การประชุมใหญ่สามัญ
รับการทดสอบ พิสูจน์ และขัดเกลา
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2020


รับการทดสอบ พิสูจน์ และขัดเกลา

พรประเสริฐสุดที่จะมาเมื่อเราพิสูจน์ตนว่าซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของเราในช่วงการทดลองคือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติวิสัยของเรา

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่ได้พูดกับท่านวันนี้ ความหวังของข้าพเจ้าคือให้กำลังใจเมื่อชีวิตดูเหมือนยากเป็นพิเศษและไม่แน่นอน สำหรับบางท่าน เวลานั้นมาถึงแล้ว ถ้ายังไม่มา จะมาแน่นอน

นั่นไม่ใช่ทัศนะชวนหดหู่ แต่คือความเป็นจริง—ทว่าจงมองในแง่ดี—เพราะจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในการสร้างโลกนี้ จุดประสงค์นั้นคือประทานโอกาสให้บุตรธิดาของพระองค์พิสูจน์ตนว่าสามารถและเต็มใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องแม้เป็นเรื่องยาก ในการเลือกเช่นนั้น ธรรมชาติวิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและจะสามารถเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงทราบว่าสิ่งนั้นจะเรียกร้องศรัทธาอันไม่สั่นคลอนในพระองค์

สิ่งที่่ข้าพเจ้ารู้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัว เมื่ออายุประมาณแปดขวบ คุณแม่ผู้ชาญฉลาดขอให้ข้าพเจ้ากับพี่ชายถอนวัชพืชกับท่านในสวนหลังบ้าน ดูเหมือนเป็นงานง่ายๆ แต่เราอยู่ในนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งฝนตกบ่อย และดินเหนียวมาก วัชพืชโตเร็วกว่าผัก

ข้าพเจ้าจำได้ว่าตัวเองหงุดหงิดเมื่อวัชพืชขาดคามือโดยที่รากยังฝังแน่นอยู่ในโคลนเหนียวๆ ไม่นานคุณแม่กับพี่ชายก็ถอนในส่วนของตัวเองไปไกลแล้ว ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็ยิ่งตามไม่ทัน

“มันยากจังเลย!” ข้าพเจ้าตะโกน

แทนที่จะเห็นใจ คุณแม่กลับยิ้มและพูดว่า “โธ่ ฮัล มันต้องยากอยู่แล้ว มันควรจะยาก เพราะชีวิตคือบททดสอบ”

ในขณะนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าคำพูดของคุณแม่จริง และจะเป็นจริงต่อไปในอนาคตของข้าพเจ้า

เหตุผลของรอยยิ้มด้วยความรักจากคุณแม่ปรากฏชัดในอีกหลายปีต่อมาเมื่อข้าพเจ้าอ่านเรื่องพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรที่รักของพระองค์ตรัสถึงจุดประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างโลกและประทานโอกาสให้บรรดาวิญญาณบุตรธิดามีชีวิตมรรตัย:

“และพวกเราจะพิสูจน์พวกเขาโดยวิธีนี้, เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาจะทรงบัญชาพวกเขาหรือไม่;

“และวิญญาณเหล่านั้นที่รักษาสถานะแรกของพวกเขาจะได้รับเพิ่มเติม; และวิญญาณเหล่านั้นที่หารักษาสถานะแรกของพวกเขาไม่จะไม่มีรัศมีภาพในอาณาจักรเดียวกับวิญญาณเหล่านั้นที่รักษาสถานะแรกของพวกเขา; และวิญญาณเหล่านั้นที่รักษาสถานะที่สองของพวกเขาจะมีรัศมีภาพเพิ่มเติมบนศีรษะพวกเขาตลอดกาลและตลอดไป”1

ท่านกับข้าพเจ้ายอมรับคำเชื้อเชิญนั้นมารับการทดสอบและพิสูจน์ว่าเราจะเลือกรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราจะไม่ได้อยู่ในที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์แล้ว

แม้มีคำเชื้อเชิญด้วยความรักเช่นนั้นจากพระบิดาบนสวรรค์ แต่ลูซิเฟอร์ก็ยังชักชวนวิญญาณบุตรธิดาหนึ่งในสามให้ติดตามเขาและปฏิเสธแผนของพระบิดาเพื่อการเติบโตและความสุขนิรันดร์ของเรา เพราะการกบฏของซาตาน เขาจึงถูกขับออกมาพร้อมกับผู้ติดตาม ตอนนี้เขาพยายามทำให้คนหันหลังให้พระผู้เป็นเจ้าในช่วงชีวิตมรรตัยนี้เท่าที่จะทำได้

พวกเราซึ่งยอมรับแผน ยอมรับก็เพราะศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสนอตนเองเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา เวลานั้นเราคงเชื่อว่าไม่ว่าเราจะมีความอ่อนแอใดในชีวิต และไม่ว่าอิทธิพลชั่วใดจะต่อต้านเราก็ตาม อิทธิพลของความดีจะมีพลังมหาศาลยิ่งกว่า

พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงรู้จักและทรงรักท่าน พระองค์ทรงต้องการให้ท่านกลับไปหาพระองค์และเป็นเหมือนพระองค์ ความสำเร็จของท่านคือความสำเร็จของพระองค์ ท่านเคยรู้สึกถึงความรักนั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันเมื่อท่านได้อ่านหรือฟังพระดำรัสนี้: “เพราะดูเถิด, นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”2

พระผู้เป็นเจ้าทรงมีเดชานุภาพที่จะทำให้ทางของเราง่ายขึ้น ทรงเลี้ยงลูกหลานอิสราเอลด้วยมานาขณะพวกเขาระหกระเหินไปยังแผ่นดินที่สัญญาไว้ ในการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัย พระเจ้าทรงรักษาคนป่วย ทรงชุบชีวิตคนตาย และทรงทำให้ทะเลสงบ หลังการฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงเปิด “เรือนจำให้คนเหล่านั้นที่ถูกมัดไว้”3

ทว่าศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ หนึ่งในศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ ก็ยังทนทุกข์ในเรือนจำและได้รับบทเรียนที่เราทุกคนได้ประโยชน์และจำเป็นต้องมีในการทดสอบศรัทธาที่มีมาเรื่อยๆ ของเรา: “และหากเจ้าถูกโยนลงไปในหลุม, หรือในมือฆาตกร, และเจ้าถูกตัดสินประหารชีวิต; หากเจ้าถูกโยนลงไปในห้วงลึก; หากคลื่นซัดโหมกระหน่ำลงมากระแทกเจ้า; หากลมแรงกลายเป็นศัตรูเจ้า; หากฟ้าสวรรค์รวบรวมความมืด, และธาตุทั้งปวงรวมกันสกัดกั้นทาง; และเหนือสิ่งอื่นใด, หากขากรรไกรแห่งนรกนั่นเองจะอ้าปากกว้างเพื่องับเจ้า, จงรู้ไว้เถิด, ลูกพ่อ, ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่เจ้า, และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของเจ้า”4

ท่านอาจสงสัยอย่างมีเหตุผลว่าเหตุใดพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรักเราและทรงเดชานุภาพทั้งมวลทรงยอมให้การทดสอบในมรรตัยของเรายากนัก นั่นเพราะทรงทราบว่าเราต้องเติบโตทางวิญญาณอย่างสะอาดและแข็งแรงจึงจะสามารถอยู่ในที่ประทับของพระองค์เป็นครอบครัวชั่วนิรันดร์ได้ เพื่อให้เป็นเช่นนั้น พระบิดาบนสวรรค์จึงประทานให้เรามีพระผู้ช่วยให้รอดและอำนาจในการเลือกเพื่อตนเองด้วยศรัทธาที่จะรักษาพระบัญญัติและกลับใจ แล้วมาหาพระองค์

แผนแห่งความสุขของพระบิดามีศูนย์กลางคือให้เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์พระบุตรที่รักของพระองค์มากยิ่งขึ้น แบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นแนวทางที่ดีที่สุดของเราในทุกเรื่อง พระองค์ต้องพิสูจน์พระองค์เองโดยไม่ได้รับการยกเว้น ทรงอดทนเพื่อบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ โดยทรงจ่ายราคาค่าบาปของเราทั้งหมด ทรงรู้สึกถึงความทุกข์ของทุกคนที่เคยมาและจะมาสู่ความเป็นความมรรตัย

เมื่อท่านสงสัยว่าท่านจะทนความเจ็บปวดได้มากเพียงใด ขอให้นึกถึงพระองค์ พระองค์ทรงทนทุกข์สิ่งที่ท่านทนทุกข์เพื่อจะได้ทรงทราบว่าจะยกท่านขึ้นอย่างไร พระองค์อาจไม่ทรงเอาภาระออกไป แต่จะประทานความเข้มแข็ง การปลอบโยน และความหวังแก่ท่าน พระองค์ทรงทราบหนทาง ทรงดื่มถ้วยอันขมขื่นมาแล้ว ทรงอดทนต่อความทุกข์ของทุกคน

ท่านกำลังได้รับการบำรุงเลี้ยงและการปลอบโยนจากพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ผู้ทรงทราบวิธีช่วยเหลือท่านในบททดสอบใดก็ตามที่ท่านเผชิญ แอลมาสอนว่า

“และพระองค์จะเสด็จออกไป, ทรงทนความเจ็บปวดและความทุกข์และการล่อลวงทุกอย่าง; และนี่ก็เพื่อคำซึ่งกล่าวว่าพระองค์จะทรงรับความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของผู้คนของพระองค์จะได้เกิดสัมฤทธิผล.

“และพระองค์จะทรงรับเอาความตาย, เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สายรัดแห่งความตายที่ผูกมัดผู้คนของพระองค์หลุดออก; และพระองค์จะทรงรับเอาความทุพพลภาพของพวกเขา, เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, ตามเนื้อหนัง, เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร”5

วิธีหนึ่งที่พระองค์จะทรงช่วยท่านคือจะทรงเชื้อเชิญท่านให้ระลึกถึงพระองค์เสมอและมาหาพระองค์ พระองค์ทรงให้กำลังใจเราดังนี้:

“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก

“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะ‍ว่าเรา สุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิต‍ใจของพวก‍ท่านจะได้หยุด‍พัก”6

วิธีมาหาพระองค์คือดื่มด่ำพระวจนะของพระองค์ ใช้ศรัทธาไปสู่การกลับใจ เลือกรับบัพติศมาและการยืนยันจากผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ แล้วรักษาพันธสัญญาของท่านกับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นเพื่อน ผู้ปลอบโยน และผู้นำทางให้ท่าน

เมื่อท่านดำเนินชีวิตคู่ควรกับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงนำท่านไปสู่ความปลอดภัยแม้เมื่อท่านมองไม่เห็นทาง พระองค์มักทรงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นก้าวหรือสองก้าวถัดไปที่ต้องเดิน น้อยครั้งที่ทรงให้ข้าพเจ้าเห็นอนาคตไกลๆ สักแวบ แต่แม้เพียงชั่วแวบเดียวนานๆ ครั้งนั้นก็ยังชี้ทางสิ่งที่ข้าพเจ้าเลือกทำในชีวิตประจำวัน

พระเจ้าทรงอธิบายว่า:

“เจ้าจะมองเห็นแผนของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยดวงตาฝ่ายธรรมชาติของเจ้าไม่ได้, ในเวลานี้, เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นซึ่งจะมาถึงในภายหน้า, และรัศมีภาพซึ่งจะตามมาหลังจากความยากลำบากยิ่ง.

“เพราะหลังจากความยากลำบากมากมาย จึงบังเกิดพร”7

พรประเสริฐสุดที่จะมาเมื่อเราพิสูจน์ตนว่าซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของเราในช่วงการทดลองคือการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติวิสัยของเรา เมื่อเราเลือกรักษาพันธสัญญาของเรา เดชานุภาพของพระเยซูคริสต์และพรแห่งการชดใช้ของพระองค์จะทำงานในตัวเรา ใจเราสามารถอ่อนลงที่จะรัก ให้อภัย และเชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาหาพระผู้ช่วยให้รอด ความมั่นใจของเราในพระเจ้าจะเพิ่มขึ้น ความกลัวของเราจะลดลง

ทีนี้แม้จะมีพรที่สัญญาไว้ผ่านความยากลำบาก แต่เราจะไม่แสวงหาความยากลำบาก ในประสบการณ์มรรตัย เราจะมีโอกาสมากพอที่จะพิสูจน์ตัวเอง ที่จะผ่านการทดสอบที่ยากพอเพื่อเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้น

นอกจากนี้ เราต้องสังเกตความยากลำบากของผู้อื่นด้วยและพยายามช่วยเหลือ นั่นจะยากเป็นพิเศษเมื่อตัวเราเองกำลังเจอบททดสอบแสนสาหัส แต่เราจะค้นพบว่าเมื่อเรายกภาระของกันและกันแม้เพียงเล็กน้อย หลังของเราจะแข็งแรงขึ้นและเราจะสัมผัสถึงแสงสว่างในความมืด

พระเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของเราในเรื่องนี้ บนกางเขนแห่งกลโกธา ทรงทนทุกข์ความเจ็บปวดมากจนอาจสิ้นพระชนม์ไปแล้วหากไม่ได้ทรงเป็นพระบุตรที่ถือกำเนิดจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรผู้ประหารและทูลพระบิดาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”8 ขณะทรงทนทุกข์เพื่อทุกคนที่จะมีชีวิต พระองค์ทอดพระเนตรจากกางเขนลงมาที่ยอห์นและมารดาผู้กำลังเศร้าโศกและทรงดูแลเธอในการทดลองของเธอ:

“เมื่อพระ‍เยซูทอด‍พระ‍เนตรเห็นมารดาของพระ‍องค์ และสาวกคนที่พระ‍องค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระ‍องค์จึงตรัสกับมารดาของพระ‍องค์ว่า ‘หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน’

“แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า ‘นี่คือมารดาของท่าน’ แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระ‍องค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้ง‍แต่เวลานั้น”9

โดยการกระทำของพระองค์ในวันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น พระองค์ทรงอาสาสละพระชนม์ชีพเพื่อเราแต่ละคน ซึ่งไม่เพียงช่วยเราในชีวิตนี้เท่านั้นแต่ชีวิตนิรันดร์ในวันหน้าด้วย

ข้าพเจ้าเห็นคนขึ้นไปสู่จุดสูงๆ ผ่านบทพิสูจน์ความซื่อสัตย์ในการทดลองยากๆ มาโดยตลอด ทุกวันนี้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทั่วศาสนจักร ความยากลำบากทำให้ผู้คนต้องคุกเข่า โดยความอดทนและความพยายามอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้น

ข้าพเจ้าเรียนรู้อีกบทเรียนหนึ่งจากคุณแม่ ตอนเด็กท่านเป็นโรคคอตีบและเกือบเสียชีวิต ต่อมาท่านเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบ คุณพ่อของท่านเสียชีวิตตอนหนุ่ม คุณแม่ข้าพเจ้ากับพี่น้องจึงช่วยกันสนับสนุนคุณแม่ของตน

ตลอดชีวิตท่านได้รับผลกระทบจากการทดลองเรื่องความเจ็บป่วย ในช่วง 10 ปีสุดท้ายของชีวิต ท่านต้องรับการผ่าตัดหลายครั้ง แต่ท่านพิสูจน์ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าผ่านทั้งหมดนี้แม้ในยามที่นอนติดเตียง ภาพเดียวบนผนังข้างเตียงท่านคือภาพพระผู้ช่วยให้รอด คำพูดสุดท้ายของท่านกับข้าพเจ้าบนเตียงก่อนท่านตายคือ “ฮัล เสียงลูกเหมือนคนจะเป็นหวัด ลูกต้องดูแลตัวเองนะ”

ในพิธีศพของท่าน ผู้พูดคนสุดท้ายคือเอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ หลังจากพูดถึงการทดลองและความซื่อสัตย์ของคุณแม่แล้ว ท่านกล่าวว่า: “บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมมิลเดรดต้องทนทุกข์มากมายและยาวนานขนาดนั้น ผมจะบอกท่านว่าทำไม เพราะพระเจ้าทรงต้องการขัดเกลาเธออีกเล็กน้อย”

ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณสมาชิกที่ซื่อสัตย์จำนวนมากของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ผู้แบกภาระด้วยศรัทธามั่นคงและผู้ช่วยคนอื่นแบกภาระขณะพระเจ้าทรงพยายามขัดเกลาพวกเขาอีกเล็กน้อย ข้าพเจ้าขอแสดงความรักและความชื่นชมเช่นกันต่อผู้ดูแลและผู้นำทั่วโลกที่รับใช้คนอื่นๆ ขณะพวกเขาและครอบครัวอดทนต่อการขัดเกลาเช่นนั้น

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเราเป็นบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันมีต่อเราทุกคน ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าในโลกทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานเช่นนั้นในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน