คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 14: สละตนเองในการรับใช้ผู้อื่น


บทที่ 14

สละตนเองในการรับใช้ผู้อื่น

“ขอให้ความหมายที่แท้จริงของพระกิตติคุณกลั่นมาสู่ใจเราเพื่อให้เราตระหนักว่าเราต้องใช้ชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาประทานแก่เราในการรับใช้ผู้อื่น”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

เอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์วัยหนุ่มพยายามมากตลอดช่วงสองสามสัปดาห์แรกขณะเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาในอังกฤษ ท่านป่วยเมื่อมาถึง และท่านพยายามสั่งสอนพระกิตติคุณแต่ถูกปฏิเสธหลายครั้ง ในช่วงเวลาที่ยากนั้น ท่านได้รับพรด้วยสิ่งที่ท่านเรียกในเวลาต่อมาว่า “วันตัดสินใจ”—ประสบการณ์ที่มีผลต่อการรับใช้ของท่านชั่วชีวิต

“ข้าพเจ้าท้อแท้” ท่านจำได้ “ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงคุณพ่อที่แสนดีและบอกว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนกำลังเสียเวลาและทำให้ท่านเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ท่านเป็นคุณพ่อและเป็นประธานสเตคของข้าพเจ้า ท่านเป็นคนฉลาดและได้รับการดลใจ ท่านเขียนจดหมายถึงข้าพเจ้าสั้นมากว่า ‘กอร์ดอนลูกรัก พ่อได้รับจดหมายฉบับล่าสุดของลูกแล้ว พ่อมีคำแนะนำข้อเดียว ลืมตนเองและออกไปทำงาน’ เช้าตรู่วันนั้นในชั้นเรียนพระคัมภีร์ ข้าพเจ้ากับคู่อ่านพระดำรัสของพระเจ้าดังนี้ ‘เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด’ (มาระโก 8:35)

“พระดำรัสเหล่านั้นของพระอาจารย์ ตามด้วยจดหมายของคุณพ่อกับคำแนะนำของท่านให้ลืมตนเองและออกไปทำงาน เสียดแทงจิตวิญญาณข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือจดหมายของคุณพ่อเข้าไปในห้องนอนในบ้านเลขที่ 15 ตรงถนนแวดแฮมที่เราอยู่ และคุกเข่าทูลวิงวอนพระเจ้า ข้าพเจ้าทำพันธสัญญาว่าจะพยายามลืมตนเองและสละตนเองในการรับใช้พระองค์

“เดือนกรกฎาคมวันนั้นในปี 1933 เป็นวันตัดสินใจของข้าพเจ้า แสงใหม่เข้ามาในชีวิตข้าพเจ้าและปีติใหม่เข้ามาในใจข้าพเจ้า”1

แสงนั้นไม่เคยไปจากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ นับจากวันนั้นท่านอุทิศตนแด่พระเจ้าในการรับใช้ผู้อื่น ในพิธีศพของประธานฮิงค์ลีย์ ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์กล่าวถึงผลงานส่วนหนึ่งของประธานฮิงค์ลีย์ ได้แก่ การสร้างพระวิหารทั่วโลก การสร้างพระวิหารขนาดเล็กเพื่อเร่งงานพระวิหาร การจัดตั้งกองทุนต่อเนื่องเพื่อการศึกษา และการสร้างศูนย์การประชุมใหญ่ ท่านอธิบายต่อจากนั้นว่า

“มรดกที่ท่านทิ้งไว้มีมากกว่ารายการสั้นๆ นั้นและมากเกินกว่าพลังของข้าพเจ้าที่จะพรรณนา แต่ความสำเร็จของท่านมีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการให้แต่ละบุคคลมีโอกาส และท่านมักจะนึกถึงคนที่มีโอกาสน้อย คนธรรมดาที่กำลังเผชิญกับความยากของชีวิตประจำวันและปัญหาของการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ หลายครั้งที่ท่านใช้นิ้วเคาะอกข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าเสนอบางอย่างและพูดว่า ‘ฮัล คุณจำคนที่กำลังมีปัญหาคนนั้นได้ไหม’”2

