คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 12: ฃมฑรัพย์ลํ้าคาในพระคัมภีร์


บทที่ 12

นุมฑรัพย์ลํ้าคาในพระคัมภีร์

เมื่อเราค้นคว้าพระคัมภีร์ไนพระวิญญาณองค์เดียวกันที่ให้พระคัมภีร์ เราจะเข้าไจพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น

จากชีวิตญองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

วันร่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1845 เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟซึ่งขณะนั้นรับใช้ เปีนเจ้าหน้าที่ดูแลศาสนาจักรในหมู,เกาะอังกฤษได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก เพื่อนในสหรัฐ จดหมายฉบับนั้นได้แนบสำเนาจดหมายอีกฉบับหนึ่งมาด้วย โดยบอกว่าชายคนหนึ่งได้ร่างแผนจัดพิมพ์พระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญาใน ประเทศอังกฤษและขอลิฃสิทธี้ที่นั่นให้ตนเอง การกระทำของชายผู้นี้กีดกัน ศาสนาจักรไม่ให้พิมพ์หนังสือดังกล่าวในประเทศอังกฤษ เอ็ลเดอร์วูดรัฟพ์เขียน ในบันทึกส่วนตัวของท่านว่า “แน่นอนว่านี่เปีนการกระทำที่อุกอาจมากเพราะผู้ ละทิ้งความเชื่อคนหนึ่งหรือหลายคนได้ลงมือจัดพิมพ์งานของศาสนาจักรและ ขโมยงานตังกล่าวไป ข้าพเจ้าถือว่านึ่เป็นพระเมตตาของพระผู้เปีนเจ้าโดยแท้ ที่ทรงใส่ความรู้เรื่องนี้ไว้ในมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้วันนั้นตรวจสอบกฎหมายเพื่อ ลูว่าจะทำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับการฃอลิขสิทธ”1 ท่านจ้างช่างพิมพ์คนหนึ่งมาเรียง พิมพ์และพิมพ์หนังสือดังกล่าว 3,000 เล่ม2 และหลังจากเข้าใจกฎหมายลิข สิทธิ”’จองอังกฤษแล้ว ท่านก็ได้ลิฃสิทธี้ในนามของท่านเองเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1845 “ในสืสิบแปดชั่วโมงหลังจากได้รับหนังสือชุดสุดท้ายจากช่างพิมพ์”3 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงรักษาสิทธี้ทางกฎหมายของศาสนาจักรเอาไว้ได้ในการจัดพิมพ์ หนังสือดังกล่าวที่ประเทศอังกฤษ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ทำงานเพื่อให้พระคัมภีร์มาอยู่ในมือสิทธิ ชนยุคสุดท้าย ก่อนพิมพ์พระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา ท่านคัดลอกการเปีด เผยมากมายด้วยตนเองและน่าติดตัวไปด้วยระหว่างเดินทางเผยแผ่ศาสนา ขณะ รับใช้งานเผยแผ่ครั้งแรกในประเทศอังกฤษตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1840 ถึง เดือนเมษายน ค.ศ. 1841 ท่านทำงานกับประธานบริคัม ยังและคนอื่นๆ เพื่อ จัดพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนฉบับแรกนอกสหรัฐ ต่อมาท่านช่วยศาสดาโจเซฟ สมิธในนอวู อิลลินอยส์เพื่อเรียงพิมพ์วารสารศาสนาจักรชื่อว่า Times and Seasons ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1842 ถึงวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1843 มีเอกสารที่ปรากฎอย่ใน Times and Seasons นานหลายปีก่อนลงพิมพ์ใน พระคัมภีร์ไข่มุกอันลาค่า ซึ่งได้แก่ หนังสือเอมราแฮม โจเซฟ สมิธ—ประวัติ จดหมายเวนท์เวิร์ธ ซึ่งประกอบด้วยหลักแห่งความเชื่อ และส่วนหนึ่งของหนัง สือโมเสส

เมื่อช่วยให้สิทธิชนมีพระคัมภีร์อยู่ในมือแล้ว ประธานวูดรัฟฟ็ได้ชักชวนให้ เขา “สะสมพระคัมภีร์ไว้ในใจ [เขา]”4 ท่านกล่าวว่า “เราควรดำเนินชีวิตตาม ศาสนาของเรา เราควรประพฤติปฏิบัติตนตามที่เราสั่งสอน เราควรสั่งสมคำแห่ง ชีวิต เราควรค้นคว้าบันทึกความจริงจากเบื้องบน เราควรพยายามเข้าใจยุคสมัย ที่เรามีชีวิตอยู่ นี่คือวิธีที่ข้าพเจ้ามองสถานการณ์ของเราในปัจจุบัน ข้าพเจ้ามิได้ มองว่าการเปีดเผยที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านี้อันเกี่ยวข้องกับสมัยการ ประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาคือเรื่องที่จะผ่านไปโดยไม,มีสัมฤทธิผล”5

คำสอนฃองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

เราต้องศึกษาความจริงในพระคัมภีร์ สั่งสมไว้ในใจเรา และปฏิบัติในชีวิตเรา

จงอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์มอรมอน คำสอนและพันธสัญญา ตลอด จนบันทึกที่พระเจ้าประทานให้เรา และสั่งสมการเปีดเผยเหล่านี้ และดูว่าพระ เจ้าทรงสัญญาอะไรกับเรา แล้วจงสั่งสมสิ่งที่มีค่าต่อเรา6

หน้าที่ของเรา…ในฐานะสิทธิชนยุคสุดท้ายคือ ครุ่นคิด ใคร่ครวญ และอ่าน พระคำของพระผู้เป็นเจ้า และพยายามเข้าใจสภาพของเรา ฐานะของเรา และ ความรับผิดชอบของเราต่อพระพักตร์พระเจ้า7

โลกอยู่ห่างจากพระเจ้า ตัวเราในฐานะเป็นมนุษย์อยู่ห่างจากพระเจ้ามากเหลือ เกิน เราควรเข้าใกล้พระเจ้า และพยายามให้ได้พระวิญญาณศักดี้สิทธิ๙ เพื่อว่า เมื่อเราอ่านการเปีดเผยของพระผู้เป็นเจ้า เราจะอ่านได้ด้วยพระวิญญาณองค์ เดียวกับที่ให้การ เปีดเผยนั้น แล้วเราจะเข้าใจ [ความหมาย] ที่ประทานให้ลูก หลานมนุษย์8

มารอยู่ทั่วไปในแผ่นดินโลก และเขาจะทำลายทุกคนที่ทำได้ จงค้นคว้าพระ คัมภีร์ที่มาถึงเราโดยตรง เช่นเดียวกับที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล และเรียนรู้เพื่อ เข้าใจพระดำริและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเราทำได้โดยอ่านสิ่งเหล่านี้ เมื่อความสว่างของพระวิญญาณคักดึ๋สทธึ๋อยู่ในเรา และเตรียมตัวเราให้พร้อม รับสิ่งซึ่งจะบังเกิดในชีวิต9

ข้อความเหล่านี้ [หลักธรรมที่สอนไว้ในพระคัมภีร์] เป็นความจริง เราควรสืก ษา สะสมไว้ในใจเรา และปฏิบัติในชีวิตเรา10

ศาสดา อัครสาวก และผู้ประสาทพรได้ฝากข้อเขียนที่ได้รับการดลใจไว้ใน บันทึกเพื่อประโยชน์ของเรา และเราจะต้องรับผิดชอบการใช้สิทธิ้เสรีของเรา สำหรับวิธีที่เราปฏิบัติต่อพระคำของพระผู้เป็นเจ้าที่มาถึงเรา11

พระคัมภีร์ไบเบิล!เละพระคัมภีร์มอรมอนร่วมกัน ประกาศความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ

ข้าพเจ้าไม,อายที่จะยอมรับว่าตนคือผู้เชื่อมั่นในสัมฤทธิผลของพระคัมภีร์ ไบเบิล เช่นเดียวคับการสิ่อสารทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์…ข้าพเจ้า เชื่อว่าผู้บริสุทธิ้ในสมัยโบราณเขียนและพูดขณะได้รับการดลใจจากพระวิญญาณ บริสุทธิ้ และพวกท่านหมายความอย่างที่พูดและพูดอย่างที่พวกท่านหมายถึง และ…“ผู้หนึ่งผู้ใดจะดีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเอง ไม,ได้” [ดู 2 เปโตร 1:20–21]12

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ทรงยกโจเซฟ สมิธขึ้นเป็นศาสดาในสมัยการประทานสุดท้ายและความสมบูรณ์แห่งเวลา ท่าน นำพระคัมภีร์มอรมอนออกมาและแปลโดยของประทานและอำนาจของพระผู้ เป็นเจ้าเพื่อประโยชน์ของโลกในยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าทราบว่าพระคัมภีร์มอรมอน เป็นความจริงและเป็นบันทึกที่ได้รับการดลใจจากเบื้องบน13

เรามีพระคัมภีร์ไบเบิล—ไม้ของจูดา—กอปรด้วยกฎของพระผู้เป็นเจ้าผ่าน โมเสส และผ่านศาสดาและผู้ประสาทพรสมัยโบราณ ผ่านไปหลายพันปีจน ตกทอดมาถึงเรา แม้หอสมุด เช่นหอสมุดของอเล็กซานเดรีย…จะถูกทำลาย แต่พระคัมภีร์ไบเบิลยังคงถูกเก็บรักษาไว้ไห้เรา และเรามีไว้อ่าน หนังสือตังกล่าว ให้กฎของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานแก่คนสมัยโบราณ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในกฎนั้น ตราบที่เกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณ นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พระคัมภีร์ ไบเบิล—พันธสัญญาเติมและพันธสัญญาใหม่-ให้กฎที่ทำให้เราได้รับความสูง ส่งและกลับไปยังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าได้อีกครั้ง และอยู่กับพระองค์ตลอด กาลและตลอดไป ให้วิถีที่เราควรดำเนินตามเพื่อรับส่วนในการนคืนชีวิตแรก เพื่อเราจะออกมาพร้อมรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์ พระคัมภีร์ ไบเบิลให้ประวัติศาสตร์แก่เราด้วย ไม่เพียงเหตุการณ์ที่เคยเกิดกับชาวยิวเท่านั้น แต่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย นอกจากนี้เรายังมีพระคัมภีร์มอรมอน—ไม้ของโจ เซฟในมือเอฟราอิม—ที่อัครสาวกและศาสดาเขียนไว้ในทวีป [อเมริกา] ซึ่ง นอกจากเรื่องอื่นแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังประกอบด้วยคำสอนของพระเยซูคริสต์ ครั้งพระองค์ทรงปรากฎหลังจากฟืนคืนพระชนม์ ในร่างอมตะและมีรัศมีภาพ และทรงสอนพระกิตติคุณที่นี่ การเปีดเผยเหล่านั้นมีหลักธรรมมากมายแสดงให้ เราเห็นกาลอวสานของโลก สถานการณ์ของแบบิลอนที่ยิ่งใหญ่ และการพิพาก ษาซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในวันเวลาสุดท้ายก่อนการเสด็จมาของบุตรมนุษย์14

เอเสเคียลกล่าวว่าในวันเวลาสุดท้าย ไม้ของโจเซฟในมือเอฟราอิมจะถูกวาง คู่คับไม้ของจูดาต่อสายตาของประชาชาติในพระหัตถ์ของพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์ พิเศษ นั่นคือ การรวมเชื้อสายอิสราเอลในยุคสุดท้าย [ดู เอเสเคียล 37:15–28] บันทึกสองเล่มนี้นำมาใช้สั่งสอนความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณอันเป็นนิจทั้งแก่ ชาวยิวและคนต่างชาติ และจะยืนพิพากษาผู้คนในรุ่นที่กำลังมืชีวิตอยู่บนแผ่น ดินโลกเมื่อบันทึกเหล่านี้ออกมา15

นี่คือพระคัมภีร์ไบเบิล บันทึกของชาวยิว ประทานให้โดยการดลใจของพระ เจ้าผ่านโมเสส ผ่านผู้ประสาทพรและศาสดาสมัยโบราณ นี่คือการหลอกลวง และเป็นงานของมนุษย์ตามที่ผู้ไม,เชื่อบอกไว้อย่างนั้นหรือ ไม่เลย มนุษย์ที่เคย สูดลมหายใจแห่งชีวิตไม่มืพลังอำนาจเขียนหนังสือเช่นนั้นได้หากปราศจากการ ดลใจของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ พระคัมภีร์มอรมอนก็เช่นกัน—ความฉลาดหลัก แหลมทั้งหมดของมนุษย์ทุกคนภายใต้ฟ้าสวรรค์ไม,อาจแต่งหนังสือเช่นพระคัม ภีร์มอรมอนและเสนอต่อชาวโลกไต้ หลักธรรมในนั้นสูงส่ง-มาจากพระผู้เป็น เจ้า มิไต้มาจากความคิดของนักต้มตุ๋น หรือจากความคิดของบุคคลที่กำลังเขียน นวนิยาย เพราะอะไรหรือ เพราะคำสัญญาและคำพยากรณ์ที่อยู้ในนั้นจะบังเกิด สัมฤทธิผลในสายตาของชาวโลกทั้งปวง16

พระคัมภีร์มอรมอนมีพระกิตติคุณต่างจากที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลหรือ ไม่ เลย พระคัมภีร์มอรมอนให้ประวัติของผู้คนที่อยู่ในทวีป [อเมริกา] แต่โบราณ บอกว่าเขามาจากไหนและเขามาที่นี่อย่างไร พูดถึงการติดต่อของพระผู้เป็นเจ้า กับพวกเขา และการสถาปนาศาสนาจักรของพระคริสต์ในหมู่พวกเขา พระเยซู เสด็จเยือนพวกเขาหลังจากนคืนพระชนม์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “แกะ อื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู, แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะ เหล่านั้นจะฟ้งเสืยงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว” [ยอห์น 10:166]…พระคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีพระกิตติคุณเดียวกัน มีพระกิตติคุณ เดียวและจะไม1มีพระกิตติคุณอื่นเปีดเผยต่อครอบครัวมนุษย์17

คำสอนและพันธสัญญา!ปืนพันธสัญญา ของเราในยุคสุดท้าย

เรามีพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญาต้วย ซึ่งท่านมีอยู่ในบ้านและอ่านไต้ ประมวลการเปีดเผยที่มีอยู่นี้ประทานผ่านปากของศาสดาโจเซฟ สมิธโดยยูรัม ธัมมัมและในวิธีอื่น หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยการเปีดเผยอันลํ้าเลิศและสูงส่ง ที่สูดที่พระผู้เป็นเจ้าเคยประทานแก่มนุษย์ อีกทั้งแสดงให้เราเห็นสิ่งที่อยู่เบื้อง หน้าเรา สิ่งที่รอคอยประชาชาตินี้และประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลก และ สิ่งที่จวนจะเกิดแก่ผู้อาศัยของแผ่นดินโลก เรื่องเหล่านี้ชัดเจน ตรงประเด็น แข็งแกร่ง เป็นการเปีดเผยของพระผู้เป็นเจ้า และจะมีสัมฤทธิผล ไม,ว่ามนุษย์ จะเชื่อหรือไม,ก็ตาม18

ข้าพเจ้าถือคำสอนและพันธสัญญาไวฺในมือ นี่คือการเปีดเผยที่ประทานผ่าน ศาสดาโจเซฟ สมิธขณะที่ท่านอยู่ในเนี้อหนัง จงอ่านการเปีดเผยเหล่านั้นซึ่งตั้ง แต่ด้นจนจบได้รวมกับสมัยการประทานทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าเคยมีบนแผ่นดิน โลก19

ข้าพเจ้าถือว่าคำสอนและพันธสัญญา พันธสัญญาของเรา ประกอบด้วยประ มวลถ้อยแถลงที่จริงจังที่สุดและเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุดเท่าที่เคย ประทานแก1ครอบครัวมนุษย์ ข้าพเจ้าจะบอกว่า “ภาพปรากฎ” [ในภาค 76] เป็นการเปีดเผยที่ให้ความสว่าง ความจริง และหลักธรรมมากกว่าการเปีดเผย ใดๆ ในหนังสืออื่นที่เราเคยอ่าน ช่วยให้เราเข้าใจดีถึงสภาพปัจจุบันของเรา เรา มาจากไหน เรามาที่นี่ทำไม และเราจะไปที่ไหน ใครๆ ก็รูไต้โดยผ่านการเปีด เผยนั้นว่าบทบาทและสภาพของเขาจะเป็นเช่นไร เพราะมนุษย์ทุกคนทราบว่า เขารักษากฎอะไร และกฎที่มนุษย์รักษาที่นี่จะกำหนดฐานะของเขาหลังจากนี้ เขาจะได้รับการปกปักรักษาโดยกฎเหล่านั้นและได้รับพรที่เปีนของเขา20

คำสอนและพันธสัญญา [คือ] ประมวลการเปีดเผยซึ่งพระเจ้าประทานแก่โจ เซฟ สมิธ หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยการเปีดเผยอันลํ้าเลิศบางประการเกี่ยวกับ คำสอน หลักธรรม การปกครอง อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและรัศมีภาพต่างๆ และเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากมายซึ่งส่งผลถึงโลกนิรันดร21

ไข่มุกอันฺลํ้าค่าประกอบด้วยความจริงอันลํ้า!ลิศ ที่เปีดเผยต่อศาสดาโจเซฟ สมิธ

หมายเหตุ: ไนช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟื ไข่มุกอันลํ้าค่ามิใช่หนึ่ง ในงานมาตรฐานของศาสนาจักร อย่างไรก็ดี สิทธิชนอ่านคำสอนในนั้นกันอย่าง กว้างขวาง ซึ่งปีบทศวามที่คัดมาจัดพิมพ์เปีนครั้งแรกในวารสารบางเล่มของ ศาสนาจักร วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1880 ไข่มุกอันลํ้าค่ากลายเป็นงานมาตรฐาน ของศาสนาจักรโดยการดำเนินงานของฝายประธานสูงสุดและโดยเลืยงสนับ สนุนในการประชุมใหญ่สามัญ

ในบทความต่อไปนี้ที่คัดมาจากบันทึกส่วนตัวของท่าน เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ได้ แสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับหนังลือเอบราแฮม ซึ่งศาสดาโจเซฟ สมิธแปลโดย อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และต่อมาได้รวมไว้ในพระคัมภีร์ไข่มุกอันลํ้าค่า

พระเจ้าประทานพรโจเซฟด้วยพลังอำนาจเพื่อเปีดเผยความลํ้าลึกแห่งอาณา จักรของพระผู้เปีนเจ้า เพื่อแปล…บันทึกโบราณและอักษรภาพที่เก่าแก่เท่าเอบรา แฮมหรือแอดัม ซึ่งทำให้ใจเราเผาไหม้อยู่ภายในขณะมองเห็นความจริงอันเลิศลํ้า นี้เปีดต่อเรา โจเซฟผู้พยากรณ์แสดงหนังสือเอบราแฮมบางส่วนต่อเรา ซึ่งเขียน ด้วยมือของ [เอบราแฮม] แต่ถูกซ่อนไว้ไม่ให้มนุษย์รู้เป็นเวลาสืพันปี และบัด นี้ถูกเผยออกมาโดยผ่านพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า22

ความจริงในหนังสือเอบราแฮมสร้างสรรค์ ยอดเยี่ยม และลํ้าเลิศอย่างแท้จริง เป็นขุมทรัพย์ลํ้าค่าที่เปีดเผยต่อเราในวันเวลาสุดท้าย23

คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จะช่วยเราเตรียมรับ เหตุการณ์ต่างๆ ของวันเวลาสุดท้าย

พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ขอให้เราอ่านการเปีดเผยของพระผู้เป็นเจ้าด้วยตัวเรา เอง และเมื่อเราอ่าน ขอให้เราเชื่อ และพยายามดำเนินชีวิตตามนั้นจนเราพร้อม รับส่วนแบ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เรา และเพื่อเราจะยอมรับพระหัตถ์ของ พระองค์เช่นเดียวกับโยบ และไม่จับผิดพระองค์เพราะพระกรุณาของพระองค์ที่ ทรงมีต่อเรา หากเราเข้าใจไม่ได้ในขณะนี้ เราจะเข้าใจได้อีกไม,นาน24

“เราเป็นใครเล่าที่ทำมนุษย์ พระเจ้าตรัส ที่จะถือว่าเขาปราศจากความผิดที่ หาเชื่อฟ้งบัญญัติของเราไม่ เราเป็นใครเล่า พระเจ้าตรัส ที่สัญญาไว้และยังไม่ทำให้สำเร็จ” [ดู ค.พ. 58:30–32]…เราพูดครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่าว่า เรามีชีวิตอยู่ในยุค ในชั่วอายุคน และในสมัยการประทานที่พิเศษมาก และนี่เป็น ความจริง เวลาผ่านไปพร้อมกับเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้การเปีดเผยของพระ ผู้เป็นเจ้าเป็นจริง โดยเฉพาะต่อเรา เรามีชีวิตอยู่ในวันแห่งความมืด ความไม่เชื่อ และความไม่เลื่อมใสศาสนากำลังปกคลุมทั่วพื้นพิภพ…สิทธิชนยุคสุดท้ายแปลก ใจที่เห็นความมืดและความไม1เลื่อมใสศาสนามีอยู่ทั่วไปในแผ่นดินโลก ด้วยเหตุ นี้ ในฐานะสิทธิชนยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าคิดว่าเราจำเป็นต้องเพิ่มความซื่อสัตย์ใน การประพฤติปฏิบัติตามศาสนาของเราและตามการเปีดเผยต่างๆ ของพระผู้เป็น เจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์คำสอนและพันธ สัญญา

เราเห็นเครื่องหมายของสวรรค์ ของแผ่นดินโลก และสัมฤทธิผลของคำพยา กรณ์ต่อหน้าต่อตาเราปีแล้วปีเล่า แต่ศรัทธาของพวกเราในพระผู้เป็นเจ้าทวีขึ้น มากเพียงใด ศรัทธาของเราในพระองค์ทวีขึ้นตามอัตราส่วนความไม,เลื่อมใส ศาสนาที่ทวีขึ้นในโลกหรือไม่ข้าพเจ้าอาจไม่ใช่ผู้พิพากษา แต่ดูเหมือนเราจะไม่ เข้าใจ งานที่เรามีส่วนร่วม และพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์มอรมอน พระคัม ภีร์คำสอนและพันธสัญญาล้วนเป็นจริงในปัจจุบันเท่าๆ กับเมื่อยี่สิบปี สามสิบ ปี หรือสีสิบปีก่อน…ข้าพเจ้ากล่าวว่า งานดังกล่าวเป็นจริงในสมัยนี้เช่นเดียวกับ สมัยนั้น และนี่จึงเป็นคำกล่าวที่ข้าพเจ้านำมาอ้าง “เราเป็นใครเล่าที่ทำมนุษย์ พระเจ้าตรัส ที่จะถือว่าเขาปราศจากความผิดที่หาเชื่อฟ้งบัญญัติของเราไม่เรา เป็นใครเล่า พระเจ้าตรัส ที่สัญญาไว้และยังไม,ทำให้สำเร็จ” ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระ เจ้าจะทรงทำดังที่ตรัสไว้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์จะทรงทำดังคำสัญญาที่ให้ไว้กับ สิทธิชนยุคสุดท้าย โลก ไซอันและแบบิลอน และหากพระองค์ทำ ก็มีบางสิ่ง รอเราอยู่ มีบางสิ่งให้สิทธิชนยุคสุดท้ายอย่างเราทำ25

ข้าพเจ้าต้องการพูดกับสิทธิชนยุคสุดท้ายว่า จงใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และใช้ศรัทธาในการเปีดเผย อ่าน ไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนอย่างจริงจังเพื่อ ท่านจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งปวงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผย เพื่อท่าน จะเติบโตในความสว่างและความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า และเห็นความสำคัญของ การดำเนินชีวิตตามศาสนาของท่านและการดำเนินชีวิตอย่างตรงไปตรงมาต่อพระ พักตร์พระองค์26

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมไต้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • ท่านคิดว่าการอ่านพระคัมภีร์ “ด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกับที่ให้พระคัม ภีร์” หมายความว่าอะไร (หน้า 121)

  • ทบทวนย่อหน้าสุดท้ายในหน้า 121 พระคัมภีร์ให้ความคุ้มครองจากอิทธิพล ของ มารอย่างไร

  • ในย่อหน้าที่แรกหน้า 122 ประธานวูดรัฟฟ้มีคำแนะนำสามประการที่เกี่ยวข้อง กับพระคัมภีร์ เหตุใดการปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นจึงสำคัญ

  • เหตุใดการสืกษาทั้งพระคัมภีร์ไบเบิลและพระคัมภีร์มอรมอนจึงสำคัญ (ดู หน้า 122-124; ดู 1 นีไฟ 13:40; 2 นีไฟ 3:12 ด้วย)

  • ประจักษ์พยานของประธานวูดรัฟฟเกี่ยวกับพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญ ญาประทับใจท่านอย่างไร (ดูหน้า 124-125) คำสอนและพันธสัญญาเป็น “พันธสัญญาของเรา” ในทางใด

  • วิลฟอร์ด วูดรัฟพกล่าวว่า ความจริงในหนังสือเอบราแฮมเป็น ขุมทรัพย์ ลํ้าค่า” (หน้า 126) ท่านพบขุมทรัพย์อะไรในพระคัมภีร์ไข่มุกอันลํ้าค่า

  • พระคัมภีร์ช่วยให้เราเตรียม “รับสิ่งซึ่งจะบังเกิดในชีวิต” อย่างไร (ดูหน้า 122, 126-127)

  • ท่านทำอะไรบ้างเพื่อให้การสืกษาพระคัมภีร์มีความหมาย ข้อความใดในพระ คัมภีร์ที่ช่วยท่านเป็นพิเศษ ข้อความเหล่านี้ช่วยท่านอย่างไร

  • บิดามารดา ปูย่าตายาย และครูจะช่วยให้เด็กและเยาวชนสืกษาพระคัมภีร์ และประยุกต็ใช้ในชีวิตเขาได้อย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: 1 ทิโมธี 4:13–16; 2 ทิโมธี 3:16; 1 นีไฟ 15:24; ฮีลามัน 3:29–30; โมโรไน 10:3–5

อ้างอิง

  1. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 1 มีนาคม 1845 หอจดหมายเหตุศาสนาจักร ของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย

  2. ดูบันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 7 มิถุนายน 1845

  3. History of the Church, 7:426; ดู บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็7 มิถุนายน 1845 ด้วย

  4. ใน Brian H. Stuy, comp.,Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92), 1:79.

  5. Deseret News: Semi-Weekly, July 6, 1880, 1.

  6. ในCollected Discourses, 1:326.

  7. Deseret News: Semi-Weekly, September 7, 1880, 1.

  8. Deseret News: Semi-Weekly, July 6, 1880, 1.

  9. ในCollected Discourses, 4:328.

  10. ในCollected Discourses, 1:79.

  11. ในCollected Discourses, 1:344.

  12. Deseret News: Semi-Weekly, March 26, 1878, 1.

  13. “Mormonism Brought Prominently before the Public,” Millennial Star, August 5, 1897, 493.

  14. ในCollected Discourses, 2:45-46.

  15. Deseret News: Semi-Weekly, May 2, 1876, 4.

  16. Deseret News: Semi-Weekly, May 20, 1873, 1.

  17. Deseret News: Semi-Weekly, August 16, 1881, 1.

  18. ในCollected Discourses, 2:46.

  19. ในCollected Discourses, 5:190.

  20. Deseret News: Semi-Weekly, July 26, 1881, 1.

  21. ใน Collected Discourses, 1:294.

  22. “มันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 19 กุมภาพันธ์ 1842

  23. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟ่ฟ้ 19 มีนาคม 1842

  24. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  25. Deseret News: Semi-Weekly, May 2, 1876, 4.

  26. Deseret News: Semi-Weekly, July 30, 1878, 1.

ภาพ
woman studying scriptures

“เราควรสงสบคำแท่งชีวิต เราควรค้นควาบนทึกความจริงจากเบื้องบน”

ภาพ
Wilford Woodruff’s signature in the Book of Commandments

หนังลือพระนัญญติ การเปีดเผยต่อโจเซฟ สมิธที่รวบรามไว้แต่แรก หนังลือเล่มนี้ปีลายเซ็นของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็