คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 11: การจัดตั้งและจุดหมายของศาสนาจักร ที่แท้จริงและดำรงอยู่


บทที่ 11

บทที่ 11: การจัดตั้งและจุดหมายของศาสนาจักร ที่แท้จริงและดำรงอยู่

“ท่านรู้เกี่ยวกับจุดหมายของศาสนาจักรและอาณาจักรนี้ ไม่มากไปกว่าเด็กทารกบนตักมารดา ท่านไม่เข้าใจ… ศาสนาจักรนี้จะเต็มอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้—จะเต็มโลก”

จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ

ในเดือนมิถุนายนคริสต์ศักราช 1829 ศาสดาโจเซฟ สนิธทํางานแปลพระ คัมภีร์มอรมอนเสร็จสมบูรณ์ “เมื่องานแปลของเราจวนเสร็จ” ศาสดากล่าว “เราไปที่พอลไมรา เวนย์เคาน์ตี้ รัฐนิวยอร์กเพื่อขอลิขสิทธี้ และตกลงให้คุณ เอ็กเมิร์ต บี. แกรนดินพิมพ์ห้าพันเล่มเปีนจำนวนเงินสามพันดอลลาร์”1 เอ็ก เมิร์ต บี. แกรนดินเป็นชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าโจเซฟ สมิธหนึ่งปี เพิ่งตั้งโรง พิมพ์ในพอลไมรา เขาเพิ่งสั่งซื้อแท่นพิมพ์ใหน่ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ขั้นตอน การพิมพ์เร็วกว่าเดิมมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าศาสดาสามารถค้นพบเครื่องพิมพ์ไน เมืองชนบทอย่างพอลไมราได้ ซึ่งสามารถพิมพ์หนังสือที่บีเนื้อหายาวมากอย่าง พระคัมภีร์มอรมอนได้หลายๆ เล่ม ด้วยเหตุที่การพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนเปีน โครงการใหญ่และบีค่าใช้จ่ายสูงมากมาร์ดิน แฮร์ริสจึงต้องจำนองฟาร์มของเขา กับคุณแกรนดินเพื่อเปีนหลักประกันค่าใช้จ่ายในการพิมพ์.

ปลายฤดูร้อนปี 1829 โจเซฟ สมิธ มาร์ดิน แฮริส และคนอื่นๆ อีกหลาย คนมาพร้อมกันที่โรงพิมพ์เพื่อพิสูจน์อักษรหนัาชื่อเรื่องของพระคัมภีร์มอรมอน ซึ่งเปีนหนัาแรกของพระคัมภีร์ที่จะพิมพ์ เมื่อศาสดาแจ้งว่าท่านพอใจกับรูปแบบ ของหนัานั้น การพิมพ์ก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วที่สูดเท่าที่จะทำได้ งานนื้ใช้เวลา ประมาณเจ็ดเดือนจึงเสร็จสมบูรณ์ และวางจำหน่ายให้คนทั่วไปเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1830

เมื่องานแปลและจัดพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนเสร็จสมบูรณ์ โจเซฟ สมิธรุด หน้าจัดตั้งศาสนาจักร ในการเปีดเผยที่ปัจจุบันพบในคำสอนและพันธสัญญาภาค ที่ 20 พระเจ้าทรงเปีดเผยต่อศาสดาถึง ‘‘วันที่แน่นอนตามพระประสงค์และพระบัญชาของพระองค์ให้เราดำเนินการจัดตั้งศาสนาจักรของพระองค์อีกครั้งบน แผ่นดินโลก”2 วันที่กำหนดไว้คือ 6 เมษายน ค.ศ. 1830

“เรา… ทำให้พี่น้องของเราทราบ” ศาสดากล่าว “ว่าเราได้รับพระบัญชาให้ จัดตั้งศาสนาจักร และด้วยเหตุนี้เราจึงประชุมกันเพี่อจุดประสงค์ดังกล่าว ที่ ห้านของคุณปีเตอร์ วิดเบอร์ ซีเบียร์(รวมเปีนหกคน) ในวันอังคารที่หกเมษา ยน คริสต์ศักราชหนึ่งพันแปดร้อยสามสิบ”3 บีคนประมาณ 60 คนจากภาค ต่างๆ ของรัฐนิวยอร์กเบียดกันอยู่เต็มห้องสองห้องในห้านวิตเบอร์ โดยกำหนด ให้หกคนที่นั่นเปีนผู้ร่วมล่อตั้งศาสนาจักรทั้งนี้เพี่อให้เปีนไปตามกฎหมายของรัฐ นิวยอร์ก หกคนนั้นได้แก่ ศาสดาใจเซฟ สมิธ, ออลิเวอร์ คาวเดอรี, ไฮรัม สมิธ, ปีเตอร์ วิดเบอร์ จูเบียร์, แซมิวเอล สมิธ และเดวิด วิดเบอร์4

แม้ศาสนาจักรจะเล็กมากในตอนเริ่มต้น แต่ในฐานะศาสดา ใจเซฟ สมิธ รู้สึกได้ถึงจูดหมายอันยิ่งใหญ่ของศาสนาจักร วิลฟอร์ด วูดรัฟฟจำได้ว่าในระ หว่างการประชุมฐานะปุโรหิตที่เมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1834 ศาสดาพยายามปลุกสำนึกของพี่น้องชายให้ตระหนักถึงสภาพในอนา คตของอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้าบนแผ่นดินโลก

“ศาสดาขอให้ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตทุกคนมารวมอันในอาคารเรียนหลังเล็กที่ สร้างด้วยไห้ซุงซึ่งมีอยู่ที่นั่น อาคารหลังนี้บีขนาดเล็ก อาจจะประมาณ 14 ตารางฟุต แต่รองรับฐานะปุโรหิตของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชน ยุคสุดท้ายที่อยู่ในเมืองเคิร์ทแลนด์เวลานั้นได้ทั้งหมด… เมื่อเรามาอันพร้อม หน้าศาสดาขอให้เหล่าเอ็สเตอร์แห่งอิสราเอลแสดงประจักษ์พยานถึงงานนี้ให้ ท่านพิง … เมื่อแสดงประจักษ์พยานครบทุกคนแล้ว ศาสดาพูดว่า ‘พี่น้องทั้ง หลาย ข้าพเจ้าได้รับกำสั่งสอนและกำแนะนํามากมายในประจักษ์พยานของพวก ท่านที่นึ่คืนนี้ แต่ข้าพเจ้าด้องการบอกท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า ท่านรู้เกี่ยว อับจูดหมายของศาสนาจักรและอาณาจักรนี้ไม่มากไปกว่าเด็กทารกบนดักมารดา ท่านไม่เข้าใจ’ ข้าพเจ้าค่อนข้างแปลกใจ ท่านพูดว่า ‘พวกท่านเห็นฐานะปุโรหิต เพียงไม่กี่คนที่นึ่คืนนี้ แต่ศาสนาจักรจะเต็มอเมริกาเหนือและอเมริกาใด้—จะ เต็มโลก’”5

คำสอนของโจเซฟ สมิธ

ศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์จัดตั้งโดยโจเซฟ สมิธ ในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา

ศาสดาโจเซฟ สมิธรายงานเหตุการณ์ในการประชุมจัดตั้งศาสนาจักรซึ่งจัดขึ้น เมื่อจันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1830 ดังนี้: “หลังจากเปีดการประชุมด้วยการสวด อ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์อย่างเปีนทางการแล้ว เราดำเนินการตามพระบัญชา ก่อนหน้านี้ให้ถามพี่น้องชายของเราเพื่อจะรู้ว่าพวกเขายอมรับเราเปีนผู้สอน ของพวกเขาในเรื่องอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้าหรือไน่ และพวกเขาพอใจจะให้ เราดำเนินการและจัดตั้งศาสนาจักรตามพระบัญชาที่เราได้รับหรือไน่ พวกเขาเห็น พ้องตามข้อเสนอเหล่านี้ด้วยมติเปีนเอกฉันท์

“ต่อจากนั้นข้าพเจ้าวางมือออลิเวอร์ คาวเดอรืและแต่งตั้งเขาเปีนเอ็สเตอร์ ของ ‘ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดห้าย’ หลังจากนั้นเขาวาง มือแต่งตั้งข้าพเจ้าในดำแหน่งเอ็สเตอร์ของศาสนาจักรดังกล่าว แล้วเราหยิบ ขนมปังมาอวยพรและรับส่วนพร้อมพวกเขา เรานำนั้าองุ่นมาอวยพรและดื่ม พร้อมพวกเขา เราวางมือบนสมาชิกแต่ละคนของศาสนาจักรที่นั่นเพี่อให้พวก เขาได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธี้ และได้รับการยืนยันเปีนสมาชิก ของศาสนาจักรของพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธี้สถิตกับพวกเรามากถึงขนาด ที่บางคนพยากรณ์ขณะพวกเราพากันสรรเสริญพระเจ้าและปลื้มปีติเปีนล้นพ้น…

“เราดำเนินการเรียกและวางมือแต่งตั้งพี่น้องชายอีกหลายคนให้ดำรงตำ แหน่งต่างๆ ของฐานะปุโรหิต ตามที่พระวิญญาณทรงแสดงให้ประจักษ์ต่อเรา และหลังจากใช้เวลาที่มืความสุขไปกับการเห็นด้วยตาและรู้สึกด้วยตนเองถึง พลังอำนาจและพรของพระวิญญาณบริสุทธี้ผ่านพระคุณของพระผู้เปีนเจ้าที่ทรง มอบให้เราแล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับห้านด้วยความรู้อันน่าพอใจที่ว่าบัดนี้เรา แต่ละคนเปีนที่ยอมรับของพระผู้เปีนเจ้าและเปีนสมาชิกของ ‘ศาสนาจักรของ พระเยซูคริสต์’ ซึ่งจัดตั้งตามพระบัญชาและการเปีดเผยที่พระองค์ประทานแก่พวกเราในวันเวลาสุดท์ายนี้ อีกทั้งเปีนไปตามระเบียบของศาสนาจักรดังบันทึก ไวัในพันธสัญญาใหม่ด้วย”6