“ข้าพเจ้าประสงค์จะลุกขึ้นไปทำ ” ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าประสงค์จะเผชิญแต่ละวันด้วยความตั้งใจแน่วแน่และจุดประสงค์ ข้าพเจ้าประสงค์จะใช้ทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่ให้กำลังใจ เป็นพรแก่คนที่แบกภาระหนัก สร้างศรัทธาและพลังแห่งประจักษ์พยาน”3

ภาพ
พระคริสต์ที่สระน้ำเบธซาธา

“หากเราจะเรียกร้องสิทธิ์ในการนมัสการและติดตามพระอาจารย์ เราต้องไม่พยายามทำตามพระชนม์ชีพแห่งการรับใช้ของพระองค์หรอกหรือ”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

ชีวิตเราเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า และพึงใช้ชีวิตในการรับใช้ผู้อื่น

มี … ความยากจนข้นแค้นและความอัตคัดขัดสนอยู่ทั่วโลก มีการกบฏและความคึกคะนองมากมาย มีความทุจริตและความสกปรกมากมาย มีครอบครัวที่แตกแยกและถูกทำลายมากมาย มีคนเหงามากมายที่ใช้ชีวิตไร้สีสันปราศจากความหวัง มีความอาดูรมากมายอยู่ทุุกที่

และด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอร้องท่าน ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่าขอให้ท่านสละทุกอย่างที่ได้มาเพื่อทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกนิด4

หากโลกดีขึ้นแล้ว กระบวนการความรักต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจมนุษย์ เราจะเป็นเช่นนั้นได้เมื่อเรามองเลยตัวเราไปให้ความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและผู้อื่น จงทำเช่นนั้นสุดใจ สุดจิตวิญญาณ และสุดความนึกของเรา

พระเจ้าทรงประกาศในการเปิดเผยยุคปัจจุบันว่า “หากดวงตาของเจ้าเห็นแก่รัศมีภาพของเราอย่างเดียว, ทั่วร่างของเจ้าจะเต็มไปด้วยแสงสว่าง, และจะไม่มีความมืดในเจ้า” (คพ. 88:67)

เมื่อเรามองไปที่พระผู้เป็นเจ้าด้วยความรักและความสำนึกคุณ เมื่อเรารับใช้พระองค์ด้วยดวงตาเห็นแก่รัศมีภาพของพระองค์อย่างเดียว เมื่อนั้นความมืดของบาป ความมืดของความเห็นแก่ตัว และความมืดของความจองหองย่อมไปจากเรา เราจะเพิ่มพูนความรักที่มีต่อพระบิดานิรันดร์ของเรา และพระบุตรที่รักของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา เราจะมีสำนึกมากขึ้นว่าต้องรับใช้เพื่อนมนุษย์ โดยคิดถึงตนเองน้อยลงและยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น

หลักธรรมแห่งความรักนี้เป็นแก่นพื้นฐานของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์5

หากเราจะเรียกร้องสิทธิ์ในการนมัสการและติดตามพระอาจารย์ เราต้องไม่พยายามทำตามพระชนม์ชีพแห่งการรับใช้ของพระองค์หรอกหรือ ไม่มีใครในพวกเราพูดได้อย่างถูกต้องว่าชีวิตเป็นของเขาเอง ชีวิตเราเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า เรามาในโลกไม่ใช่จากการตัดสินใจของเราเอง เราจากไปไม่ใช่ตามความประสงค์ของเรา ตัวเราไม่ได้นับวันเวลาของเรา แต่นับตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”

พวกเราหลายคนใช้ชีวิตประหนึ่งชีวิตเป็นของเราเองโดยสิ้นเชิง เราเลือกใช้ชีวิตให้เสียเปล่าได้หากเราประสงค์เช่นนั้น แต่นั่นคือการทรยศต่อความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์และสำคัญยิ่ง ตามที่พระอาจารย์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า“เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มาระโก 8:35)6

พี่น้องที่รักทั้งหลาย การท้าทายใหญ่หลวง โอกาสมีอยู่รอบตัวเรา พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำงานของพระองค์—และทำด้วยความกระตือรือร้นและความเบิกบาน งานนั้น ดังที่พระองค์ทรงนิยาม คือการ “ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า” (คพ. 81:5)

คือการปฏิบัติศาสนกิจต่อคนตกทุกข์ได้ยาก คือการปลอบโยนคนที่สูญเสีย คือการเยี่ยมเยียนหญิงม่ายและเด็กกำพร้าในความทุกข์ของพวกเขา คือการให้อาหารคนขัดสน ให้เสื้อผ้าคนเปลือยเปล่า ให้ที่พักพิงแก่คนไม่มีหลังคาคุ้มศีรษะ คือการทำดังที่พระอาจารย์ผู้ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” ทรงทำ (กิจการของอัครทูต 10:38)7

ข่าวสารของข้าพเจ้าถึงท่านวันนี้ … คือให้ท่านตั้งใจว่าเมื่อท่านวางแผนงานของชีวิต ท่านจะอุทิศเวลาส่วนหนึ่งให้ผู้เดือดร้อนและคนขัดสน โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน เราต้องการทักษะของท่านไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มือที่ช่วยเหลือของท่านจะยกคนบางคนออกจากปลักของความอาดูร เสียงที่สุขุมเยือกเย็นของท่านจะให้กำลังใจคนที่อาจจะยอมแพ้ง่ายๆ ทักษะของท่านจะเปลี่ยนชีวิตคนขัดสนได้อย่างน่าอัศจรรย์และเหลือเชื่อ ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วเมื่อใด ถ้าไม่ใช่ท่านแล้วใคร8

ขอให้ความหมายที่แท้จริงของพระกิตติคุณกลั่นมาสู่ใจเราเพื่อเราจะตระหนักว่าเราต้องใช้ชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาประทานแก่เราในการรับใช้ผู้อื่น

ถ้าเราจะให้การรับใช้เช่นนั้น วันเวลาของเราจะเปี่ยมด้วยปีติและความยินดี ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราจะอุทิศวันเวลาเหล่านั้นแด่พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ และเพื่อเป็นพรแก่ทุกชีวิตที่เราสัมผัส9

2

การรับใช้เป็นยารักษาความสมเพชตัวเอง ความเห็นแก่ตัว ความสิ้นหวัง และความเหงาได้ดีที่สุด

ข้าพเจ้าจำได้คราวไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินเยาวชนบ่นกันหนาหูเรื่องแรงกดดันของโรงเรียน—ประหนึ่งเป็นภาระไม่ใช่โอกาสที่จะรับความรู้ของแผ่นดินโลก—บ่นเรื่องที่พักและอาหาร …

ข้าพเจ้าให้คำแนะนำเยาวชนเหล่านั้นว่าถ้าแรงกดดันของโรงเรียนหนักเกินไป ถ้าพวกเขารู้สึกอยากบ่นเรื่องที่พักและอาหาร ข้าพเจ้าเสนอวิธีแก้ปัญหาให้ได้ ข้าพเจ้าเสนอให้พวกเขาวางหนังสือสักสองสามชั่วโมง ออกจากห้องไปเยี่ยมคนชราและต้องอยู่ตามลำพัง หรือผู้ป่วยและคนท้อใจ โดยทั่วไปแล้วข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเราบ่นเรื่องชีวิต นั่นเพราะเรากำลังนึกถึงแต่ตัวเราเอง

หลายปีมาแล้วมีป้ายบนผนังร้านซ่อมรองเท้าแห่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าอุดหนุน ป้ายนั้นเขียนว่า “ฉันบ่นเพราะฉันไม่มีรองเท้าจนกระทั่งฉันเห็นคนไม่มีเท้า” ยารักษาโรคสมเพชตัวเองที่ได้ผลชงัดที่สุดคือสละตนเองในการรับใช้ผู้อื่น10

ข้าพเจ้าเชื่อว่าสำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ยารักษาความเหงาได้ผลที่สุดคือการทำงานและการรับใช้เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ข้าพเจ้าไม่ดูถูกปัญหาของท่าน แต่ข้าพเจ้าไม่ลังเลที่จะพูดว่ามีคนอีกมากที่ปัญหาของพวกเขาร้ายแรงกว่าของท่าน จงยื่นมือออกไปรับใช้พวกเขา ช่วยพวกเขา ให้กำลังใจพวกเขา มีเด็กหนุ่มเด็กสาวมากมายที่ล้มเหลวเรื่องเรียนเพราะต้องการความเอาใจใส่และกำลังใจเล็กน้อย มีคนสูงอายุมากมายที่อยู่ในความเศร้าหมอง ความเหงา และความกลัว ผู้ซึ่งการสนทนาที่เรียบง่ายจะนำความหวังและความสดใสมาให้พวกเขา …

มีคนมากมายที่บาดเจ็บและต้องการให้ชาวสะมาเรียผู้ใจดีมาพันบาดแผลและช่วยพวกเขาระหว่างทาง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ สามารถนำพรใหญ่หลวงมาให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อนและนำความรู้สึกชื่นใจมาให้คนที่เป็นเพื่อนกับเขา11

มีคนมากมายอยู่ข้างนอกที่ท่านสามารถยกภาระของพวกเขาได้ มีคนเร่ร่อน มีคนหิวโหย มีคนอัตคัดขัดสนอยู่รอบข้างท่าน มีคนชราที่อยู่คนเดียวในบ้านพัก มีเด็กพิการ และเยาวชนติดยา ผู้ป่วยและคนที่ออกจากบ้านไม่ได้ผู้ร้องหาคำพูดที่อ่อนโยน ถ้าท่านไม่ทำ แล้วใครจะทำ

ยาถอนพิษความกังวลได้ผลที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้จักคือการทำงาน ยารักษาความสิ้นหวังได้ผลที่สุดคือการรับใช้ วิธีแก้ความเหนื่อยล้าได้ผลที่สุดคือการท้าทายให้ช่วยคนที่เหนื่อยกว่า12

เหตุใดผู้สอนศาสนาจึงมีความสุข เพราะพวกเขาสละตนเองในการรับใช้ผู้อื่น

เหตุใดคนที่ทำงานในพระวิหารจึงมีความสุข เพราะงานที่ทำด้วยใจรักสอดคล้องกันอย่างแท้จริงกับงานใหญ่ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำเพื่อมนุษยชาติ พวกเขาไม่ขอหรือคาดหวังคำขอบคุณสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขารู้ไม่มากไปกว่าชื่อของคนที่พวกเขาทำงานให้13

จงแสดงความปรารถนาอันสูงส่งที่อยู่ในใจท่านด้วยการยื่นมือไปปลอบโยน สนับสนุน และสร้างผู้อื่น ขณะทำเช่นนั้น พิษร้ายของความเห็นแก่ตัวจะไปจากท่าน และจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกชื่นใจและวิเศษสุดที่ดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นในวิธีอื่น14

ภาพ
สตรีกำลังช่วยผู้ป่วย

“มีคนมากมายข้างนอกที่ท่านสามารถยกภาระพวกเขา”

3

เมื่อเรายื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น เราพบตัวตนที่แท้จริงของเรา

เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าอยู่ในบ้านของประธานสเตคในเมืองเล็กๆ ของไอดาโฮ ก่อนสวดอ้อนวอนตอนเช้า ครอบครัวอ่านพระคัมภีร์สองสามข้อด้วยกัน ข้อหนึ่งเป็นพระดำรัสของพระเยซูที่บันทึกไว้ใน ยอห์น 12:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”

ไม่ต้องสงสัยว่าพระอาจารย์กำลังหมายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยทรงประกาศว่าถ้าพระองค์ไม่สิ้นพระชนม์ พระพันธกิจในชีวิตของพระองค์ส่วนใหญ่คงสูญเปล่า แต่ข้าพเจ้าเห็นความหมายเพิ่มเติมในพระดำรัสเหล่านี้ สำหรับข้าพเจ้าดูเหมือนว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับเราแต่ละคนว่าหากเราไม่สละตนเองในการรับใช้ผู้่อื่น ชีวิตเราส่วนใหญ่อยู่ไปก็ไร้จุดประสงค์ที่แท้จริง เพราะพระองค์ตรัสต่อไปว่า “คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์” (ยอห์น 12:25) หรือดังที่บันทึกไว้ในลูกา “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (ลูกา 17:33) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนที่มีชีวิตเพื่อตนเองเท่านั้นจะเฉาตาย ส่วนคนที่ลืมนึกถึงตนเองในการรับใช้ผู้อื่นจะเติบโตและเบ่งบานในชีวิตนี้และในนิรันดร

เช้าวันนั้นในการประชุมใหญ่สเตค ประธานคนที่ข้าพเจ้าพักอยู่ด้วยได้รับการปลดหลังจากรับใช้อย่างซื่อสัตย์มาสิบสามปี มีคนมาแสดงความรักและความขอบคุณมากมาย ไม่ใช่เพราะเขาร่ำรวย ไม่ใช่เพราะความสำเร็จของเขาในแวดวงธุรกิจ แต่เพราะการรับใช้อันยิ่งใหญ่ที่เขาให้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เขาขับรถหลายหมื่นไมล์ในสภาพอากาศทุกรูปแบบโดยไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตน เขาใช้เวลาหลายพันชั่วโมงให้ความสนใจผู้อื่น เขาทิ้งเรื่องส่วนตัวเพื่อไปช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ในการทำเช่นนั้นเขามีชีวิตและยิ่งใหญ่ในสายตาคนที่เขารับใช้15

หลายปีก่อนข้าพเจ้าอ่านเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกไปเป็นครูชนบท เด็กคนหนึ่งในชั้นเรียนของเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เคยสอบตกมาแล้วและสอบตกอีกครั้ง เธออ่านไม่ออก เธอมาจากครอบครัวที่ไม่มีเงินพาเธอไปตรวจในเมืองใหญ่เพื่อดูว่าเธอมีปัญหาที่รักษาได้หรือไม่ ครูสาวคนนี้รู้สึกว่าเด็กคนนี้อาจมีปัญหาเรื่องตา จึงจัดแจงพาเธอไปตรวจตาโดยออกค่าใช้จ่ายให้ ปรากฏว่าสายตามีปัญหาและแก้ไขได้ด้วยการสวมแว่นตา ไม่นานโลกใหม่ทั้งใบเปิดให้เธอ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นคำตรงหน้าเธอชัดเจน เงินเดือนของครูชนบทคนนั้นน้อยมาก แต่จากเล็กน้อยที่เธอมี เธอลงทุนเปลี่ยนชีวิตนักเรียนที่สอบตกคนนั้นโดยสมบูรณ์ และในการทำเช่นนั้นเธอพบมิติใหม่ในชีวิตเธอเอง16

เมื่อท่านรับใช้ มิติใหม่จะเพิ่มเข้ามาในชีวิตท่าน ท่านจะพบความสัมพันธ์ใหม่ที่เชิดชูใจ ท่านจะพบมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น ท่านจะเติบโตในความรู้ ความเข้าใจ ปัญญา และในความสามารถที่จะทำ17

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อทุกท่านยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น ท่านจะพบตัวตนที่แท้จริงของท่านและเป็นพรอย่างมากแก่โลกที่ท่านอาศัยอยู่18

4

ศาสนจักรจัดหาโอกาสมากมายให้รับใช้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

พี่น้องทั้งหลาย ท่านจะไม่มีความสุขเลยถ้าท่านดำเนินชีวิตโดยนึกถึงแต่ตนเอง จงสละตนเองให้อุดมการณ์ดีที่สุดในโลก—อุดมการณ์ของพระเจ้า งานของโควรัม องค์การช่วย งานพระวิหาร งานรับใช้ด้านสวัสดิการ งานเผยแผ่ศาสนา ท่านจะเป็นพรแก่ชีวิตท่านเองเมื่อท่านเป็นพรแก่ชีวิตผู้อื่น19

ไม่มีงานอื่นใดในโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขเท่างานนี้ ความสุขนั้นพิเศษอย่างยิ่ง เกิดจากการรับใช้ผู้อื่น มีอยู่จริง หาที่เปรียบมิได้ และวิเศษสุด20

ภาพ
ผู้สอนศาสนาบำเพ็ญประโยชน์ของศาสนจักรกำลังเย็บผ้า

“เมื่อท่าน … รับใช้ มิติใหม่จะเพิ่มเข้ามาในชีวิตท่าน

จงให้ศาสนจักรเป็นเพื่อนรักของท่าน จงให้ศาสนจักรเป็นมิตรคนสำคัญของท่าน จงรับใช้ไม่ว่าท่านได้รับเรียกให้รับใช้ที่ใด จงทำสิ่งที่ขอให้ท่านทำ ทุกตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่จะเพิ่มความสามารถให้ท่าน ข้าพเจ้าเคยรับใช้ในความรับผิดชอบมากมายในองค์กรใหญ่นี้ การรับใช้ทุกอย่างนำรางวัลมาให้

สิ่งนี้ … จะเรียกร้องการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ความภักดีและศรัทธาอันเด็ดเดี่ยวของท่าน ท่านจะรับใช้หลายๆ ตำแหน่งก่อนชีวิตท่านจะจบสิ้น บางตำแหน่งอาจดูเหมือนเล็ก แต่ไม่มีการเรียกใดในศาสนจักรนี้เล็กหรือไม่สำคัญ ทุกการเรียกสำคัญ ทุกการเรียกจำเป็นต่อความก้าวหน้าของงาน อย่าดูถูกความรับผิดชอบในศาสนจักร …

จงหาที่ว่างในชีวิตท่านให้ศาสนจักร จงให้ความรู้เรื่องหลักคำสอนมากขึ้น จงให้ความเข้าใจเรื่ององค์กรศาสนจักรเพิ่มพูน จงให้ความรักที่ท่านมีต่อความจริงนิรันดร์ของศาสนจักรแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ

ศาสนจักรอาจขอให้ท่านเสียสละ อาจขอให้ท่านสละสิ่งดีที่สุดที่ท่านมีให้ ท่านจะไม่สูญเสียสิ่งใดในการนี้เพราะท่านจะค้นพบว่านั่นจะกลายเป็นการลงทุนที่จะจ่ายเงินปันผลให้ท่านตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความจริงนิรันดร์แหล่งใหญ่ จงน้อมรับและจับไว้ให้แน่น21

ท่านอยากมีความสุขหรือไม่ จงลืมตนเองและสละตนเองให้อุดมการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ จงพยายามช่วยผู้คน ปลูกฝังวิญญาณของการให้อภัยในใจท่านต่อคนที่อาจทำให้ท่านขุ่นเคือง มองไปที่พระเจ้า ดำเนินชีวิต และทำงานเพื่อพยุงและรับใช้บุตรธิดาของพระองค์ ท่านจะได้รู้จักความสุขที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อนถ้าท่านจะทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าท่านอายุเท่าใด ท่านอ่อนเยาว์แค่ไหน ไม่ว่าอะไรก็ตาม ท่านสามารถพยุงผู้อื่นและช่วยพวกเขา สวรรค์รู้ว่ามีคนมากมายเหลือเกินในโลกนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ โอ้ มีมากมายเหลือเกิน จงนำเอาเจตคติที่กัดกร่อนและเห็นแก่ตัวออกจากชีวิตเรา พี่น้องทั้งหลาย และยืนอย่างภาคภูมิและเอื้อมสูงขึ้นอีกนิดในการรับใช้ผู้อื่น … ยืนอย่างภาคภูมิ ยืนให้สูงขึ้น พยุงคนที่เข่าอ่อนล้า ยกแขนคนที่อ่อนแรง จงดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ จงลืมตนเอง22

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่าชีวิตเราเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า จงใช้ชีวิตในการรับใช้ผู้อื่น (ดู หัวข้อ 1) เราจะทำให้การรับใช้ผู้อื่นเป็นวิถีชีวิตได้อย่างไร ท่านคิดว่าการรับใช้ด้วยดวงตาเห็นแก่รัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าหมายความว่าอย่างไร การรับใช้ของผู้อื่นเป็นพรแก่ท่านอย่างไร

  • เหตุใดการรับใช้จึงช่วยเราเอาชนะความสงสารตนเอง ความเห็นแก่ตัว และความเหงา (ดู หัวข้อ 2) การรับใช้ทำให้ท่านเกิดความสุขอย่างไร เมื่อท่านอ่านคำอธิบายของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับคนตกทุกข์ได้ยาก จงพิจารณาว่าท่านและครอบครัวจะสามารถยื่นมือรับใช้ได้อย่างไร

  • เหตุใดการสละตนเองในการรับใช้ผู้อื่นจึงช่วยให้เรา “พบตัวตนที่แท้จริง [ของเรา]” (ดู หัวข้อ 3) เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องต่างๆ ในหัวข้อ 3

  • ประธานฮิงค์ลีย์แนะนำว่า “จงสละตนเองให้อุดมการณ์ที่ดีที่สุดในโลก—อุดมการณ์ของพระเจ้า” (หัวข้อ 4) การรับใช้ในศาสนจักรนำพรอะไรเข้ามาในชีวิตท่าน

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 20:25–28; 25:34–40; ยอห์น 13:35; โมไซยาห์ 2:16–18; 18:8–9; คพ. 64:33

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“ขณะศึกษา จงหมั่นเอาใจใส่แนวคิดที่จะมาสู่ความรู้สึกนึกคิดของท่านซึ่งจะมาสู่ใจท่าน” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 18) ท่านอาจบันทึกความประทับใจที่ท่านได้รับ แม้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับถ้อยคำที่ท่านกำลังอ่าน นั่นอาจเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงต้องการให้ท่านเรียนรู้

อ้างอิง

  1. “Taking the Gospel to Britain: A Declaration of Vision, Faith, Courage, and Truth,” Ensign, July 1987, 7.

  2. Henry B. Eyring, “Things Will Work Out,” In Memoriam: President Gordon B. Hinckley, 1910–2008 (supplement to the Ensign, Mar. 2008), 27; see also page 26.

  3. “Testimony,” Ensign, May 1998, 69.

  4. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1: 1995–1999 (2005), 543.

  5. “And the Greatest of These Is Love,” Ensign, Mar. 1984, 5.

  6. “The Gift of Self,” Tambuli, Dec. 1986, 3; see also lds.org/liahona/1986/12/the-gift-of-self.

  7. “To Single Adults,” Ensign, June 1989, 75.

  8. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 544–45.

  9. “Giving Ourselves to the Service of the Lord,” Ensign, Mar. 1987, 5.

  10. “Whosoever Will Save His Life,” Ensign, Aug. 1982, 5.

  11. “A Conversation with Single Adults,” Ensign, Mar. 1997, 61.

  12. “To Single Adults,” 73–74.

  13. “Giving Ourselves to the Service of the Lord,” 5.

  14. “To a Man Who Has Done What This Church Expects of Each of Us” (Brigham Young University devotional, Oct. 17, 1995), 6, speeches.byu.edu.

  15. “Whosoever Will Save His Life,” 3–4.

  16. “And the Greatest of These Is Love,” 4.

  17. “สตรีในศาสนาจักร,” เลียโฮนา, ม.ค. 1997, 80.

  18. “Whosoever Will Save His Life,” 6.

  19. “Pillars of Truth,” Ensign, Jan. 1994, 7.

  20. “Rejoicing in the Privilege to Serve,” Worldwide Leadership Training Meeting, June 21, 2003, 23.

  21. “Life’s Obligations,” Ensign, Feb. 1999, 4.

  22. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 597.