พระคัมภีร์
หลักคำสอนและพันธสัญญา 134


ภาค ๑๓๔

ข้อประกาศถึงความเชื่อเกี่ยวกับการปกครองและกฎหมายทั่วไป, ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยมติเป็นเอกฉันท์ ณ การประชุมใหญ่ของศาสนจักรซึ่งมีขึ้นที่เคริท์แลนด์, รัฐโอไฮโอ, วันที่ ๑๗ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๓๕ (History of the Church, 2:247–249). เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการประชุมผู้นำศาสนจักร, ซึ่งมาร่วมกันพิจารณาเนื้อหาที่เสนอสำหรับงานพิมพ์ครั้งแรกของหลักคำสอนและพันธสัญญา. ในเวลานั้น, มีการให้บทนำสำหรับคำแถลงการณ์ดังกล่าวไว้ดังนี้ : “เพื่อความเชื่อของเราเกี่ยวกับการปกครองและกฎหมายทั่วไปฝ่ายโลกจะไม่ถูกตีความหรือเข้าใจผิด, เราคิดว่าเหมาะสมแล้วที่จะเสนอความเห็นของเรา, ไว้ท้ายเล่มนี้, เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ” (History of the Church, 2:247).

๑–๔, รัฐบาลทั้งหลายควรรักษาเสรีภาพแห่งมโนธรรมและการนมัสการ; ๕–๘, ทุกคนควรสนับสนุนรัฐบาลของตนและเคารพและยำเกรงกฎหมาย; ๙–๑๐, สังคมศาสนาไม่ควรบังคับใช้อำนาจการปกครองแบบรัฐ; ๑๑–๑๒, มนุษย์มีสิทธิ์ปกป้องตนเองและทรัพย์สินของตน.

เราทั้งหลายเชื่อว่าการปกครองได้รับการจัดตั้งโดยพระผู้เป็นเจ้าเพื่อประโยชน์ของมนุษย์; และว่าพระองค์ทรงถือว่ามนุษย์รับผิดชอบการกระทำของพวกเขาเกี่ยวกับการปกครอง, ทั้งในการออกกฎหมายและการบริหารกฎหมาย, เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของสังคม.

เราเชื่อว่าไม่มีการปกครองใดจะดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุข, เว้นแต่จะร่างกฎหมายเช่นนั้นขึ้นและธำรงไว้มิให้ถูกล่วงละเมิดในอันที่จะให้ความเชื่อมั่นแก่ปัจเจกบุคคลถึงการใช้มโนธรรมอย่างเสรี, สิทธิ์และการควบคุมทรัพย์สิน, และการปกป้องชีวิต.

เราเชื่อว่าการปกครองทั้งปวงจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่และฝ่ายปกครองของรัฐเพื่อรักษากฎหมายของการปกครองนั้น ๆ; และว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวซึ่งจะบริหารกฎหมายด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรมควรได้รับการค้นหาและสนับสนุนโดยเสียงของผู้คนหากเป็นสาธารณรัฐ, หรือโดยความประสงค์ของผู้ครองราชย์.

เราเชื่อว่าศาสนาได้รับการจัดตั้งโดยพระผู้เป็นเจ้า; และว่ามนุษย์มีความรับผิดชอบต่อพระองค์, และต่อพระองค์เพียงผู้เดียว, เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนา, เว้นแต่ความเห็นทางศาสนาของพวกเขาจะกระตุ้นพวกเขาให้ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น; แต่เราไม่เชื่อว่ากฎของมนุษย์มีสิทธิ์แทรกแซงการบัญญัติกฎระเบียบของการนมัสการเพื่อจำกัดมโนธรรมของมนุษย์, หรือบงการรูปแบบการนมัสการในที่สาธารณะหรือในที่รโหฐาน; ว่าฝ่ายปกครองของรัฐควรหยุดยั้งอาชญากรรม, แต่ไม่บังคับมโนธรรม; ควรลงโทษที่ความผิด, แต่ไม่กดขี่เสรีภาพของจิตวิญญาณ.

เราเชื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงพึงสนับสนุนและส่งเสริมการปกครองของบ้านเมืองอันเป็นถิ่นพำนักของตน, ขณะที่กฎหมายของการปกครองเช่นนั้นคุ้มครองสิทธิโดยกำเนิดและไม่อาจโอนให้กันได้ของพวกเขา; และว่าการก่อกวนและการกบฏไม่คู่ควรกับพลเมืองทั้งปวงที่ได้รับการคุ้มครองดังกล่าว, และสมควรถูกลงโทษตามนั้น; และว่าการปกครองทั้งปวงมีสิทธิ์ออกกฎหมายเช่นนั้นตามดุลพินิจของพวกเขาเองที่คาดคะเนว่าดีที่สุดเพื่อรักษาสาธารณประโยชน์; อย่างไรก็ตาม, ในขณะเดียวกัน, ยึดมั่นเสรีภาพของมโนธรรมไว้ให้ศักดิ์สิทธิ์.

เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสมควรได้รับยกย่องในตำแหน่งหน้าที่ของเขา, นักปกครองและฝ่ายปกครองก็เป็นเช่นนั้น, โดยวางตำแหน่งไว้เพื่อคุ้มครองผู้บริสุทธิ์และลงโทษผู้กระทำผิด; และว่าคนทั้งปวงต้องเคารพและยำเกรงกฎหมาย, เพราะปราศจากสิ่งเหล่านี้สันติสุขและความสมานฉันท์จะถูกแทนที่ด้วยอนาธิปไตยและความหวาดกลัว; กฎของมนุษย์สถาปนาขึ้นเพื่อจุดประสงค์อันชัดเจนในการกำกับดูแลผลประโยชน์ของเราในฐานะบุคคลและประชาชาติ, ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์; และกฎของพระผู้เป็นเจ้าให้ไว้จากสวรรค์, โดยบัญญัติกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณ, เพื่อศรัทธาและการนมัสการ, มนุษย์พึงขานรับพระผู้รังสรรค์ของเขาทั้งสองอย่าง.

เราเชื่อว่านักปกครอง, รัฐ, และรัฐบาลมีสิทธิ์, และพึงออกกฎหมายเพื่อความคุ้มครองพลเมืองทั้งปวงในการปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาโดยเสรี; แต่เราไม่เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์ในความยุติธรรมที่จะถอดถอนสิทธิพิเศษนี้ไปจากพลเมือง, หรือเพิกถอนสิทธิ์ในความคิดเห็นของพวกเขา, ตราบเท่าที่มีการแสดงความนับถือและความคารวะต่อกฎหมายและความคิดเห็นเช่นนั้นทางศาสนามิได้เป็นการเห็นด้วยกับการก่อกวนหรือการคบคิด.

เราเชื่อว่าการก่ออาชญากรรมสมควรถูกลงโทษตามลักษณะของความผิด; คือฆาตกรรม, การทรยศต่อบ้านเมือง, การปล้น, การลักขโมย, และการบ่อนทำลายความสงบทั่วไป, ในทุกกรณี, สมควรถูกลงโทษตามประเภทอาชญากรรมและแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความชั่วร้ายในหมู่มนุษย์, ตามกฎหมายของรัฐบาลนั้นที่ความผิดถูกกระทำขึ้น; และเพื่อสันติสุขและความสงบของสาธารณชน มนุษย์ทั้งปวงควรก้าวออกมาและใช้ความสามารถของพวกเขาในการนำผู้กระทำผิดต่อกฎหมายที่ดีงามมาสู่การลงโทษ.

เราไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องถูกต้องที่จะรวมอิทธิพลทางศาสนาเข้ากับการปกครองฝ่ายบ้านเมือง, ซึ่งโดยการนี้สังคมศาสนาสังคมหนึ่งได้รับการอุปถัมภ์และอีกสังคมหนึ่งถูกเพิกถอนสิทธิพิเศษฝ่ายวิญญาณของสังคมนั้น, และสิทธิส่วนบุคคลของสมาชิกสังคมนั้น, ในฐานะพลเมือง, ถูกปฏิเสธ.

๑๐ เราเชื่อว่าสังคมศาสนาทั้งปวงมีสิทธิ์ที่จะจัดการกับสมาชิกของตนสำหรับความประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ, ตามกฎระเบียบและข้อบังคับของสังคมเหล่านั้น; ถ้าการจัดการเป็นไปเพื่อสมาชิกภาพและการยืนหยัดในความดีงาม; แต่เราไม่เชื่อว่าสังคมศาสนาสังคมใดมีสิทธิอำนาจจะพิจารณาคนในศาลเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินหรือชีวิต, เพื่อเอาทรัพย์ส่วนตัวของโลกนี้ไปจากพวกเขา, หรือทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายไม่ว่าชีวิตหรือแขนขา, หรือก่อให้เกิดทุกข์โทษอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ร่างกายของพวกเขา. พวกเขาทำได้แต่เพียงปัพพาชนียกรรมให้คนเหล่านั้นออกจากสังคมของพวกเขา, และถอนสมาชิกภาพคืนจากพวกเขา.

๑๑ เราเชื่อว่ามนุษย์ควรอุทธรณ์ต่อกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองเพื่อชดใช้ความผิดและข้อกล่าวหาทั้งปวง, ที่ก่อให้เกิดทุกข์โทษแก่ตัวบุคคลหรือละเมิดสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือศักดิ์ศรี, ซึ่งกฎหมายเช่นนั้นดำรงอยู่เพื่อจะคุ้มครองเรื่องนั้น ๆ; แต่เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์โดยชอบในการปกป้องตนเอง, มิตรสหาย, และทรัพย์สิน, และรัฐบาล, ให้พ้นจากการโจมตีและการรุกล้ำที่ผิดกฎหมายของทุกคนในภาวะคับขัน, ในสภาพที่การอุทธรณ์ต่อกฎหมายไม่สามารถทำได้โดยทันที, และเหลือวิสัยแก่การสงเคราะห์.

๑๒ เราเชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่จะสั่งสอนพระกิตติคุณแก่ประชาชาติของแผ่นดินโลก, และตักเตือนคนชอบธรรมให้ช่วยตนเองให้รอดจากความเสื่อมทรามของโลก; แต่เราไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่จะยุ่งเกี่ยวกับข้าทาส, ทั้งไม่สั่งสอนพระกิตติคุณให้, หรือให้บัพติศมาพวกเขาเมื่อขัดกับความประสงค์และความปรารถนาของนายพวกเขา, หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือชักชวนพวกเขาแม้แต่น้อยเพื่อทำให้พวกเขาไม่พอใจกับสภาพของพวกเขาในชีวิตนี้, อันจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตคนทั้งหลาย; การแทรกแซงเช่นนั้นเราเชื่อว่าผิดกฎหมายและไม่เที่ยงธรรม, และเป็นภัยต่อความสงบสุขของทุกรัฐบาลที่ยินยอมให้มนุษย์ตกอยู่ในความเป็นทาส.