ประธานโธมัส เอส. มอนสัน

(1927–2018)

ศาสดาพยากรณ์และเพื่อน


ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ผู้รับใช้เป็นประธานศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุดตั้งแต่ ค.ศ. 1985 ถึง ค.ศ. 2008 และเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองตั้งแต่ ค.ศ. 1963 ถึง ค.ศ. 1985 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2018 ฟรานเซสภรรยาของท่านถึงแก่กรรมก่อนท่านในปี ค.ศ. 2013 ท่านทั้งสองมีบุตรธิดาสามคน

ประธานโธมัส เอส. มอนสัน

ผู้ป่วยห้องฉุกเฉินดูเหมือนพร้อมจะออกจากโรงพยาบาล แต่แพทย์ในซอลท์เลคซิตี้และเจ้าหน้าที่ของเขารู้สึกลังเล แม้การรักษาเสร็จสิ้นและผู้ป่วยฟื้นตัวเต็มที่ แต่สภาพภายนอกที่ดูรุงรังไม่เรียบร้อยและสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มั่นคงทำให้แพทย์เป็นห่วง “คุณมีใครในครอบครัว หรือเพื่อนคนไหนที่พอจะช่วยดูแลคุณต่อไปหรือเปล่า” แพทย์ถาม “ไม่มีเลยครับ” คนไข้ตอบ จนกระทั่งเขานึกออก “ที่จริงผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ดูแลผมบางครั้งครับ เขาชื่อทอม มอนสัน”2

ประธานโธมัส เอส. มอนสันโบกมือทักทายหลังการประชุมใหญ่สามัญภาคหนึ่งของเดือนเมษายน ค.ศ. 2013

ประธานโธมัส สเป็นเซอร์ มอนสันเป็น “เพื่อนพิเศษของคนด้อยโอกาส” และเป็นเพื่อนชั่วชีวิตของ “คนสิ้นเนื้อประดาตัว”3 ตลอดชีวิตท่าน รวมทั้งสามสิบกว่าปีของความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในฐานะสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด ท่านทำให้การเยี่ยมเยียนเพื่อนสูงวัยและคนแปลกหน้ามีความสำคัญมากกว่าอย่างอื่น แม้ถึงกับออกจากการประชุมครั้งสำคัญ เมื่อได้รับการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณไปให้พรฐานะปุโรหิตแก่เด็กที่เจ็บป่วย เมื่อท่านไปดูการแข่งขันกีฬาระดับอาชีพ แทนที่จะชวนมิตรสหายที่มีชื่อเสียงหรือข้าราชการไปด้วย ท่านกลับพาเพื่อนที่โตมาด้วยกันในละแวกยากจนไปแทน ท่านติดป้ายชื่อ “ทอม มอนสัน” ไปร่วมงานคืนสู่เหย้าโรงเรียนมัธยมปลายเวสต์ทุกครั้ง ตามคำกล่าวของบุตรชายคนหนึ่งของโธมัส มอนสัน ท่าน “ไม่เลือกปฏิบัติตามสถานภาพทางสังคม ความมีหน้ามีตา หรือความสำเร็จที่โดดเด่นของบุคคลนั้น เพื่อนผู้ยากจนตั้งแต่ 50 ปีก่อนจะได้รับความสนใจเท่าเทียมกัน—หรือมากกว่า—ผู้ว่าการ วุฒิสมาชิก หรือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง”4

IP-918533

ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ภาพถ่ายโดย ทอม สมาร์ท, Deseret News

ผู้คนในสถานภาพชั้นสูงและคนทั่วไปตลอดจนมิตรสหายและผู้สนับสนุนหลายล้านคนทั้งในและนอกศาสนจักรต่างสูญเสียเพื่อนที่ภักดีอันเนื่องด้วยมรณกรรมของประธานศาสนจักรคนที่ 16 ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ประธานมอนสันยืนยันว่า “ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือของพระเจ้าเสมอ และข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือนั้นตลอดเวลา”5 ท่านฝากงานบริหารไว้เบื้องหลัง ที่เห็นเด่นชัดคือการยื่นมือช่วยเหลือชาวโลกผ่านความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม เว็บเพจศาสนจักรที่สร้างความโปร่งใสมากขึ้นและช่วยให้สมาชิกเข้าใจประเด็นที่ซับซ้อน การรณรงค์ด้านประชาสัมพันธ์ที่มุ่งช่วยเหลือชาวโลกให้เข้าใจศาสนจักร และการสร้างสรรค์นวัตกรรมมากมายที่มุ่งขยายงานแห่งความรอด หนึ่งในนั้นคือการลดอายุที่ชายหนุ่มและหญิงสาวจะสามารถรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา การเพิ่มวิธีที่ผู้สอนศาสนาจะติดต่อกับผู้อื่นได้ (รวมถึงการใช้เทคโนโลยี) และการประชุมเชิงอภิปรายทางออนไลน์เพื่อให้ผู้นำศาสนจักรและสมาชิกได้สนทนากันต่อหน้าจริงๆ ในช่วงที่่ท่านดำรงตำแหน่ง ศาสนจักรจัดพิมพ์หนังสือคู่มือเล่มใหม่ที่เน้นการเป็นสานุศิษย์แบบชาวคริสต์ งานประวัติครอบครัวซับซ้อนน้อยลง ทำให้การค้นคว้าและการส่งชื่อไปพระวิหารเพื่อทำพิธีบัพติศมาและศาสนพิธีแห่งความรอดอื่นๆ แทนผู้วายชนม์ง่ายขึ้น

ประธานโธมัส เอส. มอนสันโน้มตัวมาจับมือกับเด็กชายคนหนึ่งหลังจบภาคการประชุมใหญ่สามัญภาคหนึ่งของเดือนเมษายน ปี 2013 ภาพถ่ายโดย ออกัสต์ มิลเลอร์, Deseret News

แม้ประธานมอนสันจะบรรลุผลสำเร็จในการทำงานสำคัญมากมาย แต่แทบไม่มีใครแย้งว่ามรดกสำคัญที่สุดของท่านคือแบบอย่างอันทรงพลังของท่านเอง พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ท่านชื่นชอบเป็นพิเศษอยู่ใน กิจการของอัครทูต 10:38 กล่าวว่าเยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” เรามักจะพบประธานมอนสันทำคุณประโยชน์ในวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงชักชวนให้เราทำเสมอ อาทิ ให้อาหารคนหิวโหย ต้อนรับคนแปลกหน้า ให้เสื้อผ้าคนเปลือยกาย เยี่ยมคนเจ็บป่วย และเข้าไปในคุกของความอ้างว้างสิ้นหวังที่มักจะกักขังคนไร้ญาติขาดมิตร (ดู มัทธิว 25:34–40) ความมีมนุษยธรรมของท่าน การเน้นที่คนมากกว่าโปรแกรม และการอุทิศตนทำตามพระวิญญาณทำให้นักข่าวคนหนึ่งผู้เขียนบทความเกี่ยวกับประธานมอนสันมาหลายทศวรรษเขียนว่า “ผมแทบจะไม่เคยพบใครที่พยายามมากขนาดนั้นเพื่อหนุนใจ ปลอบใจ ปลอบขวัญ และให้กำลังใจผู้อื่น”6 ชั่วชีวิตที่เต็มไปด้วยครอบครัว ความยากลำบาก โอกาส และที่แน่ๆ คือการรับใช้ช่วยสร้างมรดกตกทอดที่พึงยึดถือเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติศาสนกิจเหมือนพระคริสต์ของโธมัส เอส. มอนสัน


บ้านที่โอบอ้อมอารี

ตรงมุมถนน 500 เซาธ์และ 200 เวสต์ ไม่ไกลจากรางรถไฟที่แล่นผ่านซอลท์เลคซิตี้ จอร์จ สเป็นเซอร์และเกลดีส คอนดี มอนสันเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ห้อมล้อมไปด้วยญาติๆ ของเกลดีสซึ่งเป็นลูกหลานของผู้บุกเบิกจากสกอตแลนด์ ปู่ย่าตายายของจอร์จเข้าร่วมศาสนจักรในสวีเดนและอังกฤษก่อนอพยพมาอเมริกาและตั้งรกรากในซอลท์เลคซิตี้ วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1927 โธมัส สเป็นเซอร์ มอนสัน บุตรชายคนแรกและลูกคนที่สองของจอร์จกับเกลดีสเกิด พวกเขาตั้งชื่อท่านตามโธมัส ชาร์ป คอนดีคุณตาและบิดาของท่าน

จอร์จ สเป็นเซอร์และเกลดีส คอนดี มอนสัน บิดามารดาของโธมัส เอส. มอนสัน

ครอบครัวมอนสันแสดงความรักต่อคนรอบข้างและคนอื่นๆ อีกมากมายเช่นกัน การมาเยือนของคนหิวโหยที่เร่ร่อนอยู่ทั่วเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกในละแวกนั้น เกลดีส มอนสันต้อนรับและเลี้ยงอาหารคนเหล่านั้น “ประหนึ่งแต่ละคนเป็นแขกรับเชิญ” ประธานมอนสันเล่าในเวลาต่อมา7 ทุกวันอาทิตย์ เธอส่งอาหารเย็นไปให้ “ลุงบ็อบ” ซึ่งอยู่บ้านใกล้กันด้วย ทุกครั้งที่ทอมนำอาหารไปส่ง เขามักจะหยิบเงินมาให้ทอมสิบเซ็นต์ “ผมรับเงินไม่ได้หรอกครับ” ทอมตอบอย่างใช้ความคิด “คุณแม่จะได้เฆี่ยนผมปะไร8 ในวันอาทิตย์บางครั้งบิดาของทอมจะแบกลุงเอเลียสพี่ชายที่ทุพพลภาพจากโรคไขข้ออักเสบไปขึ้นรถยนต์คันเก่าปี 1928 ของเขาโดยมีทอมเดินตามหลัง และขับพาเขาไปรอบๆ เมือง

“ในช่วงนี้ของชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าประทับใจมากกับการกระทำของคุณพ่อคุณแม่” ประธานมอนสันกล่าว “ข้าพเจ้าทราบว่าพวกท่านแทบไม่เคยขาดโบสถ์”9 ท่านนึกถึงความใจกว้างและความมีไมตรีจิตเช่นกัน “ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินคุณพ่อพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ อันที่จริง ท่านจะไม่อยู่ในห้องนั้นถ้ามีคนพูดดูหมิ่นหรือพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ”10

ไม่แปลกที่เจตคติและการกระทำเหล่านี้เริ่มมีผลดีต่อทอม แม้จะดีใจที่ได้รับรถไฟอิเล็กทรอนิกส์ในวันคริสต์มาส แต่ท่านขอคุณแม่—และได้รับ—ตู้รถพ่วงจากชุดรถไฟที่น่าเล่นน้อยกว่าซึ่งตั้งใจจะให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายของหญิงม่ายที่อยู่บ้านใกล้กัน ต่อมา เมื่อทอมกับมารดานำของขวัญไปให้และทอมเห็นความตื่นเต้นดีใจของเด็กชายเมื่อได้ชุดรถไฟที่มีตู้ไม่ครบ ท่านก็เริ่มรู้สึกผิด ท่านวิ่งกลับบ้านไม่เพียงไปเอาตู้รถที่ท่านดึงออกเท่านั้น แต่เอารถไฟของท่านมาให้เขาด้วย11 ต่อมาทอมให้กระต่ายสองตัวที่ท่านเลี้ยงไว้ สำหรับเป็นอาหารคริสต์มาสแก่ครอบครัวของเพื่อนคนหนึ่งผู้ไม่เคยลิ้มรถไก่งวงหรือเนื้อไก่มาก่อน 12 เมื่อสตรีคนหนึ่งเอาเรื่องทอมกับเพื่อนๆ ที่ตีเบสบอลเข้าไปในสวนของเธอระหว่างแข่งกันแถวบ้าน (เธอมักจะยึดลูกเบสบอลไปเก็บไว้) ทอมตัดสินใจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลง แม้ไม่เคยพูดจากันเลย แต่ท่านรดน้ำต้นไม้ให้เธอในฤดูร้อนและกวาดใบไม้ในสวนให้เธอในฤดูใบไม้ร่วงเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเชิญท่านมาดื่มนมและกินคุกกี้—เธอยื่นกล่องที่มีลูกเบสบอลเต็มกล่องให้ท่าน13

ประธานมอนสันยังคงยอมรับบ่อยครั้งว่าการทำดีในวัยเด็กของท่านมีความซุกซนที่บางครั้งทำให้ท่านถูกดุรวมอยู่ด้วย ครั้งหนึ่งทอมกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งรวบรวมสุนัขจรจัดของเพื่อนบ้านมาไว้ในโรงถ่านหลังบ้าน สุนัขหกตัวกระโจนใส่คุณพ่อของท่านขณะเปิดประตู14 บ่ายวันหนึ่งประธานปฐมวัยดึงทอมออกมาพูดว่าเธอเสียใจกับพฤติกรรมเอะอะโวยวายของเด็กหลายคนในช่วงพิธีเปิดปฐมวัย ทอมออกตัวว่าจะช่วย “ปัญหาเรื่องวินัยของปฐมวัย” ท่านเล่า “ยุติทันที”15 แต่การล่อลวงยังคงอยู่ ครั้งหนึ่งท่านชวนเพื่อนคนหนึ่งหนีชั้นเรียนปฐมวัยช่วงบ่ายไปกับท่าน พวกท่านจะหนีเรียนหลังจากทอมควักเหรียญหนึ่งเซ็นต์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วหย่อนลงในกล่องบริจาคให้โรงพยาบาลเด็กปฐมวัย ต่อมาพวกท่านตั้งใจจะใช้เหรียญสิบเซ็นต์ที่มีอยู่ในกระเป๋ากางเกงของท่านไปซื้อไอศกรีมที่ร้านแฮทช์เดรีย์ แต่ผิดแผนเมื่อพวกท่านพบว่าทอมพลั้งเผลอบริจาคเหรียญสิบเซ็นต์แทนเหรียญหนึ่งเซ็นต์ ทั้งคู่จึงกลับมาเรียนและทอมบริจาคเหรียญหนึ่งเซ็นต์ไปด้วยอย่างเศร้าใจ “ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่นาน” ท่านกล่าวในภายหลัง “ว่าข้าพเจ้าอาจจะมีเงินลงทุนมากที่สุดในโรงพยาบาลเด็กปฐมวัย”16

เด็กชายทอม มอนสันขี่จักรยานอยู่หน้าบ้านวัยเด็กของท่าน

การไปกระท่อมครอบครัวในโพรโวแคนยอนบ่อยครั้งทำให้ท่านชอบการล่าเป็ด การตั้งค่ายพักแรม การตกปลา และการว่ายน้ำในแม่น้ำตลอดชีวิต ทอมเคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปในบริเวณน้ำวนซึ่งเป็นอันตราย17 ท่านเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งเมื่อท่านกับเพื่อนคนหนึ่งจุดไฟเผาวัชพืชใกล้กระท่อมของครอบครัวด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ท่านมักจะใช้เรื่องเล่าเป็นกรอบความคิดเพื่อแบ่งปันหลักธรรมสำคัญของพระกิตติคุณเสมอ18

โธมัส เอส. มอนสัน#x2014;ภาพด้านซ้ายสมัยเป็นเด็กอายุ 13 ปีในวิเวียนพาร์คและภาพด้านขวากับคลาร์กบุตรชายเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1971#x2014;ชอบกิจกรรมกลางแจ้งตลอดชีวิต

การเดินจากบ้านซอลท์เลคซิตี้ไปห้องสมุดประชาชนแชปแมนสัปดาห์ละหลายครั้งทำให้ท่านรักหนังสือและนักเขียน ซึ่งต่อมาทำให้ท่านสามารถอ้างอิงข้อความจากกวีคนโปรดอย่างเวิร์ดสเวิร์ธ ลองเฟลโล ไบรอันท์ เทนนีสัน และเชคสเปียร์ได้ละเอียดลออ19

ความสนใจเป็นพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งเริ่มต้นในวัยเยาว์และดำเนินต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่คือการเลี้ยงนกพิราบ ความสนใจดังกล่าวสอนบทเรียนเรื่องการเป็นผู้พิทักษ์แก่เด็กชายทอมเมื่อผู้ให้คำปรึกษาโควรัมฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนยกนกพิราบตัวหนึ่งให้ท่านและนกตัวนี้กลับไปบ้านของผู้ให้คำปรึกษาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงสร้างโอกาสให้เขาได้สัมภาษณ์ฐานะปุโรหิตกับเด็กชายทุกสัปดาห์20 อย่างไรก็ตาม ลูซี เกิร์ทช์ครูโรงเรียนวันอาทิตย์ที่รักยิ่งก็ยังเป็นคนที่ทอมถือว่าให้รากฐานสำหรับประจักษ์พยานของท่านในพระเยซูคริสต์ ความรักของซิสเตอร์เกิร์ทช์ต่อเด็กที่ชอบเอะอะโวยวายในชั้นเรียนเปลี่ยนความประพฤติเหลือขอของพวกเขาเมื่อพวกเขาฟังบทเรียนที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณของเธอเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล21


การเติบโตเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว

ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่บีบบังคับให้ทอมวัย 12 ปีต้องเริ่มทำงานให้บิดาของท่านผู้บริหารจัดการสำนักพิมพ์22 ทว่าเมฆหมอกของสงครามโลกครั้งที่สองยังแผ่กว้างกว่าความตกต่ำทางเศรษฐกิจขณะที่ทอมเข้าเรียนมัธยมปลาย “เยาวชนชายแต่ละคนรู้ว่าถ้า [สงคราม] ดำเนินต่อไป เขาจะต้องเป็นทหาร” ประธานมอนสันพูดถึงช่วงวัยรุ่นของท่าน23 ท่านเป็นนักเรียนดีเด่นที่รักประวัติศาสตร์ และท่านสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์เมื่ออายุ 17 ปี24 ท่านคิดจริงจังว่าจะเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ แต่ท่านกลับเรียนปริญญาธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ชอบชั้นเรียนสถาบันที่ ดร. โลเวลล์ เบนเนียน และดร. ที. เอ็ดการ์ ลีอองสอนด้วย25

ทอม มอนสันเรียนเก่ง ท่านสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์เมื่ออายุ 17 ปีหลังจากเรียนจบโรงเรียนมัธยมเวสต์ในซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์

ขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยท่านพบคนรักของชีวิตท่าน หลังจากรู้จักฟรานเซส จอห์นสันที่งานเต้นรำเฮลโลเดย์ ทอมก็เริ่มไปมาหาสู่กับเธอ ท่านใคร่ครวญในเวลาต่อมาว่า “ข้าพเจ้าไม่พร้อมรับความเรียบร้อยและความเงียบที่มีอยู่ [ในบ้านของเธอ]” ขณะเปรียบเทียบบ้านที่หนวกหูไร้ระเบียบของท่านกับบ้านของครอบครัวจอห์นสัน26 บิดาของฟรานเซสสังเกตเห็นชื่อมอนสันและสวมกอดทอมด้วยน้ำตาคลอหลังจากทั้งสองทราบว่าลุงเอเลียสของทอมแนะนำครอบครัวจอห์นสันให้รู้จักพระกิตติคุณในสวีเดน27 ทั้งทอมกับฟรานเซสชอบวงดนตรีวงใหญ่และเต้นรำเป็นประจำกับหัวหน้าวงอย่างเช่นทอมมี ดอร์ซีย์และเกลนน์ มิลเลอร์28

คริสต์ศักราช 1945 ทอมเข้าสมทบกองหนุนทัพเรือสหรัฐ ช่วงสามสัปดาห์แรกของค่ายฝึกทหารใหม่ ท่านพูดติดตลกในภายหลังว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงว่าชีวิตข้าพเจ้าอยู่ในอันตราย กองทัพเรือไม่ได้พยายามฝึกข้าพเจ้า แต่กำลังพยายามฆ่าข้าพเจ้า” แต่ประสบการณ์ทางวิญญาณมาคู่กับความยากลำบาก หลังจากหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการให้ทุกคนเข้าแถวในวันอาทิตย์วันหนึ่งและสั่งคนนับถือคาทอลิก ยิว และโปรเตสแตนท์ให้ไปสถานที่ประชุมของตน เขาเดินเข้ามาหาทอมและถามว่า “แล้วพวกคุณเรียกตัวเองว่าอะไร”

ทอม มอนสันเข้าสมทบกองหนุนทัพเรือสหรัฐในปี 1945

“ข้าพเจ้าไม่ทราบจนถึงวินาทีนั้น“ ประธานมอนสันเล่าในเวลาต่อมา “ว่ามีคนยืนอยู่ข้างข้าพเจ้าหรือหลังข้าพเจ้าในสนามฝึก เราแต่ละคนตอบเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มอรมอน!’”29

คืนหนึ่งก่อนคริสต์มาส เลอแลนด์ เมอร์ริลล์เพื่อนแอลดีเอสของทอมผู้อยู่ในโรงนอนติดกันเริ่มครวญครางด้วยความเจ็บปวด เขากระซิบด้วยความสิ้นหวังว่า “มอนสัน มอนสัน คุณเป็นเอ็ลเดอร์ไม่ใช่หรือ” และขอพรฐานะปุโรหิต—ซึ่งทอมไม่เคยให้พรฐานะปุโรหิตมาก่อน ทอมได้รับคำตอบขณะสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างเงียบๆ ว่า “ดูก้นถุงทะเลสิ” ตอนนั้นตีสอง ท่านพบคู่มือผู้สอนศาสนาซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีให้พรผู้ป่วย “ท่านดำเนินการให้พรโดยมีทหารเรือที่สนใจใคร่รู้ 60 นายมองดูอยู่” ท่านกล่าวในเวลาต่อมา “เลอแลนด์ เมอร์ริลล์นอนหลับเหมือนเด็กๆ ไปแล้วก่อนข้าพเจ้าจะเก็บของใส่ถุง30 ทอมเรียนรู้จากคนอื่นๆ ระหว่างเป็นทหารเช่นกันและชื่นชมหนุ่มคาทอลิกคนหนึ่งที่คุกเข่าสวดอ้อนวอนทุกคืนขณะ “พวกเราชาวมอรมอนจะสวดอ้อนวอนขณะนอนอยู่บนเตียง”31

ทอมเป็นทหารหนึ่งปีและกลับบ้านไปเรียนจนจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ ท่านเริ่มทำงานเป็นนักบริหารงานโฆษณาให้ Deseret News ของศาสนจักร หลายเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษา ท่านแต่งงานกับฟรานเซส จอห์นสันในพระวิหารซอลท์เลคเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1948 “ดิฉันรู้แต่แรกว่าต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง” ซิสเตอร์มอนสันกล่าวถึงช่วงที่ท่านอยู่ด้วยกันปีแรกๆ32 พระเจ้าทรงขอแทบจะทันทีให้บราเดอร์และซิสเตอร์มอนสันที่ยังหนุ่มสาวเริ่มมีส่วนร่วมไม่หยุดยั้งในการสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า

ทอม มอนสันแต่งงานกับฟรานเซส จอห์นสันในพระวิหารซอลท์เลคเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1948


การปฏิบัติศาสนกิจส่วนตัว

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1950 จอห์น อาร์. เบิร์ทอธิการของทอมกับฟรานเซสได้รับเรียกให้อยู่ในฝ่ายประธานสเตค เมื่อถามว่าใครควรเป็นอธิการแทนเขา อธิการเบิร์ทนิ่งอยู่หลายนาที “ผมพยายามคิดหาวิธีอธิบายให้ [ประธานสเตค] ฟังว่าทำไมผมจึงคิดว่าควรให้เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีมาเป็นอธิการแทนผม”33 การปฏิบัติศาสนกิจของเด็กหนุ่มโธมัส เอส. มอนสันจึงเริ่มต้นที่วอร์ดเทมเปิลวิวที่หกและที่เจ็ดซึ่งมีหญิงม่าย 85 คนและต้องการความช่วยเหลือด้านสวัสดิการมากที่สุดในศาสนจักรเวลานั้น การรับใช้เป็นอธิการในวอร์ดที่ไม่ธรรมดานี้เสริมและเพิ่มสัญชาตญาณจิตกุศลที่แรงกล้าอยู่แล้วของทอมให้แรงกล้าขึ้นไปอีก ท่านไปเยี่ยมหญิงม่ายทุกคนช่วงคริสต์มาส โดยนำของขวัญเป็นขนม หนังสือ หรือไก่ย่างไปให้34 ท่านสนิทกับ “หญิงม่ายของท่าน” มากถึงขนาดไปเยี่ยมพวกเธอหลายคนทุกปีหลังปลดจากการเป็นอธิการ แม้ถึงกับพยายามพูดที่งานศพของทั้ง 85 คนระหว่างท่านเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่35 “ความไม่ดีพอของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเจียมตน” ท่านเล่าถึงช่วงห้าปีที่ท่านรับใช้เป็นอธิการ แต่ท่านสำนึกคุณที่ “ข้าพเจ้าเริ่มมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ที่อาจตกทุกข์ได้ยากโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือสภาวการณ์ของพวกเขาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังอายุน้อยมาก”36 ท่านปฏิบัติศาสนกิจต่อทุกคนในเขตวอร์ดของท่าน รวมทั้งคนที่นับถือศาสนาอื่น และเสาะหาสมาชิกแข็งขันน้อยแม้ต้องไปที่ปั๊มน้ำมันตอนเช้าวันอาทิตย์เพื่อกระตุ้นเยาวชนชายที่ทำงานอยู่ในหลุมถ่ายน้ำมันเครื่องให้กลับมาการประชุมโควรัมของเขา37

อธิการมอนสัน (กลาง) กับที่ปรึกษาสองคนสุดท้ายจากหกคนของท่าน: เอลวูด เอ. แบล็งค์ (ซ้าย) และวิลเลียม เอ็ม. ลาร์เซ็น (ขวา)

การเรียกที่ไม่ธรรมดานี้ให้บทเรียนที่ยากบทหนึ่งเช่นกัน ขณะเข้าร่วมการประชุมผู้นำสเตค อธิการมอนสันรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนแรงกล้าให้ออกจากที่นั่นเดี๋ยวนั้นเพื่อไปเยี่ยมสมาชิกวอร์ดสูงวัยคนหนึ่งซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยตรงที่ประธานสเตคกำลังพูด อธิการวัยหนุ่มจึงต้องรออย่างกระวนกระวายให้เขาพูดจบก่อนแล้วรีบไปโรงพยาบาล ขณะวิ่งไปที่ห้องของชายคนนั้น พยาบาลรั้งท่านไว้ เธอถามว่า “คุณคืออธิการมอนสันหรือคะ” และบอกท่านว่า “ผู้ป่วยขอพบคุณก่อนเขาจะสิ้นใจ”38 อธิการมอนสันขับรถกลับบ้านคืนนั้นพลางตั้งปณิธานว่าจะไม่มีวันเพิกเฉยต่อการทำตามการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกเด็ดขาด นั่นเป็นคำมั่นสัญญาที่ท่านใคร่ครวญหลายต่อหลายครั้งตลอดการรับใช้ที่เหลือของท่านในศาสนจักร

ทอม มอนสันช่วงการเรียกเป็นอธิการ

ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสเตคเมื่ออายุ 27 ปี และเป็นประธานคณะเผยแผ่ในแคนาดาปี 1959 เมื่ออายุ 31 ปี ผู้สอนศาสนาภายใต้การนำทางของท่านจำได้ว่าผู้นำคนนี้กลมเกลียวกับพระวิญญาณมากจนท่านทำตามการกระตุ้นเตือนบ่อยครั้งให้ไปที่อพาร์ตเมนต์ของผู้สอนศาสนาก่อนผู้สอนศาสนาคนนั้นจะทำผิดบางอย่าง39 ท่านใส่ใจกับผู้สอนศาสนาโดยเรียนรู้ชื่อของทุกคน หารือกับพวกเขาเกี่ยวกับปัญหาและข้อกังวลของพวกเขา ท่านทำทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันการกลับบ้านก่อนกำหนดและสภาวินัย ช่วงนี้ครอบครัวมอนสันขยายใหญ่ขึ้นจนมีลูกเล็กๆ สองคนคือโธมัส ลีกับแอน ฟรานเซส คลาร์ก สเป็นเซอร์ลูกคนที่สามเกิดในแคนาดา ครอบครัวมีความสุขกับเวลาที่ได้อยู่ทำงานมอบหมายครั้งนี้ด้วยกันมากกว่าเวลาที่ต้องปรับตัว และทอมมีความภักดีต่อแคนาดาซึ่งยังคงประจักษ์ชัดในปี 2010 เมื่อท่านเป็นประธานศาสนจักรและไปอุทิศพระวิหารแวนคูเวอร์ แคนาดาโดยติดธงชาติแคนาดาที่ปกเสื้อและเปลี่ยนเพลงเปิดเป็น “O Canada.”40

เมื่อกลับถึงบ้านในซอลท์เลคซิตี้ ทอมเป็นผู้จัดการทั่วไปของ Deseret Press ฟรานเซสยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูลูกๆ รับใช้การเรียกต่างๆ ที่วอร์ด และสนับสนุนสามีเมื่อท่านรับใช้ในคณะกรรมการฐานะปุโรหิตสามัญของศาสนจักรหลายคณะ

ทอม มอนสัน ผู้ช่วยผู้จัดการงานพิมพ์ตรวจตราภาพสีของ Improvement Era ซึ่งพิมพ์ที่ Deseret News Press กับ (ซ้ายไปขวา) จอร์จ วีเนนดาอัล หัวหน้าคนงาน; เฮอร์แมน เดอมิค ผู้ควบคุมเครื่องพิมพ์; ดอยล์ แอล. กรีน บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร; และหลุยส์ ซี. เจคอบสัน ผู้จัดการงานพิมพ์

การเข้าไปมีส่วนในคณะกรรมการต่างๆ ของศาสนจักร เช่น สหสัมพันธ์ผู้ใหญ่ ผู้สอนศาสนา หรือการสืบลำดับเชื้อสาย ทำให้ทอมเชื่อว่าการเชิญมาห้องทำงานของประธานเดวิด โอ. แมคเคย์คงจะเกี่ยวกับงานมอบหมายปัจจุบันของท่านเป็นแน่ แต่ไม่ใช่ ประธานแมคเคย์ให้การเรียกท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง แทนเอ็ลเดอร์เอ็น. เอลดัน แทนเนอร์ผู้ได้รับเรียกเป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุด ทอมรู้สึกหนักใจมากและประหลาดใจจนพูดไม่ออก ท่านยืนยันกับประธานแมคเคย์ในท้ายที่สุดว่า “ผมจะใช้พรสวรรค์ทุกอย่างที่มีในการรับใช้พระอาจารย์ รวมทั้งการสละชีวิตหากจำเป็น”41

ประธานมอนสันรับปากว่าจะไม่บอกใครนอกจากภรรยาท่านเรื่องการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์นี้และท่านนอนไม่หลับทั้งคืนก่อนการประชุมใหญ่สามัญวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1963 เมื่อมาถึงการประชุมใหญ่ ท่านนั่งอยู่ในหมู่สมาชิกคณะกรรมการการสอนประจำบ้านของฐานะปุโรหิตที่ท่านรับใช้ ฮิวจ์ สมิธเพื่อนที่นั่งข้างท่านเล่าให้ท่านฟังเรื่องความบังเอิญแปลกๆ ว่าสองครั้งที่ผ่านมาคนที่นั่งข้างฮิวจ์จะได้รับเรียกเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่42 หลังจากเรียกชื่อโธมัส มอนสัน “ฮิวจ์มองข้าพเจ้าและพูดเพียงว่า ‘สายฟ้าฟาดรอบที่สาม’ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเดินจากกลุ่มผู้ฟังไปบนยกพื้นเป็นการเดินที่ยาวนานที่สุดของชีวิตข้าพเจ้า”43

โธมัส เอส. มอนสันนั่งในหมู่ผู้ฟังที่การประชุมใหญ่สามัญเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1963 ก่อนจะประกาศว่าท่านได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองเมื่ออายุ 36 ปี


การรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง

โธมัส เอส. มอนสันวัย 36 ปีกลายเป็นคนอายุน้อยสุดที่ได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองตั้งแต่ปี 1910 เมื่อโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเข้าร่วมโควรัมเมื่ออายุ 33 ปี การรับใช้ของท่านกับอัครสาวกสิบสองยาวนาน 22 ปีตั้งแต่ปี 1963 จนถึงการเรียกสู่ฝ่ายประธานสูงสุดภายใต้ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันในปี 1985 และรวมถึงการรับใช้ในคณะกรรมการหลักทุกคณะของศาสนจักรด้วย บ่อยครั้งท่านจะเป็นประธานคณะกรรมการ4 ระหว่างนี้ สมาชิกภาพของศาสนจักรพัฒนาจากกลุ่มเดียวที่มีศูนย์กลางอยู่ในสหรัฐตะวันตกเข้าไปในชุมชนทั่วไปที่มีความหลากหลายอย่างมากทั่วโลก45 ท่านได้รับเรียกเป็นอัครสาวกโดยประธานเดวิด โอ. แมคเคย์แต่เริ่มรับใช้ภายใต้ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 1972 และภายใต้ฮาโรลด์ บี. ลี ตั้งแต่ปี 1972 ถึงปี 1973 ช่วงที่ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1973 ถึงปี 1985 ประธานมอนสันเป็นหัวหน้าคณะกรรมการจัดพิมพ์พระคัมภีร์ที่ในปี 1979 ผลิตพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ตีพิมพ์ 2,400 หน้าโดยมี Topical Guide, Bible Dictionary และระบบเชิงอรรถแบบใหม่รวมอยู่ด้วย ประธานมอนสันมีส่วนกับประธานคิมบัลล์เช่นกันในการเปิดเผยครั้งประวัติศาสตร์ให้สมาชิกชายที่มีค่าควรทุกคนได้รับฐานะปุโรหิต46

เอ็ลเดอร์โธมัส เอส. มอนสันนั่งใกล้กับเอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ เอ็ลเดอร์ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ และเอ็ลเดอร์ริชาร์ด แอล. อีวานส์ เอ็ลเดอร์เอสรา แทฟท์ เบ็นสันยืนที่แท่นพูดระหว่างการประชุมใหญ่สามัญ

แต่กับสมาชิกที่ถูกจำกัดให้อยู่หลังม่านเหล็กช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดของประธานมอนสันในฐานะสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองคือการควบคุมดูแลวิสุทธิชนในยุโรปตะวันออก “พรแท้จริงที่ท่านนำมาให้ประเทศเราและยุโรป” ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุดชาวเยอรมันตั้งข้อสังเกต “มีอยู่จริง สำคัญ และมีค่าล้ำเลิศจนข้าพเจ้าเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าทรงเตรียมท่านให้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเยอรมนี”47 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันปราบปรามการถือปฏิบัติศาสนาอย่างจริงจัง ทว่าสมาชิกศาสนจักรยังคงซื่อสัตย์แม้มีการเลือกปฏิบัติ การสูญเสียงานและโอกาสด้านการศึกษา และการตรวจตราถี่ยิบขณะพวกเขาประชุมกัน ประธานมอนสันไปเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านศึกษาหนังสือคู่มือศาสนจักรทั้งเล่มโดยตั้งใจจะให้พิมพ์ทั้งเล่มใหม่หลังจากข้ามไปเยอรมนีตะวันออก เพราะประเทศนั้นไม่อนุญาตให้นำสื่อการเรียนการสอนของศาสนจักรเข้าไป ท่านไปที่ห้องทำงานของสาขาและเริ่มทำงานนี้ หลังจากทำไปได้หลายหน้า ท่านมองไปรอบๆ และพบหนังสือคู่มือเล่มหนึ่งอยู่บนชั้นด้านหลังท่าน48 ท่านทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยกับข้าราชการเยอรมนีตะวันออกเพื่อให้วิสุทธิชนบางคนได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญและไปพระวิหารนอกประเทศ แต่วิสุทธิชนเยอรมันตะวันออกยังคงโหยหาโอกาสแบบเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั่วโลก

ต่อจากนั้นในปี 1978 ประธานคิมบัลล์สัญญากับประธานมอนสันว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิเสธที่จะให้พรพระวิหารกับสมาชิก [ชาวเยอรมันตะวันออก] ที่มีค่าควรเหล่านั้น” และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหาวิธีก็แล้วกัน”49 ขณะที่ประธานมอนสันและเฮนรีย์ บวร์คฮาร์ทผู้นำศาสนจักรชาวเยอรมันตะวันออกยื่นคำร้องต่อรัฐบาลขออนุญาตให้ชายหญิงหกคู่ไปพระวิหารสวิสสักครั้ง พวกท่านได้รับข้อเสนอแนะจากผู้นำรัฐบาลที่ทำให้พวกท่านประหลาดใจ “ทำไมพวกคุณไม่สร้างพระวิหารที่นี่” ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1982 ฝ่ายประธานสูงสุดประกาศว่าจะสร้างพระวิหารในเมืองไฟรบูร์ก สาธารณรัฐประชาติธิปไตยเยอรมัน พระวิหารแห่งแรกที่ก่อสร้างในประเทศคอมมิวนิสต์ การประกาศครั้งนี้เหลือเชื่อเท่าๆ กับข้อตกลงอันน่าพิศวงที่ประธานมอนสัน เอ็ลเดอร์รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง และผู้นำศาสนจักรชาวเยอรมันตะวันออกได้ทำต่อจากนั้นกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและเอริค โฮเนกเคอร์ประมุขแห่งรัฐให้ผู้สอนศาสนาเข้าออกประเทศก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน50 “ข้าพเจ้าเป็นพยานที่มีชีวิตอยู่” ประธานมอนสันเขียน “ผู้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าประจักษ์ชัดในการดูแลสมาชิกของศาสนจักรในประเทศซึ่งเคยปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์”51

หน้าพระวิหารไฟรบูร์ก เยอรมนี ที่ได้รับการอุทิศเมื่อปี 1985 จากขวา: เอ็ลเดอร์โธมัส เอส. มอนสันกับฟรานเซสภรรยา; เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์กับแมรีย์ภรรยา; เอ็ลเดอร์โจเซฟ บี. เวิร์ธลินกับเอลิซาภรรยา; เอมิล เฟทเซอร์

ทว่าท่ามกลางเหตุการณ์เปลี่ยนโลกและหน้าที่บริหารที่มีงานล้นมือ การปฏิบัติศาสนกิจของประธานมอนสันยังคงเน้นเรื่องการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการยื่นมือช่วยเหลือแต่ละบุคคล หลังจากให้พรเพื่อนในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ประธานมอนสันรู้สึกว่าท่านได้ “ทำความดีในการเยี่ยมครั้งนั้นมากกว่าในการประชุมหนึ่งสัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่ของศาสนจักร”52 มีหลายครั้งที่ประธานมอนสันต้องออกจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่กลับไปเยี่ยมผู้ป่วยและคนหงอยเหงาที่รอท่านอยู่ในโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และข้างเตียงอันโดดเดี่ยว เมื่อกำหนดการประชุมสเตคในเมืองชรีฟฟอร์ต รัฐลุยเซียนาไม่มีเวลาให้ประธานมอนสันไปเยี่ยมเด็กหญิงที่ป่วยระยะสุดท้ายผู้ขอพรจากท่าน แต่ท่านก็พร้อมเมื่อ “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับวิญญาณข้าพเจ้า” ระหว่างการประชุมภาคผู้นำเย็นวันเสาร์ “ข่าวสารสั้นๆ และคำพูดคุ้นหูบอกว่า ‘จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา’ (มาระโก 10:14).”53 ท่านเดินทาง 80 ไมล์ไปบ้านของคริสตอล เมธวินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ให้พรเธอในการชุมนุมครอบครัวที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณก่อนเธอสิ้นชีวิตสี่วันต่อมา

เมื่อประชุมกับสมาชิกที่ยากไร้ชาวเยอรมันตะวันออก ประธานมอนสันจะแจกสูท รองเท้า เครื่องคิดเลข และแม้แต่พระคัมภีร์ของท่านที่ทำเครื่องหมายไว้แล้ว54 ท่านไม่เคยลืมเพื่อนสมาชิกจากวอร์ดที่หกและที่เจ็ด คอยมองหาเพื่อนสูงวัยที่มีรายได้น้อยอย่างเอ็ด เอริคสันผู้ซึ่งประธานมอนสันเชิญมาร่วมงานชุมนุมครอบครัว จัดฉลองวันเกิดให้ และระลึกถึงในคำพูดปี 2009 “จงกล้าละเว้นการตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์คนรอบข้าง และกล้ารวมทุกคนเข้ามาในกลุ่ม ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนรักและเห็นคุณค่าของพวกเขา“55

ความซื่อสัตย์และความเป็นมิตรของประธานมอนสันทำให้ศาสนจักรได้เชื่อมสัมพันธไมตรีกับศาสนาต่างๆ รวมทั้งองค์กรพลเรือน และผู้นำชุมชน ท่านเติบโตในละแวกที่มีเพื่อนบ้านหลากหลายประเภท รู้สึกสนิทกับญาติที่นับถือศาสนาอื่น และยืนยันอย่างจริงใจว่า “ข้าพเจ้าคิดว่ามีคนดีอยู่ทุกที่”56 ท่านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ง่าย “หลายคนไม่เป็นสมาชิกของศาสนจักร” ท่านตั้งข้อสังเกต “แต่เป็นคนมีจิตสาธารณะและใส่ใจประชาชน”57 หัวหน้าชุมชนทั้งหลายอย่างเช่นอดีตผู้จัดพิมพ์ Salt Lake Tribune ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของโบสถ์คาทอลิก ต่างกล่าวชื่นชมว่า “ถ้าเขาเคยพบคุณ ทอม มอนสันคือเพื่อนของคุณ … ศาสนจักรสร้างเอกภาพพิเศษให้ชุมชนนี้ผ่านความสัมพันธ์ฉันมิตรเมื่อยกทอม มอนสันขึ้นสู่ฝ่ายประธานสูงสุด”58 ผู้ให้การสนับสนุนชุมชนซอลท์เลคเคยตั้งข้อสังเกตว่า “ผมไม่ทราบว่าคนทั่วไปรู้หรือไม่ว่าศาสนจักรแอลดีเอสเกี่ยวข้องมากเพียงใดกับโลกที่ไม่หวังผลกำไร ประธานมอนสันทราบดีว่าความต้องการคืออะไร”59 ผู้นำอีกศาสนาหนึ่งเขียนถึงประธานมอนสันว่า “ท่านเปิดใจขานรับความต้องการและข้อเรียกร้องขององค์กร Salvation Army เสมอ ที่แน่ๆ คือท่านกับเพื่อนร่วมงานของท่านทำให้เราท่วมท้นด้วยความอบอุ่นและจิตใจที่งดงามของท่าน”60 ท่านเข้าร่วมและพูดที่กิจกรรมซึ่งจัดพร้อมพิธีอุทิศโบสถ์แมเดลีนที่ได้รับการบูรณะในซอลเลคซิตี้เมื่อปี 1993 และพูดในพิธีศพคาทอลิกของเพื่อนสนิทด้วย61

ประธานและซิสเตอร์มอนสันพบปะสนทนากับบิช็อบจอร์จ เอช. นีเดออาวเออร์แห่งสังฆมณฑลคาทอลิกประจำซอลท์เลคซิตี้ที่โบสถ์แมเดลีน

งานอดิเรกอย่างการเลี้ยงนกพิราบทำให้ประธานมอนสันได้พักผ่อนชั่วคราวจากความกดดันของหน้าที่และส่งผลให้เหลนๆ เรียกท่านว่า “คุณตาเบอดี” ความหลงใหลการเลี้ยงนกพิราบสะท้อนอยู่ในเหรียญตราความดีความชอบที่สมาคมลูกเสือแห่งอเมริกามอบให้ท่าน การรับใช้ของท่านในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1969 และดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีเมื่อท่านได้รับรางวัล Silver Beaver รางวัล Silver Buffalo และ Broze Wolf ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของการลูกเสือสากลในปี ค.ศ. 1993 อย่างไรก็ตาม รอย วิลเลียมส์อดีตหัวหน้าผู้บริหารลูกเสือคนหนึ่งก็ยังพูดเล่นว่าประธานมอนสันไม่อาจตัดใจทิ้งเหรียญตราความดีความชอบด้านการเลี้ยงนกพิราบไปได้62

งานอดิเรกอย่างการเลี้ยงนกพิราบทำให้ประธานมอนสันได้พักผ่อนชั่วคราวจากความกดดันของหน้าที่และส่งผลให้เหลนๆ เรียกท่านว่า “คุณตาเบอดี”

ความสนใจของประธานมอนสันกว้างมาก ขณะเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านได้รับปริญญามหาบัณฑิตสาขาการบริหารธุรกิจ และตลอดการเดินทางท่านชอบไปเยือนสุสานทหาร—อนุสรณ์สถานที่ท่านกล่าวว่าทำให้นึกถึง “ความฝันที่พังทลาย ความหวังที่ไม่สมหวัง ใจที่เปี่ยมด้วยความเศร้า และชีวิตที่ถูกคมเคียวของสงครามบั่นให้สั้นลง”63 ท่านชอบศึกษาเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง และที่เบาสมองกว่านั้นคือชอบดูเพอร์รีย์เมสันรายการทีวีที่นำมาฉายซ้ำตอนกลางคืน แม้บางครั้งท่านจะหลับผล็อยและพลาดตอนจบก็ตาม64 ท่านชอบละครเวทีด้วย “ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ฟรานเซสภรรยาข้าพเจ้าเรียกว่า ‘พวกคลั่งการแสดง’” ท่านเคยบอกผู้ฟังที่การประชุมใหญ่สามัญ65 ท่านชอบมีส่วนในเกมการแข่งขันฟุตบอลวันปีใหม่เช่นกันซึ่ง “ข้าพเจ้าจะเริ่มจากการดูทีมฟุตบอลสองทีมอย่างเป็นกลางก่อน แต่ภายในไม่กี่นาทีข้าพเจ้าก็เข้าข้างทีมที่คิดว่าน่าจะชนะ”66 ท่านสามารถคุยเรื่องไก่กับคนที่นั่งข้างๆ ได้ตลอดเที่ยวบิน และในงานเลี้ยงอาหารเช้าของสมาคมลูกเสือแห่งอเมริกาที่ทำเนียบขาวในปี 1989 ท่านพบว่าท่านชอบสุนัขพันธุ์สแปเนียลสปริงเกอร์ของอังกฤษเหมือนจอร์จ บุชประธานาธิบดีสหรัฐ67

แน่นอนว่าสิ่งที่ท่านสนใจมากที่สุดคือครอบครัว ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นจนมีหลานแปดคนและเหลนสี่คน แม้ท่านจะมีเวลาอยู่บ้านจำกัด แต่ลูกๆ ของท่านจำได้ว่าได้เล่นเกม ตกปลา ล่าเป็ด ถอนวัชพืชในสวน ไปดูภาพยนตร์ ว่ายน้ำ และนั่งแคร่เลื่อนหิมะกับบิดาของพวกเขา68 ความทรงจำสองเรื่องที่ฝังใจทอมบุตรชายคือการเล่นหมากรุกเมื่อยังเด็กกับบิดาและการที่บิดาบินไปเมืองลุยวิลล์ รัฐเคนทักกีเพื่อให้พรเขาเพราะเขาเป็นโรคปอดบวมระหว่างการฝึกทหารขั้นพื้นฐาน69 แอนบุตรสาวชื่นชอบรายงานช่วงค่ำวันอาทิตย์เมื่อบิดาเล่าให้ครอบครัวฟังหลังกลับจากงานมอบหมายของศาสนจักร และคลาร์กจดจำวันนั้นเป็นพิเศษเมื่อบิดาขับรถออกนอกทาง 40 ไมล์เพื่อให้ท่านกับคลาร์กได้สำรวจรังนกเหยี่ยวใกล้เมืองแรนดอล์ฟ ยูทาห์70 ประธานมอนสันชอบตัดหญ้าและชอบเข้าร่วมการแข่งขันปิงปองกับครอบรัวในห้องใต้ดินของบ้าน71

โธมัส เอส. มอนสันกับฟรานเซสภรรยา และทอม แอน กับคลาร์กบุตรธิดาของท่าน


สมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด

โธมัส เอส. มอนสันรับใช้ในฝ่ายประธานสูงสุดนาน 22 ปี โดยเริ่มเป็นที่ปรึกษาที่สองของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันในปี 1985 และดำรงตำแหน่งเดิมในสมัยประธานฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ในปี 1994 ตลอดสิบสามปีนั้น ตั้งแต่ปี 1995 ถึงปี 2008 ท่านอยู่เคียงข้างประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ ผู้เรียกประธานมอนสันเป็นที่ปรึกษาที่หนึ่ง72 การดำรงตำแหน่งในฝ่ายประธานสูงสุดของประธานมอนสันอาศัยภูมิหลังหลากหลายของท่านในการบริหารงานศาสนจักร และทำให้ท่านต้องรับผิดชอบงานหนักจนไม่อาจออกจากสำนักงานได้ ประธานฮิงค์ลีย์เป็นประธานศาสนจักรที่เดินทางมากที่สุดในประวัติศาสนจักร และการบริหารงานที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้ท่านมีงานยุ่งมาก พระวิหารขนาดเล็กทำให้อัตราการสร้างพระวิหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ศาสนจักรสร้างศูนย์การประชุมใหญ่แห่งใหม่ให้สมาชิกหลายพันคนได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญและงานในด้านอื่นๆ อาทิ เริ่มการประชุมอบรมทั่วโลกโดยการถ่ายทอดผ่านดาวเทียม และจัดวันเฉลิมฉลองในสนามกีฬา Rice-Eccles ที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์เพื่อรำลึกชาตกาล 200 ปีของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธพร้อมด้วยการแสดงของเยาวชน 42,000 คนจากซอลเลควัลเลย์และไวโอมิง73

ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันกับกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์และโธมัส เอส. มอนสันที่ปรึกษาของท่านในปี 1986

เอ็ลเดอร์ โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า แม้ประธานมอนสันจะมีงานยุ่งตลอดเวลาแต่ท่าน “ไม่เคยยุ่งเกินกว่าจะให้เวลาผู้คน”74 ในฤดูหนาวปี 2000 บุคคลหนึ่งที่ท่านให้เวลาคือภรรยาของท่าน หลังจากเธอป่วยเพราะล้มอย่างแรง ท่านใช้เวลาหลายสัปดาห์นำงานเอกสารมาทำที่ห้องในโรงพยาบาลจนกระทั่งฟรานเซสรู้สึกตัวมากพอจะพูดประโยคแรกออกมาว่า “ฉันลืมส่งเอกสารชำระภาษีประจำไตรมาส”75 อีกคนหนึ่งที่ได้รับความกรุณาจากท่านคือเจอร์รีย์ อแวนท์นักข่าว Church News ผู้เขียนข่าวการเดินทางของประธานมอนสันบ่อยครั้งและเคยได้รับเชิญให้ไปเที่ยวกับครอบครัวมอนสันเพราะประธานมอนสันบอกเธอว่า “คุณทำงานหนักมาตลอด”76


ประธานศาสนจักร

ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2008 ฝ่ายประธานสูงสุดหมดวาระและประธานมอนสันกลับสู่ตำแหน่งประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองของท่าน บุรุษผู้เติบใหญ่ใกล้รางรถไฟ ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนในปฐมวัย และยินดีแบ่งปันสมบัติส่วนตัวที่มีเพียงน้อยนิดแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อีกไม่นานจะกลายเป็นผู้นำของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหลายล้านคนทั่วโลก “ข้าพเจ้าไม่เคยคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตข้าพเจ้า” ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์ก่อนรับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักรในการชุมนุมศักดิ์สิทธิ์ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 “ข้าพเจ้าทราบเพียงว่าประธานฮิงค์ลีย์จะมีชีวิตยืนยาวกว่าข้าพเจ้า” ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำตามปรัชญานี้เสมอ ‘รับใช้ตรงที่ท่านได้รับการเรียก ไม่ว่าการเรียกของท่านอยู่ที่ใดหรืออาจจะอยู่ที่ใด รับใช้ตรงที่ท่านได้รับการเรียก’”77

โธมัส เอส. มอนสันได้รับการวางมือมอบหน้าที่และแต่งตั้งเป็นประธานศาสนจักรคนที่ 16 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 โดยเลือกประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ให้รับใช้เป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งของท่าน ส่วนที่ปรึกษาที่สอง ท่านเลือกประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวเยอรมันที่พูดได้หลายภาษาและเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ฝ่ายประธานสูงสุดชุดใหม่เป็นสัญลักษณ์ความเป็นสากลของศาสนจักรที่กำลังเจริญรุ่งเรือง78 ณ การประชุมแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ประธานมอนสันบอกนักข่าวว่า “ในฐานะศาสนจักร เราไม่เพียงยื่นมือช่วยเหลือคนของเราเท่านั้น แต่เราช่วยเหลือผู้มีมิตรไมตรีทั่วโลกเช่นกัน ด้วยเจตนารมณ์ของความเป็นพี่น้องซึ่งมาจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์”79

ศาสนจักรประกาศชื่อฝ่ายประธานสูงสุดที่การประชุมแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่หนึ่ง และประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ ที่ปรึกษาที่สอง

เจตนารมณ์ของความเป็นพี่น้องและการยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นกลายเป็นตราสัญลักษณ์การบริหารงานของประธานมอนสัน ผู้นำศาสนจักรทำงานเป็นประจำกับศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก นิกายอีแวนเจลิก ศาสนาอื่น ตลอดจนกลุ่มชุมชนในงานเพื่อมนุษยธรรมและสนับสนุนอุดมการณ์ทางศีลธรรมอื่นๆ ผู้นำศาสนจักรเชิญผู้นำศาสนาอื่นมาพูดที่มหาวิทยาลัยแอลดีเอสและสนับสนุนการส่งเสริมเสรีภาพทางศาสนาโดยใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์80 ประธานมอนสันและสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองกระตุ้นให้สมาชิกศาสนจักรยื่นมือช่วยเหลือศาสนาอื่นในการบำเพ็ญประโยชน์และการสร้างชุมชน ตลอดจนยกระดับความสัมพันธ์ด้านมนุษยธรรมที่มีอยู่แล้วกับสถาบันอื่นเพื่อบรรเทาความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ทั่วโลก ในช่วงดำรงตำแหน่งห้าปีแรกของประธานมอนสัน ศาสนจักรช่วยบรรเทาทุกข์หลังเกิดแผ่นดินไหวในเฮติและเนปาล สึนามิในญี่ปุ่น และอุทกภัยในประเทศไทย นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือเรื่องการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้คนในประเทศด้อยพัฒนา จัดหาน้ำสะอาดให้หมู่บ้านห่างไกล บรรเทาวิกฤตอาหารระหว่างประเทศ และบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติในสหรัฐ ความช่วยเหลือและอิทธิพลระดับโลกดังกล่าวบันทึกโดย Slate.com ซึ่งในปี ค.ศ. 2009 จัดอันดับให้ประธานมอนสันเป็นคนแรกในรายชื่อผู้มีอายุระหว่าง 80 ถึง 89 ปีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา บทความเขียนว่า “บุคคลเดียวในรายชื่อที่ปกครองคนหลายล้านคนในฐานะศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า”81

นอกจากนี้ ภายใต้การนำของประธานมอนสัน งานประชาสัมพันธ์ของศาสนจักรเริ่มขยายผลเพื่อช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความหลากหลายของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมากขึ้น การรณรงค์ “ฉันเป็นมอรมอน” บอกเล่าความโดดเด่นของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้ทำงานให้องค์กรต่างๆ เช่น ฮาร์เลย์เดวิดสัน หอสมุดสภาครองเกรส และวงดนตรีร็อค สำนักงานใหญ่ของศาสนจักรเปิดเว็บไซต์สำหรับเยาวชนและคนอื่นๆ เช่นกัน ช่องบีวายยูทีวีและเว็บไซต์ของศาสนจักรเริ่มผลิตโปรแกรมคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดผู้ชมกว้างขึ้น ชุดวีดิทัศน์คุณภาพสูงเริ่มปรากฏบนเว็บไซต์ศาสนจักร โดยแสดงให้เห็นเหตุการณ์จากพันธสัญญาใหม่ซึ่งผู้นับถือศาสนาต่างๆ จะเห็นคุณค่า แหล่งข้อมูลออนไลน์อื่นๆ ได้แก่การตีพิมพ์บทความหัวข้อพระกิตติคุณหลายบทความซึ่งจัดทำขึ้นเพื่ออธิบายประเด็นซับซ้อนอย่างตรงไปตรงมาและมีหลักการ เว็บไซต์ Mormon and Gay ระบุคำสอนของศาสนจักรเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวจากวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็นเกย์และครอบครัวของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งอุบัติขึ้นในช่วงประธานมอนสันดำรงตำแหน่งน่าจะเกิดขึ้นในความก้าวหน้าด้านการบริหารที่ผ่านๆ มา การเปลี่ยนแปลงเรื่องสำคัญต่างๆ ส่งผลต่อวิธีที่ศาสนานำ ดำเนินงาน สอน และเผยแผ่ศาสนา ในปี 2009 ศาสนจักรแจกดีวีดีและจุลสารเกี่ยวกับหลักสวัสดิการและในปี 2010 ออกหนังสือคู่มือคำแนะนำเล่มใหม่สำหรับผู้นำศาสนจักร ควบคู่กับการถ่ายทอดการอบรมทั่วโลกสองครั้ง หนังสือคู่มือเล่มใหม่เน้นการทำงานในสภาผ่านการสนทนาแบบเปิดกว้างและตรงไปตรงมา การแบ่งเบาภาระของอธิการผ่านการมอบหมายงาน และสำคัญที่สุดคือการช่วยให้สมาชิกศาสนจักรเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ ในปี 2010 การอบรมระหว่างประเทศโดยสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเริ่มนำมาใช้กับการประชุมผู้นำฐานะปุโรหิตและการทบทวนระดับภาคที่รวมเอาสาระโดยสังเขปซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อมนุษยธรรม ความต้องการด้านสวัสดิการ งานเผยแผ่ศาสนา และงานพระวิหารไว้ในนั้นด้วย

ประธานโธมัส เอส. มอนสันพูดที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ ในเมืองโพรโว รัฐยูทาห์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 ภาพถ่ายโดย ราเวลล์ คอลล์

หนึ่งในความก้าวหน้าที่เด่นชัดที่สุดเกิดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของประธานมอนสันเมื่อท่านประกาศในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ว่าผู้ชายจะเริ่มรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาเมื่ออายุ 18 ปีและผู้หญิงอายุ 19 ปี การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่คาดไม่ถึงครั้งนี้เพื่อลดข้อกำหนดเรื่องอายุก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในงานเผยแผ่ศาสนาอันส่งผลให้มีจำนวนผู้ชายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาสูงเป็นประวัติการณ์ การตั้งศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนาแห่งใหม่และคณะเผยแผ่ใหม่ๆ เกิดขึ้นตามจำนวนผู้สอนศาสนาที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 85,000 คนเมื่อปลายปี 2014 สมาชิกกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การเร่งงาน” เช่นกัน โดยเตรียมบุตรธิดาภายในบ้านให้พร้อมทำงานเผยแผ่มากขึ้นและมีส่วนร่วมเต็มที่มากขึ้นในโปรแกรมผู้สอนศาสนาระดับท้องที่ เทคโนโลยีและการเผยแผ่ทางออนไลน์ รวมทั้งการตั้ง “ซิสเตอร์หัวหน้าฝ่ายอบรม”—บทบาทการเป็นผู้นำของซิสเตอร์ผู้สอนศาสนา—ยังได้เพิ่มความรู้สึกยินดีอันเนื่องจากความก้าวหน้าและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่การประกาศเปลี่ยนอายุผู้สอนศาสนาทำให้เกิดขึ้น

การทำให้หญิงสาวได้รับใช้งานเผยแผ่เมื่ออายุยังน้อยนับว่าสอดคล้องกับความพยายามอย่างต่อเนื่องในช่วงประธานมอนสันดำรงตำแหน่งที่จะให้สตรีมีส่วนมากขึ้นในบทบาทของความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ และการมีส่วนร่วมในสภาสเตคและสภาวอร์ด เพื่อช่วยให้ชายหญิงวิสุทธิชนยุคสุดท้ายยกย่องบทบาทอันสำคัญยิ่งที่เคยมีในพระกิตติคุณในทุกสมัยการประทาน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอดและในช่วงการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 1830 จนถึงปัจจุบัน—ศาสนจักรจึงจัดพิมพ์ Daughters in My Kingdom และกระตุ้นให้ใช้หนังสือเล่มนี้ในบ้าน ในสมาคมสงเคราะห์และเยาวชนหญิง ตลอดจนในโควรัม ปี 2014 ศาสนจักรจัดภาคการประชุมใหญ่ของสตรีในการประชุมใหญ่สามัญแทนการประชุมสมาคมสงเคราะห์สามัญและการประชุมเยาวชนหญิงสามัญ โดยเชิญสตรีทุกคนที่อายุ 8 ปีขึ้นไปเข้าร่วมการประชุมนี้ปีละสองครั้ง

วิธีสอนที่โต้ตอบกันมากขึ้นและดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยให้เยาวชนมีส่วนเต็มที่ในพระกิตติคุณ กลายเป็นความสำคัญอันดับแรกของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในการบริหารงานของประธานมอนสัน การนำหลักสูตร จงตามเรามา มาใช้ในปี 2013 อันเป็นหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อ “เป็นพรแก่เยาวชนขณะพวกเขาพยายามเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างเต็มที่”82 ทำให้ครูและเยาวชนมีวิธีสอนเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น หลักสูตรนี้ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และการสนทนาตามการดลใจของพระวิญญาณในการสร้างศรัทธาและความเข้าใจพระกิตติคุณ ความพยายามในการปรับปรุงการสอนทั้งหมดในศาสนจักรเกิดขึ้นทำนองเดียวกันในปี 2016 กับแหล่งข้อมูลใหม่ชื่อ การสอนในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด และคำแนะนำให้จัดประชุมสภาครูเดือนละหนึ่งครั้งในวอร์ด

ในช่วงการบริหารงานของประธานมอนสันมีการประกาศสร้างพระวิหารแห่งใหม่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ประธานมอนสันเดินทางไปร่วมการอุทิศและการอุทิศซ้ำพระวิหารหลายแห่งทั่วโลก อาทิ เซบูซิตี ฟิลิปปินส์; กูรีตีบา บราซิล; คีเอฟ ยูเครน; ปานามาซิตี ปานามา; และแคนซัสซิตี มิสซูรี ในปี 2013 การแนะนำให้ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ช่วยสมาชิกค้นหาบรรพชนของตนส่งผลให้สมาชิกส่งชื่อครอบครัวไปทำศาสนพิธีพระวิหารเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ เราเรียกปีนั้นว่า “ปีที่ประวัติครอบครัวประสบผลสำเร็จ”83

ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ณ พิธีวางศิลามุมเอกของพระวิหารทวินฟอลส์ ไอดาโฮเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ภาพถ่าย โดย สก็อตต์ จี. วินเทอร์ทัน, Deseret News

แม้จะมีงานต้องทำอีกมาก แต่ประธานมอนสันยังคงเป็นโธมัส มอนสัน ผู้นำศาสนจักรที่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกกล่าวว่า “จะปรากฏตัวโดยไม่บอกล่วงหน้าที่งานศพของลูกจ้างทั่วไปที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่ามีสิ่งใดแสดงให้เห็นแบบอย่างการปฏิบัติศาสนกิจของประธานมอนสันได้มากไปกว่าความเอาใจใส่เป็นรายบุคคลแบบนั้น”84

วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ท่านเป็นประธานที่งานศพของฟรานเซสภรรยาสุดที่รักของท่านเอง หลังจากเธอถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมในโรงพยาบาลซอลท์เลค “เธอสนับสนุนข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่เราแต่งงานกัน” ประธานมอนสันกล่าวในพิธี ท่านเรียกเธอว่า “ภรรยาและมารดาในอุดมคติ”85 ท่านทำหน้าที่ฝ่ายประธานที่เหลือในฐานะพ่อม่าย โดยมักจะมีแอนบุตรสาวของท่านติดตามมาร่วมงานพิเศษต่างๆ ด้วย

ในช่วงที่ประธานมอนสันดำรงตำแหน่ง ศาสนจักรเน้นว่าการถือปฏิบัติวันสะบาโตให้ดีขึ้นเป็นวิธีเพิ่มพูนศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ในยามสงสัยและหวาดกลัว ต้นปี 2015 ทุกระดับของศาสนจักรและในบ้านพยายามประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกทำ “วันสะบาโตเป็นวันปีติยินดี” (ดู อิสยาห์ 58:13) โดยมีใจจดจ่อที่พระเจ้าและพันธสัญญาของพวกเขากับพระองค์ทั้งนี้เพื่อเก็บเกี่ยวพรที่สัญญาไว้กับคนซื่อสัตย์

ประธานมอนสันยังคงนึกถึงคนที่เหินห่างจากศาสนจักร ท่านไม่เคยมองว่าพวกเขาไม่เหมาะสมกับอาณาจักร เมื่อชายสูงวัยผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมในศาสนจักรนาน 20 ปีมาขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งเรื่องการกลับมา เขาดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมา จดหมายฉบับนั้นเป็นเหตุให้เขาปรารถนาจะกลับมา “คุณไปนานพอแล้ว กลับมาเถอะ ทอม”86 ตามคำกล่าวของประธานมอนสัน “ข้าพเจ้าพบว่ามีความเป็นวิสุทธิชนนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในทุกคน และข้าพเจ้ามองหา”87

แม้เมื่อเป็นประธานศาสนจักร ท่านยังคงรู้สึกเป็นเพื่อนกับคนอื่นๆ เอ็ลเดอร์แอล. ทอม เพอร์รีย์ (1922–2015) กล่าว “ท่านจะพูดเรื่องการแข่งขันของบีวายยูหรือยูทาห์แจ๊สเพราะท่านเป็นแฟนกีฬาตัวยง และจากนั้นท่านจะเริ่มพูดเรื่องธุรกิจ”88 ท่านมักจะมีอารมณ์ขันเสมอ ที่การชุมนุมปี 2009 กับสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงมอรมอนแทเบอร์นาเคิล ท่านนั่งที่ออร์แกนตัวมหึมาและบรรเลงเพลง “งานวันเกิด” จากหนังสือเปียโนของคนที่เพิ่งหัดเล่น89 ในปี 2013 ศาสนจักรเชิญลูกเสือผู้ใหญ่ทุกคนเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง “100 ปีของการลูกเสือ” โดยมีโปรแกรมหนึ่งที่เชิดชูการสนับสนุนลูกเสือมาตลอดชีวิตของประธานมอนสัน—ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในความสนใจมากมายที่ทำให้ท่านเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ผู้ที่ท่านชอบปลอบโยนและทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น

เวย์น เพอร์รีย์ประธานสมาคมลูกเสือแห่งอเมริกาประกาศว่าประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นผู้ได้รับเหรียญเกียรติยศเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ภาพถ่ายโดย สก็อตต์ วินเทอร์ทัน, Deseret News

ประธานมอนสันกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1997 ว่า “การรู้สึกถึงการกระทุ้งเบาๆ ของพระเจ้า การกระตุ้นเตือน” ทำให้ท่านเกิดปีติมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นคราวที่ท่านไปเยี่ยมบิดาท่านในโรงพยาบาล และรู้สึกว่าควรรออยู่ใกล้ๆ ลิฟต์ขณะรีบไปให้ทันอีกการประชุมหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งขอให้ท่านให้พรมารดาของพวกเขาผู้กำลังต่อสู้ระหว่างความเป็นกับความตาย และท่านยอมให้พร สายวันนั้น ท่านได้รับข่าวว่าสมาชิกครอบครัวแต่ละคนจูบมารดาของพวกเขาและกล่าวลาอย่างสงบหลังจากท่านให้พรและก่อนที่เธอจะสิ้นใจ90

“เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าตลอดชีวิตถึงขนาดว่าข้าพเจ้าพยายามฟังการกระตุ้นเตือนเหล่านั้นเสมอ” ประธานมอนสันตั้งข้อสังเกต คนนับไม่ถ้วน—เรื่องราวของพวกเขาบางคนถูกเล่าขาน แต่เรื่องราวของอีกมากมายหลายคนที่พบเจอประธานมอนสันยังไม่เป็นที่รู้—สามารถยืนยันได้ถึงการเชื่อมสัมพันธ์ของบุรุษผู้น่าทึ่งท่านนี้กับสวรรค์ “ท่านพึงตระหนักว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าท่านเป็นใคร” ประธานมอนสันสะท้อนให้เห็น “พระองค์ตรัสว่า ‘นี่ ไปทำสิ่งนี้ให้เรา’ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์เสมอ”91

และพยานของท่านต่อโลกเชื่อถือได้เสมอ “ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยความรู้สึกแรงกล้าในจิตวิญญาณของข้าพเจ้า” ประธานมอนสันกล่าว “ข้าพเจ้าขอเปล่งเสียงแสดงประจักษ์พยานในฐานะพยานพิเศษและขอประกาศว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูคือพระบุตรของพระองค์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาที่ถือกำเนิดในเนื้อหนัง พระองค์คือพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์คือพระผู้เป็นสื่อกลางของเรากับพระบิดา พระองค์คือผู้ที่สิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อชดใช้บาปของเรา พระองค์ทรงเป็นผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์ คนทั้งปวงจะมีชีวิตอีกครั้ง ‘โอ จงชื่นชมกับปีติจากข้อความนี้ “ฉันรู้พระผู้ไถ่ทรงพระชนม์!”’ [เพลงสวด, บทเพลงที่ 59] ขอให้คนทั้งโลกรู้เรื่องนี้และดำเนินชีวิตด้วยความรู้ดังกล่าว“92

อ้างอิง

  1. โธมัส เอส. มอนสัน, “จงรื่นเริงเถิด,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 113.
  2. อีเมลโต้ตอบกับเกรกอรี พาร์คิน แพทย์ศาสตร์มหาบัณฑิต 2 ก.ย. 2008.
  3. ใน “A Life Guided by Service,” Deseret News, general conference special supplement, Apr. 1, 2008, 4; ดู Jeffrey R. Holland, “President Thomas S. Monson: Man of Action, Man of Faith, Always ‘on the Lord’s Errand,’” Ensign, Feb. 1986, 12 ด้วย.
  4. ทอม มอนสัน, บุตรชาย, อีเมลถึงโจชัว เพอร์คีย์, Church Magazines, Feb. 19, 2008.
  5. ใน Heidi S. Swinton, To the Rescue: The Biography of Thomas S. Monson (2010), 518.
  6. Gerry Avant, “President’s Heartfelt Efforts Universal,” Deseret News, Feb. 7, 2008, M6.
  7. ใน “A Life Guided by Service,” 4.
  8. ใน “Speaking from Experience,” Deseret News, Feb. 7, 2008, M4.
  9. ใน Carrie A. Moore, “LDS Leader Has Fond Memories of Growing Up in the S.L. Area,” Deseret News, Feb. 5, 2008, M3.
  10. ใน Gerry Avant, “On Lord’s Errand since His Boyhood,” Church News, Feb. 9, 2008, 5.
  11. ข้อมูลชีวประวัติส่วนใหญ่ในบทความนี้มาจาก Swinton, To the Rescue.
  12. ดู Swinton, To the Rescue, 50–51; “Speaking from Experience,” M4.
  13. ดู Heidi S. Swinton, “Baseballs and Service,” Friend, Sept. 2012, 2.
  14. ดู Swinton, To the Rescue, 35.
  15. ใน Jeffrey R. Holland, “President Thomas S. Monson: In the Footsteps of the Master,” บทแทรก Ensign และ เลียโฮนา, มิ.ย. 2008, 5.
  16. ใน “In His Own Words,” Deseret News, general conference special supplement, Apr. 1, 2008, 7.
  17. ดู Swinton, To the Rescue, 58.
  18. ดู โธมัส เอส. มอนสัน, “การเชื่อฟังนำมาซึ่งพร,” Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 89–90.
  19. ดู Moore, “LDS Leader Has Fond Memories,” M3; “A Life Guided by Service,” 5.
  20. ดู Swinton, To the Rescue, 74–75.
  21. ดู Swinton, To the Rescue, 63–65.
  22. ดู Swinton, To the Rescue, 78.
  23. ใน Moore, “LDS Leader Has Fond Memories,” M3.
  24. ดู Swinton, To the Rescue, 79, 87.
  25. ดู Swinton, To the Rescue, 89, 288.
  26. ใน Moore, “LDS Leader Has Fond Memories,” M3.
  27. ดู Swinton, To the Rescue, 90.
  28. ดู Swinton, To the Rescue, 92.
  29. โธมัส เอส. มอนสัน, “กล้ายืนคนเดียว,” เลียโฮนา, พ.ย. 2011, 80.
  30. ใน “Speaking from Experience,” M5.
  31. ใน Swinton, To the Rescue, 99.
  32. ใน Moore, “LDS Leader Has Fond Memories,” M3.
  33. ใน “A Life Guided by Service,” 5.
  34. ดู Swinton, To the Rescue, 144.
  35. ดู Swinton, To the Rescue, 142.
  36. ใน Swinton, To the Rescue, 132.
  37. ดู Swinton, To the Rescue, 158–59.
  38. ดู Swinton, To the Rescue, 135–36.
  39. ดู Gary Bell, in “Recollecting,” in Deseret News, Feb. 5, 2008, M3.
  40. ดู Swinton, To the Rescue, 175–76.
  41. ใน Swinton, To the Rescue, 216.
  42. ดู Swinton, To the Rescue, 217–18.
  43. ใน “In His Own Words,” 17.
  44. ดู Swinton, To the Rescue, 252.
  45. ดู Swinton, To the Rescue, 224.
  46. ดู Swinton, To the Rescue, 530–532.
  47. ใน Swinton, To the Rescue, 279.
  48. ดู Swinton, To the Rescue, 293–94.
  49. ใน Swinton, To the Rescue, 309.
  50. ดู Swinton, To the Rescue, 309, 313, 333–34.
  51. ใน Swinton, To the Rescue, 340.
  52. ใน Swinton, To the Rescue, 405.
  53. ใน Jeffrey R. Holland, “In the Footsteps of the Master,” 11.
  54. ดู Swinton, To the Rescue, 316.
  55. ใน Swinton, To the Rescue, 248.
  56. ใน Swinton, To the Rescue, 464.
  57. ใน Swinton, To the Rescue, 401.
  58. John W. Gallivan, in Jeffrey R. Holland, “Man of Action, Man of Faith,” 15.
  59. Pamela Atkinson, in “Recollecting,” M3.
  60. ใน Swinton, To the Rescue, 440.
  61. ดู Swinton, To the Rescue, 402–3, 453.
  62. ดู Joseph F. Dougherty, “LDS Leader Also Lifelong Scouter,” Deseret News, Feb. 7, 2008, M6.
  63. ใน “In His Own Words,” 20.
  64. แอน ดิบบ์, อีเมลถึงโจชัว เพอร์คีย์, Church Magazines, Feb. 13, 2008.
  65. โธมัส เอส. มอนสัน, “พบปีติในการเดินทาง,” หรือ เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 105.
  66. ใน Swinton, To the Rescue, 452.
  67. ดู Swinton, To the Rescue, 463–64, 453.
  68. ดู Swinton, To the Rescue, 200.
  69. ดู Jeffrey R. Holland, “Man of Action, Man of Faith,” 16–17.
  70. ดู Jeffrey R. Holland, “Man of Action, Man of Faith,” 17.
  71. ดู Swinton, To the Rescue, 265.
  72. ดู Swinton, To the Rescue, 532–33.
  73. ใน Swinton, To the Rescue, 471, 472, 478, 484, 485.
  74. ใน Swinton, To the Rescue, 485.
  75. ใน Swinton, To the Rescue, 492.
  76. ใน Swinton, To the Rescue, 487.
  77. Gerry Avant, “Church President to Be Sustained in Solemn Assembly,” Church News,Apr. 5, 2008, 3–4; see also ChurchofJesusChrist.org/church/news/oct-4-is-president-monsons-50-year-anniversary-as-apostle.
  78. ดู Swinton, To the Rescue, 496.
  79. Thomas S. Monson, “The Lord’s Work,” Church News, Feb. 9, 2008, 3.
  80. ดู “Church Launches New Resources on Freedom of Religion,” mormonnewsroom.org/article/religious-freedom-resources.
  81. ใน Swinton, To the Rescue, 515.
  82. จดหมายจากฝ่ายประธานสูงสุด วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2012
  83. Paul G. Nauta, “2013 Was a Banner Year for Family History,” ChurchofJesusChrist.org/church/news/2013-was-a-banner-year-for-family-history.
  84. ใน Swinton, To the Rescue, 502.
  85. Gerry Avant, “Sister Frances J. Monson Was ‘the Ideal Wife and Mother,’” ChurchofJesusChrist.org/church/news/sister-frances-j-monson-was-the-ideal-wife-and-mother.
  86. ใน Swinton, To the Rescue, 504.
  87. ใน Swinton, To the Rescue, 504.
  88. ใน Swinton, To the Rescue, 512.
  89. ดู Swinton, To the Rescue, 515.
  90. Gerry Avant, “Oct. 4 Is President Monson’s 50-Year Anniversary as Apostle,” ChurchofJesusChrist.org/church/news/oct-4-is-president-monsons-50-year-anniversary-as-apostle.
  91. Gerry Avant, “Oct. 4 Is President Monson’s 50-Year Anniversary as Apostle,” ChurchofJesusChrist.org/church/news/oct-4-is-president-monsons-50-year-anniversary-as-apostle.
  92. โธมัส เอส. มอนสัน, “ฉันรู้พระผู้ไถ่ทรงพระชนม์!” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 32.

    คำสอนที่เลือกมา

    คำสอนต่อไปนี้มาจากการปฏิบัติของประธานมอนสันในฐานะประธานศาสนจักรและเรียงตามลำดับเหตุการณ์

    การทำตามการกระตุ้นเตือน: “ประสบการณ์อันน่าพอใจที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้จักในชีวิตคือการรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนและทำตามนั้น และพบในเวลาต่อมาว่านั่นเป็นสัมฤทธิผลของคำสวดอ้อนวอนหรือความต้องการของบางคน ข้าพเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงทราบเสมอว่าถ้าพระองค์ทรงต้องดำเนินกิจธุระเรื่องใด ทอม มอนสันจะดำเนินกิจธุระนั้นให้พระองค์” (On the Lord’s Errand [DVD, 2008])

    การได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์: “จำไว้ว่านี่ไม่ใช่งานของท่านหรือของข้าพเจ้าเท่านั้น นี่คืองานของพระเจ้า และเมื่อเรากำลังทำกิจธุระของพระเจ้า เรามีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า จำไว้ว่าคนที่พระเจ้าทรงเรียก พระเจ้าทรงทำให้คู่ควร” (“Duty Calls,” Ensign, May 1996, 44)

    ความรักสำหรับผู้อื่น: “สิ่งสำคัญที่สุดมักจะเกี่ยวข้องกับคนรอบข้างเราเสมอ เรามักคิดเอาเองว่าพวกเขาต้องรู้ว่าเรารักพวกเขา แต่เราไม่ควรคิดเอาเอง เราควรให้พวกเขารู้” (“พบปีติในการเดินทาง,เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 106)

    การรับใช้: “จุดประสงค์ในชีวิตเรามีอยู่น้อยนิด เว้นแต่เราจะทุ่มเทตนในการรับใช้ผู้อื่น ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองในที่สุดจะเหี่ยวแห้งโรยราไป เปรียบได้กับการสิ้นชีวิต ขณะผู้ที่ไม่นึกถึงตนเองในการรับใช้ผู้อื่นเติบโตและเบิกบาน—ผลก็คือมีชีวิตรอด” (“ฉันทำอะไรให้ใครบ้าง” เลียโฮนา, พ.ย. 2009, 103)

    การแต่งงาน: “จงเลือกคู่ครองอย่างพิถีพิถันร่วมกับการสวดอ้อนวอน เมื่อท่านแต่งงาน ขอให้จงรักภักดีต่อกันมากๆ คำแนะนำล้ำค่าจากคำปฏิญาณในกรอบเล็กๆ ที่ข้าพเจ้าเห็นในบ้านคุณลุงคุณป้า มีข้อความว่า ‘เลือกคนที่รัก รักคนที่เลือก’” (“อำนาจฐานะปุโรหิต,เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 86)

    พรพระวิหาร: “ท่านยังไม่ได้ทุกอย่างที่ศาสนจักรมอบให้จนกว่าจะเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าแล้วรับพรทุกประการซึ่งคอยท่านอยู่ที่นั่น พรสำคัญและสูงสุดของการเป็นสมาชิกศาสนจักรคือพรเหล่านั้นซึ่งเราได้รับในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า” (“พระวิหารศักดิ์สิทธิ์—ประภาคารส่องโลก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 116)

    การชดใช้: “ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะไม่มีใครเข้าใจความสำคัญอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำเพื่อเราในเกทเสมนี แต่ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์ทุกวันในชีวิตข้าพเจ้าสำหรับการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เพื่อเรา

    “ในวาระสุดท้ายพระองค์จะทรงทอดทิ้งก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น พระองค์เสด็จลงต่ำกว่าสิ่งทั้งปวงเพื่อพระองค์จะทรงช่วยสิ่งทั้งปวงให้รอด ในการทำเช่นนั้น พระองค์ประทานชีวิตเหนือการดำรงอยู่ในความเป็นมรรตัยนี้แก่เรา พระองค์ทรงไถ่เราจากการตกของอาดัม

    “ในห้วงลึกของจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์ พระองค์ทรงสอนเราว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร พระองค์ทรงสอนเราว่าจะสิ้นชีวิตอย่างไร พระองค์ทรงรับประกันความรอดของเรา” (“ยามเราจากกัน,เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 146

    การสวดอ้อนวอน: “พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบความต้องการของเราและจะทรงช่วยเราเมื่อเราทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีความกังวลใดของเราเล็กน้อยเกินไปหรือไม่สำคัญ พระเจ้าทรงอยู่ในรายละเอียดของชีวิตเรา” (“พิจารณาพร,Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ย. 2012, 88)

    การทดลอง: “เรารู้ว่ามีช่วงเวลาเมื่อเราต้องประสบกับโทมนัสอันปวดร้าว เมื่อเราต้องโศกเศร้าเสียใจ และเมื่อเราต้องถูกทดสอบจนถึงขีดจำกัดของเรา อย่างไรก็ตาม ความยากลำบากเช่นนั้นเปิดโอกาสให้เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนชีวิตเราในวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงสอน และแตกต่างไปจากสิ่งที่เราเคยเป็น—ดีกว่าที่เราเคยเป็น เข้าใจสิ่งต่างๆ ดีขึ้น เข้าใจความรู้สึกผู้อื่นมากขึ้น พร้อมด้วยประจักษ์พยานเข้มแข็งกว่าที่เราเคยมี” (“เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า,” Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 87)

    ความรักของพระผู้เป็นเจ้า: “พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักท่าน—ทุกๆ ท่าน ความรักนั้นไม่มีวันเปลี่ยน รูปลักษณ์ภายนอกของท่าน ทรัพย์สมบัติของท่าน หรือจำนวนเงินที่ท่านมีในบัญชีธนาคารไม่มีผลต่อความรักนั้น พรสวรรค์และความสามารถของท่านไม่เปลี่ยนความรักนั้น ความรักนั้นมีอยู่จริง มีให้ท่านยามท่านทุกข์หรือสุข สิ้นหวังหรือมีหวัง ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีให้ท่านไม่ว่าท่านจะรู้สึกว่าสมควรได้รับหรือไม่ก็ตาม ความรักนั้นมีให้ท่านเสมอ” (“เราไม่มีวันเดินตามลำพัง,Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 123–124)

    ความพร้อม: “เราอยู่ในยุคสับสนอลหม่าน อนาคตเบื้องหน้ามักไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน เมื่อถึงเวลาตัดสินใจ เวลาเตรียมก็ล่วงเลยไปแล้ว” (“เราพร้อมหรือไม่” Ensign หรือ เลียโฮนา, ก.ย. 2014, 5)

    แบบอย่าง: “ขณะโลกออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลักธรรมและแนวทางซึ่งพระบิดาบนสวรรค์ประทานแก่เรา เราจะโดดเด่นท่ามกลางฝูงชนเพราะเราแตกต่าง … สิ่งเหล่านั้นซึ่งทำให้เราต่างจากชาวโลกส่วนใหญ่ทำให้เรามีแสงสว่างและวิญญาณนั้นด้วยซึ่งจะส่องสว่างในโลกที่มืดมนลงทุกขณะ” (“จงเป็นแบบอย่างและแสงสว่าง,Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ย. 2015, 88)

    การเลือก: “หวังว่าเราจะคงไว้ซึ่งความกล้าหาญที่จะอยู่ตรงข้ามกับความนิยมชมชอบของคนส่วนใหญ่ ขอให้เราเลือกสิ่งถูกต้องที่ยากกว่า แทนการเลือกสิ่งผิดที่ง่ายกว่า

    “เมื่อเราใคร่ครวญการตัดสินใจที่เราทำในชีวิตแต่ละวัน—ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใด—หากเราเลือกพระคริสต์ เราจะเลือกได้ถูกต้อง” (“การเลือก,” Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ค. 2016, 86)

    จิตกุศล: “ขอให้เราพิจารณาชีวิตและตั้งใจทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดโดยมีใจกรุณา เปี่ยมด้วยความรัก และมีจิตกุศล และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการขอพลังอำนาจจากสวรรค์เพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อนผู้ร่วมเดินทางกลับไปยังบ้านบนสวรรค์ของเรา” (“ความกรุณา จิตกุศล และความรัก,” Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ค. 2017, 67)

    พระคัมภีร์มอรมอน: “ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้เราแต่ละคนศึกษาและไตร่ตรองพระคัมภีร์มอรมอนร่วมกับการสวดอ้อนวอนทุกวัน เมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะได้ยินสุรเสียงของพระวิญญาณ เพื่อให้เราต้านทานการล่อลวง เอาชนะความสงสัยและความกลัว เราจะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ในชีวิตเรา” (“พลังของพระคัมภีร์มอรมอน,” Ensign หรือ เลียโฮนา, พ.ค. 2017, 87)