2015
เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ อุทิศตนสุดความสามารถเพื่องานของพระเจ้า
ด้วยความระลึกถึง เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์


เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์: อุทิศตนสุดความสามารถเพื่องานของพระเจ้า

“ในฐานะอัครสาวกคนหนึ่งของพระองค์ ผู้ได้รับมอบอำนาจให้กล่าวคำพยานถึงพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานอย่างจริงจังว่าข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นพระบุคคลที่ฟื้นคืนพระชนม์แล้วและมีรัศมีภาพ ผู้ทรงมีความรักที่สมบูรณ์”1

ภาพ
Richard G. Scott with wood panel background

บนสุด: ภาพถ่ายเอื้อเฟื้อโดย Deseret News

ตั้งแต่วัยเยาว์ เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์มีความปรารถนาจะทำสิ่งถูกต้อง แม้ในเวลาที่ทำได้ยาก “เมื่อข้าพเจ้ายังเด็กมาก” เอ็ลเดอร์สก็อตต์กล่าว “ข้าพเจ้าได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้าว่าจะอุทิศตนอย่างสุดความสามารถเพื่องานของพระองค์”2 ความซื่อตรงต่อพันธสัญญาดังกล่าวชี้นำการตัดสินใจของท่านตลอดชีวิต ท่านเคยรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ประธานคณะเผยแผ่ สมาชิกโควรัมสาวกเจ็ดสิบ และต่อจากนั้นเป็นอัครสาวกของพระเจ้า

ริชาร์ด กอร์ดอน สก็อตต์เกิดที่โพคา-เทลโล ไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 1928 เมื่อท่านอายุห้าขวบ ท่านกับครอบครัวย้ายไปอยู่วอชิงตัน ดี.ซี. เพราะบิดาท่านทำงานให้กระทรวงเกษตรสหรัฐ โดยมีเอ็ลเดอร์เอสรา แทฟท์ เบ็นสันแห่งโควรัมอัครสาวกดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร

ภาพ
Kenneth and Mary Scott family

บนซ้าย: โดยได้แรงกระตุ้นจากบิดามารดา ริชาร์ดจึงชอบแยกชิ้นส่วนต่างๆ เรียนรู้ว่าชิ้นส่วนเหล่านั้นทำงานอย่างไร แล้วประกอบกลับไปเหมือนเดิม บน: เคนเน็ธกับแมรีย์ สก็อตต์และบุตรธิดาของท่านทั้งสอง (จากซ้าย): เจราลด์ เวย์น วอลเทอร์ มิทเชล และริชาร์ด

เมื่อริชาร์ดเป็นเยาวชน ครอบครัวท่านไม่ได้ไปโบสถ์เป็นประจำ เคนเน็ธกับแมรีย์บิดามารดาของท่านสอนค่านิยมที่ดีงามแก่ท่าน แต่เวลานั้นเคนเน็ธไม่ได้เป็นสมาชิกศาสนจักร และแมรีย์เป็นสมาชิกแข็งขันน้อย (ต่อมาเคนเน็ธเข้าร่วมศาสนจักร เขากับภรรยากลายเป็นสมาชิกที่แข็งขัน โดยรับใช้ในพระวิหารวอชิงตัน ดี.ซี. นานหลายปี) ริชาร์ดไปโบสถ์เป็นครั้งคราวด้วยกำลังใจจากเพื่อนที่ดี อธิการ และผู้สอนประจำบ้าน

สมัยเรียนมัธยมปลาย ริชาร์ดเป็นเยาวชนชายที่เข้ากับคนอื่นง่าย ท่านได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น เป่าคลาริเน็ตในวงดนตรี และเป็นหัวหน้าวงโยธวาทิต ถึงแม้จะเรียนเก่งและมีเพื่อนมาก แต่ท่านรู้สึกเหงาและขาดความเชื่อมั่น ท่านตระหนักในเวลาต่อมาขณะเป็นผู้สอนศาสนา “ว่าความรู้สึกเหล่านั้นต้องไม่เกิดขึ้นกับชีวิตข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้าเข้าใจพระกิตติคุณจริงๆ”3

ภาพ
brothers playing musical instruments

บน: ริชาร์ด (กลาง) กับน้องชายของท่านบนซ้าย: ริชาร์ดสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปี 1950 พร้อมด้วยปริญญาบัตรสาขาวิศวกรรมเครื่องกล ซ้าย: ริชาร์ดกำลังเป่าคลาริเน็ต กับน้องชาย

เมื่อโรงเรียนปิดเทอมช่วงฤดูร้อน ริชาร์ดทำงานหลายอย่างเพื่อหาเงินเรียนมหาวิทยาลัย ฤดูร้อนปีหนึ่งท่านทำงานบนเรือหอยนางรมนอกชายฝั่งลองไอแลนด์ นิวยอร์ก ฤดูร้อนอีกปีหนึ่งท่านเดินทางไปยูทาห์เพื่อทำงานตัดไม้ให้กรมป่าไม้ ท่านซ่อมรถไฟด้วย ฤดูร้อนอีกปีหนึ่งท่านขอทำงานกับ Utah Parks Company ทั้งที่พวกเขาบอกท่านว่าไม่เปิดรับ ท่านเสนอตัวล้างจานให้สองสัปดาห์โดยไม่คิดค่าจ้าง ท่านคิดว่าอย่างน้อยท่านก็มีที่พักและมีอาหารรับประทาน หลังจากแสดงเจตนารมณ์ท่านก็ได้รับการว่าจ้างให้ช่วยทำอาหารและล้างจาน4

หลังจากจบมัธยมปลาย ริชาร์ดเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับปริญญาตรีสาขาวิศกรรมเครื่องกลในปี 1950

คิดเรื่องงานเผยแผ่

ภาพ
Richard G. Scott as a missionary

ล่าง: เอ็ลเดอร์สก็อตต์รับใช้เป็นผู้สอนศาสนาในอุรุกวัย ล่างสุด: หลังจากงานเผยแผ่ ท่านแต่งงานกับจีนีน วัทคินส์ในพระวิหารแมนไท ยูทาห์เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 1953

ราวอายุ 22 ปี ท่านไม่ได้คิดมากเรื่องการรับใช้งานเผยแผ่ แต่ท่านเริ่มคิดเรื่องนี้หลังจากจีนีน วัทคินส์หญิงสาวที่ท่านออกเดทด้วยบอกท่านว่า “เมื่อดิฉันแต่งงาน ดิฉันจะแต่งงานในพระวิหารกับอดีตผู้สอนศาสนา”5 ท่านเริ่มสวดอ้อนวอนเรื่องการรับใช้งานเผยแผ่และเข้าพบอธิการเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ท่านได้รับเรียกให้รับใช้ในอุรุกวัยตั้งแต่ปี 1950 ถึง ปี 1953

จีนีนศึกษาการเต้นรำสมัยใหม่และสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน เธอสำเร็จการศึกษาในปี 1951 จากนั้นไปรับใช้งานเผยแผ่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ สองสัปดาห์หลังเอ็ลเดอร์สก็อตต์กลับจากงานเผยแผ่ ท่านกับจีนีนรับการผนึกในพระวิหารแมนไท ยูทาห์ในเดือนกรกฎาคมปี 1953 ท่านแบ่งปันเรื่องการผนึกครั้งนั้นในการประชุมใหญ่สามัญว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถบรรยายความสงบเยือกเย็นอันเกิดจากความเชื่อมั่นที่ว่าหากข้าพเจ้ายังคงดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควร ข้าพเจ้าจะได้อยู่กับจีนีนที่รักของข้าพเจ้าและลูกๆ ของเราตลอดไปเนื่องจากศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์นั้นประกอบโดยผู้มีอำนาจฐานะปุโรหิตที่ถูกต้องในพระนิเวศน์ของพระเจ้า”6

ภาพ
Richard and Jeanene Scott on wedding day

หลายครั้งในชีวิต เอ็ลเดอร์สก็อตต์ทำการตัดสินใจที่ชอบธรรมแม้จะมีการต่อต้านและแรงกดดันจากเพื่อน เช่นกรณีที่ท่านยอมรับการเรียกให้รับใช้งานเผยแผ่ ท่านเล่าว่า “อาจารย์กับเพื่อนๆ พยายามพูดโน้มน้าวไม่ให้ข้าพเจ้ายอมรับหมายเรียกเป็นผู้สอนศาสนา โดยแนะนำว่านั่นจะขัดขวางความก้าวหน้าในอาชีพวิศวกรของข้าพเจ้า แต่หลังจากงานเผยแผ่ไม่นาน ข้าพเจ้าได้รับเลือกให้ทำโครงการนิวเคลียร์ที่กองทัพเรือเพิ่งเริ่มทำ … ที่การประชุมหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าถูกส่งไปกำกับดูแล ข้าพเจ้าพบว่าอาจารย์คนที่เคยแนะนำไม่ให้ข้าพเจ้าไปรับใช้งานเผยแผ่อยู่ในตำแหน่งโครงการที่สำคัญน้อยกว่าข้าพเจ้า นั่นเป็นประจักษ์พยานแรงกล้าต่อข้าพเจ้าว่าพระเจ้าประทานพรข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกต้อง”7

ราวห้าปีหลังจากแต่งงาน เอ็ลเดอร์กับซิสเตอร์สก็อตต์ผ่านสิ่งที่ท่านเรียกว่า “ประสบการณ์การเติบโต”—การทดลองที่ยากซึ่งกลายเป็นพรในชีวิตครอบครัวของท่าน เวลานั้นพวกท่านมีบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหนึ่งคน อายุสามขวบกับสองขวบ ซิสเตอร์สก็อตต์ตั้งครรภ์ลูกสาว แต่น่าเศร้าที่เด็กน้อยเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด

อีกหกสัปดาห์ให้หลัง ริชาร์ดลูกชายวัยสองขวบสิ้นชีวิตหลังจากผ่าตัดแก้ไขหัวใจพิการแต่กำเนิด เอ็ลเดอร์สก็อตต์เล่าว่า

“บิดาข้าพเจ้าเวลานั้นไม่ได้เป็นสมาชิกของศาสนจักร ท่านรักเด็กชายริชาร์ดมาก ท่านกล่าวกับมารดาที่ไม่แข็งขันของข้าพเจ้าว่า ‘ผมไม่เข้าใจว่าริชาร์ดกับจีนีนสามารถยอมรับการสูญเสียลูกๆ ของพวกเขาได้อย่างไร’

“คุณแม่ตอบตามการกระตุ้นเตือนว่า ‘เคนเน็ธคะ พวกเขารับการผนึกในพระวิหารแล้วนะคะ พวกเขารู้ว่าลูกๆ จะได้อยู่กับพวกเขาในนิรันดรถ้าพวกเขาดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม แต่คุณกับดิฉันจะไม่ได้อยู่กับลูกห้าคนของเราเพราะเราไม่ได้ทำพันธสัญญาเหล่านั้น’

“บิดาข้าพเจ้าไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้น ท่านเริ่มพบกับผู้สอนศาสนาสเตคและจากนั้นไม่นานท่านรับบัพติศมา เพียงปีเศษคุณแม่ คุณพ่อ กับลูกๆ ได้รับการผนึกในพระวิหาร8

ต่อมาเอ็ลเดอร์กับซิสเตอร์สก็อตต์รับบุตรบุญธรรมสี่คน

ภาพ
Richard and Jeanene Scott family

บน: ครอบครัวสก็อตต์ในปี 1965 ขณะท่านได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในอาร์เจนตินา กับแมรีย์ ลี ลินดา และเคนเน็ธลูกๆ ของท่าน ล่าง (จากซ้าย): เคนเน็ธ เดวิดลินดา จีนีน เอ็ลเดอร์สก็อตต์ ไมเคิล และแมรีย์ ลี หน้าตรงข้าม: ขณะทำงานให้กองทัพเรือสหรัฐ เอ็ลเดอร์สก็อตต์ช่วยออกแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก

รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่

ขณะทำงานในโครงการกองทัพเรือที่โอ๊คริดจ์ เทนเนสซี เอ็ลเดอร์สก็อตต์เรียนจบเทียบเท่าปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ เพราะสาขานั้นเป็นความลับสุดยอด จึงไม่มีการมอบปริญญา ทหารเรือที่เชิญริชาร์ดเข้าร่วมโครงการนิวเคลียร์คือฮายแมน ริค-โอเวอร์ผู้บุกเบิกสาขานั้น ทั้งสองทำงานด้วยกัน 12 ปี—จนกระทั่งริชาร์ดได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในอาร์เจนตินาเมื่อปี 1965 เอ็ลเดอร์สก็อตต์อธิบายว่าท่านได้รับการเรียกอย่างไร

ภาพ
Richard G. Scott in navy uniform

บน: ครอบครัวสก็อตต์ในปี 1965 ขณะท่านได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในอาร์เจนตินา กับแมรีย์ ลี ลินดา และเคนเน็ธลูกๆ ของท่าน ล่าง (จากซ้าย): เคนเน็ธ เดวิดลินดา จีนีน เอ็ลเดอร์สก็อตต์ ไมเคิล และแมรีย์ ลี หน้าตรงข้าม: ขณะทำงานให้กองทัพเรือสหรัฐ เอ็ลเดอร์สก็อตต์ช่วยออกแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก

“คืนหนึ่งข้าพเจ้าประชุมอยู่กับผู้ร่วมพัฒนาส่วนสำคัญของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เลขาของข้าพเจ้าเดินเข้ามาบอกว่า ‘มีคนรอพูดโทรศัพท์อยู่ค่ะ เขาบอกว่าถ้าดิฉันเรียนท่านว่าใครโทรมา ท่านจะมารับสาย’

“ข้าพเจ้าถามว่า ‘เขาชื่ออะไรหรือครับ’

“เธอตอบว่า ‘ฮาโรลด์ บี. ลีค่ะ’

“ข้าพเจ้าบอกว่า ‘เขาพูดถูก’ ข้าพเจ้ารับโทรศัพท์ เอ็ลเดอร์ลี ซึ่งต่อมาเป็นประธานศาสนจักร ถามว่าข้าพเจ้าจะมาพบท่านคืนนี้ได้ไหม ท่านอยู่ในนิวยอร์กซิตี ส่วนข้าพเจ้าอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. ข้าพเจ้าบินไปพบท่าน และเรามีการสัมภาษณ์ซึ่งนำไปสู่การเรียกข้าพเจ้าเป็นประธานคณะเผยแผ่”

ต่อจากนั้นเอ็ล-เดอร์สก็อตต์รู้สึกว่าท่านควรแจ้งเรื่องการเรียกของท่านให้พลเรือเอกริคโอเวอร์ผู้ทำงานขยันขันแข็งและทุ่มเททราบทันที

“ขณะอธิบายการเรียกงานเผยแผ่ให้เขาฟังและนั่นหมายความว่าข้าพเจ้าจะต้องออกจากงาน เขาโมโหมาก เขาพูดบางอย่างที่ไม่ควรนำมาแพร่งพราย ถาดเอกสารที่อยู่บนโต๊ะแตก และในคำพูดต่อมาบ่งบอกประเด็นชัดเจนสองเรื่องคือ

“‘สก็อตต์ สิ่งที่คุณทำในโครงการป้องกันภัยครั้งนี้สำคัญมากถึงขนาดว่าต้องใช้เวลาหนึ่งปีหาคนมาแทนคุณ เพราะฉะนั้นคุณไปไม่ได้ สอง ถ้าคุณไป คุณคือพวกทรยศต่อประเทศชาติ’

“ข้าพเจ้าบอกว่า ‘ผมจะฝึกคนที่มาแทนผมในอีกสองเดือนที่เหลือ และจะไม่มีภัยอันตรายใดๆ ต่อประเทศชาติ’

“เราคุยกันมากกว่านั้นจนในที่สุดเขาพูดว่า ‘ผมจะไม่พูดกับคุณอีก ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกต่อไป! จบกันที ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่อย่าคิดทำงานด้านนิวเคลียร์อีกก็แล้วกัน’”

“ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ท่านนายพลครับ ท่านห้ามผมไม่ให้มาที่นี่ได้ แต่ถ้าท่านไม่ว่ากระไร ผมจะโอนงานนี้ให้อีกคนหนึ่ง’”

ท่านนายพลทำตามที่บอกคือหยุดพูดกับเอ็ลเดอร์สก็อตต์ เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เขาจะส่งคนมาบอก เขามอบหมายให้คนหนึ่งมารับตำแหน่งของเอ็ลเดอร์สก็อตต์ ซึ่งเป็นคนที่เอ็ลเดอร์สก็อตต์ฝึกมา

วันสุดท้ายในที่ทำงาน เอ็ลเดอร์สก็อตต์ขอนัดหมายกับท่านนายพล เลขานุการของเขาตกใจ เอ็ลเดอร์สก็อตต์เข้าไปในห้องทำงานของเขาพร้อมพระ-คัมภีร์มอรมอน ท่านอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นว่า

“เขามองข้าพเจ้าและพูดว่า ‘นั่งสิ สก็อตต์ คุณมีอะไรหรือ ผมลองมาแล้วทุกทางเพื่อบีบให้คุณเปลี่ยนใจ คุณถืออะไรมาด้วย’ ตามมาด้วยการสนทนาอย่างเงียบๆ และน่าสนใจมาก ครั้งนี้เขาฟังมากขึ้น

“เขาพูดว่าเขาจะอ่านพระคัมภีร์มอรมอนมีบางอย่างเกิดขึ้นต่อจากนั้นที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เขาเสริมว่า ‘เมื่อคุณกลับจากงานเผยแผ่ ผมอยากให้คุณโทรหาผม จะมีงานให้คุณทำ’”9

เอ็ลเดอร์สก็อตต์แบ่งปันบทเรียนที่ท่านได้จากประสบการณ์นี้ว่า “ท่านจะมีความท้าทายและการตัดสินใจยากๆ ให้ทำตลอดชีวิต แต่จงมุ่งมั่นตั้งใจ ตอนนี้ ว่าจะทำสิ่งถูกต้องเสมอและปล่อยให้ผลตามมา ผลมักจะดีที่สุดสำหรับท่านเสมอ”10

ขณะรับใช้ในอาร์เจนตินา ประธานริชาร์ดจี. สก็อตต์เป็นประธานคณะเผยแผ่ที่มีประสิทธิภาพทั้งยังมีความเห็นอกเห็นใจอีกด้วย เวย์น การ์ดเนอร์ผู้สอนศาสนาคนหนึ่งของท่านจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาต้องจัดเตรียมการประชุมใหญ่ผู้สอนศาสนาห่างจากบ้านคณะเผยแผ่และมีหน้าที่ต้องไปรับประธานสก็อตต์จากสนามบิน เมื่อถึงนาทีสุดท้าย ตึกที่เอ็ลเดอร์การ์ดเนอร์กำหนดไว้จัดการประชุมใหญ่เกิดไม่ว่าง เขากับคู่จึงไปรับประธานสก็อตต์ที่สนามบินช้ากว่ากำหนด เขายังลืมบอกคนขับแท็กซี่ให้รอด้วยเพราะที่นั่นไม่มีแท็กซี่ พวกเขาจึงติดอยู่ที่สนามบิน

“ถึงแม้จะเห็นแววตาผิดหวังของประธาน” เอ็ลเดอร์การ์ดเนอร์เล่า “แต่ท่านโอบผมและบอกว่าท่านรักผม ท่านอดทนมากและเข้าใจ ผมหวังว่าผมจะไม่ลืมบทเรียนนั้น”11

ภาพ
Richard G. Scott holding up Book of Mormon

ประธานสก็อตต์ใช้พระคัมภีร์มอรมอนเป็นแหล่งการดลใจสำหรับตัวท่านเองและสำหรับผู้สอนศาสนา ครั้งหนึ่ง ผู้สอนศาสนาคนหนึ่งมาหาท่านที่ห้องทำงานพร้อมปัญหา เอ็ลเดอร์สก็อตต์เล่าว่า

“ขณะที่เขาพูด ข้าพเจ้าเริ่มนึกหาคำพูดที่จะช่วยเขาแก้ปัญหานั้น เมื่อเขาพูดจบ ข้าพเจ้าบอกว่า ‘ผมรู้วิธีช่วยคุณ’ เขามองข้าพเจ้าอย่างกระหายใคร่รู้ และจู่ๆ ความคิดข้าพเจ้าก็ว่างเปล่า ข้าพเจ้านึกสิ่งที่เตรียมจะบอกเขาไม่ออก

“ด้วยความกังวล ข้าพเจ้าเริ่มพลิกพระคัมภีร์มอรมอนที่ถืออยู่ในมือจนกระทั่งถูกดึงความสนใจไปที่พระคัมภีร์ข้อสำคัญมากซึ่งข้าพเจ้าอ่านให้เขาฟัง สิ่งนี้เกิดขึ้นสามครั้ง พระคัมภีร์แต่ละข้อใช้ได้กับสถานการณ์ของเขาพอดี จากนั้น ประหนึ่งม่านในความคิดข้าพเจ้าถูกยกขึ้นไป ข้าพเจ้าจำคำแนะนำที่เตรียมจะบอกเขาได้ ตอนนี้คำแนะนำดังกล่าวมีความหมายยิ่งกว่าเดิม เพราะอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์อันล้ำค่า เมื่อข้าพเจ้าพูดจบ เขาบอกว่า ‘ผมรู้ว่าคำแนะนำที่ท่านให้มาจากการดลใจเพราะท่านย้ำพระคัมภีร์สามข้อเหมือนข้อที่ผมได้รับขณะวางมือมอบหน้าที่เป็นผู้สอนศาสนา’”12

การรับใช้ต่อเนื่องที่บ้านและต่างแดน

เมื่อครอบครัวสก็อตต์จบงานเผยแผ่และกลับไปวอชิงตัน ดี.ซี. เอ็ลเดอร์-สก็อตต์ทำงานด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ต่อไปเหมือนเดิม เพื่อนร่วมงานบางคนที่เคยทำงานกับท่านก่อนไปงานเผยแผ่ขอให้ท่านเข้าร่วมบริษัทให้คำปรึกษาเอกชนของพวกเขา ท่านทำงานกับบริษัทนั้นตั้งแต่ปี 1969 ถึงปี 1977 ที่โบสถ์ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสเตค และต่อจากนั้นเป็นตัวแทนเขต

ในปี 1977 แปดปีหลังปลดจากการเป็นประธานคณะเผยแผ่ เอ็ลเดอร์สก็อตต์ได้รับเรียกสู่โควรัมที่หนึ่งแห่งสาวกเจ็ดสิบ งานมอบหมายแรกๆ ของท่านรวมถึงการรับใช้เป็นผู้อำนวยการบริหารแผนกฐานะปุโรหิต และเป็นผู้บริหารระดับสูงในเม็กซิโกและอเมริกากลาง ท่านกับครอบครัวอยู่ในเม็กซิโกซิตีสามปีในงานมอบหมายนั้น สมาชิกชาวลาตินอเมริกาต่างชื่นชมรูปแบบการเป็นผู้นำที่อบอุ่น ความสามารถในการพูดภาษาสเปน และความรักที่จริงใจของท่านต่อผู้คน

ภาพ
Richard G. Scott with Mexican Saints

บน: ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์กับซิสเตอร์คามิลลา คิมบัลล์ไปเยี่ยมคณะเผยแผ่อาร์เจนตินานอร์ธที่เอ็ลเดอร์สก็อตต์รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ เอ็ลเดอร์สก็อตต์เปิดงานเผยแผ่ศาสนาในบรรดาชาวอินเดียนแดงเผ่าเคทชัว ทางภาคใต้ของโบลิเวีย ล่าง: เอ็ลเดอร์สก็อตต์ผู้พูดภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่วเป็นประธานการก่อตั้งสเตคที่ 100 ในเม็กซิโก

ล่างสุด: ภาพถ่ายเอื้อเฟื้อโดยหอจดหมายเหตุ Deseret News

แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ แต่ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนมากพอจะเรียนรู้จากครูและผู้นำในท้องที่ ท่านจำได้คราวรับการเปิดเผยขณะนั่งอยู่ในการประชุมฐานะปุโรหิตของสาขาหนึ่งในเม็กซิโกซิตี

“ข้าพเจ้าจำได้ชัดเจนว่าผู้นำฐานะปุโรหิตชาวเม็กซิโกที่อ่อนน้อมคนหนึ่งพยายามถ่ายทอดความจริงของพระกิตติคุณในเนื้อหาบทเรียนของเขา … ลักษณะท่าทางของเขาบ่งบอกความรักอันบริสุทธิ์ที่เขามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและคนที่เขาสอน

“ความจริงใจ เจตนาที่บริสุทธิ์ และความรักของเขาทำให้พลังทางวิญญาณแผ่ไปทั่วห้อง ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง จากนั้นข้าพเจ้าเริ่มได้รับความประทับใจส่วนตัวซึ่งขยายหลักธรรมที่ครูผู้อ่อนน้อมถ่อมตนคนนี้สอน …

“เมื่อเกิดความประทับใจแต่ละครั้ง ข้าพเจ้าจดไว้อย่างละเอียด ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าได้รับความจริงอันทรงคุณค่าที่ข้าพเจ้าต้องการอย่างยิ่งเพื่อจะเป็นผู้รับใช้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของพระเจ้า”13

หลังกลับจากเม็กซิโก ท่านได้รับงานมอบหมายอันล้ำค่าอีกงานหนึ่งนั่นคือการรับใช้เป็นผู้อำนวยการบริหารแผนกประวัติครอบครัว ท่านไม่เพียงช่วยดูแลงานประวัติครอบครัวของศาสนจักรเท่านั้นแต่มีส่วนในงานของท่านเองด้วย เพราะบิดาของเอ็ลเดอร์สก็อตต์เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักร จึงต้องทำการค้นคว้ามากในสายของบิดาท่าน เอ็ลเดอร์สก็อตต์กับภรรยา และบิดามารดาของท่านอุทิศเวลาค้นคว้าประวัติครอบครัวของพวกท่าน

กลางทศวรรษ 1980 เทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในงานประวัติครอบครัว แต่ “แม้จะมีคอมพิวเตอร์ช่วย ก็ยังต้องมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องในงานนี้เสมอ” เอ็ลเดอร์สก็อตต์กล่าว “เพื่อให้สมาชิกศาสนจักรมีประสบการณ์สำคัญยิ่งทางวิญญาณที่มากับงานนี้”14

ภาพ
Quorum of the Twelve Apostles

ซ้าย: เอ็ลเดอร์สก็อตต์ (ขวาสุด) ได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองในปี 1988 ท่านรับใช้ตำแหน่งนี้ 27 ปี ล่างซ้าย: ท่านทักทายประธานโธมัส เอส. มอนสัน ล่าง: เอ็ลเดอร์สก็อตต์ได้รับเรียกให้รับใช้ในฝ่ายประธานโควรัมสาวกเจ็ดสิบเมื่อปี 1983 ล่างสุด: ขณะออกจากการประชุมใหญ่สามัญกับเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์และเอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด

ในปี 1988 มีการเรียกที่น่าตื้นตันใจมาถึง ท่านพบกับประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน (1899-1994) ผู้ “มีความอ่อนโยน ความรัก และความเข้าใจมาก” ท่านมอบการเรียกให้เอ็ลเดอร์สก็อตต์เป็นอัครสาวกของพระเจ้า “ข้าพเจ้าอดร้องไห้ไม่ได้” เอ็ลเดอร์สก็อตต์กล่าวถึงประสบการณ์นั้น “ต่อจากนั้นประธานเบ็นสันพูดถึงการเรียกของท่านอย่างอ่อนโยนมากเพื่อให้ความมั่นใจแก่ข้าพเจ้า ท่านเป็นพยานว่าการเรียกของข้าพเจ้ามาได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะจดจำความเห็นใจและความเข้าใจของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าไว้ตลอดไป”15 เอ็ลเดอร์สก็อตต์ได้รับการสนับสนุนในการประชุมใหญ่สามัญวันที่ 1 ตุลาคม

การแต่งงาน

เอ็ลเดอร์สก็อตต์กับจีนีนภรรยามีความสุขกับกิจกรรมมากมายด้วยกัน อาทิ ชมนก วาดภาพ (ท่านใช้สีน้ำ เธอใช้สีชอล์ก) และฟังเพลงแจ๊ซกับเพลงพื้นเมืองของอเมริกาใต้

ภาพ
Richard and Jeanene Scott reading scriptures

คนที่ได้ฟังคำพูดการประชุมใหญ่ของเอ็ลเดอร์สก็อตต์รู้ว่าท่านรักจีนีน ท่านพูดถึงเธอบ่อยครั้ง แม้หลังจากเธอถึงแก่กรรมแล้ว ในคำพูดการประชุมใหญ่ครั้งแรกในฐานะสมาชิกโควรัมที่หนึ่งของสาวกเจ็ดสิบเมื่อปี 1977 เอ็ลเดอร์สก็อตต์กล่าวยกย่องภรรยาว่าเธอเป็น“คู่ชีวิตที่ท่านรักและทะนุถนอม … จีนีนเป็นต้นแบบของประจักษ์พยานที่บริสุทธิ์ ความรัก และความภักดี เธอเป็นหอสูงคอยส่งพลังให้ข้าพเจ้า”16

เมื่อเร็วๆ นี้ ในคำพูดการประชุมใหญ่ที่สร้างแรงบันดาลใจเรื่องการแต่งงาน ท่านเล่าว่าการที่ท่านกับจีนีนแสดงความรักต่อกันบ่อยครั้งได้เสริมสร้างชีวิตแต่งงานของพวกท่าน ท่านสรุปว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าช่างดีอะไรอย่างนี้ที่ได้รักธิดาคนหนึ่งของพระบิดาในสวรรค์ผู้ดำเนินชีวิตอย่างสง่างามในฐานะสตรีที่ชอบธรรม ข้าพเจ้ามั่นใจว่าในอนาคตเมื่อพบเธออีกครั้งหลังม่านเราจะรู้ว่าเรารักกันลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เราจะเห็นคุณค่าของกันและกันมากยิ่งกว่าเวลานี้ที่เราอยู่แยกกันคนละฝั่งของม่าน”17

เวลานี้พวกท่านได้พบกันแล้ว

อ้างอิง

  1. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “พระองค์ทรงพระชนม์อยู่,” เลียโฮนา, ม.ค. 2000, 109.

  2. ใน “Elder Richard G. Scott of the Quorum of the Twelve,” Ensign, Nov. 1988, 101.

  3. ใน มาร์วิน เค. การ์ดเนอร์, “Elder Richard G. Scott: ‘The Real Power Comes from the Lord,’” Tambuli, Feb. 1990, 18.

  4. ดู การ์ดเนอร์, “Elder Richard G. Scott: ‘The Real Power Comes from the Lord,’” Tambuli, Feb. 1990, 19.

  5. จีนีน วัทคินส์, ใน การ์ดเนอร์, “Elder Richard G. Scott: ‘The Real Power Comes from the Lord,’” Tambuli, Feb. 1990, 20.

  6. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “พรนิรันดร์ของการแต่งงาน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 118.

  7. ใน “Elder Richard G. Scott of the First Quorum of the Seventy,” Ensign, May 1977, 102–3.

  8. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “การรับพรพระวิหาร,” เลียโฮนา, ก.ค. 1999, 36-37.

  9. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “ตัดสินใจลำบาก,” เลียโฮนา, มิ.ย. 2005, 8–9, 10.

  10. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “Do What Is Right,” Liahona, Mar. 2001, 14.

  11. เวย์น แอล. การ์ดเนอร์, ใน การ์ดเนอร์, “Elder Richard G. Scott: ‘The Real Power Comes from the Lord,’” Tambuli, Feb. 1990, 21.

  12. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “The Power of the Book of Mormon in My Life,” Ensign, Oct. 1984, 9.

  13. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “เพื่อให้ได้รับการชี้นำทางวิญญาณ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2009, 7.

  14. ใน “Elder Richard G. Scott of the Quorum of the Twelve,” Ensign, Nov. 1988, 102.

  15. ใน “Elder Richard G. Scott of the Quorum of the Twelve,” Ensign, Nov. 1988, 101.

  16. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “Gratitude,” Ensign, May 1977, 70.

  17. ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “พรนิรันดร์ของการแต่งงาน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 121.