2021
เอาชนะความกังวลทางโลก
เมษายน 2021


หลักคำสอนและพันธสัญญา 37–40

เอาชนะ ความกังวลทางโลก

ความกังวลทางโลกต้องไม่ทำให้เราหันเหจากการเชื่อฟังพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า

ภาพ
man riding a bicycle in the city

ข้าพเจ้าใช้เวลาตลอดบ่ายปั่นจักรยานไปหลายที่เพื่อหางานทำ

ภาพประกอบโดย เลียม โอฟาร์เรลล์

แม้เมื่อเราได้รับสัญญาพรมากมาย แต่ถ้าเราห่วงความกังวลทางโลกแทนที่จะห่วงพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะสูญเสียพรเหล่านั้น เห็นได้ชัดจากประสบการณ์ของชายคนหนึ่งในยุคแรกของการฟื้นฟู

เจมส์ โควิลล์เป็นบาทหลวงของนิกายหนึ่งนาน 40 ปีแต่หลังจากได้ยินพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู เขา “ทำพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเขาจะเชื่อฟังพระบัญญัติใดก็ตามที่พระเจ้าจะประทานแก่เขาผ่านโจเซฟศาสดาพยากรณ์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 39, หัวบทของภาค) พระเจ้ารับสั่งผ่านโจเซฟให้โควิลล์ “สดับฟังเสียงของเรา, ซึ่งกล่าวแก่เจ้าว่า: จงลุกขึ้นและรับบัพติศมา, และล้างบาปของเจ้าเสีย, โดยเรียกหานามของเรา, และเจ้าจะได้รับพระวิญญาณของเรา, และพรสำคัญยิ่งนักอย่างที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 39:10)

แต่ไม่นานโควิลล์ก็ “ปฏิเสธคำของพระเจ้า, และกลับไปหาหลักธรรมและผู้คนเดิมๆ” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 40, หัวบทของภาค) พระเจ้าตรัสถึงโควิลล์ว่า “เขารับพระคำด้วยความยินดี, แต่ซาตานล่อลวงเขาทันที; และความกลัวการข่มเหงและความกังวลทางโลกทำให้เขาปฏิเสธพระคำ” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 40:2) เพราะห่วงความกังวลทางโลก โควิลล์จึงสูญเสียพรที่พระเจ้าทรงสัญญากับเขา

ข้าพเจ้าควรอยู่หรือไป?

ในชีวิตข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเราต้องไม่ปล่อยให้ความกังวลทางโลกทำให้เราหันเหจากการเชื่อฟังพระเจ้า ข้าพเจ้าเติบโตในครอบครัวที่ดีเยี่ยมและรักกัน บ้านที่พ่อแม่สอนเราเป็นอย่างดีในพระกิตติคุณ ความรักที่พวกท่านมีต่อเราสะท้อนความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อลูกๆ ของพระองค์

เมื่ออายุ 16 ปีมีคนชวนข้าพเจ้าไปทำงานที่ฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งในสหรัฐ ด้วยความหวังว่าสักวันจะสร้างบ้านของตัวเองที่นั่นได้ นั่นทำให้ข้าพเจ้าสนใจเพราะเนเธอร์แลนด์บ้านเกิดของข้าพเจ้าเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีคนอยู่แออัด

อันที่จริง บรรพชนฝั่งบิดาข้าพเจ้าทุกคนมีความปรารถนาคล้ายกันคือไปอยู่อีกที่หนึ่ง พวกท่านย้ายไปอินโดนีเซียซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ข้าพเจ้าเข้าใจถ่องแท้ว่าเพราะอะไร ในอินโดนีเซียอากาศดี ทิวทัศน์สวยงาม และมีที่ว่างเหลือเฟือ ข้าพเจ้ามียีนชอบเดินทางเหมือนที่สร้างแรงบันดาลใจให้บรรพชน ข้าพเจ้าควรออกจากประเทศบ้านเกิดไปค้นหาความสำเร็จและผจญภัยด้วยหรือไม่?

ระหว่างตัดสินใจ คุณพ่อยื่นจดหมายฉบับหนึ่งที่โดโนแวน แวนแดม ประธานคณะเผยแผ่ของพวกท่านเขียนถึงท่านกับพี่สาวของท่านเมื่อหลายปีก่อนให้ข้าพเจ้า ประธานแวนแดมขอให้พวกท่านอยู่ในเนเธอร์แลนด์และสร้างศาสนจักรที่นั่น คุณพ่อบอกข้าพเจ้าว่าท่านตัดสินใจทำอย่างนั้น และเนื่องจากชื่อครอบครัวบูมมีอยู่ในจดหมาย ตอนนี้ก็ถึงตาข้าพเจ้าที่จะทราบว่าต้องทำอะไร

ในหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สมาชิกศาสนจักรจำนวนมากอพยพไปอเมริกาและแคนาดา การอพยพดำเนินต่อเนื่องในทศวรรษ 1970 ทั้งที่ผู้นำศาสนจักรสนับสนุนให้สมาชิกอยู่ในประเทศของตนและเสริมสร้างศาสนจักรในที่ที่ตนอยู่ ข้าพเจ้าตัดสินใจร่วมกับการสวดอ้อนวอนว่าจะอยู่ต่อและสร้างศาสนจักรในเนเธอร์แลนด์ โดยไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าจะมีความหมายอะไรในอนาคต

การตัดสินใจ การตัดสินใจ

เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบมัธยมปลายในปลายทศวรรษ 1970 เศรษฐกิจในเนเธอร์แลนด์ปั่นป่วน อัตราการว่างงานสูงมาก โดยรวมแล้วสถานการณ์ค่อนข้างแย่ คนที่เรียนจบตัดสินใจลำบากว่าจะทำอะไรต่อ

คุณพ่อข้าพเจ้ากำลังรับใช้เป็นประธานสาขา ท่านสนทนากับข้าพเจ้าบางครั้งบางคราวถึงความเป็นไปได้ของการรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา จะดีแน่นอนถ้าได้รับใช้ ข้าพเจ้าตั้งตารอโอกาสนี้มาทั้งชีวิต

แต่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่าการรับใช้งานเผยแผ่จะช่วยข้าพเจ้าหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคตได้อย่างไร ตั้งแต่เด็กข้าพเจ้ามีความปรารถนาแรงกล้ามาตลอดว่าสักวันจะพบรักของชีวิตและสร้างครอบครัวด้วยกัน

ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ 17 ปี และไม่ทราบจะทำอะไรต่อดี ข้าพเจ้าจึงเริ่มเรียนต่อ แต่หลายสัปดาห์หลังจากนั้นข้าพเจ้าพบว่าการเรียนสาขานี้จะไม่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข ข้าพเจ้ามีคำถามว่าการเรียนจะทำให้ข้าพเจ้ามีงานมั่นคงหรือเปล่า ข้าพเจ้าคิดจะเลิกเรียน

คุณพ่อคุณแม่ไม่มีความสุขกับความคิดนี้ พวกท่านบอกว่าข้าพเจ้าจะเลิกเรียนได้ต่อเมื่อมีงานทำ พวกท่านอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าจะไม่มีวันหางานได้เพราะวิกฤติการเงิน ข้าพเจ้าใช้เวลาตลอดบ่ายปั่นจักรยานไปหลายที่ จนมาพบบริษัทหนึ่งที่จ้างข้าพเจ้าให้ทำงานในโกดังสินค้าของพวกเขา

แผนของข้าพเจ้า

ถึงแม้จะได้ตำแหน่งชั่วคราว แต่ข้าพเจ้ามีแผน ข้าพเจ้าจะเป็นตำรวจ การทำงานให้รัฐบาลจะเป็นวิธีที่มั่นคงในการหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคตและทุกอย่างจะออกมาดี

ข้าพเจ้าจำวันที่ไปสอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ ข้าพเจ้านั่งรถไฟตอนเช้าตรู่และใช้เวลาทั้งวันทำการสอบทุกประเภท เมื่อหมดวันข้าพเจ้าถูกเรียกเข้าไปในห้องทำงาน พวกเขาบอกว่าข้าพเจ้าสอบผ่านหมดและอยากได้ตัวข้าพเจ้าแต่เพราะข้าพเจ้าอายุ 17 ปี จึงเด็กไป และบอกให้ข้าพเจ้ามาลองอีกครั้งปีหน้า

โลกพังทลายและข้าพเจ้าคิดตลอดทางกลับบ้าน “ทำอะไรต่อดี?” ที่บ้านคุณพ่อฟังความคับข้องใจของข้าพเจ้าและเสนอตัวให้พร ข้าพเจ้าคาดหวังให้พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างจะออกมาดีและโรงเรียนตำรวจจะรับข้าพเจ้าเหมือนเกิดปาฏิหาริย์ แต่พระเจ้ากลับบอกข้าพเจ้าว่าถ้าข้าพเจ้าจะเลือกให้พระองค์มาก่อน ข้าพเจ้าจะมีอาหารบนโต๊ะเสมอและมีรายได้จุนเจือครอบครัวในอนาคตแน่นอน

แผนที่ดีกว่า

ภาพ
map showing parts of Europe

ข้าพเจ้าได้รับคำตอบในการสวดอ้อนวอนว่าการให้พระเจ้ามาก่อนหมายความว่าข้าพเจ้าต้องรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา ข้าพเจ้าตั้งใจมาตลอดว่าจะรับใช้แต่ไม่เห็นว่าขั้นตอนหนึ่งจะนำไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่งอย่างไร ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าการรับใช้งานเผยแผ่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะทำ และอยากทำทันทีที่ทำได้

สมัยนั้นค่าใช้จ่ายสำหรับงานเผยแผ่คือ 10,000 กิลเดอร์ตามค่าเงินเนเธอร์แลนด์สมัยก่อนหรือเท่ากับค่าจ้างหนึ่งปี ข้าพเจ้าทำงานในโกดังสินค้าตามเดิมและราวฤดูร้อนปี 1981 ข้าพเจ้ามีเงิน 10,000 กิลเดอร์ และอายุครบ 18 ปีพอดี คุณพ่อซึ่งเป็นประธานสาขาบอกว่าข้าพเจ้าอายุน้อยไปสำหรับงานเผยแผ่ ประธานท้องถิ่นและประธานคณะเผยแผ่ก็บอกเช่นนั้น เวลานั้นท่านต้องอายุ 19 ปี แต่ในวันเกิดปีที่ 18 ข้าพเจ้าไปพบแพทย์และทันตแพทย์ด้วยตัวเองและให้พวกเขากรอกข้อมูลส่วนของตนในใบสมัครเป็นผู้สอนศาสนาของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจัดการให้ผู้นำสัมภาษณ์และส่งใบสมัคร จากนั้นก็รอ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าคุณพ่อซึ่งเป็นประธานสาขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ใบสมัครถูกส่งคืนให้ท่านพร้อมกับแจ้งว่าข้าพเจ้าอายุน้อยไป แต่ท่านยังไม่อยากบอกข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเก็บจดหมายไว้ในกระเป๋าสูทของท่านหลายสัปดาห์โดยไม่ให้ข้าพเจ้ารู้ โชคดีที่ระหว่างนั้นท่านได้รับจดหมายแจ้งอีกฉบับหนึ่ง บอกว่าในบางสถานการณ์เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ยินดีให้เยาวชนไปก่อนเวลาเมื่อพวกเขาเตรียมตัวดีแล้ว ไม่นานข้าพเจ้าก็ได้รับเรียกให้รับใช้ในคณะเผยแผ่อังกฤษ ลอนดอนอีสต์ งานเผยแผ่กลายเป็นพรตลอดชีวิต

พรจากพระเจ้า

สามเดือนหลังกลับจากงานเผยแผ่ ข้าพเจ้าพบรักของชีวิต ปีต่อมาเราแต่งงานและผนึกกันในพระวิหารลอนดอน อังกฤษ เศรษฐกิจยังไม่ดี แต่ข้าพเจ้ามีงานทำตลอดและหาเลี้ยงครอบครัวได้ มีอาหารบนโต๊ะและมีหลังคาคลุมศีรษะเสมอ

พระคัมภีร์ข้อนี้กลายเป็นข้อโปรดของข้าพเจ้าสมัยเป็นผู้สอนศาสนา “ตราบเท่าที่ลูกจะรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าลูกจะรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดิน” (แอลมา 36:1) ข้าพเจ้าตัดสินใจทำสิ่งที่คุณพ่อทำโดยมีพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นเครื่องนำทาง คืออยู่ในเนเธอร์แลนด์และสร้างศาสนจักรในแผ่นดินเกิด

ภาพ
photograph of Elder Boom’s family

ครอบครัวของเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์บูมในปี 2019 ตั้งแต่นั้นมีหลานสาวอีกคนเกิด

ปัจจุบันสาขาเล็กๆ ที่ข้าพเจ้าเติบโตมาเป็นวอร์ดที่หลานๆ ของเราชอบมารวมกันในปฐมวัยใหญ่ๆ กับเพื่อนมากมายหลายคน ลูกชายเรามีอาชีพที่ดีและมีอาหารบนโต๊ะ ข้าพเจ้ามองเห็นว่าการตัดสินใจของข้าพเจ้ามีผลต่อคนรุ่นหลังผู้ปรารถนาจะให้พระเจ้ามาก่อนเช่นกันในชีวิตพวกเขา

ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่ได้เรียนรู้แต่เนิ่นๆ ในชีวิตว่าการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดคือการเอาชนะความกังวลทางโลกและให้พระบิดาบนสวรรค์มาก่อน พระองค์ประทานพรที่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่ตัดสินใจแบบนั้น