ณ การประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของศาสนาจักร ซึ่งจัดในเมืองเฟเยทที รัฐ นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มิถุนพน ค.ศ. 1830 ปีการประกอบพิธีศีลระลึก หลาย คนได้รับการยืนยันเป็นสมาชิกของศาสนาจักร คนอื่นๆ ได้รับการวางมือแต่งตั้ง สู่ตำแหน่งในฐานะปุโรหิต และพระวิญญาณบริสุทธี้สถิตกับสิทธิชน ศาสดา ใจเซฟ สมิธบันทึกว่า “ภาพเหตุการณ์เหล่านี้เปีนแรงบันดาลใจให้เราเกิดปีติจน สุดจะพรรณนาได้ เราเต็มตื้นด้วยความเกรงขามและความเคารพต่อพระผู้ทรง มหิทธิฤทธี้พระองค์นั้น ผู้ซึ่งโดยพระคุณของพระองค์เราได้รับเรียกให้เปีนเครื่อง มือน่าความปลาบปลื้มยินดีของพรอันรุ่งโรจน์มาให้ลูกหลานมนุษย์เช่นที่หลั่งให้ เราในเวลานี้ การที่เราได้มืส่วนในระเบียบเดียวกันกับที่อัครสาวกผู้บริสุทธี้ใน สมัยโบราณถือปฏิบัติ ตระหนักถึงความสำคัญและความจริงจังของการดำเนิน งานดังกล่าว อีกทั้งเห็นด้วยตาและรู้สึกได้ด้วยประสาทสัมผัสตามธรรมชาติ ของเราก็เพราะปรากฎการณ์อันน่าชื่นชมยินดีของพลังอำนาจฐานะปุโรหิต ของ ประทานและพรของพระวิญญาณบริสุทธี้ พระกรุณาธิคุณและพระจริยวัตรอัน อ่อนห้อมของพระผู้เปีนเจ้าผู้ทรงเปียมด้วยพระเมตตาต่อผู้เชื่อฟ้งพระกิตติคุณ อันเปีนนิจของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเรา ทั้งหมดนี้ได้ร่วมกันสร้างความรู้สึก ซาบซึ้งยินดีและบันดาลใจเราให้เกิดความกระดีอรีอร้นและพลังมากยิ่งกว่าเติม ในอุดมการณ์แห่งความจริง”7

ศาสนาจักรของพระคริสต์ได้รับการจัดตั้งตามระเบียบ ของพระผู้เป็นเจ้า

“พระคริสต์ทรงเปีนพระประมุขของศาสนาจักร ทรงเป็นศิลามุมเอก ศิลาทาง วิญญาณที่สร้างศาสนาจักรบนนั้น และประตูนรกจะมืชัยต่อศาสนาจักรนี้ไน่ได้ [ดู บัทธิว 16:18; เอเฟซัส 2:20]. พระองค์ทรงสร้างอาณาจักร ทรงเลือกอัคร สาวกและแต่งตั้งพวกเขาสู่ฐานะปุโรหิตแห่งเมืลศิเซเต็ค โดยประทานอำนาจให้ ปฏิบัติพิธีการแห่งพระกิตติคุณ”8

“‘พระคริสต์… ให้บางคนเปีนอัครทูต บางคนเปีนผู้เผยพระวจนะ บางคน เปีนผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเปีนศิษยากิบาล และอาจารย์’ [เอเฟซัส 4:11]. อัครสาวก ศาสดาหรือผู้เผยพระวจนะ ศิษยากิบาล ผู้สอน และผู้เผยแพร่ ข่าวประเสริฐได้รับเลือกอย่างไร โดยการพยากรณ์ (การเปีดเผย) และโดยการ วางมือ—โดยการติดต่อจากเบื้องบน และพิธีการที่เบื้องบนกำหนด—ผ่านสื่อ กลางของฐานะปุโรหิต จัดตั้งตามระเบียบของพระผู้เปีนเจ้า โดยการแต่งตั้งจาก เบื้องบน”9

“[พระคัมภีร์มอรมอน] บอกเราว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรากฎพระองค์บน ทวีปนี้ [อเมริกา] หลังจากทรงฟืนคืนพระชนม์ พระองค์ทรงสถาปนาความครบ ถ้วนบริบูรณ์ พลังอำนาจ และพรทั้งหมดของพระกิตติคุณไว้ที่นี่ พวกเขามีอัคร สาวก ศาสดา ศิษยากิบาล ผู้สอน และผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ระเบียบเดียว กัน ฐานะปุโรหิตเดียวกัน พิธีการ ของประทาน พลังอำนาจ และพรเดียวกัน กับที่ทวีปทางตะวันออกได้รับ”10

“ผู้เผยแผร่ข่าวประเสริฐคือผู้ประสาทพร…ที่ใดสถาปนาศาสนาจักรของ พระคริสต์ในแผ่นดินโลก ที่นั่นควรจะมีผู้ประสาทพรเพื่อประโยชน์ของลูก หลานสิทธิชน เช่นที่ยาโคบไดให้ปีตุพรแก่บุตรชายของตน”11

หลักแห่งความเชื่อข้อ 6: “เราเชื่อในการจัดวางระเบียบงานอย่างเดียวกับที่ บีอยู่ในศาสนาจักรสมัยโบราณ นั่นคือ อัครสาวก ศาสดา ศิษยาภิบาล ผู้สอน ผู้ประสาทพร และอื่นๆ”12

ศาสนาจักรนำโดยฝ่ายประธานสูงสุด โควรัมอัครสาวกสิบสอง และโควรัมสาวกเจ็ดสิบ

“ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั่นคงในศาสดาและอัครสาวก พระเยซูคริสต์ทรงเปีนศิลา บุมเอก และตรัสในฐานะผู้บีสิทธิอำนาจห่ามกลางพวกเขา และไม่เหมือนพวก ธรรมาจารย์”13

“ประธานหรือฝ่ายประธาน [สูงสุด] อยู่เหนือศาสนาจักร การเปีดเผยพระ ดำริและพระประสงค์ของพระผู้เปีนเจ้าต่อศาสนาจักรต้องมาทางฝ่ายประธาน นี่คือระเบียบของสวรรค์ พลังอำนาจ และสิทธิพิเศษของฐานะปุโรหิต [แห่ง เม็ลคิเซเด็ค]”14

“บีความสำคัญอะไรติดมากับการเรียกอัครสาวกสิบสองซึ่งแตกต่างจากการ เรียกหรือเจ้าหน์าที่คนอื่นๆ ของศาสนาจักร… พวกเขาคืออัครสาวกสิบสอง ผู้ได้รับเรียกสู่ตำแหน่งของสภาสูงที่เดินทาง ผู้ต้องควบคุมบรรดาศาสนาจักร ของสิทธิชน ถือกุญแจของการปฎิบีดิศาสนกิจนี้ ไขกุญแจประตูอาณาจักรสวรรค์ ให้ทุกประชาชาติ และสั่งสอนพระกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน นี่คือพลัง สิทธิอำนาจ และคุณธรรมของการเปีนอัครสาวก”15

ออร์สัน แพรทท์ ผู้รับใข้ในโควรัมอัครสาวกสิบสองรายงานดังนี้ “พระเจ้า … ทรงกำกับดูแลการจัดตั้งโควรัมอัครสาวกสิบสอง กิจธุระของพวกท่านคือ สั่งสอนพระกิตติคุณแก่ประชาชาติ คนต่างชาติก่อนจากนั้นก็ชาวยิว ฐานะปุโรหิตถูกเรียกมารวมอันหลังจากสร้างพระวิหารเศิร์ทแลนด์ และศาสดาใจเซฟพูด ถึงอัครสาวกสิบสองว่าพวกเขาไต้รับฐานะอัครสาวกพร้อมด้วยพลังอำนาจทั้ง หมดที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวอับอัครสาวกสมัยโบราณ”16

วีลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ ประธานศาสนาจักรคนที่สี่รายงานดังนี้ “ใจเซฟเรียกอัคร สาวกสิบสอง พวกเขาเปีนใคร พระเจ้าตรัสอับท่านว่า ‘สภาสิบสองคือคนที่จะ ปรารถนารับนามของเราด้วยสูดความบุ่งหมายแห่งใจ และหากพวกเขาปรารถนา จะรับนามของเราด้วยสุดความบุ่งหมายแห่งใจ เขาจะถูกเรียกไปในทั่วโลกให้สั่ง สอนกิตติคุณของเราแก่มนุษย์ทุกคน่[ค.พ. 18:27–28] … เมื่อศาสดาใจเซฟ จัดตั้งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านสอนพวกเขาเรื่องหลักธรรมแห่งเอกภาพ ท่านให้พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาด้องมีใจเดียวและความคิดเดียว และต้องรับ พระนามของพระคริสต์อย่างเต็มที่ ฤ้าพระผู้เปีนเจ้าทรงบัญชาให้พวกเขาทำสั่ง ใด พวกเขาต้องไปทำสั่งนั้น”17

“สาวกเจ็ดสิบประกอบเปีนโควรัมที่เดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าอัครสาวกสิบ สองจะเรียกพวกเขาไปที่ใดก็ตาม”18

“สาวกเจ็ดสิบมิได้ถูกเรียกให้มาแจกอาหาร [ดู กิจการ 6:1–2], … แต่ต้อง สั่งสอนพระกิตติคุณและเสริมสร้าง [ศาสนาจักร] และกำหนดคนอื่นๆ ผู้ไน่ได้ เปีนสมาชิกของโควรัมเหล่านี้ให้ควบคุม [ศาสนาจักร] ซึ่งก็คือมหาปุโรหิต อัครสาวกสิบสองต้องถือกุญแจของอาณาจักรในบรรดาประชาชาติ ไขกุญแจ ประตูพระกิตติคุณให้พวกเขา และขอให้สาวกเจ็ดสิบติดตามพวกเขา และช่วย เหลือพวกเขา”19

ถึงแม้อิทธิพลของความชั่วร้ายจะพยายามทำลายศาสนาจักร แต่ “มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้”

“ตั้งแต่จัดตั้งศาสนาจักรของพระคริสต์ … เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1830 เรามีความพอใจที่ได้เห็นการแผ่ขยายความจริงไปในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เรา แห้ศัตรูของศาสนาจักรจะเพียรพยายามไม่หยุดหย่อนเพื่อกีดกันหนทางและ ขัดขวางความห้าวหห้า แห้คนชั่วผู้มีเจตนาร้ายจะร่วมมือกันทำลายผู้บริสุทธี้ … แต่พระกิตติคุณอันรุ่งโรจน์ที่มีอยู่อย่างครบห้วนบริบูรณ์กำลังแผ่ขยายและ ได้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกวัน และกำสวดห้อนวอนของเราต่อพระผู้เปีนเจ้าคือ ขอให้ศาสนาจักรนี้ดำเนินต่อไป และจำนวนคนที่จะได้รับความรอดนิรันดร์มี เพิ่มขึ้น”20

“มาตรฐานแห่งความจริงได้รับการสถาปนา มีอที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้ง ความห้าวหน์าของงานนี้ได้ การข่มเหงอาจทวีความรุนแรง ฝูงชนอาจชุมนุมกัน ต่อด้าน กองทัพอาจรวมตัวกันเพื่อคุกคาม การสบประมาทอาจทำให้เสื่อมเสีย เกียรติยศและชื่อเสียง แต่ความจริงของพระผู้เปีนเจ้าจะออกไปอย่างองอาจ มีเกียรติ และเปีนอิสระ จนกว่าจะเข้าไปสู่ทุกทวีป ไปเยือนทุกถิ่น ไปยังทั่วทุก ประเทศ และก้องอยู่ในทุกหู จนกว่าจุดประสงค์ของพระผู้เปีนเจ้าจะสำเร็จ และ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแก้ว”21

“และอนึ่ง [พระผู้ช่วยให้รอด] ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งกับพวกเขา โดยทรง บอกเปีนนัยถึงอาณาจักรที่ควรดั้งขึ้นก่อนหรือในเวลาเก็บเกี่ยว ซึ่งอ่านได้ดังนี้ —‘แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลง ในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแก้วก็ใหญ่กว่าผัก อื่น และจำเริญเปีนด้นไห้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของด้น นั้นได้’ [นัทธิว 13:31-32] เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าข้อนี้หมายถึงศาสนาจักร ที่จะออกมาในวันเวลาสุดห้าย ดูเถิด อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับศาสนาจักร แก้วอะไรเปรียบได้กับอาณาจักรสวรรค์

“ขอให้เราหยิบพระคัมภีร์มอรมอนขึ้นมา ซึ่งชายคนหนึ่งนำไปซ่อนไวัในทุ่ง ของเขาและเก็บรักษาไว้ด้วยศรัทธา เพื่อให้งอกออกมาในวันเวลาสุดห้ายหรือ ในเวลาที่เหมาะสม ขอให้เรามองดูขณะมันออกมาจากผืนดิน ซึ่งความจริงแก้ว เปีนเมล็ดเล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดทั้งหลาย แต่จงมองดูมันแตกกิ่งก้าน แห้จริง แก้ว แห้สูงเทียมเมฆมืกิ่งก้านสูงลิ่วและความสง่างามเหมือนพระผู้เปีนเจ้า จน กลายเปีนด้นไห้ใหญ่ที่สุดในบรรดาพืชสมุนไพรทั้งหลายเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด พระคัมภีร์มอรมอนคือความจริง มันงอกออกมาจากแผ่นดินโลก และความ ชอบธรรมเริ่มมองลงมาจากสวรรค์ [ดู สดุดี 85:11;โมเสส 7:62] และพระผู้เปีนเจ้ากำลังส่งพลังอำนาจ ของประทาน และเหล่าเทพของพระองค์ลงมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน

“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ด ดุเถิด ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์ หรอกหรือที่เงยหห้าขึ้นมาในวันเวลาสุดห้ายด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระผู้เปีนเจ้า แห้ศาสนาจักรของสิทธิชนยุคสุดห้าย เหมือนศิลาที่แทงไม่ทะลุและไม่ ขยับเขยื้อนทำมกลางความลึกใหญ่หลวง เปีดรับพายุและมรสุมของซาตาน แต่ ยืนหยัดแน่วแน่และยังคงฝ่าคลื่นลูกใหญ่ของการต่อด้าน ซึ่งลมพายุแห่งเล่ห์ เพทุบายอันตําทรามพัดมา ซึ่งฟองคลื่นมหึมา [โหมซัดสาด] และยังคงโหมซัด สาดข้ามหห้าผาอันชะโงกเยื้อม และถูกศัตรูแห่งความชอบธรรมผลักดันไปข้าง หห้าด้วยแรงโทสะที่ทบเท่าทวีคูณ”22

ส่วนหนึ่งของการสวดอุทิศพระวิหารคิร์ทแลนด์ ดังบันทึกไว้ในคำ สอนและพันธสัญญา 109:72–76 ศาสดาโจเซฟ สมิ ธ กล่ว่า “โอัพระเจ้า ขอทรงนึกถึง ศาสนาจักรของพระองค์ กับครอบครัวทั้งหมดของเขา และพวกพ้องวงศ์วานที่ ใกล้ชิดทั้งหมดของเขากับคนเจ็บและคนที่มีทุกข์ทั้งหมดของเขา กับคนยากจน และคนใจอ่อนโยนทั้งหมดของแผ่นดินโลก เพื่ออาณาจักรซึ่งพระองค์ทรงตั้ง ขึ้นโดยมิต้องอาศัยมือจะกลับเปีนภูเขาใหญ่และเต็มทั้งแผ่นดินโลก เพื่อศาสนาจักรของพระองค์จะออกมาจากแดนทุรกันดารแห่งความมืด และส่องความ งามออกมาดังดวงจันทร์ ใสดังดวงอาทิตย์ และน่าหวาดกลัวดังกองทัพพร้อม ต้วยธง และรับการตกแต่งดังเจ้าสาวสำหรับวันนั้น เมื่อพระองค์จะทรงเปีดม่าน ท้องฟ้าและทำให้เทือกเขาไหลลงมาต่อการประทับอยู่ของพระองค์ และทุบเขา จะถูกยกขึ้นสูง ที่ขรุขระจะถูกทำให้เรียบ เพื่อพระสิรีของพระองค์จะเต็มแผ่น ดินโลก เพื่อเมื่อแตรจะดังเรียกคนตาย พวกข์าพระองค์จะถูกรับขึ้นไปในเมฆ เพื่อเฟัาพระองค์ เพื่อพวกข์าพระองค์จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไป เพื่ออาภรณ์ ของพวกข้าพระองค์จะบริสูทธิ์ เพื่อพวกข้าพระองค์จะถูกห่อหุ้มต้วยเสื้อคลุม แห่งความชอบธรรม ต้วยใบปาล์มในมือของพวกข้าพระองค์ และมงกุฎแห่ง รัศมีภาพบนศีรษะของพวกข้าพระองค์ และเก็บเกี่ยวความสูขนิรันดร์แทนความ ทุกขเวทนาทั้งหมดของพวกข้าพระองค์”23

เราต่างก็มีความรับผิดชอบในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ศาสนา จักรและทำส่วนของเราในการเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เปึนเจ้า

“อุดมการณ์ของพระผู้เปีนเจ้าเปีนอุดมการณ์ร่วมอย่างหนึ่ง ซึ่งสิทธิชนทุกคน ล้วนให้ความสนใจ เราต่างก็เปีนสมาชิกในองค์กรร่วมองค์กรหนึ่ง และทุกคน รับส่วนวิญญาณเดียวกัน รับบัพดิศมาในบัพดิศมาเดียวและมืความหวังอัน รุ่งโรจน์เหมือนกัน ความห้าวหน์าแห่งอุดมการณ์ของพระผู้เปีนเจ้าและการเสริม สร้างไซอันเปีนกิจธุระของคนหนึ่งเท่าๆ กับเปีนกิจธุระของอีกคนหนึ่ง ความ แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ คนหนึ่งไต้รับเรียกให้ทัาหน์ามื่อย่างหนึ่ง และอีกคน หนึ่งทำทน้าที่อีกอย่างหนึ่ง ‘แต่ล้าสมาชิกคนหนึ่งเจ็บ สมาชิกทุกคนจะพลอย เจ็บไปต้วย และล้าสมาชิกคนหนึ่งไต้รับเกียรติ สมาชิกที่เหลือก็พลอยชื่นชม ยินดีต้วย และตาจะบอกหูว่าเราไม่ต้องการเจ้าไม่ไต้ ทั้งศีรษะจะบอกเท้าว่าเรา ไม่ต้องการเจ้าก็ไม่ไต้’ ความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวก ความสนใจคนละเรื่อง และแบบแผนซึ่งจำกัดไว้เฉพาะบางคนควรถูกขจัดออกไปในอุดมการณ์ร่วม อย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของทุกคน [ดู 1 โครินธ์ 12:21, 26]”24

“พื่น์องชายหญิงทั้งหลาย จงซื่อสัตย์ จงพากเพียร จงตั้งใจต่อสู้เพื่อศรัทธาที่ เคยมอบให้สิทธิชน [ดู ยูดาห์ 1:3] ขอให้ชายหญิงและเด็กทุกคนตระหนักถึง ความสำคัญของการทำงาน และกระทำประหนึ่งว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับความ พยายามอย่างเต็มที่ของเขาคนเดียว ขอให้ทุกคนรู้สึกสนใจในงานนี้ และถือว่า พวกเขามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งบรรดากษัตริย์ ศาสดา และคนชอบธรรม เมื่อหลายพันปีก่อนจับตามอง—พร้อมกับคาดหวังว่ายุคนี้จะดลบันดาลให้เกิด ท่วงทำนองอันไพเราะที่สุดและบทเพลงเสนาะหูที่สุด เปีนเหตุให้พวกเขา ตะโกนออกมาด้วยความชื่นชมโสมนัสดังบันทึกไวัในพระคัมภีร์ และไม,นานเรา จะด้องร้องออกมาในภาษาของการดลใจว่า

“ ‘พระเจ้าทรงนำไซอันออกมาอีก

พระเจ้าทรงไถ,ผู้คนของพระองค์ อิสราเอล’ [ค.พ. 84:99]”25

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้เล่าว่าโจเซฟ สมิธประกาศต่อสมาชิกอัครสาวกสิบสองผู้ จะออกไปทำงานเผยแผ่ยังสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1839 ดังนี้ “ไม,ว่าจะเกิด อะไรขึ้นกับพวกท่าน จงเตรียมพร้อมและแบกรับสิ่งนั้น ประคับประคองและ ต่อสู้เสมอเพื่อประโยชน์ของศาสนาจักรและอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้า”26

ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ

  • ลองนึกภาพว่าจะเปีนเช่นไรเมื่อเข้าร่วมการประชุมฐานะปุโรหิตดังบรรยายไว้ ในหน้า 147 ท่านคิดว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรถ้าท่านได้ยินใจเซฟ สมิธพยากรณ์ว่าสักวันหนึ่งศาสนาจักรจะเต็มแผ่นดินโลก ปัจจุบันนี้เมื่อนึกถึงคำพยากรณ์ดังกล่าว ท่านมีความคิดหรือความรู้สึกอย่างไร

  • อ่านทวนหน้า 148-149 สังเกตการดำเนินงานเมื่อครั้งจัดตั้งศาสนาจักรและ ที่การประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ภาพเหตุการณ์เหล่า นี้เปีนแรงบันดาลใจให้เราเกิดปีติจนสุดจะพรรณนาได้ เราเต็มตื้นด้วยความ เกรงขามและความเคารพต่อ [พระผู้เปีนเว้า]” (หน้า 149) เมื่อใดที่ท่านเคย มีความรู้สึกอย่างที่โจเซฟ สมิธบรรยายไว้

  • อ่านทวนคำสอนของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับศาสนาจักรในสมัยของพระเยซู และในสมัยพระคัมภีร์มอรมอน (หน้า 149-151) ทุกวันนี้ศาสนาจักรดำเนิน ตามรูปแบบเติมอย่างไร

  • ท่านคิดว่าเหตุใดเราจึงด้องมีผู้นำควบคุมดูแลศาสนาจักรทั่วโลก (ดูตัวอย่าง ในหน้า 151-152) ท่านได้รับพรผ่านการรับใข้ของฝ่ายประธานสูงสุด โควรัมอัครสาวกสิบสอง โควรัมสาวกเจ็ดสิบ และฝ่ายอธิการควบคุมอย่างไร

  • ท่านมีความคิดหรือความรู้สึกอย่างไรน้างขณะอ่านคำพยากรณ์ของใจเซฟ สมิธเกี่ยวอับจุดหมายของศาสนาจักร (ดู หน้า 152-154) เราจะมีส่วนใน งานนี้ได้อย่างไรน้าง (ดูตัวอย่างในหน้า 154-155)

  • โจเซฟ สมิธสอนว่า “ขอให้ชายหญิงและเด็กทุกคนตระหมักถึงความสำคัญ ของการทํางาน และกระทําประหนึ่งว่าความสำเร็จขึ้นอยู่อับความพยายาม อย่างเต็มที่ของเขาคนเดียว” (หน้า 155) ขอให้ท่านคิดถึงวิธีที่ท่านจะประ ยุกต่ไข้คำแนะนำนี้ในชีวิตของท่าน

  • ถ้ามีคนถามท่านว่าเพราะเหตุใดท่านจึงเปีนสมาชิกศาสนาจักรของพระเยซู คริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดห้าย ท่านจะตอบว่าอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เคี่ยวข้อง: ดาเมียล 2:31–45; โมไซยา 18:17–29; ค.พ. 20:1–4; 65:1–6; 115:4–5

อ้างอิง

  1. History of the Church, 1:71; จาก “History of the Church” (ด้นฉบับ), book A–l, p. 34 หอจด หมายเหตุของศาสนาจักร ศาสนาจักร ของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์

  2. History of the Church, 1:64; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book A–l, p. 29 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร; ดู ค.พ. 128: 21 ด้วย

  3. History of the Church, 1:75–77; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book A–l, p. 37 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร

  4. กฎหมายของรัฐนิวยอร์กกำหนดว่าต้อง มีสามถึงเก้าคนจึงจะจัดตั้งหรือดำเนิน ธุรกิจของศาสนาจักรได้ ศาสดาเลือก ใช้หกคน

  5. วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ ใน Conference Report, Apr. 1898, p. 57; เว้นวรรค ใหม่ให้ทันสมัย

  6. History of the Church, 1:77–79; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book A–l, pp. 37–38 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร

  7. History of the Church, 1:85–86; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book A–l, p. 42 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร ⅵ

  8. คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 23 ก.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; Joseph Smith, Collection, Addresses, July 23, 1843 หอจดหมายเหตุของศาสนา จักร

  9. History of the Church, 4:574; จาก “Try the Spirits,” บทความจัดพิมพ์ ใน Times and Seasons, Apr. 1, 1842, pp. 744–45; โจเซฟ สมิธเป็น บรรณาธิการวารสาร

  10. History of the Church, 4:538; จาก จดหมายที่โจเซฟเขียนตามคำขอของ จอห์น เวนท์เวิร์ธและจอร์จ บาร์สโทว์ นอวู อิลลินอยส์ จัดพิมพ์ไน Times and Seasons, Mar. 1, 1842, pp. 707–8.

  11. History of the Church, 3:381; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 27 มิ.ย. 1839 ในคอมเมิร์ซ อิลลินอยส์; รายงานโดยวิลลาร์ด ริชาร์ดส์

  12. หลักแห่งความเชื่อข้อ 6.

  13. จดหมายที่โจเซฟ สมีธเขียนถึงไอแซค บัลแลนด์ 22 มี.ค. 1839 คุกลิเบอร์ตี้ ลิเบอร์ตี้ มิสซูรื จัดพิมพ์ไน Times and Seasons, Feb. 1840, p. 53; ปรับเปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอนให้ทัน สมัย

  14. History of the Church, 2:477; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 6 เม.ย. 1837 ในเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ; รายงาน โดย Messenger and Advocate, Apr. 1837, p. 487.

  15. History of the Church, 2:200; ปรับ เปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากบันทึกการ ประชุมสภาศาสนาจักรเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 1835 ในเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ; รายงานโดย ออลิเวอร์ คาวเดอรี

  16. ออร์สัน แพรทท์ Millennial Star, Nov. 10, 1869, p. 732.

  17. วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ Deseret Weekly, Aug. 30, 1890, p. 306.

  18. History of the Church, 2:202; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book B–l, p. 577 หอจดหมายเหตุของศาสนาจักร

  19. History of the Church, 2:431–32; จากคำแนะนำของโจเซฟ สมีธเมื่อ 30 มี.ค. 1836 ในเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  20. History of the Church, 2:22; จาก “The Elders of the Church in Kirtland, to Their Brethren Abroad,” Jan. 22, 1834 จัดพิมพ็ไน Evening and Morning Star, Apr. 1834, p. 152.

  21. History of the Church, 4:540; จาก จดหมายที่โจเซฟ สมีธเขียนตามคำขอ ของจอห์น เวนท้เวิร์ธและจอร์จ บาร์สโทว์ นอวู อิลลินอยส์ จัดพิมฟ่ไน Times and Seasons, Mar. 1, 1842, p. 709.

  22. History of the Church, 2:268; คำ ในวงเล็บสุดท้ายอยู่ในต้นฉบับ; เปลี่ยน วรรคตอนและไวยากรณ์ให้ทันสมัย; จากจดหมายที่โจเซฟ สมีธเขียนถึงเหล่า เอ็ลเดอร์ของศาสนาจักร ธ.ค. 1835 เคิร์ทแลดน้ โอไฮโอ จัดพิมพ์ใน Messenger and Advocate, Dec. 1835, p. 227.

  23. คำสอนและพันธสัญญา 109:72–76; คำสวดอ้อนวอนของโจเซฟ สมีธเมื่อ 27 มี.ค. 1836 ในการอุทิศพระวิหารที่ เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  24. History of the Church, 4:609; จาก “The Temple,” an editorial published in Times and Seasons, May 2, 1842, p. 776; โจเซฟ สมีธ เป็นบรรณาธิการวารสาร

  25. History of the Church, 4:214; จาก รายงานของโจเซฟ สมีธและที่ปรึกษา ของท่านในฝ่ายประธานสูงสุด 4 ต.ค. 1840 นอวู อิลลินอยส์ จัดพิมพ์ไน Times and Seasons, Oct. 1840, p. 188.

  26. อ้างโดยวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ Deseret News: Semi-Weekly, Mar. 20, 1883, p. 1.

ภาพ
printing press

ปลายฤดูร้อนปี 1829 โจเซฟ สป็ธ มาร้ติน แฮริส และกนอื่นๆ อีกหลายคนมาพร้อมกันกับ เอีกเปีร์ต ปี. แกรนดิน ผู้พิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนเพื่อพิสูจน์อักมฺรหน้าชื่อเรื่อง ของพระคัมภีร์มอรมอน ซึ่งเป็นหน้าแรกของพระคัมภีร์ที่จะพิมพ์

ภาพ
organization of Church

ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต็แห่งสิทธิชนยุคสุดบ้ายได้รับการจัดตั้งโดยศาสดาโจเซฟ สนิธ เที่อวันที่ 6 เมษายน 1830 ที่บ้านของปีเตอร์ วิตเบอร์ ซีเนียร์ ในเฟ่เยทท์ นิวยอร์ก ศาสนาจักรยุคสุดบ้ายได้รับการจัดตั้งขึ้นในวิธีเดียวกับศาสนาจักรในสมัยพระผู้ช่วยใบ้รอด โดยปี “อัครสาวก ศาสดา ศิษยากิบาล ผู้สอน ผู้ประสาทพร และอื่นๆ”

ภาพ
Sunday School

“ความก้าวหน้าแห่งอุดมการฌ์ของพระผู้เป็นเจ้าและการเสริมสร้างไช(อันเป็นกิจธุระของคนหนึ่ง เท่าๆ กับเป็นกิจธุระของอีกคนหนึ่ง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ คนหนึ่งไก้รับเรืยกไน้ท่าหน้าที่อย่างหนึ่ง และอีกคนหนึ่งทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง”