พระกิตติคุณและ ชีวิตที่ดี
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ชีวิตที่ดี” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮ วันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ web.byui.edu/devotionalsandspeeches
ในสภาวการณ์เลวร้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างพังทลาย ครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือสิ่งจำเป็น
หลายคนพูดถึงความเครียดของการไล่ล่าความฝันและสิ่งที่พวกเขาปรารถนา ข้าพเจ้ายอมรับเป้าหมายเหล่านั้น แต่ปรารถนาจะให้ท่านตรึกตรองจุดประสงค์ที่ใหญ่กว่านั้นในชีวิตท่าน
ความสำนึกคุณต่อพร
ก่อนอื่น ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะสำนึกคุณต่อพรของท่าน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกของท่าน ความสำนึกคุณและความอ่อนน้อมถ่อมตนเกี่ยวข้องกันมาก เราอยู่ในยุคที่ถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสามารถใช้สื่อสังคมส่งเสริมตนเองได้ง่าย ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการสำนึกคุณและอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้ที่ครอบครองคุณลักษณะสองอย่างนี้แสดงถึงความซาบซึ้งใจต่อพรของพวกเขาขณะพวกเขาทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด
โรเจอร์ บี. พอร์เตอร์เพื่อนข้าพเจ้าเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและเป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรกล่าวในพิธีรับปริญญาที่ฮาร์วาร์ดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 ว่าความสำนึกคุณ “เรียกร้องให้เรายอมรับว่าเราเป็นหนี้ผู้อื่น” และ “มักเกี่ยวข้องเสมอกับการน้อมรับของขวัญที่ได้มาโดยไม่ต้องซื้อหาหรือไม่พึงได้รับ” เขาทิ้งท้ายว่า “ถ้าคุณเลือกยอมให้ความสำนึกคุณเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตคุณ นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ จะช่วยคุณต่อต้านการล่อลวงให้ยอมจำนนต่อความจองหองและถลำไปในความรู้สึกว่าตนมีสิทธิ์ จะช่วยให้คุณมองเห็นคนดีและยอมรับคนคิดบวก จะช่วยให้คุณเข้าใจความขรุขระบนถนนและความยากลำบากที่คุณจะเผชิญครั้งแล้วครั้งเล่า จะช่วยให้คุณใส่ใจคนที่โชคดีน้อยกว่าคุณผู้ที่คุณสามารถเป็นพรแก่ชีวิตพวกเขาได้”1
ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าเราต้องสำนึกคุณเป็นพิเศษต่อมรดกของเรา เมื่อเราได้รับพรให้มีบิดามารดาผู้ประเสริฐ เราควรสำนึกคุณ ทั้งหมดนี้คือหนี้ที่เราแต่ละคนมีต่อมรดกของเรา ภาษิตเก่าแก่ของจีนกล่าวว่า “เมื่อท่านดื่มน้ำ อย่าลืมบ่อที่ให้น้ำนั้น”
พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าเราต้องให้เกียรติบิดามารดา สุภาษิตกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย จงเฝ้ารักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งคำสอนของแม่เจ้า” (สุภาษิต 6:20) เอเฟซัสสอนเราว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” (ดู เอเฟซัส 6:2–3; ดู อพยพ 20:12ด้วย) เกอเธ่นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันกล่าวทำนองนี้ “สิ่งที่ท่านยืมมาจากมรดกของบรรพบุรุษ จงหาใหม่เพื่อจะได้ครอบครองอย่างแท้จริง!”2 เห็นชัดเจนว่าเราต้องสำนึกคุณบิดามารดาและลงมือทำอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกท่านหวังจะมอบให้เรา
หลักธรรมนิรันดร์ตรงข้ามกับปรัชญาทางโลก
นอกจากกระตุ้นให้ท่านมีความสำนึกคุณแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์จะแบ่งปันคำแนะนำบางประการที่ปฏิบัติได้จริงซึ่งอาจจะช่วยให้ท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงชีวิตที่มีความหมาย ซึ่งมักจะเรียกกันว่า “ชีวิตที่ดี”
ในบทความเมื่อเร็วๆ นี้ ลอร์ดโจนาธาน แซคส์ อดีตหัวหน้าผู้นำศาสนายิวของ United Hebrew Congregations of the British Commonwealth พูดถึงข้อกังวลที่ข้าพเจ้ามีเกี่ยวกับบทบาทที่ลดลงของศาสนา ค่านิยมทางศีลธรรม และความหมายในชีวิตปัจุบัน เขากล่าวว่า
“หากมีสิ่งหนึ่งที่สถาบันใหญ่ของโลกปัจจุบันไม่ทำ สิ่งนั้นคือการให้ความหมาย …
“วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลาดเสรี และ … รัฐประชาธิปไตยเปิดทางให้เราบรรลุผลสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงในความรู้ เสรีภาพ ความคาดหวังและความมั่งคั่งของชีวิต สิ่งเหล่านั้นรวมอยู่ในบรรดาสัมฤทธิผลสูงสุดของอารยธรรมมนุษย์ที่ต้องปกป้องและหวงแหน
“แต่นั่นไม่ตอบคำถามสามข้อที่คนช่างคิดทุกคนจะถามบ้างเป็นบางครั้งในชีวิตเขาว่า ฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่นี่ทำไม ต่อจากนี้ฉันจะมีชีวิตอย่างไร ผลคือศตวรรษที่ 21 ทิ้งทางเลือกไว้ให้เรามากที่สุดและทิ้งความหมายไว้ให้เราน้อยที่สุด”3
ข้อความอ้างอิงข้างต้นแสดงสาระของข่าวสารข้าพเจ้าไว้อย่างสวยหรู ข้าพเจ้าเป็นห่วงอย่างยิ่งที่ชีวิตที่ดีบนพื้นฐานพระชนม์ชีพและคำสอนของพระเยซูคริสต์บัดนี้เป็นรองจากโลกทัศน์เกี่ยวกับชีวิตที่ดี
สำหรับพวกเราเหล่าสมาชิกของศาสนจักร พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการชดใช้ของพระองค์เป็นรากฐานสำหรับทั้งหมดที่จำเป็นอีกทั้งนำความหมายมาสู่ชีวิตนี้ด้วย พระผู้ช่วยให้รอดทรงดลใจให้เกิดความเชื่อและมาตรฐานความประพฤติที่กำหนดไว้ว่าอะไรถูกศีลธรรม ชอบธรรม พึงปรารถนา และส่งผลให้เกิดชีวิตที่ดี อย่างไรก็ตาม หลักธรรมและศีลธรรมพื้นฐานที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนกำลังถูกโจมตีอย่างรุนแรงในโลกปัจจุบัน คริสต์ศาสนาถูกโจมตีเช่นกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคล็ดลับสำหรับชีวิตที่ดีเป็นเรื่องถกเถียงกันมาหลายศตวรรษ เมื่ออัครสาวกเปาโลอยู่ในกรุงเอเธนส์ เขาเผชิญหน้า “ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคู- เรียนและในพวกสโตอิก” (กิจการของอัครทูต 17:18) พวกสโตอิกเชื่อว่าความดีสูงสุดคือคุณงามความดี ส่วนพวกเอ- ปิคูเรียนเชื่อว่าความดีสูงสุดคือความพึงพอใจ พวกสโตอิกจำนวนมากกลายเป็นคนหยิ่งจองหองและใช้ปรัชญาของตนเป็น “วิธีส่งเสริม … ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความชั่วช้าสามานย์” พวกเอปิคูเรียนจำนวนมากกลายเป็นคนเจ้าสำราญผู้ถือคติพจน์ที่ว่า “จงกินจงดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็ตาย”4 คนมากมายในโลกวิชาการชี้ให้เห็นมานานแล้วว่าการสนับสนุนฌาณปัญญาของอริสโตเติลเป็นพิมพ์เขียวสำหรับชีวิตที่ดี น่าสนใจตรงที่ว่าปรัชญาทางโลกที่เหมือนกันนี้ซึ่งขัดแย้งกับคริสต์ศาสนายุคแรกยังมีอยู่มากมายในทุกวันนี้ในรูปแบบที่ต่างจากเดิมเล็กน้อย
นอกจากนี้ ปรัชญาใหม่ๆ มากมายขัดแย้งโดยตรงกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นี่เกิดขึ้นเร็วมาก ภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์มอรมอนคือ “ในเวลาเพียงไม่กี่ปี” (ฮีลา- มัน 7:6) ขณะนี้ชาวโลกส่วนใหญ่เรียก “ความชั่วว่าดี, และความดีว่าชั่ว” (2 นีไฟ 15:20) อันที่จริง วลีในพระคัมภีร์สองวลีนี้สะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสมัยของเรา สิ่งที่ถือว่าถูกศีลธรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการออกห่างอย่างไม่น่าเชื่อจากความประพฤติตามหลักศีลธรรมอันเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี บางคนดูหมิ่นคริสต์ศาสนาโดยยอมรับคำลวงโลกที่ว่าในคริสต์ศาสนา ความสุขไม่เกี่ยวกับชีวิตนี้แต่เกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น5 ข้าพเจ้ารับรองกับท่านว่าการทำตามพระผู้ช่วยให้รอดนำความสุขเข้ามาในชีวิตนี้ และ ในสวรรค์
คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญตรงข้ามกับคุณงามความดีในประวัติส่วนตัว
เรื่องท้าทายบางเรื่องไม่เพียงเกี่ยวกับความดีและความชั่วเท่านั้น บางอย่างเรียกร้องให้เราทำการเลือกโดยยึดหลักอะไรดีที่สุด ไม่ใช่แค่อะไรดี6
เดวิด บรูคส์ให้แนวคิดในบทความชื่อ “The Moral Bucket List” ว่ามี “คุณงามความดีสองแบบ คุณงามความดีในประวัติส่วนตัวกับคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญ คุณงามความดีในประวัติส่วนตัวคือทักษะที่ท่านนำเข้าสู่ท้องตลาด คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญคือคุณงามความดีที่คนกล่าวถึงในงานศพของท่าน”7 บรูคส์สรุปอย่างถูกต้องว่าคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญสำคัญกว่ามาก นี่มีความหมายต่อข้าพเจ้ามากเพราะข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์เมื่ออยู่ในวัยยี่สิบห้าซึ่งมีผลลึกซึ้งต่อข้าพเจ้า ประสบการณ์นี้เกี่ยวข้องกับงานศพของคนดีสองคนที่เกิดขึ้นห่างกันไม่กี่วัน นี่เป็นเรื่องจริง แต่ข้าพเจ้าเปลื่ยนชื่อและตั้งใจจะปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่าง
ข้าพเจ้าอายุ 25 ปี สำเร็จการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเพิ่งเริ่มอาชีพทนาย ข้าพเจ้าใช้โลกของวันทำงานไปกับคนมีการศึกษาสูงผู้สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย พวกเขาเป็นคนมีน้ำใจ และโดยทั่วไปเป็นคนมีเสน่ห์และมีมารยาท
สมาชิกศาสนจักรที่ข้าพเจ้าคบหาต่างจากพวกเขามาก สมาชิกส่วนใหญ่มีสมบัติทางโลกเล็กน้อย พวกเขาเป็นคนดีมาก และส่วนใหญ่มีความหมายในชีวิต ตอนนี้เองที่ชายวัยเกษียณสองคนสิ้นชีวิต ข้าพเจ้ารู้จักพวกเขามานานหลายปี งานศพของพวกเขาจัดห่างกันเพียงไม่กี่วัน และข้าพเจ้าเดินทางไปร่วมทั้งสองงาน ข้าพเจ้าขอเรียกคนหนึ่งว่าคุณมั่งคั่งและเรียกอีกคนหนึ่งว่าคุณซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจำงานศพของทั้งสองได้อย่างแม่นยำเพราะพวกเขาแสดงให้เห็นความสำคัญของการเลือกที่ทุกคนมีอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุยังน้อย พวกเขาแสดงให้เห็นความซับซ้อนของการแยกแยะระหว่างคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวกับคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญเช่นกัน
สมัยเป็นหนุ่ม ทั้งคุณมั่งคั่งและคุณซื่อสัตย์รับใช้งานเผยแผ่ ตามคำบอกเล่า พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้สอนศาสนาที่ทุ่มเทมาก หลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตพวกเขาเริ่มผกผัน คุณมั่งคั่งแต่งงานกับสาวสวยที่ต่อมาแข็งขันน้อยในศาสนจักร คุณซื่อสัตย์แต่งงานกับสาวสวยทัดเทียมกันแต่แข็งขันเต็มที่ในศาสนจักร การตัดสินใจครั้งนี้ตีกรอบการตัดสินใจที่เหลือของชีวิตพวกเขามากกว่าปัจจัยอื่น ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า เมื่อคู่สามีภรรยายังคงแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพระผู้ช่วยให้รอดและความสำคัญนิรันดร์ของครอบครัว คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญมักจะคงอยู่เสมอ
ตอนนี้ข้าพเจ้าจะพูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณมั่งคั่ง เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นและห่วงใยผู้อื่นมาก เขาเริ่มทำงานกับบริษัทใหญ่ของสหรัฐและสุดท้ายได้เป็นประธานบริษัทนั้น เขามีรายได้งามและอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่หลังงามบนเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล นั่นคือสาเหตุที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเรียกเขาว่าคุณมั่งคั่ง พูดได้ว่าการเลือกอาชีพของเขาไม่ใช่แค่ดีหรือดีกว่าแต่ดีที่สุด
แต่การเลือกด้านครอบครัวและศาสนจักรของเขาไม่ดีเลย เขาเป็นคนดีและไม่ได้เลือกทำชั่วแต่อย่างใด แต่การเลือกด้านครอบครัวและอิทธิพลต่อลูกๆ เกือบทั้งหมดเน้นที่การศึกษาและงานอาชีพ หลักๆ คือเน้นคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวที่มีค่ามากในท้องตลาด บุตรชายของเขาเริ่มงานอาชีพที่ดีมาก แต่พวกเขาไม่แข็งขันในศาสนจักร พวกเขาแต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่เป็นสมาชิก ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับบุตรชายของเขา แต่การแต่งงานของทุกคนลงเอยด้วยการหย่าร้าง
คุณมั่งคั่งกับภรรยากลายเป็นสมาชิกแข็งขันน้อย พวกเขามีประวัติดีในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมชุมชน เขาถือเสมอว่าตนเป็นแอลดีเอสและภูมิใจกับงานเผยแผ่ของเขา แต่เขาไม่ไปโบสถ์ เขาจะบริจาคเงินให้โครงการก่อสร้างของศาสนจักรเป็นครั้งคราวและช่วยเหลือสมาชิกแอลดีเอสในอาชีพการงานของคนเหล่านั้น นอกจากนี้เขายังเป็นอิทธิพลเรื่องความซื่อสัตย์ ความสุจริต และไมตรีจิตในทุกตำแหน่งของเขาด้วย
งานศพของเขาจัดที่โบสถ์ไม่สังกัดนิกายที่สุสานแห่งหนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงและบุคคลสำคัญจำนวนมากมาร่วมงานศพ รวมทั้งผู้ว่าการรัฐที่เขาอยู่ ทุกคนที่มาร่วมงานศพอายุเลย 50 ปียกเว้นลูกหลานของเขาและข้าพเจ้า โดยรวมแล้วถือว่าเป็นงานศพที่เศร้าหมอง ไม่มีการสอนหลักธรรมพื้นฐานของแผนแห่งความสุข และกล่าวถึงพระเยซูคริสต์เพียงเล็กน้อย ชีวิตของคุณมั่งคั่งอาศัยคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวแทบจะทั้งหมด
การตัดสินใจเรื่องอาชีพของคุณซื่อสัตย์ประสบผลสำเร็จน้อยกว่ามาก ธุรกิจเล็กๆ ที่เขาทำเป็นงานแรกล้มเหลวเมื่อธุรกิจถูกไฟไหม้และเขาสูญเสียทุกอย่าง ต่อมาเขาตั้งธุรกิจเล็กๆ แต่แทบทำเงินไม่ได้เลย เขามีบ้านหลังเล็กแต่พอเหมาะ เขามีความสุขกับงานของเขาและการปฏิบัติสัมพันธ์กับผู้คน อาชีพของเขาดีและน่าพอใจแต่ไม่โดดเด่นหรือไม่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุด อาชีพของเขาไม่ใช่คุณงามความดีในประวัติส่วนตัว
ในทางกลับกัน การเลือกครอบครัวและศาสนจักรของเขาเป็นการเลือกที่ดีที่สุด เขากับภรรยาแข็งขันเต็มที่ในศาสนจักร เขารับใช้ตามที่ได้รับเรียก บ่อยครั้งเป็นครู เขาเข้าพระวิหารบ่อยๆ และเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ เขามีความสัมพันธ์อันดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวใหญ่และหลานๆ หลายคนของเขา พวกเขาทุกคนมีการศึกษาดี แต่ที่เขาเน้นมากที่สุดคือการดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ ในวัยเกษียณ เขากับภรรยารับใช้งานเผยแผ่ด้วยกัน แม้จะประสบการทดลอง รวมทั้งการเสียชีวิตของบุตรชายคนหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เขาได้รับความพึงพอใจและปีติตลอดชีวิตเพราะจุดประสงค์และความหมายที่ได้จากครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
งานศพของเขาในอาคารประชุมวอร์ดใหญ่โตและเปี่ยมด้วยปีติ คนทุกวัยเข้าร่วม รวมทั้งหลานกลุ่มใหญ่และคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เขารับใช้ มีการสอนแผนแห่งความสุขและพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นศูนย์รวมของพิธี นั่นเป็นงานศพที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพึงถือเป็นแบบอย่าง ผู้พูดกล่าวถึงอุปนิสัย ความมีน้ำใจ ความห่วงใยผู้อื่น ศรัทธาและความรักที่เขามีต่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์
การเลือกและชีวิตที่ดี
ข้าพเจ้าบอกไปแล้วว่างานศพของสองคนนี้เกิดขึ้นตรงจังหวะพอดี ข้าพเจ้ารับใช้งานเผยแผ่มาแล้ว และข้าพเจ้ารักศาสนจักร ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มอาชีพและประทับใจกับคนที่มีความสำเร็จทางโลกและงานอาชีพ ข้าพเจ้าทราบดีว่าการเลือกที่ข้าพเจ้าทำจะกำหนดความสุขของข้าพเจ้าในชีวิตนี้และมรดกที่ข้าพเจ้าจะทิ้งไว้ ข้าพเจ้าทราบดีเช่นกันถึงความสำคัญนิรันดร์ของการเลือกที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นชัดเจนว่าการเลือกมีความสำคัญนิรันดร์ สิ่งที่มีความสำคัญต่อข้าพเจ้ามากที่สุดเกี่ยวกับชีวิตที่เพิ่งพูดถึงคือข้าพเจ้าทราบดีว่าทุกคนสามารถทำการเลือกที่สำคัญที่สุดได้ โดยไม่คำนึงถึงพรสวรรค์ ความสามารถ โอกาส หรือสภาพเศรษฐกิจของพวกเขา ข้าพเจ้าทราบดีว่าสำหรับข้าพเจ้า ลูกๆ ในอนาคต และทุกคนที่ข้าพเจ้าจะมีโอกาสเป็นอิทธิพลต่อพวกเขา การให้พระผู้ช่วยให้รอด ครอบครัวของข้าพเจ้า และศาสนจักรมาก่อนถึอว่าจำเป็น การทำเช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดชีวิตที่ดี
ในสภาวการณ์เลวร้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างพังทลาย ครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือสิ่งจำเป็น ลองนึกถึงท่านบิดาลีไฮในพระคัมภีร์มอรมอนที่บรรยายว่าท่าน “ออกไปในแดนทุรกันดาร. และท่านทิ้งบ้านท่าน, และแผ่นดินแห่งมรดกของท่าน, และทองของท่าน, และเงินของท่าน, และของมีค่าของท่าน, และมิได้เอาสิ่งใดไปกับท่านเลย, นอกจากครอบครัวท่าน” (1 นีไฟ 2:4)
คนรุ่นนี้มีความท้าทายให้ปกป้องศรัทธาและครอบครัว นักวิจัยคนหนึ่งนึกย้อนไปไกลถึงอินเดียและกรีซสมัยโบราณ เขาสรุปว่าประชากรที่ไม่มีศาสนาทุกที่ในประวัติศาสตร์ล้วนประสบกับจำนวนประชากรลดน้อยถอยลง8 เมื่อเร็วๆ นี้สื่อมวลชนเน้นเรื่องอัตราการเกิดที่ลดลงมากในโลกปัจจุบัน Wall Street Journal ประกาศในบทความหน้าแรกชื่อ “The World’s New Population Time Bomb: Too Few People.” บทความบอกว่าในปี 2016 “เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1950 … ประชากรวัยทำงานลดลง”9
การขาดศรัทธาและการลดลงของประชากรเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัด แผนนิรันดร์ของพระบิดาสำหรับบุตรธิดาของพระองค์ขึ้นอยู่กับศรัทธาและครอบครัว ในการสำรวจหลายต่อหลายครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายจรรโลงศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และยังคงแต่งงานและมีบุตร
บางคนอาจไม่มีโอกาสแต่งงานหรือมีบุตร แต่คนที่ทำตามพระผู้ช่วยให้รอดและพระบัญญัติอย่างชอบธรรม—ผู้ที่รับใช้บุตรธิดาของพระบิดาโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย—“จะได้รับพรที่สัญญาไว้ในนิรันดร”10
เมื่อเราประสบความยุ่งยากและการทดลองของชีวิต เหตุการณ์มากมายเที่เราควบคุมได้เล็กน้อยหรือไม่ได้เลยเกิดขึ้นเสมอ แต่ในเรื่องของหลักธรรม ความประพฤติ การถือปฏิบัติศาสนา และการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมนั้น เราควบคุมได้ ศรัทธาของเราและการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์เป็นการเลือกที่เราทำ
เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ (1926–2004) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอ้างอิงคำพูดของวิลเลียม ลอว์บาทหลวงชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 โดยกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดดังนี้ “หากท่านไม่เลือกอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าก่อน สุดท้ายสิ่งที่ท่านเลือกแทนจะไม่ส่งผลใดๆ เลย”11
โปรดเข้าใจว่าในการเล่าเรื่องจริงของชายสองคนที่ข้าพเจ้าเรียกว่าคุณมั่งคั่งกับคุณซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้สนใจเป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาหรืออาชีพน้อยลง แต่ตรงกันข้าม เราควรทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อส่งเสริมความสำเร็จในสองด้านนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังบอกคือเมื่อเรายกเป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาและอาชีพให้อยู่เหนือครอบครัว ศาสนจักร และประจักษ์พยานในพระผู้ช่วยให้รอด ผลร้ายที่ไม่ตั้งใจของการเน้นคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวมากเกินไปจะเกิดขึ้นแน่นอน
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านจะได้รับปีติและความสุขที่ท่านปรารถนาและที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ท่านหากท่านปฏิบัติดังนี้
-
สำนึกคุณต่อพรของท่าน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกของท่าน
-
ปฏิบัติหลักธรรมนิรันดร์ที่จะนำความหมายมาสู่ชีวิตท่าน
-
ตั้งใจว่าจะให้คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญอยู่เหนือคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวของท่าน
-
พร้อมจะรายงานพระผู้ช่วยให้รอดว่าท่านดำเนินชีวิตดีแล้ว
การพบกันครั้งสำคัญที่สุดที่เราแต่ะคนจะมีในอีกด้านหนึ่งของม่านคือการพบกับพระผู้ช่วยให้รอด “องค์ทวารบาล” (2 นีไฟ 9:41) ไม่ว่าบรรพชนของเราเป็นใครและเราร่ำรวยหรือยากจน เราจะต้องรายงานเรื่องการปฏิบัติตามพระบัญญัติที่เราได้รับ เราควรดำเนินชีวิตจนเราสามารถ “เข้าประตูของพระองค์ด้วยการขอบพระคุณและเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์” (สดุดี 100:4)
เราจะต้องการรายงานอย่างเบิกบานใจว่าเราดำเนินชีวิตดีแล้วจริงๆ