การประชุมใหญ่สามัญ
เราจะไม่ก้าวต่อไปในอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งเช่นนั้นหรือ?
การประชุมใหญ่สามัญ เมษายน 2020


เราจะไม่ก้าวต่อไปในอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งเช่นนั้นหรือ?

เราควรระลึกเสมอถึงราคาที่โจเซฟและไฮรัม สมิธจ่ายพร้อมกับชายหญิงและเด็กผู้ซื่อสัตย์คนอื่นๆ มากมายในการสถาปนาศาสนจักร

ขอบคุณมากครับประธานสำหรับคำพูดเปิดการประชุมอันยอดเยี่ยม พี่น้องทั้งหลาย 215 ปีที่แล้ว โจเซฟและลูซี แมค สมิธให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่งในเวอร์มอนต์ ในภูมิภาคที่เรียกว่านิวอิงแลนด์ในสหรัฐฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ

โจเซฟและลูซี แมค เชื่อในพระเยซูคริสต์ ศึกษาพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ สวดอ้อนวอนอย่างจริงใจ และดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า

พวกเขาตั้งชื่อทารกชายคนใหม่ว่าโจเซฟ สมิธ จูเนียร์

บริคัม ยังก์พูดถึงครอบครัวสมิธว่า: “พระเจ้าทอดพระเนตร [โจเซฟ สมิธ] บิดาของท่าน และบิดาของบิดาท่าน และบรรพชนของท่านย้อนไปจนถึงอับราฮัม และตั้งแต่อับราฮัมไปจนถึงน้ำท่วม ตั้งแต่น้ำท่วมไปจนถึงเอโนค และตั้งแต่เอโนคไปจนถึงอาดัม พระองค์ทรงเฝ้าดูครอบครัวนั้นและสายโลหิตที่ไหลเวียนจากต้นกำเนิดมาจนถึงการเกิดของชายผู้นั้น [โจเซฟ สมิธ] ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าในนิรันดร”1

โจเซฟ จูเนียร์เป็นที่รักของครอบครัว สนิทสนมเป็นพิเศษกับไฮรัมพี่ชายซึ่งอายุใกล้หกขวบเมื่อโจเซฟเกิด

เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างเตาผิงในบ้านหลังเล็กของครอบครัวสมิธในชารอน เวอร์มอนต์ที่โจเซฟเกิด ข้าพเจ้าสัมผัสถึงความรักที่ไฮรัมมีต่อโจเซฟและนึกภาพเขาอุ้มน้องชายทารกไว้ในอ้อมแขนและสอนน้องเดิน

บิดามารดาสมิธเผชิญความยากแค้นส่วนตัว ซึ่งบีบให้ต้องย้ายครอบครัวหลายครั้งก่อนจะยอมแพ้ให้แก่นิวอิงแลนด์และตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะย้ายไปทางตะวันตกสู่รัฐนิวยอร์ก

เพราะครอบครัวนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาจึงอยู่รอดจากความท้าทายเหล่านี้และร่วมเผชิญภารกิจที่น่าหวาดหวั่นด้วยกัน นั่นคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ผืนป่าร้อยเอเคอร์ (0.4 ตร.กม.) ในแมนเชสเตอร์ใกล้พอลไมรา รัฐนิวยอร์ก

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเราหลายคนตระหนักถึงความท้าทายทางกายและทางใจที่เริ่มกลับมาสู่ครอบครัวสมิธ—ทั้งการแผ้วถางที่ดิน ทำเรือกสวนไร่นา สร้างบ้านไม้ซุงหลังเล็กและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในไร่ รับจ้างเป็นแรงงานรายวัน และทำของใช้ในบ้านไปขายในเมือง

เมื่อครอบครัวมาถึงนิวยอร์กฝั่งตะวันตก พื้นที่แห่งนี้ลุกไหม้ด้วยความร้อนระอุทางศาสนา—ซึ่งเรียกกันว่าการตื่นตัวทางจิตวิญญาณครั้งที่สอง

ในช่วงเวลาแห่งการโต้เถียงและการวิวาทท่ามกลางกลุ่มศาสนาต่างๆ โจเซฟได้รับนิมิตอันน่าพิศวง ซึ่งรู้จักกันทุกวันนี้ว่านิมิตแรก เราโชคดีที่มีเรื่องราวฉบับดั้งเดิมสี่เรื่องซึ่งข้าพเจ้าจะนำมาพูดถึง2

โจเซฟบันทึกว่า: “ระหว่างเวลาแห่งความระส่ำระสายอย่างรุนแรง [ทางศาสนา] นี้ จิตใจข้าพเจ้าว้าวุ่นครุ่นคิดหนักและกังวลใจมาก; แต่แม้ว่าความรู้สึกของข้าพเจ้าจะลึกซึ้งและมักจะแรงกล้า, ทว่าข้าพเจ้ายังคงเก็บตัวห่างจากกลุ่มทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้, แม้ว่าข้าพเจ้าจะเข้าร่วมการประชุมต่างๆ ของพวกเขาบ่อยครั้งเท่าที่โอกาสจะอำนวย … [แต่] ความสับสนและความขัดแย้งในบรรดากลุ่มที่แตกต่างนั้นมีมากยิ่งนัก, จนสุดวิสัยที่ผู้อ่อนวัยอย่างข้าพเจ้า, และไม่ประสาต่อมนุษย์และเรื่องต่างๆ, จะสรุปได้แน่ชัดว่าใครถูกและใครผิด”3

โจเซฟหันไปหาคำตอบให้คำถามของตนในพระคัมภีร์ไบเบิลและอ่าน ยากอบ 1:5: “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา, ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า, ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณา, และมิได้ทรงตำหนิ; แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ”4

โจเซฟเขียนว่า “ไม่เคยมีข้อความใดในพระคัมภีร์มาสู่จิตใจมนุษย์ด้วยพลังได้มากไปกว่าข้อความนี้ที่ขณะนั้นมาสู่จิตใจข้าพเจ้า ดูเหมือนจะเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่างของจิตใจข้าพเจ้าด้วยพลังอันแรงกล้า ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงข้อความนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า”5

โจเซฟตระหนักว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มีคำตอบทุกอย่างต่อคำถามในชีวิต แต่สอนชายและหญิงถึงวิธีหาคำตอบให้คำถามโดยการสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงผ่านการสวดอ้อนวอน

ท่านเสริมว่า: “ดังนั้น, เพื่อให้เป็นไปตามนี้, ความตั้งใจของข้าพเจ้าที่จะทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า, ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในป่าเพื่อลองดู วันนั้นเป็นเวลาเช้าของวันที่สวยงาม, แจ่มใส, ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหนึ่งพันแปดร้อยยี่สิบ”6

ไม่นานหลังจากนั้น โจเซฟกล่าวว่า “[ลำแสง] นั้นส่องมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, ซึ่งความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้, พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ. องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้า, โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัส, พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—[โจเซฟ,] นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!7

จากนั้นพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า: “โจเซฟ บุตรของเรา บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว จงไปตามทางของเจ้า เดินตามกฎเกณฑ์ของเรา และรักษาบัญญัติของเรา ดูเถิด เราคือพระเจ้าแห่งรัศมีภาพ เราถูกตรึงกางเขนแทนชาวโลก เพื่อทุกคนที่เชื่อในนามของเราจะมีชีวิตนิรันดร์”8

โจเซฟเสริมว่า “ฉะนั้น, ทันทีที่ข้าพเจ้าควบคุมตนเองได้, จนสามารถพูดได้แล้ว, ข้าพเจ้าจึงทูลถามพระอติรูปสองพระองค์ที่ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในความสว่าง, ว่านิกายใดจากนิกายทั้งหมดถูกต้อง”9

ท่านเล่าว่า: “ทั้งสองพระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่านิกายทั้งหมดกำลังเชื่อหลักคำสอนที่ไม่ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับนิกายใดเป็นศาสนจักรและอาณาจักรของพระองค์ และ … ขณะเดียวกัน [ข้าพเจ้า] ก็ได้รับสัญญาว่าความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณจะเป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าในอนาคตอันใกล้”10

โจเซฟเขียนด้วยว่า “ข้าพเจ้าเห็นเทพหลายองค์ในนิมิตนี้”11

หลังจากนิมิตอันรุ่งโรจน์นี้ โจเซฟเขียนว่า: “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความรัก และข้าพเจ้าปลาบปลื้มยินดียิ่งเป็นเวลาหลายวัน … พระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า”12

ท่านออกมาจากป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเริ่มเตรียมตัวเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

โจเซฟเริ่มเรียนรู้สิ่งที่ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณประสบเช่นกัน—ทั้งการปฏิเสธ การต่อต้าน และการข่มเหง โจเซฟเล่าว่าท่านบอกเล่าสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยินแก่นักเทศน์คนหนึ่งที่มีบทบาทในการฟื้นฟูศาสนาว่า:

“ข้าพเจ้าประหลาดใจมากในพฤติกรรมของเขา; เขาไม่เพียงถือการบอกเล่าของข้าพเจ้าเป็นเรื่องไร้สาระ, แต่ยังดูหมิ่นยิ่งนัก, โดยกล่าวว่ามันเป็นของมารทั้งหมด, ไม่มีสิ่งที่เรียกว่านิมิตหรือการเปิดเผยแบบนั้นแล้วในปัจจุบัน; เรื่องเช่นนั้นทั้งหมดได้จบสิ้นไปแล้วพร้อมกับเหล่าอัครสาวก, และจะไม่มีวันมีสิ่งเหล่านั้นอีกเลย

“อย่างไรก็ตาม, ในไม่ช้าข้าพเจ้าพบว่า การเล่าเรื่องของข้าพเจ้าก่อให้เกิดอคติต่อต้านข้าพเจ้าอยู่มากในบรรดาผู้ประกาศศาสนา, และเป็นเหตุของการข่มเหงใหญ่หลวง, ซึ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ; … และนี่เป็นเรื่องธรรมดาในบรรดานิกายทั้งหมด—ทั้งหมดพร้อมใจกันข่มเหงข้าพเจ้า”13

สามปีต่อมาในปี 1823 สวรรค์เปิดอีกครั้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูต่อเนื่องของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย โจเซฟเขียนว่าเทพชื่อโมโรไนมาปรากฏต่อท่านและบอกว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีงานให้ข้าพเจ้าทำ … [และ] มีหนังสือเล่มหนึ่งฝังอยู่, ซึ่งเขียนบนแผ่นจารึกทองคำ” ซึ่งมี “ความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณอันเป็นนิจ … ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดประทานแก่ผู้อยู่อาศัยใน [ทวีปอเมริกา] สมัยโบราณ”14

ในที่สุดโจเซฟก็ได้รับ แปล และพิมพ์บันทึกโบราณ ซึ่งทุกวันนี้เรียกว่าพระคัมภีร์มอรมอน

ไฮรัม พี่ชายที่สนับสนุนท่านมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่าตัดขาของท่านที่เจ็บปวดเป็นอันตรายถึงชีวิตในปี 1813 เขาเป็นหนึ่งในพยานที่เห็นแผ่นจารึกทองคำ และยังเป็นหนึ่งในสมาชิกหกคนของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์เมื่อจัดตั้งขึ้นในปี 1830 ด้วย

ในช่วงชีวิตของทั้งคู่ โจเซฟและไฮรัมเผชิญกับกลุ่มผู้ร้ายและการข่มเหงด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ทั้งสองทุกข์ทรมานในสภาพน่าเวทนาที่สุดในคุกลิเบอร์ตี้ในมิสซูรีเป็นเวลาห้าเดือนช่วงฤดูหนาวอันเยือกเย็นของปี 1838–1839

ในเดือนเมษายนปี 1839 โจเซฟเขียนถึงเอ็มมาภรรยาท่าน บรรยายสถานการณ์ในคุกลิเบอร์ตี้ว่า “ผมเชื่อว่านี่เป็นเวลาประมาณห้าเดือนกับหกวันแล้วตั้งแต่ผมตกอยู่ในการควบคุมของผู้คุมหน้าตาบูดบึ้งทั้งวันทั้งคืน ภายในกำแพง ลูกกรง และประตูเหล็กครูดพื้นดังแสบแก้วหูของคุกที่โดดเดี่ยว ทั้งมืดและสกปรก … ไม่ว่าอย่างไรเราน่าจะถูกย้ายออกจาก [ที่] นี่และเราจะยินดีรับมัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีหลุมใดแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว … เราจะไม่ขอกลับมาที่ลิเบอร์ตี้ในเทศมณฑลเคลย์ มิสซูรีอีก เราประสบมาพอจนฝังใจไปตลอดกาล”15

ขณะเผชิญการข่มเหง ไฮรัมแสดงศรัทธาในสัญญาของพระเจ้า รวมถึงคำรับประกันว่าเขาจะหนีพ้นศัตรูแน่นอนหากเขาเลือกทำเช่นนั้น ในพรที่ไฮรัมได้รับในปี 1835 จากการวางมือของโจเซฟ สมิธ พระเจ้าทรงสัญญากับเขาว่า “เจ้าจะมีอำนาจที่จะหนีพ้นเงื้อมมือศัตรู จะมีคนแสวงหาชีวิตเจ้าอย่างไม่ลดละ แต่เจ้าจะหนีพ้น หากเจ้ายินดี และเจ้าปรารถนา เจ้าจะมีอำนาจสละชีวิตของเจ้าด้วยความเต็มใจ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระผู้เป็นเจ้า”16

ในเดือนมิถุนายนปี 1844 ไฮรัมมีทางเลือกที่จะมีชีวิตอยู่หรือสละชีวิตเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อ “ผนึกประจักษ์พยานของเขาด้วยเลือดของเขา”—เคียงข้างโจเซฟ น้องชายผู้เป็นที่รัก17

หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเดินทางไปคาร์เทจเพื่อชี้ชะตา ที่นั่นทั้งสองจะถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็นโดยกลุ่มคนขลาดติดอาวุธที่ทาสีบนหน้าเพื่อไม่ให้ตรวจจับได้ โจเซฟบันทึกว่า “ข้าพเจ้าแนะนำให้ไฮรัมพี่ชายพาครอบครัวของเขาขึ้นเรือกลไฟลำถัดไปและเดินทางไปซินซินเนติ”

ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกสะเทือนใจเมื่อนึกถึงคำตอบของไฮรัม: “โจเซฟ พี่ทิ้งน้องไม่ได้18

โจเซฟกับไฮรัมจึงไปที่คาร์เทจ ที่นั่นพวกท่านกลายเป็นมรณสักขีเพื่ออุดมการณ์และพระนามของพระคริสต์

คำประกาศอย่างเป็นทางการของมรณสักขีกล่าวไว้ดังนี้: “โจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์และผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า, … นำพระคัมภีร์มอรมอนออกมา, ซึ่งท่านแปลโดยของประทานและอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้า, และเป็นเครื่องมือให้พิมพ์เผยแพร่ในสองทวีป; ส่งความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจ, ซึ่งมีอยู่ในนั้น, ไปยังสี่เสี้ยวของแผ่นดินโลก; นำการเปิดเผยและพระบัญญัติออกมาซึ่งรวมเป็นหนังสือหลักคำสอนและพันธสัญญาเล่มนี้, และเอกสารและคำแนะนำแห่งปัญญาอื่นๆ มากมายเพื่อประโยชน์ของลูกหลานมนุษย์; รวมวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหลายพันคน, ก่อตั้งเมืองอันยิ่งใหญ่เมืองหนึ่ง, และฝากเกียรติคุณกับชื่อเสียงที่ไม่มีวันตายไว้. … และเฉกเช่นผู้ได้รับการเจิมส่วนใหญ่ของพระเจ้าในสมัยโบราณ, [โจเซฟ] ผนึกพันธกิจของท่านและงานของท่านด้วยเลือดของท่านเอง; และพี่ชายท่าน ไฮรัม ก็เช่นกัน ยามเป็นคนทั้งสองมิเคยแยกจากกัน, และยามตายคนทั้งสองก็มิได้พรากจากกัน!19

หลังจากมรณสักขี ศพของโจเซฟและไฮรัมถูกส่งกลับไปนอวู ได้รับการชำระล้างและสวมเครื่องแต่งกายเพื่อให้ครอบครัวสมิธได้เห็นคนที่พวกเขารัก มารดาที่รักของพวกท่านเล่าว่า: “เป็นเวลานานมากที่ดิฉันเตรียมตัวเตรียมใจ ปลุกพลังงานทั้งหมดในจิตวิญญาณ และเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงเสริมพลัง แต่เมื่อดิฉันเข้าไปในห้อง และเห็นลูกชายทั้งสองคนที่ถูกฆ่านอนอยู่เบื้องหน้า ได้ยินเสียงสะอื้นคร่ำครวญจากครอบครัวและเสียงร้อง … จากปากภรรยา ลูกๆ และพี่น้องของพวกเขา มันหนักเกินไป ดิฉันทรุดลงร้องทูลพระเจ้าด้วยความเจ็บปวดในจิตวิญญาณ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า! องค์พระผู้เป็นเจ้า! เหตุใดจึงทรงทอดทิ้งครอบครัวนี้?’”20

ณ ช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าทุกข์ใจนั้น เธอจำได้เหมือนทั้งสองท่านพูดว่า “คุณแม่ อย่าร้องไห้เพื่อเราเลย เราชนะโลกแล้วด้วยความรัก”21

พวกท่านชนะโลกแล้วจริงๆ โจเซฟและไฮรัม สมิธ เช่นเดียวกับวิสุทธิชนผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นที่บรรยายไว้ในหนังสือวิวรณ์ “​มา​จาก​ความ​ยาก‍ลำ‌บาก​ครั้ง‍ยิ่ง‍ใหญ่ พวก‍เขา​ชำระ‍ล้าง​เสื้อ‍ผ้า​ของ​เขา​ด้วย​พระ‍โลหิต​ของ​พระ‍เมษ‌โป‌ดก​จน​ขาว​สะอาด [และ] … อยู่​หน้า​พระ‍ที่‍นั่ง​ของ​พระ‍เจ้าและ​ปรน‌นิ‌บัติ​พระ‍องค์​ใน​พระ‍วิหาร​ของ​พระ‍องค์​ทั้ง​กลาง‍วัน​และ​กลาง‍คืนและ​พระ‍องค์​ผู้​ประ‌ทับ​บน​พระ‍ที่‍นั่ง​จะ​ทรง​คุ้ม‍ครอง​พวก‍เขา

“พวกเขาจะไม่หิวหรือกระหายอีกเลย ดวงอาทิตย์และความร้อนจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป

“เพราะ‍ว่าพระ‍เมษ‌โป‌ดกผู้ทรงอยู่กลางพระ‍ที่‍นั่งนั้นจะทรงเลี้ยง‍ดูพวก‍เขา และจะทรงนำเขาไปยังน้ำ‍พุแห่งชีวิต และพระ‍เจ้าจะทรงเช็ดน้ำ‍ตาทุก‍หยดจากตาของเขา‍ทั้ง‍หลาย”22

ขณะที่เราเฉลิมฉลองโอกาสอันน่ายินดีในวาระครบรอบ 200 ปีของนิมิตแรก เราควรระลึกเสมอถึงราคาที่โจเซฟและไฮรัม สมิธจ่ายพร้อมกับชายหญิงและเด็กผู้ซื่อสัตย์คนอื่นๆ มากมายในการสถาปนาศาสนจักร เพื่อท่านกับข้าพเจ้าจะได้รับพรมากมายและความจริงทั้งหมดจากการเปิดเผยที่เรามีในวันนี้ ความซื่อสัตย์ของพวกเขาเราจะไม่มีวันลืม!

บ่อยครั้งข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมโจเซฟกับไฮรัมและครอบครัวของพวกท่านต้องทนทุกข์มากมายขนาดนั้น อาจเป็นเพราะว่าพวกท่านรู้จักพระผู้เป็นเจ้าผ่านความทุกข์ในวิธีที่คงไม่เกิดขึ้นหากไม่มีความทุกข์ โดยผ่านความทุกข์นั้น พวกท่านใคร่ครวญถึงเกทเสมนีและกางเขนของพระผู้ช่วยให้รอด ดังที่เปาโลกล่าวว่า “เพราะ​พระ‍เจ้า​ทรง​ให้​พระ‍คุณ​แก่​ท่าน​เพราะ​เห็น​แก่​พระ‍คริสต์ ไม่​ใช่​ให้​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​เชื่อ​ใน​พระ‍องค์​เท่า​นั้น แต่​ให้​ทน‍ทุกข์‍ยาก​เพราะ​เห็น​แก่​พระ‍องค์​ด้วย”23

ก่อนมรณกรรมในปี 1844 โจเซฟเขียนจดหมายเปี่ยมความมุ่งมั่นถึงวิสุทธิชน เป็นการเรียกให้ลงมือทำบางอย่าง ซึ่งยังดำเนินต่อไปในศาสนจักรทุกวันนี้:

“พี่น้องชาย [หญิง] ทั้งหลาย, เราจะไม่ก้าวต่อไปในอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งเช่นนั้นหรือ? จงก้าวไปข้างหน้าและอย่าถอยกลับ ความกล้าหาญ, พี่น้องทั้งหลาย; และก้าวต่อไป, ต่อไปถึงชัยชนะ! …

ฉะนั้น, ให้เรา, ในฐานะศาสนจักรหนึ่งและผู้คนกลุ่มหนึ่ง, และในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย, ถวายเครื่องถวายบูชาในความชอบธรรมแด่พระเจ้า”24

ขณะที่เราฟังพระวิญญาณระหว่างการฉลองวาระครบรอบ 200 ปีสุดสัปดาห์นี้ ขอให้พิจารณาว่าท่านจะถวายสิ่งใดในความชอบธรรมแด่พระเจ้าในวันข้างหน้า จงกล้าหาญ—แบ่งปันกับคนที่ท่านวางใจ และสำคัญที่สุดคือ โปรดใช้เวลาลงมือทำ!

ข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้ช่วยให้รอดพอพระทัยเมื่อเราถวายเครื่องบูชาจากใจของเราในความชอบธรรม เหมือนกับที่พระองค์พอพระทัยการถวายบูชาด้วยความซื่อสัตย์ของพี่น้องผู้ประเสริฐ โจเซฟกับไฮรัม สมิธ และวิสุทธิชนผู้ซื่อสัตย์คนอื่นๆ ทุกคน ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ด้วยความเคารพในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน