การประชุมใหญ่สามัญ
เหตุใดจึงเป็นเส้นทางพันธสัญญา
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2021


เหตุใดจึงเป็นเส้นทางพันธสัญญา

ความแตกต่างของเส้นทางพันธสัญญานั้นมีนัยสำคัญที่พิเศษและเป็นนิรันดร์

ตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ท่านได้ศึกษาและสอนเรื่องพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ากับลูกๆ ของพระองค์ ตัวท่านเองเป็นแบบอย่างอันโดดเด่นของคนที่เดินในเส้นทางพันธสัญญา ในข่าวสารแรกของท่านในฐานะประธานศาสนจักร ประธานเนลสันกล่าวว่า:

“คำมั่นสัญญาของท่านที่จะทำตามพระผู้ช่วยให้รอดโดยการทำพันธสัญญากับพระองค์แล้วรักษาพันธสัญญาเหล่านี้จะเปิดประตูสู่พรและสิทธิพิเศษทางวิญญาณทุกอย่างที่มีให้แก่ชาย หญิง และเด็กทุกแห่งหน

“… ศาสนพิธีของพระวิหารและพันธสัญญาที่ท่านทำไว้ที่นั่นเป็นกุญแจสำคัญของการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตท่าน ชีวิตแต่งงานและครอบครัวท่าน และความสามารถในการต่อต้านการโจมตีของปฏิปักษ์ การนมัสการในพระวิหารและการรับใช้บรรพชนของท่านที่นั่นจะเป็นพรให้ท่านได้รับการเปิดเผยส่วนตัวและสันติสุขเพิ่มขึ้น ทั้งจะเสริมความมุ่งมั่นให้ท่านอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา”1

เส้นทางพันธสัญญาคืออะไร? คือเส้นทางเดียวที่นำไปสู่อาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า เราออกเดินทางตามเส้นทางนั้นที่ประตูบัพติศมาแล้วจึง “มุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในพระคริสต์, โดยมีความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง, และความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อมนุษย์ทั้งปวง [พระบัญญัติข้อใหญ่สองข้อ] … จนกว่าชีวิตจะหาไม่”2 ตลอดเส้นทางพันธสัญญา (ซึ่งยาวเลยความเป็นมรรตัยออกไปอีก) เราได้รับศาสนพิธีและพันธสัญญาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความรอดและความสูงส่ง

คำมั่นสัญญาเหนือสิ่งอื่นใดในพันธสัญญาของเราคือเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า “และเพื่อจะเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์, ตลอดวันเวลาที่เหลืออยู่ของเราในทุกเรื่องซึ่งพระองค์จะทรงบัญชาเรา”3 การทำตามหลักธรรมและพระบัญญัติของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ทุกวันคือวิถีทางที่มีความสุขที่สุดและน่าพึงใจมากที่สุดในชีวิต เหตุผลหนึ่งก็คือคนหลีกเลี่ยงปัญหาและความเสียใจมากมายหลายอย่าง ข้าพเจ้าขอใช้แนวเทียบเรื่องกีฬา ในกีฬาเทนนิสมีสิ่งที่เรียกว่าการตีพลาดเอง เช่น การตีลูกที่เล่นต่อได้เข้าไปในตาข่ายหรือการเสิร์ฟลูกเสียสองครั้ง การตีพลาดเองถือเป็นความผิดพลาดของผู้เล่นไม่ใช่เกิดจากทักษะของฝ่ายตรงข้าม

บ่อยครั้งปัญหาและความท้าทายของเราเกิดจากตัวเราเอง ผลของการเลือกที่ไม่ดี หรือเราอาจพูดได้ว่าคือผลของ “การตีพลาดเอง” เมื่อเราเดินตามเส้นทางพันธสัญญาอย่างขยันหมั่นเพียร เราค่อนข้างจะหลีกเลี่ยง “การตีพลาดเอง” ไปโดยธรรมชาติ เราหลบหลีกการเสพติดหลายรูปแบบ เราไม่ตกท่อแห่งความประพฤติทุจริต เราก้าวข้ามห้วงลึกแห่งการผิดศีลธรรมและการนอกใจ เราเลี่ยงผู้คนและสิ่งที่เป็นอันตรายต่อความผาสุกทางร่างกายและทางวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นที่นิยมก็ตาม เราหลีกหนีการเลือกที่ทำร้ายหรือทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์และสร้างนิสัยของการมีวินัยในตนเองและการรับใช้เข้ามาแทน4

เชื่อกันว่าเอ็ลเดอร์เจ. โกลเด้น คิมบัลล์เคยพูดว่า “ข้าพเจ้าอาจไม่ได้เดินในทางคับแคบและแคบ [ตลอดเวลา] แต่ข้าพเจ้า [พยายาม] ข้ามมันบ่อยๆ เท่าที่ [จะทำได้]”5 ในเวลาที่จริงจังกว่านั้น ข้าพเจ้ามั่นใจว่าบราเดอร์คิมบัลล์จะเห็นด้วยว่าการคงอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา ไม่ใช่แค่เดินข้าม เป็นความหวังที่ดีที่สุดของเราสำหรับการหลีกเลี่ยงความทุกข์ ที่หลีกเลี่ยงได้ ด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งคือการรับมือด้วยดีกับเคราะห์ร้ายของชีวิต ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

บางคนอาจบอกว่า “ฉันสามารถทำการเลือกที่ดีโดยที่รับหรือไม่รับบัพติศมาก็ได้ ฉันไม่จำเป็นต้องมีพันธสัญญาเพื่อจะเป็นคนมีเกียรติและประสบความสำเร็จ” อันที่จริงมีหลายคนที่แม้ไม่ได้อยู่บนเส้นทางพันธสัญญา แต่ก็ประพฤติตนในแบบที่สะท้อนการเลือกและการทำคุณความดีของคนบนเส้นทางพันธสัญญา ท่านอาจพูดได้ว่าพวกเขาเก็บเกี่ยวพรของการเดินบนเส้นทางที่ “สอดคล้องกับพันธสัญญา” แล้วอะไรเล่าคือความแตกต่างของเส้นทางพันธสัญญา?

จริงๆ แล้วความแตกต่างนั้นมีนัยสำคัญที่พิเศษและเป็นนิรันดร์ ซึ่งได้แก่ ลักษณะของการเชื่อฟังของเรา คุณลักษณะของคำมั่นสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อเรา ความช่วยเหลือจากสวรรค์ที่เราได้รับ พรที่ผูกติดมากับการรวมกันในฐานะผู้คนแห่งพันธสัญญา และที่สำคัญที่สุด มรดกนิรันดร์ของเรา

การเชื่อฟังด้วยความมุ่งมั่น

ประการแรกคือลักษณะของการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าของเรา เป็นมากกว่าแค่การมีเจตนาดี แต่เราให้คำมั่นสัญญาที่จะดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า ในเรื่องนี้ เราทำตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่โดยการรับบัพติศมา “ทรงแสดงแก่ลูกหลานมนุษย์ว่า, ตามเนื้อหนังพระองค์ทรงนอบน้อมถ่อมพระองค์ต่อพระพักตร์พระบิดา, และทรงเป็นพยานต่อพระบิดาว่าพระองค์จะทรงเชื่อฟังพระบิดาในการรักษาพระบัญญัติของพระองค์”6

เมื่อมีพันธสัญญา เราตั้งใจมากกว่าแค่หลีกเลี่ยงความผิดพลาดหรือรอบคอบในการตัดสินใจ เรารู้สึกรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการเลือกและชีวิตของเรา เรารับพระนามของพระคริสต์ไว้กับเรา เราจดจ่ออยู่ที่พระคริสต์—องอาจในประจักษ์พยานถึงพระเยซูและการพัฒนาอุปนิสัยแบบพระคริสต์

เมื่อมีพันธสัญญา การเชื่อฟังหลักธรรมพระกิตติคุณหยั่งรากลึกในจิตวิญญาณเรา ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง สมัยแต่งงานกัน ภรรยาไม่แข็งขันในศาสนจักรและสามีไม่เคยเป็นสมาชิกศาสนจักร ข้าพเจ้าจะเรียกพวกเขาว่าแมรีย์กับจอห์น ซึ่งไม่ใช่ชื่อจริง เมื่อลูกๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท แมรีย์รู้สึกอย่างแรงกล้าว่าต้องเลี้ยงดูพวกเขาตามที่พระคัมภีร์บอก “​ด้วย​การ​สั่ง‍สอน​และ​การ​เตือน‍สติ​ตาม​หลัก​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า”7 จอห์นสนับสนุน แมรีย์เสียสละสิ่งสำคัญบางอย่างเพื่อจะอยู่บ้านสอนพระกิตติคุณอย่างสม่ำเสมอ เธอทำให้แน่ใจว่าครอบครัวใช้ประโยชน์เต็มที่จากการนมัสการและกิจกรรมของศาสนจักร แมรีย์กับจอห์นกลายเป็นพ่อแม่ตัวอย่าง และลูกๆ ของพวกเขา (มีแต่เด็กผู้ชายพลังล้นเหลือ) เติบโตในศรัทธาและการอุทิศตนต่อหลักธรรมและมาตรฐานพระกิตติคุณ

พ่อแม่ของจอห์น ปู่ย่าของเด็กๆ พอใจกับชีวิตที่ดีงามและความสำเร็จของหลานๆ แต่เนื่องจากมีการต่อต้านศาสนจักรอยู่บ้าง พวกเขาจึงต้องการอุทิศความสำเร็จนี้ให้กับทักษะการเป็นพ่อแม่ของจอห์นกับแมรีย์เพียงอย่างเดียว จอห์น ถึงแม้จะไม่ใช่สมาชิกศาสนจักร แต่ก็ไม่ยอมปล่อยผ่านการประเมินแบบนั้นไปโดยไม่โต้แย้ง เขายืนกรานว่าพ่อแม่ของเขากำลังเห็นผลจากคำสอนพระกิตติคุณ—สิ่งที่ลูกชายเขาเจอที่โบสถ์ตลอดจนสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้าน

จอห์นเองก็ได้รับอิทธิพลจากพระวิญญาณ จากความรักและแบบอย่างของภรรยา และจากการกระตุ้นของลูกๆ เวลาผ่านไป เขารับบัพติศมาท่ามกลางปีติของสมาชิกวอร์ดและเพื่อนๆ

แม้ว่าชีวิตพวกเขากับลูกๆ จะไม่เคยขาดการท้าทาย แต่แมรีย์กับจอห์นก็ยืนยันสุดหัวใจว่าที่จริงแล้วพันธสัญญาพระกิตติคุณนั่นเองที่อยู่ตรงรากของพรที่ได้รับ พวกเขาเห็นพระคำของพระเจ้าต่อเยเรมีย์เกิดสัมฤทธิผลในชีวิตลูกๆ รวมทั้งชีวิตพวกเขาเอง: “เรา​จะ​บรร‌จุ​ธรรม‍บัญญัติ​ไว้​ใน​เขา‍ทั้ง‍หลาย และ​เรา​จะ​จา‌รึก​มัน​ไว้​บน​ดวง‍ใจ​ของ​เขา และ​เรา​จะ​เป็น​พระ‍เจ้า​ของ​เขา และ​เขา​จะ​เป็น​ประ‌ชา‍กร​ของ​เรา”8

ผูกมัดกับพระผู้เป็นเจ้า

ด้านที่พิเศษสุดด้านที่สองของเส้นทางพันธสัญญาคือความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า พันธสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ลูกๆ ของพระองค์ทำมากกว่าแค่นำทางเรา พันธสัญญาผูกมัดเราไว้กับพระองค์ และโดยผูกมัดกับพระองค์ เราสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้9

ข้าพเจ้าเคยอ่านบทความหนึ่งของนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ไม่ค่อยรอบรู้ผู้อธิบายว่าเราประกอบศาสนพิธีบัพติศมาแทนคนตายโดยการจุ่มไมโครฟิล์มลงไปในน้ำทั้งม้วน แล้วชื่อที่ปรากฏในไมโครฟิล์มจะถือว่าได้รับบัพติศมาแล้ว วิธีนั้นคงจะมีประสิทธิภาพ แต่เป็นการละเลยคุณค่าอนันต์ของแต่ละจิตวิญญาณและความสำคัญอย่างยิ่งของพันธสัญญาส่วนตัวกับพระผู้เป็นเจ้า

“[พระเยซู] ตรัส … ว่า: เจ้าจงเข้าทางประตูคับแคบ; เพราะคับแคบคือประตู, และแคบคือทางซึ่งนำไปสู่ชีวิต, และมีน้อยคนที่พบ”10 เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ประตูนี้แคบมากจนเข้าได้ทีละคนเท่านั้น แต่ละคนให้คำมั่นสัญญาส่วนตัวกับพระผู้เป็นเจ้าและได้รับพันธสัญญาส่วนตัวจากพระองค์กลับคืนตามชื่อ ว่าเขาสามารถพึ่งพันธสัญญานั้นได้เต็มที่ในกาลเวลาและนิรันดร ด้วยศาสนพิธีและพันธสัญญา “พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์” ในชีวิตเรา11

ความช่วยเหลือจากสวรรค์

สิ่งนี้นำเราไปสู่การพิจารณาพรพิเศษประการที่สามของเส้นทางพันธสัญญา พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบของประทานที่เราแทบเข้าใจไม่ได้เพื่อช่วยให้ผู้ทำพันธสัญญากลายเป็นผู้รักษาพันธสัญญา นั่นคือ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานนี้คือสิทธิ์ในการมีพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพื่อนคอยคุ้มครองและนำทางตลอดเวลา12 เรารู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าพระผู้ปลอบโยน พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรง “เปี่ยมไปด้วยความหวังและความรักอันบริบูรณ์”13 พระองค์ “ทรงรู้สิ่งทั้งปวง, และรับสั่งคำพยานถึงพระบิดาและถึงพระบุตร”14 ซึ่งเราให้คำมั่นสัญญาที่จะเป็นพยานถึงพระองค์15

บนเส้นทางพันธสัญญาเราพบพรสำคัญของการให้อภัยและการชำระให้สะอาดจากบาปด้วย นี่คือความช่วยเหลือที่มาโดยพระคุณเท่านั้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ดำเนินการ “บัดนี้นี่คือบัญญัติ” พระเจ้าตรัส “จงกลับใจ, เจ้าทั้งหลายทั่วสุดแดนแผ่นดินโลก, และมาหาเราและรับบัพติศมาในนามของเรา, และเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์, เพื่อเจ้าจะยืนอยู่โดยไม่มีมลทินต่อหน้าเราในวันสุดท้าย”16

รวมกับผู้คนพันธสัญญา

สี่ คนที่ติดตามเส้นทางพันธสัญญาพบพรสุดพิเศษในการรวมหลายรูปแบบที่สวรรค์กำหนดด้วย คำพยากรณ์ถึงการรวมจริงๆ ของเผ่าอิสราเอลที่กระจัดกระจายไปเนิ่นนานมายังแผ่นดินมรดกของพวกเขามีอยู่ทั่วพระคัมภีร์17 สัมฤทธิผลของคำพยากรณ์และคำสัญญาเหล่านั้นกำลังดำเนินอยู่เวลานี้ด้วยการรวบรวมผู้คนพันธสัญญาเข้ามาในศาสนจักร อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ประธานเนลสันอธิบายว่า “เมื่อเราพูดถึง การรวบรวม เราเพียงแต่กล่าวความจริงพื้นฐานนี้: บุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ … สมควรได้ยินข่าวสารพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์”18

พระเจ้าทรงบัญชาให้สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย “ลุกขึ้นและฉายส่องออกไป, เพื่อแสงสว่างของเจ้าจะเป็นธงให้ประชาชาติ; … เพื่อการรวบรวมบนแผ่นดินแห่งไซอัน, และบนสเตคของนาง, จะเกิดขึ้นเพื่อการคุ้มภัย, และเพื่อเป็นที่พักพิงจากพายุ, และจากพระพิโรธเมื่อจะเทลงมาโดยมิได้เจือจางบนทั้งผืนแผ่นดินโลก”19

มีการรวมประจำสัปดาห์ของผู้คนพันธสัญญาที่บ้านแห่งการสวดอ้อนวอนในวันของพระเจ้า เพื่อเราจะ “รักษาตัวให้หมดจดจากโลกได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”20 เป็นการรวบรวมเพื่อรับส่วนขนมปังและน้ำศีลระลึกในความระลึกถึงการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และเป็นเวลา “เพื่ออดอาหารและเพื่อสวดอ้อนวอน, และพูดกันเกี่ยวกับความผาสุกของจิตวิญญาณ [ของเรา]”21 สมัยเป็นวัยรุ่น ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกศาสนจักรคนเดียวในชั้นเรียนมัธยมปลาย ข้าพเจ้าชอบที่ได้คบหากับเพื่อนดีๆ หลายคนในโรงเรียน แต่ข้าพเจ้าพบว่าตนเองพึ่งพาการรวมในวันสะบาโตแต่ละสัปดาห์อย่างมากเพื่อเติมพลังและฟื้นฟูข้าพเจ้าทางวิญญาณ แม้แต่ทางร่างกาย เรารู้สึกสูญเสียการรวมในพันธสัญญาเป็นประจำแบบนี้อย่างมากระหว่างช่วงโรคระบาดในปัจจุบัน และเราเฝ้ารอเวลาอย่างใจจดใจจ่อเมื่อจะได้มาเจอกันอีกครั้งเหมือนเมื่อก่อน

ผู้คนพันธสัญญารวมกันมาสู่พระวิหารพระนิเวศน์ของพระเจ้าเช่นกัน เพื่อรับศาสนพิธี พร และการเปิดเผยที่มีให้เฉพาะที่นั่น ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่า “จุดประสงค์ของการรวม … ผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคทุกสมัยของโลกคืออะไร? … จุดประสงค์หลักคือเพื่อสร้างพระนิเวศน์แด่พระเจ้าซึ่งที่นั่นพระองค์ทรงสามารถเปิดเผยแก่ผู้คนของพระองค์ถึงศาสนพิธีแห่งพระนิเวศน์ของพระองค์และรัศมีภาพแห่งอาณาจักรของพระองค์ และทรงสอนผู้คนถึงหนทางสู่ความรอด เพราะมีศาสนพิธีและหลักธรรมบางอย่างซึ่งเมื่อสอนและปฏิบัติจะต้องทำในสถานที่หรือพระนิเวศน์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นั้น”22

รับสัญญาแห่งพันธสัญญาเป็นมรดก

สุดท้าย ในการติดตามเส้นทางพันธสัญญาเท่านั้นที่เราจะได้รับมรดกแห่งพรของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พรสำคัญที่สุดแห่งความรอดและความสูงส่งที่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นจะประทานให้ได้23

การอ้างอิงในพระคัมภีร์ถึงผู้คนพันธสัญญามักหมายถึงลูกหลานจริงๆ ของอับราฮัมหรือ “เชื้อสายแห่งอิสราเอล” แต่ผู้คนพันธสัญญาหมายรวมถึงทุกคนที่รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วย24 เปาโลอธิบายว่า:

“เพราะ​ว่า​พวก‍ท่าน​ทุก​คน​ที่​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เข้า​ใน​พระ‍คริสต์​แล้ว ก็​ได้​สวม​ชีวิต​ของ​พระ‍คริสต์​ด้วย …

“และ​ถ้า​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​เป็น​ของ​พระ‍คริสต์​แล้ว ท่าน​ก็​เป็น​พงศ์‍พันธุ์​ของ​อับ‌รา‌ฮัม คือ​เป็น​ทา‌ยาท​ตาม​พระ‍สัญญา”25

คนที่ภักดีต่อพันธสัญญาของตน “จะออกมาในการฟื้นคืนชีวิตของคนเที่ยงธรรม”26 พวกเขาจะ “ดีพร้อมโดยผ่านพระเยซู สื่อกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ … คนเหล่านี้คือคนที่ร่างกายของพวกเขาเป็นของซีเลสเชียล, ซึ่งรัศมีภาพของพวกเขาเป็นรัศมีภาพของดวงอาทิตย์, แม้รัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้า, ผู้สูงสุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง”27 “ดังนั้น, สิ่งทั้งปวงเป็นของพวกเขา, ไม่ว่าชีวิตหรือความตาย, หรือสิ่งปัจจุบัน, หรือสิ่งที่จะมาถึง, ทั้งหมดเป็นของพวกเขาและพวกเขาเป็นของพระคริสต์, และพระคริสต์เป็นของพระผู้เป็นเจ้า”28

ขอให้เราเอาใจใส่การเรียกของศาสดาพยากรณ์ให้อยู่บนเส้นทางพันธสัญญา นีไฟเห็นเราและวันเวลาของเราและบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้า, นีไฟ, เห็นเดชานุภาพของพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ว่าลงมาบนวิสุทธิชนของศาสนจักรของพระเมษโปดก, และบนผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า, ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนทั่วพื้นพิภพ; และพวกเขามีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่”29

“จิตวิญญาณข้าพเจ้าเบิกบาน [ร่วมกับนีไฟ] ในพันธสัญญาของพระเจ้า”30 ในวันอาทิตย์อีสเตอร์นี้ ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นความหวังของเราและความแน่นอนของทุกสิ่งที่ทรงสัญญาไว้บนเส้นทางพันธสัญญาและที่ปลายทาง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน