2010–2019
การรับพระนามของพระเยซูคริสต์
ตุลาคม 2018


การรับพระนามของพระเยซูคริสต์

ขอให้เรารับพระนามของพระเยซูคริสต์อย่างซื่อสัตย์—โดยเห็นดังที่พระองค์ทรงเห็น รับใช้ดังที่พระองค์ทรงรับใช้ และวางใจว่าพระคุณของพระองค์เพียงพอ

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเร็วๆ นี้ขณะกำลังไตร่ตรองคำสั่งของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันให้เรียกศาสนจักรตามชื่อที่เปิดเผย ข้าพเจ้าเปิดข้อที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาชาวนีไฟเกี่ยวกับชื่อของศาสนจักร1 ขณะอ่านพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าสนใจวิธีที่พระองค์รับสั่งกับผู้คนว่า “เจ้าต้องรับนามของพระคริสต์”2 ทำให้ข้าพเจ้ามองดูตนเองและถามว่า “ฉันกำลังรับพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างที่ทรงต้องการหรือไม่”3 วันนี้ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันความประทับใจบางอย่างที่ได้รับในการตอบคำถามของข้าพเจ้า

หนึ่ง การรับพระนามของพระคริสต์หมายความว่าเราพยายามเห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น4 พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นอย่างไร โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ขณะที่มนุษยชาติส่วนหนึ่งกำลังตัดสินและประณามผู้อื่นอย่างไร้เมตตา พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวาลกลับทอดพระเนตรครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงด้วยความห่วงใยและความเอาใจใส่ดุจบิดา” เพราะ “ความรักของพระองค์สุดจะหยั่งถึง”5

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาพี่สาวข้าพเจ้าสิ้นชีวิต เธอมีชีวิตที่ท้าทาย เธอต่อต้านพระกิตติคุณและไม่แข็งขัน สามีเธอทิ้งชีวิตสมรสและปล่อยให้เธอเลี้ยงลูกเล็กๆ สี่คน ในคืนที่เธอสิ้นใจ ในห้องที่ลูกๆ ของเธออยู่ด้วย ข้าพเจ้าให้พรเธอเพื่อให้เธอจากไปอย่างสงบ ขณะนั้นข้าพเจ้าตระหนักว่าข้าพเจ้านึกถึงชีวิตพี่สาวในด้านของความยากลำบากและความไม่แข็งขันบ่อยเกินไป ขณะวางมือบนศีรษะเธอคืนนั้น ข้าพเจ้าถูกพระวิญญาณตำหนิอย่างรุนแรง พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ความดีของเธอทันทีและเห็นเธอดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น—ไม่ใช่คนที่ต่อต้านพระกิตติคุณและชีวิต แต่คนที่ต้องรับมือกับปัญหายุ่งยากที่ข้าพเจ้าไม่มี ข้าพเจ้าเห็นเธอเป็นมารดาที่น่าภาคภูมิ ผู้เลี้ยงดูลูกที่น่ารักสี่คน แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ข้าพเจ้าเห็นเธอใช้เวลาดูแลคุณแม่ของเราและเป็นเพื่อนท่านหลังจากคุณพ่อสิ้นชีวิต

ในช่วงคืนสุดท้ายกับพี่สาว พระผู้เป็นเจ้าทรงถามว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนรอบข้างเจ้าทุกคนเป็นคนศักดิ์สิทธิ์”

บริคัม ยังก์สอนว่า

“ข้าพเจ้าขอให้วิสุทธิชน … เข้าใจชายและหญิงดังที่พวกเขาเป็นไม่ใช่เข้าใจพวกเขาดังที่ท่านเป็น”6

“บ่อยเหลือเกินที่เราพูดว่า—‘คนนั้นทำผิดและเขาจะเป็นวิสุทธิชนไม่ได้’ … เราได้ยินบางคนสบถและโกหก … [หรือ] ละเมิดวันสะบาโต … อย่าตัดสินคนเหล่านั้น เพราะท่านไม่รู้แผนของพระเจ้าเกี่ยวกับพวกเขา … [แต่] จงอดทนกับพวกเขา”7

มีใครบ้างที่คิดว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงปล่อยให้ท่านและภาระของท่านผ่านไปโดยไม่ทรงสังเกต พระผู้ช่วยให้รอดทรงเฝ้ามองชาวสะมาเรีย คนล่วงประเวณี คนเก็บภาษี คนง่อย คนป่วยทางจิต และคนบาปด้วยพระเนตรเดียวกัน ทุกคนเป็นลูกของพระบิดา ทุกคนรับการไถ่ได้

ท่านคิดไหมว่าพระองค์ทรงหันหลังให้คนที่สงสัยที่ของตนในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าหรือจากใครก็ตามที่ทนทุกข์ในทุกรูปแบบ8 ข้าพเจ้าไม่คิดเช่นนั้น ในสายพระเนตรของพระคริสต์ แต่ละคนมีค่าไม่สิ้นสุด ไม่มีใครถูกลิขิตมาล่วงหน้าให้ล้มเหลว ชีวิตนิรันดร์มีไว้สำหรับทุกคน9

จากการตำหนิของพระวิญญาณที่เตียงพี่สาว ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนสำคัญ คือ เมื่อเราเห็นดังที่พระองค์ทรงเห็น ชัยชนะของเราจะทวีคูณ—การไถ่คนที่เราเกี่ยวข้องและการไถ่ตัวเราเอง

สอง เพื่อรับพระนามของพระคริสต์ เราต้องไม่เพียงเห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น แต่เราต้องทำงานของพระองค์และรับใช้ดังที่พระองค์ทรงรับใช้ด้วย เราดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติสำคัญสองข้อ ยอมรับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า รวบรวมอิสราเอล และให้แสงของเรา “ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง”10 เรารับและดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาและศาสนพิธีของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู11 ขณะทำเช่นนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงประสาทพรเราด้วยอำนาจเพื่อเป็นพรแก่ตัวเรา ครอบครัวเรา และชีวิตผู้อื่น12 ลองถามตัวท่านว่า “ฉันรู้จักใครที่ไม่ต้องการอำนาจของสวรรค์ในชีวิตพวกเขาหรือไม่”

พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำสิ่งอัศจรรย์เมื่อเราชำระตัวเราให้บริสุทธิ์13 เราชำระตัวเราให้บริสุทธิ์โดยทำใจเราให้บริสุทธิ์14 เราทำใจให้บริสุทธิ์เมื่อเราฟังพระองค์15 กลับใจจากบาป16 เปลี่ยนใจเลื่อมใส17 และรักดังที่พระองค์ทรงรัก18 พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามเราว่า “เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร?”19

ข้าพเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์หนึ่งในชีวิตของเอ็ลเดอร์เจมส์ อี. ทัลเมจที่ทำให้ข้าพเจ้าฉุกคิดและพิจารณาว่าข้าพเจ้ารักและรับใช้คนรอบข้างอย่างไร สมัยเป็นอาจารย์วัยหนุ่ม ก่อนเป็นอัครสาวก ในช่วงที่โรคคอตีบระบาดหนักในปี 1892 เอ็ลเดอร์ทัลเมจพบว่าครอบครัวของคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่สมาชิกของศาสนจักรและอยู่ใกล้บ้านท่านเป็นโรคนี้ ไม่มีใครอยากให้ตนเองเสี่ยงชีวิตเข้าไปในบ้านที่ติดโรค แต่เอ็ลเดอร์ทัลเมจไปบ้านนั้นทันที ท่านพบเด็กสี่คน เด็กสองขวบครึ่งเสียชีวิตอยู่บนเตียง เด็กห้าขวบและสิบขวบเจ็บปวดมาก ส่วนเด็กอายุสิบสามปีอ่อนแรง พ่อแม่กำลังทุกข์โศกและอิดโรย

เอ็ลเดอร์ทัลเมจดูแลเด็กที่ตายและเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่ กวาดห้อง นำผ้าเปื้อนไปไว้ข้างนอก และเผาผ้าขี้ริ้วสกปรกที่ติดโรค ท่านทำงานทั้งวันแล้วกลับตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เด็กสิบขวบสิ้นใจคืนนั้น ท่านอุ้มเด็กห้าขวบ เธอไอมีเสมหะปนเลือดเลอะทั่วใบหน้าและเสื้อผ้า ท่านเขียนว่า “ผมไม่อาจวางเธอลงได้” ท่านอุ้มเธอไว้จนเธอสิ้นใจในอ้อมแขน ท่านช่วยฝังเด็กทั้งสามคนและเตรียมอาหารกับผ้าสะอาดให้ครอบครัวนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน บราเดอร์ทัลเมจกำจัดเสื้อผ้าของท่าน อาบน้ำในสารละลายสังกะสี แยกตัวจากครอบครัว และทรมานกับโรคดังกล่าวแต่ไม่มาก20

คนมากมายหลายชีวิตรอบข้างเราหมิ่นเหม่มาก วิสุทธิชนรับพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดโดยเป็นคนบริสุทธิ์และปฏิบัติศาสนกิจไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดหรืออย่างไร—ชีวิตรอดเมื่อเราทำเช่นนั้น21

สุดท้าย ข้าพเจ้าเชื่อว่าเพื่อรับพระนามของพระองค์เราต้องวางใจพระองค์ ที่การประชุมหนึ่งในวันอาทิตย์ เยาวชนหญิงคนหนึ่งถามทำนองนี้ “ดิฉันกับแฟนเพิ่งเลิกกัน และเขาเลือกออกจากศาสนจักร เขาบอกว่าเขาไม่มีความสุขเลย เป็นไปได้อย่างไร”

พระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบคำถามนี้เมื่อตรัสกับชาวนีไฟว่า “แต่หาก [ชีวิตท่าน] ไม่สร้างบนกิตติคุณของเรา, และสร้างบนงานของมนุษย์, หรือบนงานของมาร, ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้าว่าพวกเขามีปีติในงานของตนชั่วเวลาหนึ่ง, และในไม่ช้าที่สุดย่อมมาถึง”22 ไม่มีปีติที่ยั่งยืนนอกพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

อย่างไรก็ตาม ที่การประชุมนั้นข้าพเจ้านึกถึงคนดีมากมายที่ข้าพเจ้ารู้จักผู้มีภาระมากและไม่รักษาพระบัญญัติที่ยากสำหรับพวกเขา ข้าพเจ้าถามตนเองว่า “พระผู้ช่วยให้รอดจะตรัสอะไรกับพวกเขา”23 พระองค์จะตรัสถามว่า “เจ้าวางใจเราไหม”24 พระ‍องค์ตรัสกับหญิงที่เป็นโรคโลหิตตกว่า “ที่หาย‍โรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด”25

พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบคือ ยอห์น 4:4 อ่านว่า “พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย”

ทำไมข้าพเจ้าชอบข้อนี้ เพราะพระเยซูไม่ จำเป็นต้อง ไปสะมาเรีย ชาวยิวสมัยนั้นดูหมิ่นชาวสะมาเรียและเดินทางอ้อมสะมาเรีย แต่พระเยซูทรงเลือกเสด็จไปที่นั่นเพื่อประกาศต่อทุกคนในโลกเป็นครั้งแรกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ สำหรับข่าวสารนี้ พระองค์ไม่เพียงเลือกกลุ่มคนจัณฑาลเท่านั้นแต่ทรงเลือกหญิงคนหนึ่งด้วย—และไม่ใช่หญิงธรรมดาแต่เป็นหญิงที่ทำบาป—หญิงที่คนสมัยนั้นถือว่าต่ำต้อยที่สุด พระเยซูทรงทำเช่นนี้เพื่อให้เราแต่ละคนเข้าใจเสมอว่าความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าความกลัว บาดแผล การเสพติด ความสงสัย การล่อลวง บาป ครอบครัวแตกแยก ความหดหู่และความวิตกกังวล ความเจ็บป่วยเรื้อรัง ความยากไร้ การกระทำทารุณกรรม ความสิ้นหวัง และความเหงาของเรา26 พระองค์ทรงต้องการให้ทุกคนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดและไม่มีใครที่พระองค์ทรงรักษาและมอบปีติที่ยั่งยืนให้ไม่ได้27

พระคุณของพระองค์เพียงพอ28 พระองค์เสด็จลงต่ำกว่าสิ่งทั้งปวง อำนาจการชดใช้ของพระองค์คืออำนาจที่จะเอาชนะภาระทุกอย่างในชีวิตเรา29 ข่าวสารของหญิงที่บ่อน้ำคือ พระองค์ทรงรู้จักสถานการณ์ของชีวิตเรา30 และเราสามารถเดินกับพระองค์ได้เสมอไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด พระองค์ตรัสกับเธอและเราแต่ละคนว่า “คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”31

ในการเดินทางของชีวิตเหตุใดท่านจึงหันหลังให้พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงมีอำนาจทั้งปวงที่จะรักษาและปลดปล่อยท่าน ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรเพื่อวางใจพระองค์ก็นับว่าคุ้มค่า พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เราเลือกเพิ่มพูนศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์

จากส่วนลึกของจิตวิญญาณข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอแสดงประจักษ์พยานว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอด ที่นำโดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่โดยผ่านศาสดาพยากรณ์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เรารับพระนามของพระเยซูคริสต์อย่างซื่อสัตย์—โดยเห็นดังที่พระองค์ทรงเห็น รับใช้ดังที่พระองค์ทรงรับใช้ และวางใจว่าพระคุณของพระองค์เพียงพอที่จะมอบบ้านและปีติอันยั่งยืนให้เรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู 3 นีไฟ 27:3–8.

  2. ดู 3 นีไฟ 27:5–6; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77 และพันธสัญญาของศีลระลึก.

  3. ดู Dallin H. Oaks, His Holy Name (1998) เพื่อศึกษาเรื่องการรับพระนามของพระเยซูคริสต์และเป็นพยานถึงพระนามของพระองค์.

  4. ดู โมไซยาห์ 5:2–3. ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำในใจผู้คนของกษัตริย์เบ็นจามินผู้รับพระนามของพระคริสต์คือดวงตาของพวกเขาเห็น “ภาพมากมาย” คนที่ได้รับอาณาจักรซีเลสเชียลเป็นมรดกคือคนที่ “เห็นดังที่พระองค์ทรงเห็นพวกเขา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 76:94).

  5. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 39.

  6. บริคัม ยังก์, ใน Journal of Discourses, 8:37.

  7. Discourses of Brigham Young, sel. John A. Widtsoe (1954), 278.

  8. ดู 3 นีไฟ 17:7.

  9. ดู ยอห์น 3:14–17; กิจการ 10:34; 1 นีไฟ 17:35; 2 นีไฟ 26:33; หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:41–42; โมเสส 1:39. เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันสอนเช่นกันว่า “เราเป็นพยานด้วยความมั่นใจว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และในบั้นปลายจะชดเชยการลิดรอนสิทธิ์และการสูญเสียทุกอย่างสำหรับผู้ที่หันมาหาพระองค์ ไม่มีใครถูกกำหนดให้ได้รับน้อยกว่าทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีให้บุตรธิดาของพระองค์” ( “เหตุผลที่แต่งงาน, เหตุผลที่มีครอบครัว,” เลียโฮนา, พ.ค. 2015, 52).

  10. ดู มัทธิว 5:14–16; 22:35–40; โมไซยาห์ 3:19; หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:13–14; 133:5; ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การรวบรวมอิสราเอลที่กระจัดกระจาย,” เลียโฮนา, พ.ย. 2006, 79–81 ด้วย.

  11. ดู เลวีนิติ 18:4; 2 นีไฟ 31:5–12; หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:12–16; 136:4; หลักแห่งความเชื่อ 1:3–4.

  12. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:20–21; 110:9.

  13. ดู โยชูวา 3:5; หลักคำสอนและพันธสัญญา 43:16; ดู ยอห์น 17:19ด้วย. พระผู้ช่วยให้รอดทรงชำระพระองค์ให้บริสุทธิ์เพื่อจะมีอำนาจประทานพรเรา.

  14. ดู ฮีลามัน 3:35; หลักคำสอนและพันธสัญญา 12:6–9; 88:74.

  15. ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17, พระบัญชาแรกที่พระผู้เป็นเจ้าประทานในนิมิตแก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ; ดู 2 นีไฟ 9:29; 3 นีไฟ 28:34ด้วย.

  16. ดู มาระโก 1:15; กิจการของอัครทูต 3:19; แอลมา 5:33; 42:22–23; หลักคำสอนและพันธสัญญา 19:4–20. ไตร่ตรองข้อคิดสองข้อนี้เกี่ยวกับบาปด้วย หนึ่ง ฮิวจ์ นิบลีย์เขียนว่า “บาปคือปฏิกูล บาปคือการทำอย่างหนึ่งทั้งที่ท่านควรทำอีกอย่างหนึ่งและทำสิ่งที่ดีกว่าซึ่งท่านสามารถทำได้” (Approaching Zion, ed. Don E. Norton [1989], 66). ซูซานนา เวสลีย์มารดาของจอห์น เวสลีย์เขียนถึงบุตรชายว่า “จงใช้กฎนี้ อะไรก็ตามที่ทำให้เหตุผลของลูกอ่อนลง ทำลายความอ่อนโยนของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของลูก บดบังการรับรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า หรือหมดความชื่นชอบในเรื่องทางวิญญาณ สรุปคือ อะไรก็ตามที่เพิ่มพลังและอำนาจของร่างกายให้อยู่เหนือจิตใจ สิ่งนั้นเป็นบาปต่อลูก แม้ตัวมันเองจะดูไม่มีพิษภัยก็ตาม” (Susanna Wesley: The Complete Writings ed. Charles Wallace Jr. [1997], 109).

  17. ดู ลูกา 22:32; 3 นีไฟ 9:11, 20.

  18. ดู ยอห์น 13:2–15, 34. ในคืนก่อนการชดใช้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงล้างเท้าของคนที่ทรยศพระองค์ คนที่ปฏิเสธพระองค์ และอีกหลายคนที่นอนหลับในเวลาที่ทรงต้องการพวกเขามากที่สุด จากนั้นพระองค์ทรงสอนว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน ดังเรารักเจ้า”

  19. มัทธิว 5:46.

  20. ดู John R. Talmage, T he Talmage Story: Life of James E. Talmage—Educator, Scientist, Apostle (1972), 112–114.

  21. ดู แอลมา 10:22–23; 62:40.

  22. 3 นีไฟ 27:11.

  23. ใน มัทธิว 11:28, 30, พระเจ้าตรัสว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก … ด้วย‍ว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” พิจารณา 2 โครินธ์ 12:7–9 ด้วย: เปาโลพูดถึงการทนทุกข์กับ “หนามในเนื้อ” ซึ่งท่านสวดอ้อนวอนขอให้เอาออกไป พระคริสต์ตรัสกับท่านว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” ดู อีเธอร์ 12:27 ด้วย)

  24. ดู โมไซยาห์ 7:33; 29:20; ฮีลามัน 12:1; หลักคำสอนและพันธสัญญา 124:87.

  25. ดู ลูกา 8:43–48; มาระโก 5:25–34. หญิงที่เป็นโรคโลหิตตกอยู่ในช่วงวิกฤตและหมดทางเลือก เธอทนทุกข์มา 12 ปี จ่ายเงินทั้งหมดให้แพทย์ และอาการแย่ลง เธอถูกผู้คนและครอบครัวของเธอเสือกไส จึงตั้งใจเดินฝ่าคนกลุ่มใหญ่เบียดเข้าไปหาพระผู้ช่วยให้รอด เธอมีความวางใจและศรัทธาโดยสมบูรณ์ในพระผู้ช่วยให้รอด และพระองค์ทรงรู้สึกว่าเธอแตะชายฉลองพระองค์ จากศรัทธานั้นพระองค์ทรงรักษาเธอให้หายทันที จากนั้นทรงเรียกเธอว่า “ลูกหญิง” เธอไม่ใช่คนจัณฑาลอีกต่อไปแต่เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระผู้เป็นเจ้า เธอได้รับการรักษาทางร่างกาย สังคม อารมณ์ และวิญญาณ ความท้าทายอาจยืดเยื้อหลายปีหรือชั่วชีวิต แต่พระสัญญาเรื่องการรักษานั้นแน่นอนและเป็นจริงเสมอ

  26. ดู ลูกา 4:21; ยอห์น 4:6–26. ลูกา ไม่ใช่ยอห์น บันทึกว่าในการปฏิบัติศาสนกิจช่วงแรกของพระเยซู พระองค์เสด็จไปธรรมศาลาของพระองค์เองในนาซาเร็ธ ทรงอ่านข้อความหนึ่งจากอิสยาห์ที่พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ และทรงประกาศต่อจากนั้นว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูก็สำเร็จแล้วในวันนี้” นี่เป็นครั้งแรกที่บันทึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ แต่ที่บ่อน้ำของยาโคบ ยอห์นบันทึกครั้งแรกว่าพระเยซูทรงประกาศการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ต่อสาธารณชน ในครั้งนี้ เนื่องจากถือว่าชาวสะมาเรียไม่ใช่ชาวยิว พระเยซูจึงทรงสอนเช่นกันว่าพระกิตติคุณของพระองค์มีไว้ให้ทุกคน ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติ คำประกาศนี้เกิดขึ้นใน “โมงที่หก” หรือเวลาเที่ยง เมื่อแผ่นดินโลกได้รับความสว่างเต็มที่จากดวงอาทิตย์ บ่อน้ำของยาโคบอยู่ในหุบเขาใกล้จุดที่อิสราเอลสมัยโบราณทำพันธสัญญาอย่างเป็นทางการกับพระเจ้าหลังจากเข้าสู่แผ่นดินที่สัญญาไว้ น่าสนใจตรงที่ด้านหนึ่งของหุบเขาเป็นภูเขาแห้งและอีกด้านหนึ่งเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยน้ำพุที่ให้ชีวิต

  27. เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์สอนว่า “เมื่ออยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเราสงสัยว่าเรามีอะไรต้องให้อีกไหม เราอุ่นใจที่รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรู้ความสามารถของเราเป็นอย่างดี ทรงวางเราไว้ที่นี่เพื่อให้เราประสบความสำเร็จ ไม่มีใครถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าให้ล้มเหลวหรือชั่วร้าย … เมื่อเรารู้สึกหนักใจ ขอให้เรานึกถึงคำมั่นสัญญาที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงเขียนโปรแกรมให้เรามากเกินไป” (“Meeting the Challenges of Today” [Brigham Young University devotional, Oct. 10, 1978], 9, speeches.byu.edu).

  28. ประธานรัสเซลล์เอ็ม. เนลสันสอนว่า

    “ในวันหน้า ท่านจะปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด ท่านจะตื้นตันใจจนน้ำตาไหลเมื่อได้อยู่ในที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ท่านจะพยายามสรรหาคำพูดขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงชดใช้บาปให้ท่าน ทรงให้อภัยที่ท่านทำไม่ดีต่อผู้อื่น ทรงรักษาท่านให้หายจากการบาดเจ็บและความอยุติธรรมของชีวิตนี้

    “ท่านจะขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงเพิ่มพลังให้ท่านทำสิ่งเหลือวิสัย ทรงเปลี่ยนความอ่อนแอของท่านเป็นความเข้มแข็ง และทรงทำให้ท่านได้อยู่กับพระองค์และครอบครัวท่านตลอดไป พระอัตลักษณ์ การชดใช้ และคุณลักษณะของพระองค์จะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นจริงสำหรับท่าน” (“ศาสดาพยากรณ์ การเป็นผู้นำ และกฎสวรรค์” [การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว 8 มกราคม 2017], broadcasts.lds.org).

  29. (ดู อิสยาห์ 53:3–5; แอลมา 7:11–13; หลักคำสอนและพันธสัญญา 122:5–9).

  30. ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17; อีเลน เอส. ดัลตัน, “พระองค์ทรงรู้จักชื่อท่าน,” เลียโฮนา, พ.ค. 2005, 109–111.

  31. ยอห์น 4:14.