2016
ตาของคนตาบอดจะมองเห็น
มิถุนายน 2016


ตาของคนตาบอด จะมองเห็น

เราอาจถือได้ว่าการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนเป็นการฟื้นฟูสายตาทางวิญญาณเหมือนปาฏิหาริย์

ภาพ
Isaiah writing

บนสุด: ส่วนหนึ่งจากภาพ ศาสดาพยากรณ์อิสยาห์มองเห็นการประสูติของพระคริสต์ล่วงหน้า โดย แฮร์รีย์ แอนเดอร์สัน

อิสยาห์พยากรณ์ว่าในยุคสุดท้ายพระเจ้าจะทรงลงพระหัตถ์ทำงาน “ประหลาดและอัศจรรย์” ท่านมองเห็นการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนล่วงหน้าโดยกล่าวว่า “ตาของคนตาบอดจะมองเห็นจากความเลือนรางและความมืด” (อิสยาห์ 29:14, 18)

“สภาพแห่งความมืดบอดอันน่าพรั่งพรึง”

ในช่วงเวลาก่อนเกิดนิมิตแรกอันรุ่งโรจน์ ความตื่นตัวทางศาสนาของเมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นที่สับสนอย่างยิ่ง ในถ้อยคำของโจเซฟ สมิธ “ความสับสนและความขัดแย้งในบรรดากลุ่มที่แตกต่างนั้นมีมากยิ่งนัก, จนสุดวิสัยที่ … จะสรุปได้แน่ชัดว่าใครถูกและใครผิด” (โจเซฟ—ประวัติ 1:8)

พระคัมภีร์มอรมอนเรียกความสับสนก่อนการฟื้นฟูนี้ว่าเป็น “สภาพแห่งความมืดบอดอันน่าพรั่นพรึง … เนื่องจากส่วนที่แจ้งชัดและมีค่าที่สุดของพระกิตติคุณของพระเมษโปดกซึ่งถูกอำพรางไว้โดยศาสนจักรที่น่าชิงชังนั้น” (1 นีไฟ 13:32; เน้นตัวเอน)

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา สายตาที่เห็นชัดทางวิญญาณซึ่งมาจากพระคัมภีร์ไบเบิลเกิดการ พร่ามัว เมื่อส่วนที่แจ้งชัดและมีค่าหายไป บางครั้งเกิดจากการแปลที่ขาดตกบกพร่องโดยไม่เจตนาและบางคราวจงใจแก้ให้ผิด “เพื่อพวกเขาจะบิดเบือนทางที่ถูกต้องของพระเจ้า, เพื่อพวกเขาจะทำให้ลูกหลานมนุษย์ ตาบอด และใจแข็งกระด้าง” (1 นีไฟ 13:27; เน้นตัวเอน)

“ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” (ยอห์น 9:25)

ภาพ
Christ healing a blind man

ปาฏิหาริย์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำมากที่สุดอย่างหนึ่งคือการฟื้นฟูสายตาให้คนตาบอด1 แต่ปาฏิหาริย์และพระพันธกิจสำคัญกว่านั้นของพระผู้ช่วยให้รอดคือการรักษาคนตาบอดทางวิญญาณ “เราเข้ามาในโลก” พระองค์ตรัส “เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น” (ยอห์น 9:39)

การใช้อุปลักษณ์ของอิสยาห์และนิมิตของนีไฟเกี่ยวกับความมืดบอดทางวิญญาณในยุคสุดท้ายทำให้เราเห็นว่าการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนเป็นการฟื้นฟูสายตาทางวิญญาณเหมือนปาฏิหาริย์

“ทั้งพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงยอมให้คนต่างชาติอยู่ในสภาพแห่ง ความมืดบอด อันน่าพรั่นพรึงตลอดกาล …

“… เราจะเมตตาต่อคนต่างชาติในวันนั้น, ถึงขนาดว่าเราจะนำ, ส่วนใหญ่ของพระกิตติคุณของเรา, … ออกไปสู่พวกเขา, ด้วยอำนาจของเราเอง …

“เพราะ, ดูเถิด, พระเมษโปดกตรัส : เราจะแสดงตนให้ประจักษ์ต่อพงศ์พันธุ์ของเจ้า, เพื่อพวกเขาจะเขียนข้อความหลายอย่างซึ่งเราจะสอนพวกเขา, … [และ] เรื่องเหล่านี้จะถูกซ่อนไว้, เพื่อจะออกมาสู่คนต่างชาติ, โดยของประทานและเดชานุภาพของพระเมษโปดก.

“และในเรื่องเหล่านี้พระกิตติคุณของเราจะเขียนไว้, พระเมษโปดกตรัส, และศิลาของเราและการช่วยให้รอดของเรา.

“… บันทึกชุดสุดท้ายเหล่านี้ … จะยืนยันความจริงของชุดแรก … บันทึกทั้งสองชุดนี้จะสถาปนาไว้ด้วยกัน” (1 นีไฟ 13:32, 34–36, 40–41; เน้นตัวเอน)—มาด้วยกันเพื่อช่วยให้เราเห็นความจริง

ภาพ
Bible and Book of Mormon

ทั้งสองชุดที่ “สถาปนาไว้ด้วยกัน” เป็นวิธีทำให้ตาสองข้างมองเห็นหรือทำงาน เพราะข้าพเจ้าเป็นต้อหิน ข้าพเจ้าจึงต้องใช้ปาฏิหาริย์ที่ช่วยให้มองเห็นหยอดตาทั้งสองข้างวันละสองครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ตาบอด ก่อนแพทย์ค้นพบว่าข้าพเจ้าเป็นต้อหิน ตาข้างหนึ่งของข้าพเจ้าสูญเสียการมองเห็นไปแล้วบางส่วน ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อการแพทย์แผนปัจจุบันและที่ข้าพเจ้าไม่ตาบอด ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับตาข้างดีอีกข้างหนึ่งเช่นกันซึ่งชดเชยส่วนที่ตาอีกข้างมองไม่เห็น อุปลักษณ์เรื่องตาสองข้างมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งเป็นส่วนตัวกับข้าพเจ้า

ผลวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์หลายครั้งแสดงให้เห็นว่าตาสองข้างดีกว่าตาข้างเดียว ข้าพเจ้าจะสำรวจข้อดีทั้งหกประการนั้นและการเปรียบเทียบทางวิญญาณกับพระคัมภีร์มอรมอนในฐานะ สักขีพยาน ปากที่สองของพระเยซูคริสต์ในการ ฟื้นฟู สายตาทางวิญญาณให้ชาวโลก

1. ตาสองข้างเพิ่มขอบเขตการมองเห็นและทำให้เห็นชัดขึ้น

ภาพ
horizontal field of view

มนุษย์มีขอบเขตการมองเห็นของตาสองข้างตามแนวนอนสูงสุดราว 190 องศา และตาสองข้างมองเห็นทับซ้อนกันประมาณ 120 องศา นอกจากขอบเขตการมองเห็นแบบรวมสัญญาณแล้ว ตาแต่ละข้างมีขอบเขตการมองเห็นด้านข้างเฉพาะดวงตาข้างนั้นด้วย2

หลังจากสิ่งที่แจ้งชัดและมีค่าหายไปหลายศตวรรษ พระคัมภีร์ไบเบิลมีบางอย่างให้เห็นแต่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ การออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนที่ทำให้การมองเห็นครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เพียงเพิ่มขอบเขตการมองเห็นทางวิญญาณเท่านั้นแต่ทำให้มองเห็นส่วนทับซ้อนกันของตาทางวิญญาณสองข้างชัดเจนด้วย (ดูภาพ 1)—ในพระคัมภีร์เราเรียกสิ่งนี้ว่ากฎของพยานสองปาก (ดู มัทธิว 18:16; อีเธอร์ 5:4; คพ. 6:28)

ขอบเขตการมองเห็นที่ทับซ้อนกัน หรือ ผลรวมการมองเห็นด้วยตาสองข้าง ยกระดับความสามารถในการตรวจจับวัตถุที่มองเห็นรางๆ3 เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดขึ้นเมื่อภาพที่ตาแต่ละข้างมองเห็นรวมกันเป็นภาพเดียวเนื่องจากการรวมสัญญาณของ แกนสายตา4 และด้วยเหตุนี้จึงขจัด “ความสับสนและความขัดแย้ง” ที่ทำให้เด็กหนุ่มโจเซฟงุนงงมาก (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:8)

ข้อเท็จจริงที่ว่า ตาสองข้างดีกว่าตาข้างเดียว เป็นข้อเท็จจริงสากลที่ประจักษ์ชัดในตัวมันเองซึ่งอิสยาห์ไม่สามารถเลือกอุปลักษ์ได้ดีกว่านี้ นั่นคือ “ตาของคนตาบอดจะมองเห็น” (อิสยาห์ 29:18) เราหวังว่าคนที่ปัจจุบันมองเห็นด้วยตาทางวิญญาณเพียงข้างเดียวซึ่งคือพระคัมภีร์ไบเบิล จะรับรู้ปัญญาของการไม่ปฏิเสธก่อนลองอ่านว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานปากที่สองของพระเยซูคริสต์ พวกเขาจะค้นพบว่า “ไม้ของยูดาห์” และ “ไม้ของโยเซฟ” (เอเสเคียล 37:19) รวมสัญญาณกันเมื่อตาสองข้างประสานกันเป็นภาพเดียวที่ชัดเจนสมบูรณ์—ประสบการณ์แบบ เปิดตา

2. การมองภาพ 3 มิติ—หลีกเลี่ยงการหลอกลวง

“การมองเห็นด้วยตาสองข้าง … ทำให้มนุษย์เดินไปถึงและเดินเข้าหาสิ่งกีดขวางได้เร็วมากขึ้นและด้วยความเชื่อมั่นมากขึ้น” เพราะรับรู้ความลึกได้แม่นยำขึ้น5 ตัวอย่างของการรับรู้ความลึกที่เหนือกว่านี้เห็นได้ในภาพ 3 มิติที่ชัดกว่าภาพถ่ายธรรมดา (ดู ภาพ 2ก)

ภาพ
stereoscope

ในอาณาจักรสัตว์ ตาสองข้างทำให้เหยื่อ เห็นภาพ 3 มิติ หรือรับรู้ความลึกได้แม่นยำ และสามารถแยกแยะความแตกต่างของภาพ 3 มิติได้ ด้วยเหตุนี้จึงช่วย “ให้มองเห็นการพรางตัวของ [ผู้ล่า]”6 (ดู ภาพ 2ข)

ภาพ
disguised snake

ภาพงู ลิขสิทธ์ของ iStock/Thinkstock

พระคัมภีร์มอรมอนให้ความคุ้มครองคล้ายกันแก่ชาวโลกโดยฟื้นฟูความชัดเจนและการรับรู้ความลึกให้แก่ขอบเขตการมองเห็นด้วยตาทางวิญญาณสองข้าง ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการพรางตัวและการหลอกลวงของซาตาน เขาเพิ่มความสับสนอย่างชาญฉลาดโดยทำให้ความหมายของข้อความหลายตอนในพระคัมภีร์ไบเบิลคลุมเครือ พระคัมภีร์มอรมอนทำลายการพรางตัวของมารด้วยการหาหลักฐานที่ชัดเจนมากมายืนยัน “หักล้างหลักคำสอนที่ผิด” (2 นีไฟ 3:12) และ “แยกกลโกงและบ่วงและกลอุบายของมารทั้งหมดออกจากกัน” (ฮีลามัน 3:29)

ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน (1899–1994) แบ่งปันคำสัญญาที่แน่นอนนี้ของพระคัมภีร์มอรมอนว่า “มีพลังในหนังสือซึ่งจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตท่านทันทีที่ท่านเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ท่านจะพบพลังต้านทานการล่อลวงมากขึ้น ท่านจะพบพลัง หลีกเลี่ยงการหลอกลวง ท่านจะพบพลังอยู่บนทางคับแคบและแคบ”7

3. การมองเห็นสิ่งกีดขวาง

การมองเห็นด้วยตาทั้งสองข้างช่วยให้บุคคลมองเห็นวัตถุหลังสิ่งกีดขวางมากขึ้นหรือทั้งหมด ลีโอนาร์โด ดาวินชีชี้ให้เห็นข้อดีข้อนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าเสาที่ตั้งบังวัตถุอาจทำให้ตาซ้ายมองไม่เห็นวัตถุนั้นบางส่วนหรือทั้งหมดแต่ตาขวาจะยังมองเห็น8 (ดู ภาพ 3)

ภาพ
binocular vision

ตัวอย่างทางวิญญาณของเรื่องนี้พบในพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ตรัสแก่ชาวยูเดีย “แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว” (ยอห์น 10:16)

เพราะพระเยซูมิได้ทรงระบุชื่อแกะอื่นเหล่านั้น ชาวยิวจึงไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ด้วย ทัศนะเพิ่มเติม จากพระคัมภีร์มอรมอน เราจึงมองเห็นสิ่งที่ถูกปิดบังไว้ “และตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, ว่าเจ้าคือคนเหล่านั้นที่เรากล่าวถึงว่า : แกะอื่นเราก็มีซึ่งหาได้เป็นของคอกนี้ไม่; เราต้องนำพวกเขามาด้วย, และพวกเขาจะได้ยินเสียงของเรา; และจะมีคอกเดียว, และเมษบาลเดียว” (3 นีไฟ 15:21) ผลคือขอบเขตการมองเห็นชัดเจนไม่มีความเข้าใจผิดในสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงหมายถึง—ไม่มีภาพลวงตา กีดขวาง อีก

4. ข้อดีของการมองเห็นด้านข้างของตาแต่ละข้าง

“การมองเห็นด้านข้างเป็นส่วนหนึ่งของการมองเห็นที่เกิดขึ้นนอกศูนย์ควบคุมการมอง”9 กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเรารับรู้สิ่งต่างๆ ในขอบเขตการมองเห็นที่เราไม่ได้เพ่งมอง ส่วนหนึ่งของขอบเขตการมองเห็นดังกล่าว—ซึ่งอยู่นอกระยะการมองเห็นด้วยตาทั้งสองข้าง หรือการมองเห็น 3 มิติ—เป็นลักษณะพิเศษของตาแต่ละข้าง (ดู ภาพ 1)

เราสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อพระคัมภีร์ไบเบิลตลอดจนสิ่งพิเศษและดีเยี่ยมที่พระคัมภีร์เล่มนี้ให้เรา—สำคัญที่สุดคือพระประวัติของพระชนม์ชีพและการปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูคริสต์

เราสำนึกคุณอย่างลึกซึ้งเช่นกันต่อพระคัมภีร์มอรมอนและวิสัยทัศน์ชัดเจนที่พระคัมภีร์เล่มนี้ให้เรา ซึ่งให้ความกระจ่างในหลักคำสอนของพระคริสต์และเปิดเผยคำสอนของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ในอเมริกาสมัยโบราณตลอดจนการเสด็จเยือนและการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ต่อชาวนีไฟ

เฉกเช่นดวงตาสองข้างคู่กัน พระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์มอรมอนเสริมกัน โดยส่งผลให้เกิดทัศนียภาพที่งดงามตามที่ตาสองข้างมองเห็น และเกิดทิวทัศน์ตามที่ตาแต่ละข้างมองเห็น

5. การกำจัดจุดบอดของเรา

เราทุกคนมีจุดบอดในขอบเขตการมองเห็นที่วินิจฉัยค่อนข้างง่าย ถือภาพที่มีรูปวงกลมและรูปดาว (ภาพ 4) ไว้ตรงหน้าท่านโดยเหยียดแขนให้ตรง ปิดตาซ้ายและให้ตาขวาเพ่งมองวงกลมเล็กๆ วงนั้น ขณะที่ตาขวายังจ้องวงกลม ให้เริ่มเลื่อนภาพเข้ามาหาท่านช้าๆ พอมาได้ครึ่งทาง รูปดาวจะหายไปจากระยะที่มองเห็น ด้านข้าง

ภาพ
blind spot demonstration

ท่านแปลกใจหรือไม่ ท่านไม่ทราบหรือว่าท่านมีจุดบอด ตาอีกข้างชดเชยจุดบอดจุดนี้ฉันใด พระคัมภีร์มอรมอนให้ประโยชน์คล้ายกันต่อพระคัมภีร์ไบเบิลฉันนั้น

รูปดาวหายไปต่อหน้าต่อตาท่านฉันใด เฮโรดไม่เห็นดาวเบธเลเฮมฉันนั้น และต้องถามนักปราชญ์เรื่อง “เวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏ” (มัทธิว 2:7) นั่นคือจุดบอด ด้านข้าง ทางวิญญาณของเขา เฉพาะคนที่ มอง หาดาวเท่านั้นจึงสังเกตเห็น

ปัจจุบันมีคนมากมายเหมือนเฮโรด คนที่ไม่ยอมมองหาและดูเรื่องของพระวิญญาณ “วิบัติแก่คนมืดบอดที่ไม่ยอมดู” (2 นีไฟ 9:32) ความจองหองเป็นเหตุให้ชาวยิว “หมิ่นถ้อยคำแห่งความแจ้งชัด, และ … ความมืดบอดนั้นเกิด [กับพวกเขา] จากการมองข้ามเครื่องหมาย” (เจคอบ 4:14)

ข้อคิด ที่มีเหตุผลประการหนึ่งของพระคัมภีร์มอรมอนคือการเตือนล่วงหน้าเรื่องจุดบอดทั่วไปของ ความจองหอง “บาปที่สามารถ เห็น ในผู้อื่นได้ง่ายแต่ตัวเราไม่ค่อยยอมรับ”10 ความจองหองเหมือนกลิ่นปาก—ทุกคนได้กลิ่นยกเว้นคนมีกลิ่นปาก

“ในสภาก่อนมรรตัย ความจองหองนั่นเองที่ทำให้ลูซิเฟอร์ตก”11 “ความจองหองของ … ชาวนีไฟ, [นั่นเองที่] พิสูจน์ความพินาศของพวกเขา” (โมโรไน 8:27) คนจองหองจะไหม้ดังตอข้าวเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงชำระแผ่นดินโลกด้วยไฟ (ดู มาลาคี 4:1; 3 นีไฟ 25:1)

ต้นทางของทางคับแคบและแคบปักป้าย “เตือน” ใหญ่ทะมึนว่า “จงระวังความจองหอง, เกลือกเจ้าจะกลายเป็นดังชาวนีไฟในสมัยโบราณ” (คพ. 38:39; เน้นตัวเอน) น่าเศร้าตรงที่ ตัว ป้าย “จงระวัง” มักเป็นจุดบอดของคนจองหอง ดังนั้น “ให้คน [จองหอง] เรียนรู้ปัญญาโดยการนอบน้อมถ่อมตนและเรียกหาพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเขา, เพื่อดวงตาเขาจะได้เปิดเพื่อเขาจะมองเห็น” (คพ. 136:32)

6. การเชื่อมโยงดวงตากับสมอง

ภาพ
anagram

สมการนี้ (ดู ภาพ 5) ดูเหมือนจะถูกต้อง แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด ระบบประมวลผลภาพของสมองบอกเราว่าตาของเรากำลังมองเห็นอะไร สมองสร้างความฝันของเราตอนกลางคืนและแปลสิ่งที่เรามองเห็นตอนกลางวัน การมองเห็นไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือมองเห็นอย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น “ถึงแม้ว่า [พระเยซู] ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์” (ยอห์น 12:37) ดวงตาแต่อย่างเดียวไม่พอส่งเสริมความเชื่อหรือ การมองเห็นจริงๆ

สมองทำงานร่วมกับดวงตาฉันใด พระวิญญาณทำงานร่วมกับพระคัมภีร์ฉันนั้นเพื่อช่วยให้เรามองเห็นทางวิญญาณ การอ่านพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวไม่พอจะทำให้เกิดการมองเห็นทางวิญญาณเพราะ “คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ” (1 โครินธ์ 2:14)

เพื่อให้พระคัมภีร์มอรมอนทำหน้าที่เสมือนดวงตาทางวิญญาณ เราต้องยอมรับและทำตามคำเชื้อเชิญของโมโรไนอย่างจริงใจใน โมโรไน 10:3–5 นี่เป็นคำเชื้อเชิญพร้อมสัญญาว่า พระผู้เป็นเจ้า “จะ ทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ประจักษ์แก่ท่าน, โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 4; เน้นตัวเอน)

พยานและความสำนึกคุณ

เพื่อหลีกเลี่ยงความมืดบอดทางวิญญาณ พวกบุตรของลีไฮเสี่ยงชีวิตไปเอาแผ่นจารึกทองเหลือง (ดู 1 นีไฟ 3–4) หากไม่มีแผ่นจารึก พวกเขา “คงจะเสื่อมโทรมในความไม่เชื่อ” (โมไซยาห์ 1:5) ปัจจุบัน เพราะเครื่องพิมพ์และเครื่องมือดิจิตอล เราจึงหาพระคัมภีร์ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น แต่นั่นมีผลเล็กน้อยต่อซาตานไม่ว่าจะกีดกันผู้คนไม่ให้ได้พระคัมภีร์—ยุทธวิธีของเขาในยุคมืด—หรือล่อลวงผู้คนไม่ให้อ่านพระคัมภีร์—ยุทธวิธีของเขาในยุคสุดท้าย ไม่ว่าวิธีใด “หมอกแห่งความมืด [ของเขา] ทำให้ [ตา] … ของลูกหลานมนุษย์ มืดบอด … เพื่อพวกเขาจะพินาศและสูญหายไป” (1 นีไฟ 12:17; เน้นตัวเอน)

เหมือนข้าพเจ้าหยอดตา ทุกวัน โดย “ยึดราวเหล็กไว้แน่น ตลอดเวลา” (1 นีไฟ 8:30; เน้นตัวเอน) เท่านั้นเราจึงจะไม่ถูกหมอกยุคสุดท้ายที่เบาบางและแพร่ไปทั่วทำให้เรามืดบอด เมื่อใดก็ตามที่บุคคลหนึ่งแข็งขันน้อยหรือออกจากศาสนจักร แทบจะแน่นอนว่าบุคคลนั้นหยุดอ่านพระคัมภีร์มอรมอนไปแล้ว

พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์เป็นงานมหัศจรรย์และน่าพิศวงโดยแท้ นี่คือ สักขีพยาน ปากที่สองของพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ทำให้เห็นข้อดีทั้งหมดของตาอีกข้าง

ขอให้เรายึดราวเหล็กไว้แน่นตลอดเวลาเพื่อเราจะมีค่าควรรับการสรรเสริญที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น” (มัทธิว 13:16)

อ้างอิง

  1. ดู มัทธิว 9:27–31; 12:22–23; 15:30–31; 21:14; มาระโก 8:22–26; 10:46–52; ลูกา 7:21–22; ยอห์น 9; 3 นีไฟ 17:7–9; 26:15.

  2. ดู “Binocular Vision,” Wikipedia, en.wikipedia.org.

  3. ดู Randolph Blake and Robert Fox, “The Psychophysical Inquiry into Binocular Summation,” Perception & Psychophysics, vol. 14, no. 1 (1973), 161–68; ดู “Binocular vision” ด้วย.

  4. ดู “Vergence,” Wikipedia, en.wikipedia.org.

  5. “Binocular Vision.”

  6. “Binocular Vision.”

  7. คำสอนของประธานศาสนจักร: เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน (2014), 141.

  8. ดู “Binocular Vision.”

  9. “Peripheral Vision,” Wikipedia, en.wikipedia.org.

  10. คำสอน: เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, 18; เน้นตัวเอน.

  11. คำสอน: เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน 231.