยซูทรงเป็นองค์สัตภาวะที่ดีพร้อมพระองค์เดียว

ในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “พระบิดา, ขอพระองค์ทอดพระเนตรความทุกขเวทนาและความตายของคนที่มิได้ทำบาป, ผู้ที่พระองค์พอพระทัยมาก; ขอพระองค์ทอดพระเนตรพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์ซึ่งหลั่งไว้, พระโลหิตของคนที่พระองค์ทรงมอบให้ เพื่อพระองค์เองจะทรงได้รับสรรเสริญ” (คพ. 45:4)

พระเยซูทรงเป็นมนุษย์คนเดียวที่ดีพร้อม ปราศจากบาป การพลีบูชาในพันธสัญญาเดิมหมายถึงการพลีบูชาด้วยเลือด—ชี้ไปที่การพลีบูชาพระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเราบนกางเขนเพื่อให้การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้เกิดสัมฤทธิผล เมื่อทำการพลีบูชาด้วยเลือดในพระวิหารสมัยโบราณ ปุโรหิตบูชาลูกแกะไร้ตำหนิ สมบูรณ์แบบทุกด้าน ในพระคัมภีร์บ่อยครั้งเรียกพระผู้ช่วยให้รอดว่า “พระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า” เพราะความบริสุทธิ์ของพระองค์ (ดูตัวอย่างใน ยอห์น 1:29, 36; 1 นีไฟ 12:6; 14:10; คพ. 88:106)

เปโตรสอนว่าเราได้รับการไถ่ “ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะไร้ตำหนิและไร้จุดด่างพร้อย” (1 เปโตร 1:19)

พระเยซูทรงนำเอาบาปของโลกออกไป

ข้อต่อไปนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่าโดยผ่านการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงจ่ายค่าบาปของเรา

“เราทั้งหลาย, ล้วนหลงทางไปแล้ว, ดุจดังแกะ; เราทุกคนหันไปตามทางของตนเอง; และพระเจ้าทรงวางความชั่วช้าสามานย์ของเราทุกคนไว้กับพระองค์” (โมไซยาห์ 14:6)

“แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา …

“เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์

“ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า …

“เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น” (โรม 5:8, 10–11, 19)

“ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านแบกความเจ็บไข้ของเรา และหอบโรคของเราไป” (มัทธิว 8:17)

“แต่พระผู้เป็นเจ้ามิทรงยุติการเป็นพระผู้เป็นเจ้า, และความเมตตาอ้างสิทธิ์ในผู้สำนึกผิด, และความเมตตาเกิดเพราะการชดใช้; และการชดใช้ทำให้เกิดการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย; และการฟื้นคืนชีวิตของคนตายนำมนุษย์กลับมายังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า; และดังนั้นคนทั้งหลายได้รับการนำกลับคืนมายังที่ประทับของพระองค์, เพื่อรับการพิพากษาตามงานของพวกเขา, อันเป็นไปตามกฎและความยุติธรรม …

“และด้วยเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าทรงนำมาซึ่งพระประสงค์อันสำคัญยิ่งและเป็นนิรันดร์ของพระองค์, ซึ่งทรงเตรียมไว้นับแต่การวางรากฐานของโลก. และด้วยเหตุนี้จึงเกิดความรอดและการไถ่ของมนุษย์, และความพินาศและความเศร้าหมองของพวกเขาด้วย” (แอลมา 42:23, 26)

พระเยซูทรงอดทนจนกว่าพระชนม์ชีพจะหาไม่

ภาพ
Christ on the cross

กลโกธาในวันวิปโยคโดย เจ. เคิร์ก ริชาร์ดส์

พระเยซูคริสต์ทรงอดทนต่อการทดลอง ความทุกขเวทนา การพลีบูชา และความยากลำบากของเกทเสมนี เช่นเดียวกับความปวดร้าวแห่งกลโกธาบนกางเขน จากนั้นพระองค์ตรัสในท้ายที่สุดว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระองค์ทรงทำงานในความเป็นมรรตัยสำเร็จและทรงอดทนจนกว่าพระชนม์ชีพจะหาไม่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้เสร็จสมบูรณ์

ในสวนพระองค์ตรัสว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39)

ในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาสอนเราว่า

“ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ—และปรารถนาที่เราจะไม่ต้องดื่มถ้วยอันขมขื่น, และชะงักอยู่—

“กระนั้นก็ตาม, รัศมีภาพจงมีแด่พระบิดา, และเรารับส่วนและทำให้การเตรียมของเราเสร็จสิ้นเพื่อลูกหลานมนุษย์.” (คพ. 19:18–19)

พระเยซูตรัสกับพระบิดาของพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ทำกิจที่ทรงให้ข้าพระองค์ทำนั้นสำเร็จแล้ว” (ยอห์น 17:4)

จากนั้น บนกางเขน “เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า สำเร็จแล้ว และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์” (ยอห์น 19:30)

พระเยซูเสด็จมาแผ่นดินโลก ทรงรักษาความเป็นพระเจ้าของพระองค์ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงสามารถพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ และทรงอดทนจนกว่าพระชนม์ชีพจะหาไม่

ระลึกถึงพระองค์ผ่านศีลระลึก

ปัจจุบันเราระลึกถึงการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยเครื่องหมายของขนมปังและน้ำ—สัญลักษณ์แห่งพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์—ตามที่กำหนดไว้ ณ พระกระยาหารมื้อสุดท้ายกับอัครสาวกของพระองค์

“พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักส่งให้แก่พวกเขาตรัสว่า นี่เป็นกายของเราซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา

“เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา” (ลูกา 22:19–20)

ใน ยอห์น 11:25–26 เราอ่านว่า

“เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป

“และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย”

เราอ่านด้วยว่า “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” (ยอห์น 6:51)

“ชีวิตของโลก” หมายถึงชีวิตนิรันดร์

เราต้องเตรียมตัวเราและครอบครัวเราทุกสัปดาห์ให้มีค่าควรรับส่วนศีลระลึกและต่อพันธสัญญาของเราด้วยใจที่กลับใจ

พระบิดาและพระบุตรทรงรักเรา

ภาพ
Resurrected Christ

อย่าสงสัย โธมัสโดย เจ. เคิร์ก ริชาร์ดส์

พระบิดาทรงส่งพระบุตรมาแผ่นดินโลก—พระจริยวัตรอันอ่อนน้อม—เพื่อยอมให้พระองค์ถูกตรึงกางเขนและประสบกับสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ต้องประสบ ในยอห์นเราอ่านว่า

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา

“ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” (ยอห์น 14:6–7)

“ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเราและทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” (1 ยอห์น 4:10)

เครื่องบูชา หมายถึงการคืนดีหรือการยอมสละ

สรุป

ทุกคนที่มาแผ่นดินโลกและได้รับร่างกายมรรตัยจะฟื้นคืนชีวิต แต่เราต้องทำงานเพื่อให้ได้รับพรแห่งความสูงส่งผ่านความซื่อสัตย์ สิทธิ์เสรี การเชื่อฟัง และการกลับใจของเรา เมื่อเรากลับใจ เราจะได้รับความเมตตาพร้อมกับความยุติธรรม

เพราะเราเลือกติดตามและยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ของเรา เราจึงรับพระนามของพระองค์ที่บัพติศมา เรายอมรับกฎแห่งการเชื่อฟัง เราสัญญาว่าเราจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราต่อพันธสัญญาของเราเมื่อเรารับส่วนศีลระลึก

โดยต่อพันธสัญญาของเรา เราได้รับสัญญาว่าจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา หากเรายอมให้พระวิญญาณของพระองค์เข้ามาในชีวิตเราและนำชีวิตเรา เราจะสามารถกลับไปที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นแผนแห่งความสุขของพระองค์สำหรับเรา—แผนแห่งความรอด

อ้างอิง

  1. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 52.