เซมินารี
การได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ


“การได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ” เอกสารหลักผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน (2021)

“การได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ” เอกสารหลักผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน

ภาพ
เยาวชนชายอ่านพระคัมภีร์

การได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความจริงทั้งปวง

  1. พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบทุกสิ่งและทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความจริงทั้งปวง เพราะพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราและทรงประสงค์ให้เราก้าวหน้าสู่การเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์จึงทรงกระตุ้นให้เรา “แสวงหาการเรียนรู้, แม้โดยการศึกษาและโดยศรัทธาด้วย” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:118) ในการแสวงหาความจริง เราวางใจพระองค์ได้อย่างเต็มที่ พึ่งพาพระปรีชาญาณ ความรัก และเดชานุภาพของพระองค์ให้สอนและประทานพรแก่เรา พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาจะเปิดเผยความจริงในความนึกคิดและในใจเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์หากเราแสวงหาพระองค์อย่างขยันหมั่นเพียร

  2. เพื่อช่วยเรา พระบิดาบนสวรรค์ทรงสอนเราถึงวิธีได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ พระองค์ทรงสร้างเงื่อนไขที่เราต้องทำตามเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เช่นนั้น แบบแผนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้เรียกร้องให้เรามีความปรารถนาจะรู้ความจริงอย่างจริงใจและเต็มใจดำเนินชีวิตตามสิ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผย ความปรารถนาที่จริงใจจะนำเราให้แสวงหาความจริงผ่านการสวดอ้อนวอน และศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าอย่างขยันหมั่นเพียร

  3. บางครั้งเราอาจค้นพบข้อมูลใหม่หรือมีคำถามเกี่ยวกับหลักคำสอน ระเบียบปฏิบัติ หรือประวัติศาสตร์ของศาสนจักรซึ่งดูเหมือนยากที่จะเข้าใจ

    การถามคำถามและแสวงหาคำตอบเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเราพยายามเรียนรู้ความจริง คำถามบางข้อที่เข้ามาในความนึกคิดเราอาจได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ควรพิจารณาคำถามที่ได้รับการดลใจว่าเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งให้โอกาสเราเพิ่มพูนความเข้าใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของเราว่าพระเจ้าเต็มพระทัยที่จะสอนเรา ไม่ว่าคำถามของเราจะมาจากแหล่งใดก็ตาม เราได้รับพรด้วยความสามารถในการคิดหาเหตุผลและให้อิทธิพลของพระเจ้าขยายความนึกคิดของเราและช่วยให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ่งยิ่งขึ้น เจตคติและเจตนาที่เราถามคำถามและแสวงหาคำตอบจะส่งผลอย่างยิ่งต่อความสามารถของเราในการเรียนรู้ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์

  4. หลักธรรมสามข้อต่อไปนี้สามารถนำทางเราได้ขณะที่เราพยายามเรียนรู้และเข้าใจความจริงนิรันดร์ และแก้ไขคำถามหรือประเด็นต่างๆ

    • กระทำด้วยศรัทธา

    • พินิจแนวคิดและคำถามด้วยมุมมองนิรันดร์

    • แสวงหาความเข้าใจเพิ่มเติมผ่านแหล่งช่วยที่กำหนดไว้จากสวรรค์

หลักธรรม 1: กระทำด้วยศรัทธา

  1. เรากระทำด้วยศรัทธาเมื่อเราเลือกวางใจพระผู้เป็นเจ้าและหันไปหาพระองค์เป็นอันดับแรกผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจ การศึกษาคำสอนของพระองค์ และการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์

  2. ขณะที่เราพัฒนาความเข้าใจของเราในการแก้ไขข้อกังวลต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะพึ่งพาประจักษ์พยานที่เรามีอยู่แล้วเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์ และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่า “เมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง เมื่อปัญหาเกิดขึ้น และทางออกไม่ได้มาในทันที จงยึดมั่นในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้ว และยืนหยัดจนกว่าความรู้เพิ่มเติมจะมาถึง” (“พระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 94) พระเจ้าทรงเชื้อเชิญด้วยพระองค์เองให้เรา “ดูที่ [พระองค์] ในความนึกคิดทุกอย่าง; อย่าสงสัย, อย่ากลัว” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 6:36)

  3. ระหว่างช่วงเวลาที่เราอาจไม่พบคำตอบต่อคำถามของเราในทันที จะช่วยได้มากหากจำไว้ว่าแม้พระบิดาบนสวรรค์ทรงเปิดเผยทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอดของเรา แต่พระองค์ยังมิได้ทรงเปิดเผยความจริงทั้งหมด ขณะที่เราแสวงหาคำตอบต่อไป เราต้องดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา—โดยวางใจว่าสุดท้ายแล้วเราจะได้รับคำตอบที่เราแสวงหา เมื่อเราซื่อสัตย์ต่อความจริงและความสว่างที่เราได้รับแล้ว เราจะได้รับมากขึ้น คำตอบของคำถามและคำสวดอ้อนวอนของเรามักจะมาเป็น “บรรทัดมาเติมบรรทัด, กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์” (2 นีไฟ 28:30)

หลักธรรม 2: พินิจแนวคิดและคำถามด้วยมุมมองนิรันดร์

  1. ในการพินิจแนวคิดเกี่ยวกับหลักคำสอน คำถาม และประเด็นปัญหาทางสังคมด้วยมุมมองนิรันดร์ เราพิจารณาสิ่งเหล่านั้นในบริบทของแผนแห่งความรอดและคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด เราแสวงหาความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ดังที่พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งเหล่านั้น การทำเช่นนี้ช่วยให้เราตีกรอบคำถาม (เพื่อมองคำถามแตกต่างออกไป) และมองแนวคิดโดยขึ้นอยู่กับมาตรฐานความจริงของพระเจ้าแทนที่จะยอมรับหลักฐานหรือสมมติฐานของโลก เราทำได้โดยถามคำถามเช่น “ฉันรู้อะไรบ้างแล้วเกี่ยวกับพระบิดาบนสวรรค์ แผนของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบุตรธิดาของพระองค์?” และ “คำสอนพระกิตติคุณข้อใดที่เกี่ยวข้องหรือให้ความกระจ่างแก่แนวคิดหรือประเด็นปัญหานี้?”

  2. แม้คำถามที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ก็อาจต้องพินิจด้วยมุมมองนิรันดร์เช่นกัน เมื่อเรายังคงยึดมั่นความวางใจในพระบิดาบนสวรรค์และแผนแห่งความรอดของพระองค์ เราสามารถมองเห็นประเด็นปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจช่วยได้บ้างหากจะพินิจคำถามทางประวัติศาสตร์ในบริบทที่เหมาะสมทางประวัติศาสตร์โดยพิจารณาวัฒนธรรมและบรรทัดฐานของช่วงเวลาดังกล่าวแทนที่จะยัดเยียดมุมมองและเจตคติของปัจจุบัน

  3. สำคัญที่ต้องจำไว้ว่ารายละเอียดทางประวัติศาสตร์ไม่มีอำนาจช่วยให้รอดของพันธสัญญา ศาสนพิธี และหลักคำสอน การหลงประเด็นเพราะรายละเอียดที่สำคัญน้อยกว่าจนทำให้ไม่เข้าใจปาฏิหาริย์ของการฟื้นฟูที่กำลังเผยให้ปรากฏก็เหมือนกับการใช้เวลาวิเคราะห์กล่องของขวัญจนลืมนึกถึงความน่าพิศวงของสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้น

หลักธรรม 3: แสวงหาความเข้าใจเพิ่มเติมผ่านแหล่งช่วยที่กำหนดไว้จากสวรรค์

  1. ในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับการรับความรู้ทางวิญญาณ พระองค์ทรงกำหนดแหล่งช่วยซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยความจริงและการนำทางแก่บุตรธิดาของพระองค์ แหล่งช่วยเหล่านี้ได้แก่ความสว่างของพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์ บิดามารดา และผู้นำศาสนจักร ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสอง—ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกในปัจจุบัน—เป็นบ่อเกิดแห่งความจริงที่สำคัญมาก พระเจ้าทรงเลือกและทรงแต่งตั้งบุคคลเหล่านี้ให้พูดแทนพระองค์

  2. เราสามารถเรียนรู้ความจริงผ่านแหล่งอื่นที่ไว้ใจได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้แสวงหาความจริงที่จริงใจควรระมัดระวังแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เราอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่หลายคน “เรียกความชั่วว่าความดี และเรียกความดีว่าความชั่ว” (อิสยาห์ 5:20) ซาตานเป็นบิดาแห่งความเท็จ เขาพยายามบิดเบือนความจริง ชักจูงให้เราปฏิเสธพระเจ้าและผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง การเรียนรู้ที่จะตระหนักและหลีกเลี่ยงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้สามารถป้องกันเราจากข้อมูลที่ผิดและจากผู้ที่ประสงค์จะทำลายความเชื่อ เมื่อเราแสวงหาความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งหันไปหาคำตอบและการนำทางจากแหล่งช่วยที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เราจะได้รับพรในการแยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จ เราสามารถวางใจในคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่า “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:5)

การช่วยให้ผู้อื่นได้ความรู้ทางวิญญาณ

  1. เมื่อผู้อื่นมาหาเราและถามคำถามหรือกำลังศึกษาหลักคำสอน ระเบียบปฏิบัติ หรือประวัติของศาสนจักร เราจะช่วยพวกเขาอย่างดีที่สุดในการแสวงหาความจริงได้อย่างไร? ต่อไปนี้เป็นวิธีการบางอย่างที่เราจะช่วยพวกเขาได้:

  2. ตั้งใจฟังร่วมกับการสวดอ้อนวอน จงตั้งใจฟังก่อนตอบ พยายามให้ความกระจ่างแจ้งและเข้าใจคำถามจริงๆ ที่พวกเขากำลังถาม พยายามคิดใคร่ครวญให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของคำถาม ความรู้สึก และความเชื่อของพวกเขา สวดอ้อนวอนขอการนำทางให้รู้ว่าจะช่วยคนที่มีคำถามให้ดีที่สุดได้อย่างไร

  3. สอนและเป็นพยานถึงความจริงของพระกิตติคุณ แบ่งปันคำสอนที่นำไปใช้ได้จากพระคัมภีร์และศาสดาพยากรณ์ในปัจจุบันและคำสอนเหล่านั้นได้สร้างความแตกต่างในชีวิตท่านอย่างไร ช่วยคนที่ท่านพูดคุยด้วยให้พินิจหรือวางกรอบคำถามของพวกเขาใหม่ในบริบทของพระกิตติคุณและแผนแห่งความรอด

  4. เชื้อเชิญให้พวกเขากระทำด้วยศรัทธา พึงจดจำว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เราแสวงหาความรู้ทางวิญญาณด้วยตัวเราเอง ดังนั้นเราต้องเชื้อเชิญให้ผู้อื่นกระทำด้วยศรัทธาผ่านการสวดอ้อนวอน การเชื่อฟังพระบัญญัติ และหมั่นเพียรศึกษาพระคำของพระผู้เป็นเจ้า โดยใช้แหล่งช่วยที่กำหนดไว้จากสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระคัมภีร์มอรมอน หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ เชิญให้พวกเขานึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีเมื่อรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์และให้ยึดมั่นในความจริงนิรันดร์ที่พวกเขาเรียนรู้จนกว่าจะได้รับความรู้เพิ่มเติม

  5. ติดตามผล เสนอให้ค้นหาคำตอบ แล้วติดตามผลโดยแบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียนรู้ ท่านอาจค้นหาคำตอบด้วยกัน แสดงความเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะประทานการเปิดเผยส่วนตัว