การประชุมใหญ่สามัญ
ตาที่จะมองเห็น
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2020


ตาที่จะมองเห็น

โดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์จะทรงทำให้เราสามารถเห็นตนเองและเห็นผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น

เห็นพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า

ดิฉันชอบเรื่องราวในพันธสัญญาเดิมของชายหนุ่มผู้รับใช้ศาสดาพยากรณ์เอลีชา เช้าวันหนึ่งชายหนุ่มคนนั้นตื่นขึ้นมาแล้วออกไปข้างนอกพบกองทัพใหญ่ล้อมเมืองเอาไว้โดยตั้งใจจะทำลายเมือง เขาวิ่งไปหาเอลีชา: “แย่แล้ว นายข้า เราจะทำอย่างไรดี?”

เอลีชาตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา”

เอลีชารู้ว่าชายหนุ่มต้องการมากกว่าแค่การปลอบใจให้สงบนิ่ง เขาต้องการเห็นภาพ ดังนั้น “เอลีชาก็อธิษฐาน … ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น และพระยาห์เวห์ทรงเปิดตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็มองและเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงรอบเอลีชา”1

เช่นเดียวกับผู้รับใช้คนนั้น อาจมีบางครั้งที่ท่านพบตนเองประสบปัญหาในการเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังทำงานในชีวิตท่านอย่างไร—เวลาที่ ท่าน รู้สึกถูกล้อมโจมตี—เมื่อการทดลองในชีวิตมรรตัยทำให้ท่านทรุดลงคุกเข่า จงเฝ้ารอและวางใจในพระผู้เป็นเจ้าและในจังหวะเวลาของพระองค์ เพราะท่านสามารถฝากใจทั้งหมดของท่านไว้กับพระทัยของพระองค์ แต่มีบทเรียนที่สองในเรื่องนี้ พี่น้องทั้งหลาย ท่านสามารถสวดอ้อนวอนได้เช่นกันให้พระเจ้าทรงเปิดตาท่านเพื่อจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่ปกติท่านจะมองไม่เห็น

เห็นตนเองเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น

บางทีสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะเห็นชัดเจนคือพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นใครและจริงๆ แล้วเราเป็นใคร—เราเป็นบุตรธิดาของพระบิดามารดาบนสวรรค์ที่ “มีธรรมชาติแห่งสวรรค์และมีจุดหมายนิรันดร์”2 จงทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยความจริงเหล่านี้แก่ท่าน พร้อมกับความรู้สึกที่ทรงมีต่อท่าน ยิ่งท่านเข้าใจอัตลักษณ์และจุดประสงค์ที่แท้จริงของท่านถ่องแท้มากเท่าใด สิ่งนั้นยิ่งจะมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งในชีวิตท่านมากเท่านั้น

เห็นผู้อื่น

การเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นเราอย่างไรเตรียมวิธีช่วยเหลือให้เราเห็นผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น นักเขียนเดวิด บรูคส์กล่าวว่า: “ปัญหาใหญ่หลายอย่างของสังคมเราเกิดจากการที่ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็นและรู้จักพวกเขา … มีนิสัย … หลักที่เราทุกคนต้องทำ … ให้ดีขึ้น นั่นคือนิสัยของการเห็นกันและกันให้ลึกซึ้งและถูกเห็นอย่างลึกซึ้ง”3

พระเยซูคริสต์ทรงเห็นผู้คนอย่างลึกซึ้ง พระองค์ทรงเห็นแต่ละบุคคล ความต้องการของพวกเขา และคนที่พวกเขาจะเป็นได้ ขณะผู้อื่นเห็นชาวประมง คนบาป หรือคนเก็บภาษี พระเยซูทรงเห็นสานุศิษย์ ขณะคนอื่นเห็นชายถูกปีศาจร้ายเข้าสิง พระเยซูทรงมองข้ามความทุกข์ภายนอก ทรงยอมรับเขา และทรงเยียวยาเขา4

แม้ในชีวิตที่วุ่นวายของเรา เราสามารถทำตามแบบอย่างของพระเยซูและเห็นแต่ละบุคคล—ทั้งความต้องการ ศรัทธา และปัญหาของพวกเขา ตลอดจนคนที่พวกเขาสามารถเป็นได้5

เมื่อดิฉันสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าทรงเปิดตาดิฉันให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ปกติจะมองไม่เห็น ดิฉันมักจะถามตนเองสองคำถามและตั้งใจฟังคำตอบที่ได้รับ “ดิฉันกำลังทำอะไรที่ดิฉันควรเลิกทำ?” และ “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรที่ดิฉันควรเริ่มทำ?”6

หลายเดือนก่อนระหว่างศีลระลึก ดิฉันถามตนเองคำถามเหล่านี้และประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับ “หยุดดูโทรศัพท์ขณะกำลังต่อแถว” การดูโทรศัพท์ขณะต่อแถวกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติไปแล้ว ดิฉันพบว่านั่นเป็นเวลาที่ดีให้เราทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ตามอีเมล ดูพาดหัวข่าว หรือเลื่อนดูฟีดในโซเชียลมีเดีย

เช้าวันถัดมา ดิฉันพบตนเองกำลังต่อแถวยาวที่ร้านค้า ดิฉันดึงโทรศัพท์ออกมาแล้วจำได้ถึงคำตอบที่เคยได้รับ ดิฉันเก็บโทรศัพท์และมองไปรอบๆ ดิฉันเห็นสุภาพบุรุษสูงวัยคนหนึ่งต่อแถวอยู่ข้างหน้า รถเข็นของเขาว่างเปล่า มีแค่อาหารแมวสองสามกระป๋อง ดิฉันรู้สึกเคอะเขิน แต่พูดสิ่งที่ฉลาด มากๆ ออกไปว่า “คุณมีแมวด้วย” เขาบอกว่าพายุกำลังมา และเขาอยากเตรียมอาหารแมวไว้ล่วงหน้า เราทักทายกันสั้นๆ แล้วเขาหันมาบอกดิฉันว่า “รู้ไหม ผมยังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้เลย แต่วันนี้เป็นวันเกิดผม” หัวใจดิฉันละลาย ดิฉันอวยพรวันเกิดเขาและสวดอ้อนวอนขอบพระทัยในใจที่ไม่ได้ดูโทรศัพท์และพลาดโอกาสที่จะได้เห็นและติดต่อกับคนอื่นอย่างแท้จริงในยามที่เขาต้องการ

ด้วยสุดใจดิฉันไม่อยากเป็นเหมือนปุโรหิตหรือคนเลวีบนถนนสู่เยรีโค—ที่มองแล้วเดินผ่านไป7 แต่บ่อยครั้งดิฉันคิดว่าตนเองเป็นแบบนั้น

มองเห็นกิจธุระของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับดิฉัน

ไม่นานมานี้ดิฉันเรียนรู้บทเรียนล้ำค่าเกี่ยวกับการมองเห็นอย่างลึกซึ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งชื่อรอซลิน

ดิฉันทราบเรื่องนี้จากเพื่อนผู้เสียใจมากเมื่อสามีของเธอที่อยู่กันมากว่า 20 ปีย้ายออกไป เมื่อลูกๆ ต้องแบ่งเวลาระหว่างพ่อกับแม่ ความคิดที่ว่าต้องเข้าโบสถ์คนเดียวน่าท้อใจมาก เธอเล่าว่า:

“ในศาสนจักรที่ครอบครัวมีความสำคัญสูงสุด การนั่งอยู่คนเดียวทำให้เจ็บปวดได้เหมือนกัน วันอาทิตย์แรกวันนั้นฉันเดินเข้ามาและสวดอ้อนวอนขออย่าให้ใครพูดกับฉัน ฉันแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ น้ำตาปริ่มขอบตา ฉันนั่งที่เดิม และหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าม้านั่งว่างเปล่าเพียงใด

“เยาวชนหญิงคนหนึ่งในวอร์ดหันมามองฉัน ฉันแสร้งยิ้ม เธอยิ้มตอบ ฉันเห็นความกังวลบนใบหน้าของเธอ ฉันวิงวอนในใจว่าเธอจะไม่มาพูดคุยด้วย—ฉันไม่มีเรื่องดีๆ จะพูดและรู้ตัวว่าจะร้องไห้ ฉันก้มลงมองตักตนเองและเลี่ยงที่จะสบตา

“ระหว่างชั่วโมงถัดมา ฉันสังเกตเห็นเธอมองกลับมาที่ฉันเป็นครั้งคราว ทันทีที่การประชุมจบลง เธอมุ่งตรงมาหาฉัน ‘สวัสดี รอซลิน’ ฉันกระซิบ เธอโอบกอดฉันและบอกว่า ‘ซิสเตอร์สมิธคะ หนูรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ดีสำหรับคุณ หนูเสียใจด้วยนะคะ หนูรักคุณค่ะ’ น้ำตาหลั่งไหลออกมาดังคาดขณะที่เธอกอดฉันอีกครั้ง แต่เมื่อฉันเดินจากไป ฉันคิดกับตัวเองว่า ‘บางทีฉันอาจจะไม่เป็นไรก็ได้’

ภาพ
รอซลินและซิสเตอร์สมิธ

“เยาวชนหญิงวัย 16 ปีผู้น่ารักคนนั้นอายุน้อยกว่าฉันครึ่งหนึ่ง เธอมองหาฉันทุกวันอาทิตย์ตลอดปีเพื่อจะกอดฉันและถามว่า ‘คุณสบายดีไหม?’ นั่นทำให้ความรู้สึกของฉันเกี่ยวกับการมาโบสถ์เปลี่ยนไปอย่างมาก ความจริงก็คือ ฉันเริ่ม พึ่งพา อ้อมกอดเหล่านั้น มีคนสังเกตเห็นฉัน มีคนรู้ว่าฉันอยู่ที่นั่น มีคนห่วงใย”

เช่นเดียวกับของประทานทั้งหมดที่พระบิดาเต็มพระทัยประทานให้อย่างยิ่ง การเห็นอย่างลึกซึ้งเรียกร้องให้เรา ทูลขอพระองค์—จากนั้น ลงมือทำ จง ขอ เพื่อให้เห็นผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น—ในฐานะบุตรธิดาที่แท้จริงของพระองค์ผู้มีศักยภาพแห่งสวรรค์อันไม่สิ้นสุด จากนั้น ลงมือทำ โดยให้ความรัก รับใช้ และยืนยันคุณค่าและศักยภาพของพวกเขาตามการกระตุ้นเตือน เมื่อสิ่งนี้กลายเป็นรูปแบบชีวิตเรา เราจะพบตนเองกลายเป็น “ผู้ติดตามที่แท้จริงของ … พระเยซูคริสต์”8 คนอื่นจะสามารถฝากใจพวกเขาไว้กับใจของเราได้ และในรูปแบบนี้เราจะค้นพบอัตลักษณ์และจุดประสงค์ที่แท้จริง ของเราเอง เช่นกัน

ภาพ
พระผู้ช่วยให้รอดทรงรักษา

เพื่อนดิฉันเล่าประสบการณ์อีกเรื่องขณะนั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งว่างเปล่าตัวเดิม ในความสงสัยว่าความพยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณในบ้านของเธอตลอด 20 ปีนั้นสูญเปล่าหรือไม่ เธอต้องการมากกว่าการยืนยันอย่างสงบ เธอต้องการเห็นภาพ เธอรู้สึกมีคำถามเสียดแทงหัวใจว่า: “ทำไมจึงทำสิ่งเหล่านั้น? ทำลงไปเพื่อหวังรางวัล คำสรรเสริญ หรือผลลัพธ์ที่ปรารถนาอย่างนั้นหรือ?” เธอลังเลครู่หนึ่ง ค้นหัวใจตนเอง แล้วจึงสามารถตอบอย่างมั่นใจว่า “ฉันทำสิ่งเหล่านั้นเพราะฉันรักพระผู้ช่วยให้รอด และฉันรักพระกิตติคุณของพระองค์” พระเจ้าทรงเปิดตาเธอเพื่อช่วยให้เธอเห็น การเปลี่ยนวิสัยทัศน์แบบเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ช่วยให้เธอมุ่งหน้าต่อไปด้วยศรัทธาในพระคริสต์ ไม่ว่าสภาวการณ์จะเป็นอย่างไร

ดิฉันเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงรักเราและประทานดวงตาให้เรามองเห็น—แม้ ยามยากลำบาก แม้ ยามเหนื่อยล้า แม้ ยามเดียวดาย และ แม้ ยามผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เราหวัง โดยผ่านพระคุณ พระองค์จะประทานพรเราและเพิ่มพูนความสามารถของเรา โดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์จะทรงทำให้เราสามารถ เห็น ตนเองและ เห็น ผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ เราสามารถเล็งเห็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดได้ เราสามารถเริ่มเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงงานในและผ่านรายละเอียดทั่วไปในชีวิตเรา—เราจะเห็นอย่างลึกซึ้ง

แล้วในวันอันยิ่งใหญ่นั้น “เมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์, เพราะ เรา จะ เห็นพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่; เพื่อเราจะมีความหวังนี้”9 นั่นคือคำสวดอ้อนวอนของดิฉันในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. 2 พงศ์กษัตริย์ 6:15–17.

  2. สาระสำคัญของเยาวชนหญิง, ChurchofJesusChrist.org.

  3. David Brooks, “Finding the Road to Character” (Brigham Young University forum address, Oct. 22, 2019), speeches.byu.edu.

  4. ดู มาระโก 5:1–15.

  5. “การดำเนินชีวิตในสังคมของผู้ที่อยู่ในวิสัยจะเป็นพระเป็นเจ้าได้นั้น เป็นเรื่องสำคัญที่จะระลึกว่าคนโง่เขลาที่สุด … และไม่น่าสนใจที่สุดที่ท่านจะสนทนาด้วย วันหนึ่งอาจเปลี่ยนเป็นบุคคลที่เมื่อมองเห็นในตอนนี้ท่านจะอยากเข้าไปกราบไหว้ … คน ธรรมดา นั้นไม่มี” (C. S. Lewis, The Weight of Glory [2001], 45–46).

  6. Kim B. Clark, “Encircled about with Fire” (Seminaries and Institutes of Religion satellite broadcast, Aug. 4, 2015), ChurchofJesusChrist.org.

  7. ดู ลูกา 10:30–32.

  8. โมโรไน 7:48.

  9. โมโรไน 7:48; เน้นตัวเอน.