การประชุมใหญ่สามัญ
มาหาพระคริสต์—ดำเนินชีวิตเฉกเช่นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย
การประชุมใหญ่สามัญ เมษายน 2020


มาหาพระคริสต์—ดำเนินชีวิตเฉกเช่นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

เราสามารถทำสิ่งยากๆ และช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน เพราะเรารู้ว่าเราสามารถวางใจผู้ใด

ขอบคุณเอ็ลเดอร์ซวาเรสสำหรับประจักษ์พยานประหนึ่งคำพยากรณ์ถึงพระคัมภีร์มอรมอน เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้ามีโอกาสพิเศษที่ได้ถือต้นฉบับตัวจริงของพระคัมภีร์มอรมอน ในหน้านี้ คำพูดอันห้าวหาญของนีไฟบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในสมัยการประทานนี้ : “ข้าพเจ้าจะไปและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา, เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้บัญญัติแก่ลูกหลานมนุษย์, นอกจากพระองค์จะทรงเตรียมทางไว้ให้พวกเขาเพื่อพวกเขาจะทำสำเร็จในสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาพวกเขา”1

ภาพ
หน้าต้นฉบับเดิมของพระคัมภีร์มอรมอน

ขณะถือหน้านี้ ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกคุณอย่างล้นพ้นต่อความพยายามของโจเซฟ สมิธในวัย 23 ปี ผู้แปลพระคัมภีร์มอรมอนโดย “ของประทานและเดชานุภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า”2 ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกคุณเช่นเดียวกันต่อถ้อยคำของนีไฟหนุ่ม ผู้ซึ่งถูกขอให้ทำงานยากยิ่งในการนำแผ่นทองเหลืองมาจากเลบัน

นีไฟรู้ว่าถ้าท่านยังคงแน่วแน่ต่อพระเจ้า ท่านจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เกิดสัมฤทธิผล ท่านยังคงแน่วแน่ต่อพระผู้ช่วยให้รอดตลอดชีวิตแม้ว่าต้องทนทุกข์ต่อการล่อลวง การทดลองทางกายภาพ และแม้แต่การทรยศจากบางคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด

นีไฟรู้ว่าท่านวางใจในพระองค์ได้3 ไม่นานหลังจากร้องออกมาว่า “โอ้ข้าพเจ้าช่างเป็นคนที่น่าเวทนา! แท้จริงแล้ว, ใจข้าพเจ้าสลดเพราะเนื้อหนังข้าพเจ้า”4 นีไฟกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงเคยเป็นผู้สนับสนุนข้าพเจ้า; พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าผ่านความทุกข์ของข้าพเจ้าในแดนทุรกันดาร; และพระองค์ทรงปกปักรักษาข้าพเจ้าเหนือผืนน้ำแห่งห้วงลึกอันใหญ่หลวง”5

ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ เราไม่ได้รับการละเว้นจากการท้าทายและการทดลองในชีวิต เรามักถูกเรียกร้องให้ทำสิ่งยากๆ ซึ่งถ้าพยายามทำตามลำพังจะรู้สึกหนักใจและอาจเป็นไปไม่ได้ เมื่อเรายอมรับคำเชิญของพระผู้ช่วยให้รอดให้ “มาหาเรา”6 พระองค์จะทรงให้ความช่วยเหลือ การปลอบโยน และสันติสุขที่จำเป็น เช่นเดียวกับที่ทรงให้นีไฟและโจเซฟ แม้ในการทดลองอันยากที่สุด เราสามารถรู้สึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นแห่งความรักของพระองค์เมื่อเราวางใจในพระองค์และยอมรับพระประสงค์ของพระองค์ เราสามารถประสบกับปีติที่สงวนไว้ให้สานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ เพราะ “พระเยซูคริสต์คือปีติ”7

ในปี 2014 ขณะรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา ครอบครัวเราประสบเหตุการณ์ผันผวนที่ไม่คาดคิด ขณะเล่นกระดานลองบอร์ดลงมาจากเนินชัน ลูกชายคนเล็กของเราล้มและได้รับบาดเจ็บทางสมองที่อาจถึงแก่ชีวิต ขณะอาการทรุดลง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เร่งนำเขาไปผ่าตัดฉุกเฉิน

ครอบครัวเราคุกเข่าบนพื้นในห้องว่างของโรงพยาบาลและทุ่มเทใจถึงพระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางความสับสนและช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด เราเต็มเปี่ยมด้วยความรักและสันติสุขจากพระบิดาบนสวรรค์

เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหรือจะได้เห็นลูกชายของเรามีชีวิตอีกครั้งหรือไม่ แต่เรารู้อย่างชัดเจนว่าชีวิตเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าและจากมุมมองนิรันดร์ผลจะเป็นไปเพื่อความดีของเขาและของเราเอง โดยผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณ เราเตรียมตัวยอมรับผลอย่างเต็มที่

นั่นไม่ง่ายเลย! อุบัติเหตุทำให้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลสองเดือนขณะที่เราดูแลผู้สอนศาสนาเต็มเวลา 400 คน ลูกชายของเราสูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ การฟื้นตัวของเขาใช้เวลานานและต้องทำกายภาพบำบัด อรรถบำบัด และกิจกรรมบำบัด การท้าทายยังอยู่ แต่เราได้เห็นปาฏิหาริย์ตลอดเวลาที่ผ่านมา

เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกการทดลองที่เราเผชิญจะมีผลดังปรารถนา อย่างไรก็ตาม เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระคริสต์ เราจะรู้สึกถึงสันติสุขและเห็นปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ในเวลาและในวิธีของพระองค์

จะมีเวลาที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะจบลงด้วยดีและอาจจะพูดเหมือนกับนีไฟด้วยซ้ำว่า “ใจข้าพเจ้าสลดเพราะเนื้อหนังข้าพเจ้า”8 อาจมีเวลาที่ความหวังเดียวที่เรามี อยู่ ในพระเยซูคริสต์ ช่างเป็นพรที่มีความหวังนั้นและความวางใจในพระองค์ พระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่จะรักษาสัญญาของพระองค์เสมอ ทุกคนที่มาหาพระองค์จะได้พักอย่างแน่นอน9

ผู้นำของเราปรารถนาอย่างสุดซึ้งให้ทุกคนรู้สึกถึงสันติสุขและการปลอบโยนที่มาผ่านการวางใจและการจดจ่ออยู่ที่พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์

ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ได้สื่อสารวิสัยทัศน์ของพระเจ้าที่มีต่อโลกและต่อสมาชิกศาสนจักรของพระคริสต์: “ข่าวสารของเราต่อโลกเรียบง่ายและจริงใจ นั่นคือ เราเชื้อเชิญให้บุตรธิดาทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสองด้านของม่าน มาหาพระผู้ช่วยให้รอด รับพรของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีปีติที่ยั่งยืน และคู่ควรแก่การรับชีวิตนิรันดร์”10

คำเชื้อเชิญให้ “มาหาพระคริสต์” มีนัยยะ พิเศษ สำหรับวิสุทธิชนยุคสุดท้าย11 ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอด เราทำพันธสัญญากับพระองค์และได้เป็นบุตรธิดาที่ถือกำเนิดทางวิญญาณของพระองค์12 เราได้รับโอกาสที่จะทำงานกับพระเจ้าในการเชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาหาพระองค์

ขณะทำงานกับพระคริสต์ ความพยายามมุ่งมั่นสูงสุดของเราควรอยู่ภายในบ้านของเรา มีเวลาที่สมาชิกครอบครัวและเพื่อนสนิทของเราจะเผชิญกับการท้าทาย เสียงของโลก และอาจเป็นความปรารถนาส่วนตนของพวกเขา อาจทำให้พวกเขาสงสัยความจริง เราควรทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงทั้งความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและความรักของเรา ข้าพเจ้านึกถึงข้อพระคัมภีร์ที่กลายเป็นเพลงสวดที่เรารัก “จงรักกันและกัน” ที่สอนเราว่า “ปวงชนจะรู้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา หากว่าพวกเจ้าเฝ้ารักกันและกัน”13

ในความรักที่เรามีต่อผู้ที่สงสัยความจริง ศัตรูแห่งปีติทั้งปวงอาจพยายามทำให้เรารู้สึกว่าเราทรยศคนที่เรารักถ้า ตัวเรา ยังคงดำเนินชีวิตตามความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณและสอนความจริงนั้น

ความสามารถของเราในการช่วยให้ผู้อื่นมาหาพระคริสต์หรือกลับไปหาพระคริสต์ ส่วนใหญ่จะกำหนดจากแบบอย่างที่เราทำผ่านคำมั่นสัญญาส่วนตัวของเราในการอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา

ถ้าความปรารถนาที่แท้จริงของเราคือช่วยชีวิตคนที่เรารัก เราเองต้องยืนหยัดกับพระคริสต์โดยน้อมรับศาสนจักรและความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระองค์

กลับไปที่เรื่องราวของนีไฟ เรารู้ว่าการที่นีไฟมีแนวโน้มจะเชื่อฟังพระเจ้านั้นมีอิทธิพลมาจากการที่บิดามารดามักจะวางใจในพระเจ้าและเป็นตัวอย่างในการรักษาพระบัญญัติ นี่คือตัวอย่างอันงดงามในนิมิตของลีไฮเกี่ยวกับต้นไม้แห่งชีวิต หลังจากรับส่วนของผลที่หวานและชื่นบานของต้นไม้ ลีไฮ “กวาดตา [ของท่าน] ไปรอบๆ, เพื่อ [ท่าน] อาจค้นพบครอบครัว [ของท่าน]”14 ท่านเห็นซาไรยาห์ แซม และนีไฟยืนอยู่ “ประหนึ่งพวกเขาหารู้หนทางที่ควรไปไม่”15 จากนั้นลีไฮกล่าวว่า “พ่อกวักมือเรียกพวกเขา; พลางกล่าวแก่พวกเขาด้วยเสียงอันดังว่าพวกเขาควรมาหาพ่อ, และรับส่วนผลนั้น, ซึ่งเป็นที่พึงปรารถนาเหนือผลอื่นใดทั้งหมด”16 โปรดสังเกตว่าลีไฮไม่ได้ละทิ้งต้นไม้แห่งชีวิต ท่านยังคงอยู่กับพระเจ้าทางวิญญาณและชวนให้ครอบครัวมายังที่ซึ่ง ท่าน รับส่วนผลไม้

ปฏิปักษ์จะชักจูงให้บางคนละทิ้งปีติของพระกิตติคุณโดยแยกคำสอนของพระคริสต์จากศาสนจักรของพระองค์ เขาจะให้เราเชื่อว่าเราสามารถอยู่อย่างมั่นคงบนเส้นทางพันธสัญญาด้วยตนเอง ผ่านความเข้มแข็งทางวิญญาณของเราเอง เป็นอิสระจากศาสนจักรของพระองค์

ในยุคสุดท้ายนี้ ศาสนจักรของพระคริสต์ได้รับการฟื้นฟูเพื่อช่วยบุตรธิดาในพันธสัญญาของพระคริสต์ให้อยู่บนเส้นทางพันธสัญญา

เราอ่านในหลักคำสอนและพันธสัญญาว่า “ดูเถิด, นี่คือหลักคำสอนของเรา—ผู้ใดก็ตามที่กลับใจและ มาหาเรา, คนคนนั้น เป็น ศาสนจักรของเรา”17

โดยผ่านศาสนจักรของพระคริสต์เราได้รับความเข้มแข็งผ่านประสบการณ์การเป็นชุมชนวิสุทธิชน เราได้ยินสุรเสียงของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยของพระองค์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ โดยผ่านศาสนจักรของพระองค์ เราได้รับพรที่จำเป็นจากการชดใช้ของพระคริสต์ซึ่งเป็นจริงได้ผ่านการมีส่วนร่วมในศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นศาสนจักรของพระคริสต์บนแผ่นดินโลก ฟื้นฟูกลับมาในยุคสุดท้ายนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าขณะที่เรามาหาพระคริสต์และดำเนินชีวิตในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราจะได้รับพรโดยมีความรัก ปีติ และสันติสุขของพระองค์เพิ่มขึ้น เฉกเช่นนีไฟ เราสามารถทำสิ่งยากๆ และช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน เพราะเรารู้ว่าเราสามารถวางใจผู้ใด18 พระคริสต์คือความสว่าง ชีวิต และความรอดของเรา19 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน